บทที่ 12 แบ่งเงิน
พวกเขาทั้งสามช่วยกันขายเนื้ออยู่อีกเกือบ 1 ชั่วโมงเมื่อเห็นว่าเนื้อใกล้จะหมดแล้วจึงได้เก็บของและพวกกันออกมาจากตลาดมืดทันที…ระหว่างทางที่เดินออกมาหยางซีซีตาไวเธอเห็นว่ามีคนนำพวกทองและเครื่องประดับ ภาพวาด แจกันของเก่าโบราณออกมาวางขายกันอยู่หลายร้านทีเดียวเธอหันมองและดวงตาก็วาววับขึ้นมาทันที….คราวหน้าเจอกัน!!!!!
ทั้งสามรีบเดินออกมาจากตลาดมืดแห่งนี้ทันที เพราะถึงจะค้าขายได้ดีขนาดไหนแต่ว่าที่นี่ก็ถือว่าเป็นที่แหล่งผิดกฏหมายและอันตรายมากอยู่ดี และการที่พวกเขามีเนื้อมากมายมาขายก็อาจจะทำให้ถูกเพ่งเล็งได้ เพราะว่าพวกเขาเข้ามาเพียงตะกร้าใบเดียวเหตุใดถึงได้ขายเนื้อไม่หมดสักทีนะสิ หากจะนับรวมๆ แล้วเนื้อที่ขายไปนั้นเกือบ 220 ชั่งได้
เมื่อออกมาจากตลาดมืดแล้วทั้งสามก็ตรงไปที่สหกรณ์แวะซื้อพวกเครื่องปรุงนมผง น้ำตาล เกลือ ซีอิ้ว และเครื่องเทศอีกหลายอย่างและหยางฟู่เหยายังซื้อลูกอมตรากระต่ายไปให้หลานๆ ด้วยถุงใหญ่ หยางซีซีเห็นว่ามีแตงโมลูกไม่ใหญ่นักวางอยู่ รวมทั้งผลไม้หายากอย่างสตอเบอร์รี่และองุ่นที่ไม่รู้หลุดรอดมาได้อย่างไรอยู่ 2 กล่อง เธอจึงหยิบทันทีถึงแม้ว่าราคาของสตอเบอร์รี่จะแพงมากตกกล่องละ 15 หยวนทีเดียวแต่ว่าหยางซีซีนั้นมีแผนการเกี่ยวกับผลไม้ทั้ง 3 ชนิดนี้แล้วเธอจึงได้กัดฟันซื้อมันกลับไปด้วยเลย ความจริงเธออยากจะซื้อของมากกว่านี้ เธอเห็นพวกกระทะ หม้อ ชาม ช้อนตะเกียบที่อยู่ในตลาดมืด แต่เพราะว่ารีบจึงไม่ได้แวะซื้อ และอีกอย่างวันนี้พวกเธอรู้ว่าทางบ้านนั้นจะต้องรอแน่นอนจึงได้ซื้อเฉพาะที่จำเป็นก่อน และรีบออกมาจากสหกรณ์และตรงกลับบ้านทันที ต้องทราบว่าราคาสินค้าในสหกรณ์นั้นถูกกว่าในตลาดมืดมากพอสมควร แต่เพราะว่าบางอย่างจำเป็นต้องใช้ตั๋วทำให้คนที่ไม่มีตั๋วเมื่ออยากจะซื้อก็จำเป็นต้องเข้าไปซื้อในตลาดมืดนั้นเอง
ในการค้าขายวันนี้พวกเขารับทั้งเงินหยวนและรับตั๋วชนิดต่างๆ ด้วย และวันนี้ก็ได้ตั๋วมาหลายใบ ทั้งตั๋วผ้า ตั๋วเครื่องใช้ไฟฟ้า จักรยาน ซึ่งมีบางฉบับที่เป็นตั๋วที่สามารถใช้ได้ทั่วประเทศด้วย เพราะในยุคนี้นั้นมีเงินอย่างเดียวบางครั้งก็ไม่สามารถที่จะซื้อของได้ เพราะสินค้าบางชนิดจะมีเงื่อนไขเพิ่มคือจะต้องมีตั๋วจึงจะสามารถซื้อได้ เช่นพวกเนื้อสัตว์ ผ้า จักรเย็บผ้า และพวกของใช้ไฟฟ้าชนิดต่างๆ ซึ่งหากว่าประชาชนไม่มีตั๋วก็ไม่สามารถที่จะซื้อได้ ดังนั้น หยางฟู่เหยาที่เป็นคนรับเงินจึงได้รับหมด
ในขณะที่กำลังรอคิวที่จะจ่ายเงิน หยางซีซีก็หันไปเห็นหนังสือพิมพ์ที่วางขายอยู่ไม่ไกลนักเธอจึงให้หยางฟู่เหยาซื้อกลับไปด้วย ซึ่งราคาของหนังสือพิมพ์นั้นตกฉบับละ 1 หยวนถือว่าราคาพอรับได้ พวกเธอจ่ายค่าซื้อของไปทั้งหมด 90 หยวน
เมื่อได้ของที่ต้องการมาครบแล้ว ทั้งสามคนก็รีบเดินกลับบ้านด้วยความดีใจที่ได้เงินมาเยอะมากพอสมควร ไหนจะขายเนื้อที่นำมาถูกขายจนหมด พวกเขาต่างก็ตื่นเต้นกับการเดินทางกลับบ้านในวันนี้เป็นพิเศษแต่แล้วความสุขก็ต้องมาถูกขัดจังหวะ เมื่อพวกเขาพบว่ารถคันสุดท้ายที่วิ่งเข้าหมู่บ้านได้ออกไปแล้ว ทำให้พวกเขาจำต้องเดินเท้ากลับบ้านในวันที่อากาศหนาวเหน็บแบบนี้
แม้จะเป็นเช่นนั้น แต่ด้วยพลังงานที่ได้รับจากผักวิญญาณ ทำให้พวกเขาไม่รู้สึกเหนื่อยล้าเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม พวกเขากลับรู้สึกกระปรี้กระเปร่าและสามารถเดินได้เร็วขึ้นกว่าปกติมาก และแม้จะมีของที่ซื้อกลับหลายอย่างแต่เมื่อมันอยู่ในตะกร้ามิติมันก็ไม่ได้หนักอะไรเลย ทำให้การเดินกลับบ้านนั้นไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใด
ขณะที่กำลังเดินกลับบ้านนั้น ท้องฟ้าก็เริ่มมืดครึ้มและมีเกล็ดหิมะเล็กๆ ลอยลงมาแตะต้องใบหน้าเบาๆ ยิ่งเดินไปนานเท่าไหร่ หิมะก็ยิ่งตกหนักขึ้นเรื่อยๆ จนมองไม่เห็นอะไรเลยนอกจากสีขาวโพลนไปหมด
แต่ด้วยความแข็งแรงที่ได้รับมา พวกเขาจึงเดินได้เร็วขึ้นกว่าเดิมมาก และในที่สุดก็มาถึงบ้านเมื่อเวลา 4โมงเย็นพอดี เมื่อเปิดประตูเข้าไปในบ้าน อากาศที่อบอุ่นก็โอบล้อมร่างกายที่เปียกชื้นจากหิมะ พวกเขาทั้งสามคนต่างก็รู้สึกโล่งใจที่ได้กลับมาถึงบ้านอย่างปลอดภัย
เมื่อทั้งสามคนเปิดประตูบ้านออก ก็พบว่าบรรยากาศภายในอบอุ่นกว่าที่คิดไว้มาก พ่อแม่สามีและสะใภ้ใหญ่ยืนรอต้อนรับอยู่หน้าประตูบ้านด้วยความเป็นห่วง โดยเฉพาะเจ้าหยางตง ที่นั่งเล่นอยู่ใกล้เตาผิงก็ดูตื่นเต้นที่จะได้เห็นพ่อแม่กลับมา
สะใภ้ใหญ่รีบเดินเข้ามาหาน้องทั้งสาม และช่วยกันสลัดหิมะที่เกาะอยู่ตามเสื้อผ้าออกไปอย่างเบามือ จากนั้นก็รีบไปนำน้ำร้อนที่ต้มเอาไว้รอมาให้พวกเขาได้ดื่มเพื่อคลายความหนาวเย็น ในครอบครัวชาวนายากจนนั้นพวกเขาไม่สามารถที่จะหาซื้อชามาดื่มได้ดังนั้นพวกเขาจึงได้ต้มน้ำร้อนดื่มแทน หลังจากที่ทั้งสามได้ถอดเสื้อผ้าที่เปียกชื้นออก และได้จิบน้ำชาอุ่นๆ เข้าไป ร่างกายที่หนาวสั่นก็เริ่มกลับมาอบอุ่นขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เจ้าหยางตงเมื่อเห็นว่าพ่อแม่กลับมาแล้วเขาก็วิ่งมากอดขาแม่ หยางฟู่เหยาล้วงเข้าไปในตะกร้ามิติและหยิบลูกอมตรากระต่ายออกมาทั้งถุงและให้เขานำไปแบ่งพี่ๆ น้องๆ สะใภ้ใหญ่เมื่อเห็นถุงลูกอมขนาดใหญ่ก็เลยบอกว่าให้กินได้คนละ 2 เม็ดเท่านั้นเพราะเดี๋ยวก็จะกินอาหารเย็นแล้ว เด็กๆ พยักหน้าแรงๆ และแบ่งลูกอมกันคนละ 2 ลูกและพวกเขาต่างก็รีบแกะและโยนเข้าปากทันที...เมื่อความหวานกระจายในปากเด็กๆ ต่างก็ยิ้มและหัวเราะด้วยความสุข
หยางฟู่เหยายื่นตะกร้าให้กับพี่สะใภ้ใหญ่นำไปจัดการต่อส่วนพวกเขาสามคนก็เข้าห้องเพื่อไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแห้งและสะอาดและกลับออกมาที่ห้องโถงอีกครั้ง ตอนนี้คุณพ่อคุณแม่หยาง พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่ และเด็กๆ ต่างก็นั่งรออยู่ที่โต๊ะแล้ว คุณแม่หยางเป็นคนบอกว่าให้ทานอาหารก่อนแล้วค่อยคุยเรื่องงานกัน
เมื่อทุกคนล้างมือและนั่งลงที่โต๊ะอาหาร ก็พบกับอาหารมื้อเย็นที่จัดเตรียมไว้อย่างน่ารับประทาน บนโต๊ะเต็มไปด้วยอาหารมากมาย ชามหมูตุ๋นน้ำแดงสีเข้มส่งกลิ่นหอมยั่วน้ำลาย ผัดหมูใส่ผักกาดขาวสีเขียวสดดูกรอบน่าทาน ไข่เจียวต้นหอมจานใหญ่ ต้มกระดูกหมูใส่หัวไชเท้าส่งกลิ่นหอมหวานออกมา และกากหมูทอดโรยหน้าด้วยกระเทียมเจียวสีเหลืองกรอบน่าทาน ส่วนของหวานก็มีฟักทองนึ่งสีเหลืองทองหวานนุ่มเตรียมไว้รออยู่
คุณพ่อหยางเป็นคนแรกที่หยิบตะเกียบขึ้นมา คีบเนื้อหมูตุ๋นชิ้นโตสีน้ำตาลเข้มวางลงในชามของคุณแม่หยางอย่างทะนุถนอม ก่อนจะคีบให้ตัวเอง จากนั้นเมื่อทุกคนเห็นคุณพ่อหยิบตะเกียบแล้วพวกเขาก็เริ่มลงมือทานอาหารกันทันที เด็กๆ ต่างก็ตื่นเต้นกับอาหารมื้อเย็นวันนี้ โดยเฉพาะเนื้อหมูตุ๋นชิ้นโตที่พวกเขาได้คนละชิ้น และกากหมูทอดกรอบที่ถูกตักโป๊ะให้เติมชามอยู่ตลอดเวลา
เสียงหัวเราะร่าเริงของเด็กๆ ดังก้องไปทั่วห้องอาหาร บรรยากาศเต็มไปด้วยความอบอุ่นและความสุข ทุกคนต่างก็กินอาหารกันอย่างเอร็ดอร่อย โดยเฉพาะเด็กๆ ที่กินกันอย่างไม่ยั้ง เพราะได้กินอาหารที่ชอบอย่างเต็มที่
ขณะที่ทุกคนกำลังเพลิดเพลินกับมื้อค่ำอยู่นั้น สายตาของสมาชิกในครอบครัวก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองไปยังหยางซีซีอยู่บ่อยครั้ง ท่าทางการรับประทานอาหารของเธอนั้นช่างดูสง่างามและประณีตบรรจงเป็นอย่างยิ่ง ทั้งการวางตะเกียบ การเคี้ยวอาหาร และการกลืนลงคอ ทุกอย่างดูสมบูรณ์แบบราวจนดูราวกับว่ากำลังรับประทานอาหารอยู่ที่วังหลวงอย่างไรอย่างนั้น
บรรยากาศบนโต๊ะอาหารค่อยๆ เปลี่ยนไปอย่างช้าๆ จากที่เคยเป็นการรับประทานอาหารแบบบ้านๆ ก็เริ่มกลายเป็นบรรยากาศที่ดูสง่างามขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ เหตุผลก็คือท่าทางการกินอาหารที่สง่างามของหยางซีซี ที่ค่อยๆ ซึมซับเข้าไปในจิตใจของสมาชิกทุกคนในครอบครัว
ทุกครั้งที่หยางซีซียกแก้วน้ำขึ้นมาจิบ เธอจะทำอย่างนุ่มนวลและสง่างาม นิ้วเรียวค่อยๆ จับที่แก้วน้ำก่อนจะยกขึ้นมาดื่มอย่างช้าๆ หรือเมื่อวางตะเกียบลงบนโต๊ะ เธอก็จะวางอย่างเป็นระเบียบ ไม่ให้เกิดเสียงดังรบกวน ท่าทางเหล่านี้ดูเรียบง่ายแต่กลับให้ความรู้สึกถึงความสง่างามและความเป็นผู้ดีสูงส่ง
สมาชิกในครอบครัวต่างก็สังเกตเห็นและรู้สึกประทับใจในท่าทางของหยางซีซี พวกเขาเริ่มที่จะเรียนแบบโดยไม่รู้ตัว ทั้งการจับวางตะเกียบ การคีบอาหาร และการเคี้ยวอาหาร ทุกคนพยายามที่จะทำตามอย่างหยางซีซีให้ได้มากที่สุด จนกระทั่งบรรยากาศบนโต๊ะอาหารเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
เสียงดังจากการเคี้ยวอาหารและเสียงกระทบของชามกับตะเกียบที่เคยดังกังวาน กลับค่อยๆ เบาลงเรื่อยๆ ทุกคนกินอาหารอย่างแผ่วเบาและนุ่มนวลมากขึ้น จนดูราวกับว่ากำลังอยู่ในงานเลี้ยงอาหารค่ำที่หรูหรา
ส่วนหยางซีซีผู้มาเปลี่ยนพฤติกรรมการกินของคนในครอบครัวนั้นก็ยังกินอาหารต่อไปเธอมีหันไปยิ้มให้กับลูกๆ ทั้งสองที่ลุยอาหารของตัวเองจนใบหน้าเลอะไปหมดด้วย
ครอบครัวหยางทานอาหารทุกอย่างจนหมด และตอนนี้พวกเขาก็กำลังจิบชาที่หยางซีซีให้หยางฟู่เหยาซื้อมาจากสหกรณ์กันอยู่อย่างสบายใจสบายท้อง ตอนนี้เมื่อทุกคนอิ่มสบายกันหมดแล้ว คุณแม่หยางไล่ให้เด็กๆ ไปเล่นที่เตียงเตาเช่นเดิม
ตอนนี้บนโต๊ะอาหารถูกเก็บและทำความสะอาดหมดแล้วโดยเหล่าสะใภ้ทั้งสาม หยางจิ่งจึงได้นำตะกร้ามิติมาตั้งและเริ่มหยิบของต่างๆ ที่ซื้อมาวันนี้ออกมา เริ่มจากเงินทั้งหมดที่ขายได้วันนี้ เขาหยิบเงินทั้งที่เป็นเหรียญและเป็นธนบัตร และตั๋วออกมากอง บนโต๊ะ จากนั้นก็หยิบทองคำและเครื่องประดับที่น้องสะใภ้สามซื้อมากองไว้ข้างๆ จากนั้นก็เป็นพวกนมผงมอลล์ 2 กระป๋อง เครื่องเทศต่างๆ ออกมา และผลไม้ทั้ง 3 ชนิด เมื่อเอาของออกมาจากตะกร้าหมด
หยางฟู่เหยาก็ได้เป็นคนรายงานให้ทุกคนได้รู้ทันที
“วันนี้เราขายไก่ 18 ตัว และขายเนื้อ 220 ชั่งได้เงินทั้งหมด 1500หยวนค่ะ และมีตั๋วชนิดต่างอีก 20 กว่าใบ น้องสะใภ้สามอยากได้พวกของเหล่านั้นเลยซื้อมา 100 หยวนและแลกกับเนื้อ20ชั่ง และให้ไก่แถมไป 2 ตัว จากนั้นพวกเราก็มาซื้อของที่สหกรณ์หมดไป 90 หยวน เหลือทั้งหมด 1310 หยวนค่ะ”
เมื่อเคลียร์บัญชีเสร็จเธอก็เลื่อนกองเงินและตั๋วไปทางคุณแม่หยางทั้งหมดทันที
ต้องทราบว่าตอนนี้บ้านตระกูลหยางนั้นยังไม่มีการแยกบ้านเงินที่ทุกคนหาได้จะนำมารวมกันเป็นส่วนกลางและให้คุณแม่หยางเป็นคนดูแล คุณแม่หยางนั้นมองกองเงินและตั๋วเหล่านั้นก่อนจะแบ่งออกเป็น 4 ส่วนด้วยกัน เธอหยิบออกมา 500 หยวน และเลื่อนไปทางสะใภ้สาม 500 หยวนที่เหลือกองละ 155 หยวนนั้นเธอเลื่อนไปที่หน้าลูกชายทั้งสอง..
“เงินก้อนนี้จะว่าไปก็มาจากสะใภ้สามทั้งหมด แม่จะแบ่งแบบนี้ก็แล้วกัน พวกลูกก็เก็บเอาไว้”
เหล่าสะใภ้และลูกชายต่างก็ตกใจในจำนวนเงินที่คุณแม่หยางนั้นแบ่งมาให้ หยางฟู่หลงเป็นคนเอ่ยขึ้นมาทันที
“พวกเราไม่ได้แยกบ้านกันเงินส่วนนี้ผมให้คุณแม่เก็บเอาไว้เถอะครับ เพราะตอนนี้พวกเราก็กินใช่ทุกอย่างรวมกันอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องให้เงินมา ส่วนของน้องสะใภ้สามนั้นคุณแม่ทำถูกแล้วครับ เพราะว่าของทุกอย่างก็มาจากน้องสะใภ้สามจริง เธอสมควรได้รับเงินส่วนนั้นไป”
พูดเสร็จเขาเลื่อนเงินกลับมาให้แม่ของเขาอีกครั้ง จากนั้นหยางจิ้งคนพูดน้อยประจำบ้าน ก็เลื่อนเงินของเขากลับมาที่หน้าคุณแม่หยางเช่นกัน เป็นการบอกว่าเขาเห็นด้วยนั้นเอง
คุณแม่หยางนั้นถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะเลื่อนเงินไปที่เหล่าสะใภ้ทั้งสองแทน และเอ่ยขึ้นมาว่า
“ตอนนี้เด็กๆ กำลังโตพวกลูกๆ ก็เก็บเงินส่วนนี้เอาไว้เถอะหากว่าอยากจะซื้ออะไรหรือส่งให้พวกเขาเรียนหนังสือก็จะได้ไม่ลำบาก"
สะใภ้ทั้งสองเมื่อได้ยินสิ่งที่แม่หยางพูด พวกเธอก็ค่อยยื่นมื่อออกไปแล้วเก็บเงินก้อนนั้นทันที และยังหันไปมองน้องสะใภ้สามที่นั่งยิ้มอยู่ด้วยความขอบคุณ เพราะหากว่าไม่มีน้องสะใภ้สามวันนี้พวกเธอก็คงจะไม่ได้กินอิ่มและมีเงินมากมายเช่นนี้
หยางซีซีมองเงิน 500 หยวนของตัวเอง จากนั้นเธอจึงดึงออกมา 200 หยวนและส่งกลับให้คุณแม่หยางและเอ่ยขึ้นมาว่า
“ฉันใช้เงินไป 200 หยวนในการซื้อของเหล่านี้มาแล้วค่ะ ดังนั้นส่วนนี้ฉันคืนให้คุณแม่นะคะ”
จากนั้นสายตาทุกคนก็มองไปที่กองของทองคำและเครื่องประดับที่กองอยู่บนโต๊ะข้างๆ ผลไม้ทั้ง 3 ชนิด และหนังสือพิมพ์ฉบับนั้น
*** นั่งทานข้าวกับฮองเฮาอะนะ เลยถูกนางละลายพฤติกรรมแบบไม่รู้ตัว.555 ***
***น้องเป็นคนยุติธรรมนะ****
*** สำหรับรีดที่รักที่เป็นห่วงน้องสาวของฮองเฮา ต้องรออีก 2-3 ตอนนะคะไรท์ถึงจะไปรับมา ดังนั้นใจเย็นๆ 5555 ****
บทที่ 13 สร้างค่ายกลปลูกผักหลังจากที่แบ่งเงินทองกันเรียบร้อยแล้ว ทุกคนต่างก็มีความสุขกับสิ่งที่พวกเขาได้รับมา ตอนนี้พวกเขาต่างก็ปรึกษากันว่าวันต่อไปใครจะเป็นคนไปขายของซึ่งก็ตกลงกันได้ว่าการขายของยังคงให้เป็น หยางจิ้ว สะใภ้รองและสะใภ้สาม เพราะถือว่าได้เข้าไปในตลาดมืดแล้ว ไม่ต้องให้คนอื่นๆ เข้าไปอีก ซึ่งหยางซีซีและครอบครัวได้ใช้เวลาพูดคุยพักใหญ่ จากนั้นบรรยากาศก็ค่อยๆ เงียบลงเมื่อคุณแม่หยางเม่ยหันไปมองกองทองคำและเครื่องประดับที่วางอยู่บนโต๊ะอย่างสงสัย สายตาของเธอจับจ้องไปที่หยางซีซี ก่อนจะเอ่ยปากถามด้วยน้ำเสียงที่จริงใจ"ลูกอยากได้ของพวกนั้นไปทำไมหรือสะใภ้สาม มันไม่มีประโยชน์อะไรเลยนะแม่ว่า อีกอย่างหากมีเก็บเอาไว้ก็อันตรายด้วยหากว่าถูกคนของทางการค้นเจอ ในยุคนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับผู้คนคือเสื้อผ้า อาหาร ของยังชีพต่างหาก ทำไมลูกถึงได้อยากได้ของพวกนี้กันแม่สงสัยจริงๆ"คำถามของคุณแม่หยางเม่ยทำให้บรรยากาศในห้องเงียบลงไปชั่วขณะ เพราะพวกเขาทุกคนก็เห็นด้วยในสิ่งที่แม่หยางพูด หยางซีซีเงยหน้าขึ้นมองคุณแม่สามีและทุกคน เธอเข้าใจดีว่าในยุค 70 สิ่งของเหล่านี้ไม่ได้มีความสำคัญเท่ากับอาหารและความอ
บทที่ 14 อยากรู้อนาคตให้อ่านหนังสือ (พิมพ์)หยางซีซีเอนหลังพิงหัวเตียงไม้เก่าๆ ความคิดของเธอวนเวียนอยู่กับคำพูดของหยางซีซีคนนั้น...น้องสาวที่ถูกทิ้งให้อยู่ในเงาของการใช้แรงงานอย่างทารุณของบ้านป้าและลุง"น้องสาวถูกรังแกอยู่ที่ปักกิ่งอย่างนั้นหรือ..."หยางซีซีพึมพำเบาๆ ดวงตาของเธอหรี่ลงราวกับกำลังมองทะลุผ่านกาลเวลาและระยะทางไปยังอีกฟากหนึ่งของประเทศความทรงจำเกี่ยวกับน้องสาวของร่างนี้ผุดขึ้นมาในหัว เธอจำได้ว่าลุงป้าที่ส่งเธอมาทำงานใช้แรงงานแทนลูกลูกของตัวเองเป็นคนอย่างไร คนแบบนี้ย่อมไม่มีทางปฏิบัติต่อน้องสาวของร่างนี้ด้วยความเมตตาแน่ๆ และการที่วิญญาณของหยางซีซีคนนั้นต้องมาปรากฏตัวต่อหน้าเธอเช่นนี้ แสดงให้เห็นว่าสถานการณ์ของน้องสาวต้องเลวร้ายมาก"แต่จะทำยังไงดีล่ะ..."หยางซีซีครุ่นคิดหนัก ปักกิ่งอยู่ไกลจากที่นี่มากแค่ไหนกันแน่ เธอเองก็ไม่เคยไปมาก่อน ในขณะที่กำลังคิดอยู่นั้น สายตาของเธอก็เหลือบไปเห็นหนังสือพิมพ์ที่วางอยู่บนโต๊ะพาดหัวมีคำว่า"ปักกิ่ง" เธออ่านคำนี้ออกมาเบาๆ ดวงตาของเธอเป็นประกายขึ้นมาเล็กน้อยทันใดนั้นเอง เธอก็นึกขึ้นได้ว่าเธอสามารถที่จะเห็นอนาคตของคนและสิ่งของได้เพียงแค่สั
บทที่ 15 เตรียมตัวเดินทางไปปักกิ่ง "ถ้าอยากได้เงินก้อนโตเร็วๆ คงต้องพึ่งพาพลังของหัตถ์เทวะแล้วล่ะนะ"หยางซีซีกระซิบกับตัวเองอย่างมั่นใจ ดวงตาของเธอเปล่งประกายด้วยความมุ่งมั่นค่ำวันนั้นหยางซีซีได้บอกกับพ่อสามีว่าเธอต้องการที่จะเดินทางไปปักกิ่ง ให้คุณพ่อช่วยไปขอใบออกนอกพื้นที่ให้เธอด้วย โดยเธอจะออกเดินทางในอีก 3วันข้างหน้า คุณแม่หยางเมื่อได้ยินว่าลูกสะใภ้สามต้องการจะเดินทางกลับบ้านจึงได้ถามด้วยความเป็นห่วงเมื่อหยางซีซีจึงได้บอกกับคุณแม่หยางว่าเธอเคยสัญญากับน้องสาวเอาไว้ว่าหากตั้งตัวได้จะไปรับมาอยู่ด้วย ดังนั้นเธอคิดว่าตอนนี้น่าจะถึงเวลาแล้ว และไม่ให้คุณแม่หยางเป็นห่วงหากว่าน้องเธอมาอยู่ด้วยเธอจะหาบ้านเช่าให้น้องเธออยู่เองเพราะว่าบ้านนี้ก็ทั้งเล็กและแคบ หากว่ามีเพิ่มมาอีกคนน่าจะอยู่กันลำบาก เมื่อคิดถึงตรงนี้หยางซีซีจึงได้เอ่ยกับคุณพ่อหยางว่า"คุณพ่อคะ หากว่าพวกเราต้องการจะสร้างบ้านใหม่จะทำได้หรือเปล่าคะ เพราะว่าบ้านเราก็เก่าและคับแคบมากแล้ว หากว่าขยับขยายออกไปหน่อยก็น่าจะดี”“ความจริงแม่ก็คิดอยู่เหมือนกันนะ เอาอย่างนี้ตาเฒ่าตอนที่ไปทำหนังสือของออกนอกพื้นที่กับหัวหน้าก็ลองถามเรื่องการจั
บทที่ 16 การค้าใหญ่กำลังมาการขายของครอบครัวหยางเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและพวกเขาวุ่นวายอยู่จนเวลาผ่านไปเกือบ 2 ชั่วโมงเนื้อที่เตรียมมาใกล้จะหมดแล้ว ส่วนผลไม้นั้นเหลือเพียง 2 กล่องที่หยางซีซีเก็บเอาไว้ไม่อย่างนั้นก็หมดตั้งแต่ครั้งชั่วโมงแรกแล้ว เมื่อความชุลมุนลดลงหยางซีซีก็มองไปที่แผงของคุณตาและหลานชายที่เธอซื้อทองคำไปเมื่อวาน ซึ่งพวกเขาก็นั่งยิ้มแฉ่งมองมาที่เธอทันที….หยางซีซีเดินไปหาทั้งสองคนก่อนจะถามว่าได้เตรียมของมาให้เธอหรือไม่ สองตาหลานพยักเบาๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาว่า“แม่หนู ทำไมไม่ไปที่บ้านของผมหล่ะที่นั่นผมยังมีอีก 2 หีบใหญ่เลยนะ และก็..และก็ญาติของผมพอรู้ว่ามีคนสนใจของพวกนี้พวกเขาก็อยากจะขายและแลกเปลี่ยนด้วยเหมือนกัน” คุณตาเห็นว่าตอนนี้เนื้อที่พวกเธอขายยังเหลืออยู่ประมาณ 50 กว่าชั่งเขาจึงได้เอ่ยขึ้นมาเขาก็กลัวเนื้อจะหมดเหมือนกันหยางซีซีนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินกลับไปที่พี่รองและพี่สะใภ้รองเธอกระซิบ 2-3 ประโยคพวกเขาพยักหน้าและช่วยกันเก็บแผงทันที จากนั้นพวกเขาต่างก็พากันเดินออกไป โดยในขณะที่เธอกำลังเดินผ่านคนของตลาดมืดนั้นพวกเขาต่างก็มองจ้องมาที่ตะกร้าใบเก่าที่พวกหยางจิ้งแบกอยู
บทที่ 17 การค้ากับแก๊งมังกรขาวหยางจิ้งแจ้งความต้องการตามที่หยางซีซีบอกทันทีซึ่งเฉียงจงเมื่อรู้ว่าพวกเขามีเนื้อมากพอที่จะจัดส่งและยังจะจัดส่งให้เป็นตัวก็ดีใจมาก ต้องทราบว่าตอนนี้อากาศหนาวจัดเนื้อหายากมากจริงๆ บางตลาดแทบจะไม่มีเนื้อขายแล้ว และหากว่าได้มาเป็นตัวพวกเขายังสามารถขายกระดูกและพวกเครื่องในและหัวของมันได้“ตกลง”เฉียงจงมองพวกเขาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้นมาว่า“พวกคุณคงจะพอมีข้อมูลมาบ้างว่าตลาดที่พวกคุณขายของอยู่นั้นเป็นของใคร ฉันเฉียงจงเป็นผู้จัดการดูแลตลาดนี้ และอีก2 -3 แห่งอย่างที่บอกไป” เฉียงจงเอ่ยขึ้นมา จากนั้นก็มองจ้องไปที่ทั้งสามคนเหมือนจะเป็นการข่มขวัญอย่างไรอย่างนั้น ก่อนจะเอ่ยต่อว่า“ผมชื่อหยางจิ้งนี้ภรรยาของผม หยางฟู่เหยาและก็น้องสะใภ้ของผม หยางซีซี" หยางจิ้ง เพิ่งจะมีโอกาสได้แนะนำตัวเอง เอ่ยตอบ“ตลาดมืดแห่งนี้มันเป็นของแก๊งมังกรขาว และการทำการค้ากับแก๊งมังกรขาวนั้น....พวกคุณคงจะรู้ว่าหากมาล้อเล่นหรือผิดสัญญากับแก๊งมังกรขาวนั้น...ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร” เมื่อพูดเสร็จเขาก็หยิบตะเกียบขึ้นหนึ่งอันและหักมันแรงๆ ต่อหน้าคนทั้งสาม เหมือนจะเป็นการข่มพวกของหยางซีซีนั้นเอง ว่
บทที่ 18 เดินทางไปปักกิ่งตอนที่กลับออกมาจากโกดังหยางจิ้งก็มีเงินก้อนใหญ่ถึง 75500 หยวนกลับออกมาด้วย หยางซีซีนั้นยิ้มอย่างพอใจ พลางคิดว่าตอนนี้พอจะมีทุนที่จะเดินไปปักกิ่งบ้างแล้ว!!!วันนั้นหลังจากที่กลับมาจากการส่งของให้กับแก๊งมังกรขาว หยางซีซีก็จัดการ ‘ปั๊ม’ หมู วัว แกะ และพืชผักผลไม้เอาไว้ให้กับครอบครัวหยางมากมาย เพราะว่าการไปครั้งนี้อาจจะใช้เวลานานหลายวัน เธอเกรงว่าแก๊งมังกรขาวจะขายของดีจัดและทำให้ของหมด ซึ่งตอนนี้เธอได้วางค่ายกลขยายพื้นที่ในสวนหลังให้กว้างขึ้นเป็น 30 ไร่เลยทีเดียวดังนั้นมันจึงเพียงพอที่จะใส่เนื้อสัตว์ และให้มีพื้นที่สำหรับปลูกผักผลไม้สำหรับเอาไว้จัดส่งแน่นอนหลังจากที่ครอบครัวพร้อมหน้ากันทานอาหารเย็น และนั่งดื่มชากันเพื่อย่อยอาหาร ตอนนี้ร่างกายของทุกคนนั้นถือว่าแข็งแรงมากทีเดียวคุณพ่อคุณแม่จากที่มีรอยตีนกามากมายบนใบหน้าตอนนี้หากว่าสังเกตุดีจะเห็นว่าตีนกาเหล่านั้นลดน้อยลงมาก ไหนจะเส้นผมที่มีเส้นสีดำแซมขึ้นมามากกว่ามีขาวแล้วเพราะทุกวัน พวกเขาต่างก็กินอาหารที่มีพลังวิญญาณเข้าไปนั้นเองหยางซีซีมองดูแต่ละคนที่ร่างกายเริ่มดีขึ้นอย่างพอใจ พี่สะใภ้สามเมื่อจัดการทำความสะอาดโ
บทที่ 19 เหตุการณ์บนรถไฟ“คุณย่า!!! คุณย่า อย่าตีหนู อย่าขายหนูเลย!!! แม่ แม่จ้าช่วยด้วย …แม่ แม่มาแล้ว"หานหรูอี้ได้ยินที่ลูกสาวของเธอพูดแบบนั้นออกมาก็ยิ่งเสียใจและร้องไห้มากขึ้นก่อนจะพยายามสงบใจและปลอบลูกของเธอว่า“ไม่เป็นไรแล้วลูก ไม่เป็นไรแล้ว พวกเราออกมาจากนรกแห่งนั้นแล้ว ฮื่อออ!!”หานหรูอี้แม่ของเด็กหญิงร้องไห้สะอึกสะอื้น กอดลูกสาวไว้แน่น พูดปลอบโยนลูกสาวด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ หยางซีซีมองดูสองแม่ลูกอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะวางมือเบาๆ บนมือของหานหรูอี้ หยางซีซีอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับสองแม่ลูกสุดอนาจคู่นี้กันแน่ เธอจึงได้แตะที่ข้อมือของหานหรูอี้เพื่อมองดู ภาพเหตุการณ์ที่ปรากฏต่อหน้าราวกับภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง หานหรูอี้ในอดีตเป็นเพียงนักศึกษาสาวที่ต้องมาเผชิญกับชะตากรรมอันโหดร้ายเธอถูกวางยาและพาเธอไปโยนเข้าไปในห้องของชายหนุ่มคนหนึ่งที่เมามายไม่ได้สติเช่นกัน เธอจำต้องแต่งให้กับชายหนุ่มคนนั้นที่เธอไม่ได้รัก และต้องมาใช้ชีวิตอย่างยากลำบากและถูกรังแกในบ้านแม่สามีของเธอและต้องเผชิญหน้ากับความไม่ยอมรับจากครอบครัวสามีที่ต้องการเพียงลูกสะใภ้ที่มีฐานะทางสังคมสูงกว่าหวังเทียนซานสามีของหานหรูอี้
บทที่ 20 หานหรูอี้หยางซีซีพูดพร้อมกับให้ขวดน้ำทิพย์ไป หานหรูอี้มองไปที่หญิงสาวชาวบ้านที่หน้าตางดงามคนนี้ที่ยื่นมือเข้าช่วยเธอและลูกสาว ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่าหานหรูอี้นั้นเหมือนกับว่าได้นั่งอยู่กับองค์หญิงหรือฮองเฮาเหมือนในนิยายออนไลน์ที่เธอเคยอ่านก่อนที่จะทะลุมิติมาอยู่ในร่างของหานหรูอี้คนนี้นี่เอง…..“คุณจะพักอยู่ที่ห้องนี้ก่อนก็ได้เพราะว่าพวกฉันซื้อมาแบบ 4 คน ให้ลูกสาวของคุณนอนที่ในนี้ก่อน ด้านนอกเสียงรบกวนเยอะ”เป็นพี่สาวอีกคนที่นั่งอยู่ข้างชายร่างสูงใหญ่ที่เสนอความคิด ซึ่งเมื่อหานหรูอี้นิ่งฟังอยู่ครู่หนึ่ง ก็เป็นอย่างที่เธอบอกจริงๆ ภายในตู้นอนแห่งนี้เงียบสงบกว่าด้านนอกหลายเท่าหนักและเธอรู้สึกว่าอากาศจะถ่ายเทได้ดีกว่ามากด้วยในนี้ไม่ได้กลิ่นอาหารหรือกลิ่นเหงื่อไคลใดๆ เลย ทั้งที่ก็อยู่ในรถไฟขบวนเดียวกันแท้ๆ หานหรูอี้พยักหน้าและกล่าวขอบคุณเบาๆ เมื่อมีเวลาพัก และร่างกายที่ได้ยาสมุนไพรของหญิงสาวคนนั้น ที่ได้เข้ามาช่วยเหลือเธอและลูกสาวทำให้หานหรูอี้เริ่มผ่อนคลายและหลับตาลงจากนั้นเธอก็นึกถึงเรื่องราวมากมายที่เกิดขึ้นกับตัวเธอในไม่กี่วันที่ผ่านมา แบบที่เธอยังตั้งตัวไม่ติด….ใช่แล้ว!!!
บทสุดท้าย : ฝาแฝดหงส์มังกร / การเผชิญหน้าครั้งสุดท้ายวันเวลาผ่านไปหลายเดือนจนกระทั่งครรภ์ของหยางซีซีนั้นตั้งครรภ์ครบเก้าเดือน ครอบครัวหยางก็กำลังเตรียมพร้อมสำหรับเหตุการณ์สำคัญของตระกูล พวกเขาจองห้องพิเศษที่โรงพยาบาลเอาไว้และหยางซีซีก็เข้าพักทันทีในวันคลอด หยางซีซีต้องเผชิญกับความเจ็บปวดอย่างหนักในห้องคลอด เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของเธอทำให้หยางเฟยหลงที่ยืนรออยู่หน้าห้องคลอดเป็นกังวลจนเดินไปมาไม่หยุด เขามองไปยังประตูห้องคลอดด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความห่วงใยและความกดดัน จนคุณพ่อหยางที่มีประสบการณ์มาหลายครั้งต้องตบบ่าเขาเบา ๆ และพูดขึ้นว่า"หยุดเดินไปมาได้แล้วเจ้าสาม พ่อเริ่มเวียนหัวเพราะตามดูเรานี่ล่ะ"หยางเฟยหลงถอนหายใจยาว พยายามสงบสติอารมณ์ แต่ความกังวลในใจยังคงไม่ลดลง เขาภาวนาให้ภรรยาและลูกน้อยปลอดภัย ในขณะที่เสียงร้องของหยางซีซีดังลอดออกมา เขายิ่งรู้สึกเหมือนเวลาผ่านไปช้าเหลือเกินและแล้วเมื่อเวลาผ่านไปนานหลายชั่วโมง เสียงร้องของทารกดังขึ้นมาจากภายในห้องคลอด"อุแว้ อุแว้ อุแว้!!"เสียงดังลั่นห้องไปหมดเหมือนกับว่าพวกเขาไม่พอใจที่ถูกแม่เบ่งออกมาให้พบเจอกับโลกใหม่ หยางเฟยหลงรู้สึกเห
ตอนพิเศษ 2 ดร.หยางไป่หลงในวันที่อากาศสดใสวันหนึ่ง ดร.หยางไป่หลงกำลังยืนอยู่หน้าชั้นเรียน สอนนักศึกษาเกี่ยวกับแนวคิดการประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์ในการวิเคราะห์ข้อมูลทางการแพทย์ เขามีท่าทีที่เป็นมิตรและเป็นกันเอง แต่ว่าขณะเดียวกันก็เต็มไปด้วยความตั้งใจในการสอน หลังจบชั้นเรียน เขาได้ยินเสียงเคาะประตูเบาๆ เมื่อหันไปมองก็พบหญิงสาวคนหนึ่งที่ยืนอยู่หน้าประตู เธอมีใบหน้าสวยงามคิ้วโค้งเรียว ดวงตาคมที่แฝงไปด้วยความมั่นใจ ตามประสาลูกสาวคนเล็กของคนรวยและมีอำนาจ เธอคือเซี่ยจื่อหานลูกสาวของนายพลเซี่ยและเป็นอาจารย์ที่เพิ่งได้รับตำแหน่งในมหาวิทยาลัยชิงหัวเช่นกัน“ดร. หยางใช่ไหมคะ? ฉันเซี่ยจื่อหานเพิ่งมาร่วมงานที่นี่ เห็นได้ยินมาว่าคุณกำลังพัฒนาโครงการทดลองด้านปัญญาประดิษฐ์ ฉันเองก็สนใจงานวิจัยนี้เหมือนกัน”เซี่ยจื่อหานพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ เธอมองไปที่ชายหนุ่มที่หล่อเหลาที่ความหล่อของเขานั้นเหมือนจะไม่ใช่ของจริงที่กำลังยืนอยู่ข้างหน้าเธอ พลางถอนหายใจและคิดว่า …ไม่รู้ว่าจะหล่อไปทำไมหนักหนามาสอนเด็กสาวพวกนี้มันจะไปมีประโยชน์อะไรกันหยางไป่หลงหันมองเธอพร้อมกับยิ้มเล็กๆ“ใช่ครับ ผมก
ตอนพิเศษ 1 หยางไป่หลง อัจฉริยะในรอบ 100 ปี หลังจากที่หยางไป่หลงได้จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยชิงหัว ซึ่งถือว่าเป็นมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศจีน เขาได้สร้างชื่อเสียงในวงการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีตั้งแต่ยังเป็นนักศึกษา ไม่เพียงแค่มีผลการเรียนที่โดดเด่นเท่านั้น แต่ยังมีความสามารถเฉพาะตัวที่หายาก นั่นก็คือความจำแบบภาพถ่าย ทุกสิ่งที่เขาได้เห็นผ่านตา ไม่ว่าจะเป็นบทเรียนทางวิชาการหรือภาพที่ซับซ้อน เขาก็สามารถจดจำได้ทั้งหมด นี่ทำให้หยางไป่หลงมีความได้เปรียบในการศึกษาและการทำงานวิจัยอย่างมากความสามารถในการจดจำของหยางไป่หลงทำให้เขาได้รับความสนใจจากอาจารย์และนักวิจัยหลายคน พวกเขาต่างเห็นศักยภาพในตัวของหยางไป่หลงว่ามีความสามารถในการสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ ๆ ได้ และด้วยความสนใจเป็นพิเศษในด้านเทคโนโลยี เขามักจะใช้เวลาว่างทำการทดลองใหม่ ๆ ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หรือการศึกษาปัญญาประดิษฐ์ เขาใช้เวลาหลายคืนในการคิดค้นโปรเจคที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนในอนาคต***ระบบ AI เริ่มพัฒนาและนำมาใช้ในทศวรรษที่ 1950 โดยนักวิทยาศาสตร์ด้านคอม
บทที่ 94 จุดจบ (จบ ) หลังจากงานเลี้ยงผ่านไปหลายวัน และในที่สุดประกาศเรื่องการปลดรัฐมนตรีเผยเฉินฟงก็ออกมา ตอนนี้เฟิงอวี้ชิงนั้นรู้สึกไม่พอใจอยู่บ้างแต่เมื่อคิดถึงก้าวต่อไปของเธอ ก็ทำให้เธอรู้สึกสบายใจขึ้นมาเล็กน้อย ตอนนี้คงจะถึงเวลาที่เธอจะต้องกำจัดหมากที่หมดประโยชน์อย่างรัฐมนตรีเผยออกจากชีวิตแล้ว และเป้าหมายต่อไปของเธอก็คือ ท่านผู้นำประเทศ ดังนั้นเธอจึงได้คิดว่ารีบจัดการเคลียร์ปัญหาเล็กๆ อย่างรัฐมนตรีเผยยิ่งเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดี เพราะว่าในตอนนี้นั้นเธอได้ทราบแล้วว่า หยางฮองเฮานั้นคือภรรยาของรองรัฐมนตรีหยางเฟยหลง นั้นก็แปลได้ว่าพวกเขาย่อมมีอำนาจพอสมควร และหากว่าเธอต้องการที่จะอยู่เหนือพวกเขา เธอจำเป็นต้องได้ท่านผู้นำประเทศหนุนหลัง และการจะได้เขามานั้นก็ไม่ยากสำหรับเธอ เพราะว่าเรื่องเหล่านี้เธอทำมาครั้งแล้วครั้งเล่าไม่เคยพลาดสักครั้งเลย เฟิงอวี้ชิงคิดอย่างมั่นใจในตัวเองเฟิงอวี้ชิงเดินเข้าไปในห้องของอดีตรัฐมนตรีเผยในยามดึก ห้องทั้งห้องเงียบสนิท มีเพียงเสียงลมหายใจเบา ๆ ที่ดังจากเตียง ร่างของรัฐมนตรีเผยนอนเหยียดยาวบนเตียง ดวงตาปิดสนิท แต่ใบหน้าแสดงถึงความเหนื่อยล้าและความแก่ชรา เฟิงอวี้ช
บทที่93 ตาต่อตาฟันต่อฟัน บรรยากาศรอบตัวทั้งสองคนกลายเป็นตึงเครียด ผู้คนรอบข้างที่สังเกตเห็นสายตาที่ทั้งสองส่งให้กันต่างก็รู้สึกถึงความอึดอัดและพลังที่ปะทะกันอย่างเงียบๆ ราวกับว่าโลกทั้งใบหายไป เหลือเพียงพวกเขาทั้งสองคนที่ยืนประจันหน้ากัน ความเกลียดชังที่ไม่มีทางจบสิ้น ความโกรธเคียดแค้นที่ฝังรากลึก ไม่ว่าจะเป็นหยางซีซีหรือเฟิงอวี้ชิง ต่างก็รู้ดีว่าการพบกันครั้งนี้อาจนำไปสู่การเผชิญหน้าที่รุนแรงในอนาคตเฟิงอวี้ชิงก้าวเข้ามาใกล้เล็กน้อย ดวงตาของเธอจับจ้องไปยังหยางซีซีอย่างไม่ละสายตา"คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะมาอยู่ที่นี่ได้...หยางฮองเฮา" เสียงของเธอเต็มไปด้วยการยั่วยุและการท้าทาย ทันใดนั้นภาพอดีตที่เจียงกุ้ยเฟยเคยวางยาพิษทำร้ายหยางซีซีจนถึงแก่ความตายก็ผุดขึ้นมาในความคิดของทั้งสองฝ่ายหยางซีซีจำได้อย่างชัดเจนถึงวันที่เธอถูกไล่ล่าและเจ็บปวดจากความแค้นของเจียงกุ้ยเฟย ความโกรธที่เคยสงบลงกลับปะทุขึ้นมาในใจ ความรู้สึกเคียดแค้นที่เก็บซ่อนไว้เริ่มชัดเจนขึ้น เธอยิ้มเย็นชาและตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่นิ่งสงบแต่แฝงไปด้วยความเยือกเย็น"เจ้าก็เหมือนกัน เจียงกุ้ยเฟย โลกกลมจริงๆ ข้าคิดว่าคงไม่ได้พบเจ้าที่นี่อ
บทที่ 92 การเผชิญหน้าครั้งที่หนึ่งเรื่องราวของหานหรูอี้และหวังเทียนซานยังคงดำเนินต่อไป โดยที่หานหรูอี้ยังคงให้เขาง้องอนอยู่นานหลายเดือน จนกระทั่งวันหนึ่งเธอรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงในร่างกาย ซึ่งอาการนั้นคล้ายกับที่หยางซีซีเคยเป็นมาก่อน ทำให้เธอรู้ว่าหมดเวลาที่จะเล่นตัวแล้วในเย็นวันหนึ่งเมื่อหวังเทียนซานพูดถึงเรื่องการแต่งงานของพวกเขา หานหรูอี้จึงตอบตกลงทันทีคำตอบนั้นทำให้หวังเทียนซานถึงกับงุนงงเล็กน้อยเนื่องจากไม่คิดว่าเธอจะยอมง่ายๆ หลังจากที่เขานั้นเคยของเธอแต่งงานอยู่หลายครั้ง"หรูอี้... คุณตอบตกลงจริงหรือ?" หวังเทียนซานถามด้วยความแปลกใจในน้ำเสียง เขายังคงมองหน้าหานหรูอี้ด้วยความไม่เชื่อหานหรูอี้ยิ้มบาง ๆ ให้เขา "ฉันตกลงแล้ว คุณคงไม่คิดจะเปลี่ยนใจหรอกนะ?""ไม่... ไม่แน่นอน! ผมแค่... ผมแค่ไม่คิดว่าคุณจะยอมง่าย ๆ แบบนี้" หวังเทียนซานพูดพร้อมหัวเราะเบา ๆ แต่ในแววตาของเขามีความสุขที่ไม่อาจซ่อนได้หานหรูอี้มองเขาอย่างอ่อนโยน "ฉันเองก็เหนื่อยแล้วเหมือนกัน คุณรู้ไหมว่าฉันไม่ได้ต้องการให้คุณทรมานหรอก เพียงแต่อยากให้คุณเข้าใจว่าฉันต้องการความจริงใจจากคุณ"หวังเทียนซานยื่นมือมากุมมือขอ
บทที่ 91 สืบหาความจริง / ลักพาตัว“ความจำเสื่อมอย่างนั้นหรือคะ” คนที่ถามเป็นหยางซีซีนั้นเอง เพราะว่าตอนนี้หานหรูอี้นั้นไม่กำลังถูกปฐมพยาบาลอยู่ โชคดีที่แขนไม่หักเพียงแค่ร้าวเท่านั้น ซึ่งเธอก็ไม่ได้สนใจชายหนุ่มคนนั้นอีกต่อไปแล้ว“ใช่ผมพบเขาเมื่อหลายปีก่อนตอนนั้นรู้สึกว่าเขานั่งอยู่ข้างถนนเนื้อตัวมอมแมมมาก ในตอนนั้นมีคนกำลังจะลอบทำร้ายผมด้วย และเขาเป็นคนที่เข้ามาช่วยและจัดการคนเหล่านั้น ผมเห็นว่าเขามีฝีมือดีจึงได้รับเอาไว้ และให้เขาเป็นพนักงานรักษาความปลอดภัยอยู่นาน แต่เพราะว่าฝีมือของเขานั้นเก่งกาจมากจนผมเลื่อนให้เขามาเป็นคนสนิทนี่แหละ แต่ดูเหมือนว่าเขาจะมีบาดแผลขาดใหญ่ที่ด้านหลังศีรษะนั้น นั้นอาจจะทำให้เขาไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร” ท่านผู้นำนั้นเล่าถึงเรื่องราวความเป็นมาของคนสนิทของเขา ถึงแม้ว่าเรื่องนี้จะเป็นเรื่องผัวเมียแต่หากว่าคนสนิทเขาทำคนท้องแล้วไม่ยอมรับเขาก็จะจัดการมันให้เอง“ท่านไม่ต้องสืบหาแล้วหล่ะค่ะ ฉันกับเขาหย่าขาดกันแล้วและฉันก็ออกจากบ้านเขามาแล้วด้วยค่ะ” หานหรูอี้ที่ฟังอยู่เอ่ยขึ้นมา“หย่า…หย่าตอนไหนผมยังไม่ได้เซ้นต์เอกสารอะไรเลยนะ” หวังเทียนซานที่มองดูหญิงสาวด้วยความไม่ชอ
บทที่ 90 ตั้งครรภ์ / ฉันเป็นเมียแกไงล่ะ..ไอ้บ้า!!!ครอบครัวหยางย้ายมาอยู่ที่ปักกิ่งได้หลายเดือนแล้ว ตอนนี้ทุกคนในบ้านต่างก็ยุ่งอยู่กับงานของตัวเอง พี่รองและสะใภ้รองหยางจิ้งและหยางฟู่เหยาไม่ค่อยได้อยู่บ้าน ทั้งสองมักจะลงไปที่เซินเจิ้นหรือจงไห่เพื่อดูที่ดินที่พวกเขาได้กว้านซื้อเอาไว้ โดยมีคนของนายพลเซี่ยจงติดตามไปด้วยและจัดการเรื่องการซื้อขายที่ดิน ซึ่งเมื่อนายพลเซี่ยลงมือแล้ว อะไรที่คิดว่าเป็นอุปสรรคต่างก็แหวกทางออกให้พวกเขาอย่างไม่ยากเย็นนักหยางเฟยหลงมีอาการแปลก ๆ ตั้งแต่เวียนหัว คลื่นไส้ อยากทานของเปรี้ยว ไปจนถึงการรู้สึกอ่อนเพลียโดยไม่ทราบสาเหตุ ทุกเช้าเขาตื่นขึ้นมาแล้วถามหาน้ำมะนาวหรือผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวอย่างส้มเขียวหวาน หยางซีซีมองสามีด้วยสายตาขำขันในขณะที่เขานั่งทานมะม่วงดิบด้วยท่าทางพยายามกลบเกลื่อนอาการแพ้ท้องนั้นวันหนึ่งหยางเฟยหลงตื่นขึ้นแต่เช้าพร้อมกับอาการคลื่นไส้อย่างหนัก เขารีบลุกจากเตียงและวิ่งไปที่ห้องน้ำเพื่ออาเจียน เสียงอาเจียนดังออกมาจากห้องน้ำทำให้ทุกคนในบ้านต่างตกอกตกใจ หยางซีซีรีบเดินไปดูพร้อมกับความเป็นห่วง เมื่อเธอเปิดประตูห้องน้ำ เห็นหยางเฟยหลงนั่งทรุดอยู่กับพ
บทที่ 89 รับจางอี้เฉิงเข้าทำงาน / เงาในความทรงจำวันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในที่สุดครอบครัวตระกูลหยางก็ได้ย้ายมาอยู่ที่ปักกิ่ง โดยมีเพียงพี่ใหญ่และพี่สะใภ้ใหญ่ที่ยังอยู่ที่เซี่ยงไฮ้เพราะต้องดูแลโรงงานผลิตสบู่ร่วมกับจางอี้เฉิงที่มาเป็นผู้จัดการโรงงานให้ซึ่งเรื่องการได้จางอี้เฉิงพี่ใหญ่ของหยางฟู่เหยามาทำงานด้วยนั้น จำเป็นต้องเล่าย้อนหลังไปหลายเดือนก่อน วันนั้นหยางจิ้งขับรถผ่านไปและเห็นจางอี้เฉิงกำลังเดินเตะฝุ่นเพื่อหางานทำอยู่ เขาจึงได้จอดรถรับและพาไปร้านอาหารและหาที่คุยกันจางอี้เฉิงที่เคยเป็นหนุ่มหล่อและดูสง่างาม ตอนนี้กลับดูหมดสง่าราศีเพราะความลำบาก สภาพของเขาดูโทรมจนแทบจำไม่ได้ ผิวที่เคยขาวตอนนี้กลับคล้ำหมองและแห้งกร้าน ราวกับไม่ได้สัมผัสน้ำมาหลายวัน เสื้อผ้าที่เขาสวมนั้นเก่าและไม่สะอาดนัก มีกลิ่นอับและรอยขาดหลายแห่ง ใบหน้าที่เคยสดใสนนั้นเริ่มปรากฎรอยยับย่นขึ้นมา อาจเพราะความเครียดในชีวิตและการอดนอนอย่างต่อเนื่อง แววตาที่เคยมีประกายกลับดูหม่นหมองและอ่อนล้า สะท้อนถึงคืนวันที่ยากเข็ญและความกดดันที่แบกอยู่บนบ่า แววตาที่บ่งบอกถึงการผ่านความผิดหวังและความเหนื่อยล้ามาก ราวกับคนที่ต้องเผช