บทที่ 8 ต้องการหาเงินเข้าบ้าน
บรรยากาศอบอุ่นแผ่ซ่านไปทั่วห้องกินข้าวของบ้านหลังเล็กของตระกูลหยาง เสียงเคี้ยวอาหารเบาๆ ผสมผสานกับเสียงหัวเราะคิกคักอย่างมีความสุขของเด็กๆ ทำให้บรรยากาศดูมีชีวิตชีวาผิดจากวันปกติ
"เฮ้อ...ฉันไม่เคยได้กินเนื้ออิ่มขนาดนี้มาก่อนเลย"
หยางจิ้ง ผู้เป็นคนพูดน้อยที่สุดของบ้านเอ่ยขึ้นเบาๆ คำพูดสั้นๆ นี้สะท้อนให้เห็นถึงความรู้สึกของทุกคนในบ้านได้เป็นอย่างดี วันนี้เป็นวันที่พิเศษจริงๆ เพราะพวกเขาได้กินเนื้อไก่กันอย่างเต็มที่ ไก่ 2 ตัว ทำอาหารออกมาได้มากมายและคุณแม่ก็ให้พวกเขากินกันเต็มที่เลยจริงๆ หลังจากที่ต้องอดอยากมานาน ต้องทราบว่าในยุค 70 ที่อาหารการกินนั้นขาดแคลนมาก การได้กินเนื้อสัตว์สักมื้อถือเป็นเรื่องที่หรูหราสำหรับครอบครัวชาวนาอย่างพวกเขามาก
เมนูอาหารวันนี้จัดเต็มตั้งแต่โจ๊กไก่แบบเข้มข้นคนละสองชาม หรือหากใครไม่พอก็เติมได้อีก น้ำแกงไก่รสเข้มข้น ไก่ผัดขิงหอมกรุ่นกินเข้าไปแล้วทำให้ร่างกายอบอุ่น ผัดผักกาดขาวที่รสชาติทั้งหวานทั้งกรอบ และอาหารจานพิเศษที่แม้จะปีใหม่ก็ยากที่จะได้กินนั้นคือ ไก่ทอดพริกเกลือกรอบนอกนุ่มใน ซึ่งเป็นเมนูพิเศษที่คุณแม่หยางเม่ยใจดีอนุญาตให้พี่สะใภ้ใหญ่ใช้น้ำมันในการปรุงอาหารได้อย่างเต็มที่ เพราะการทอดนั้นต้องใช้น้ำมันเยอะมาก ดังนั้นการจะทำอาหารจานนี้จึงเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับบ้านของพวกเขา เพราะอย่างที่ทุกคนทราบพวกเขาต้องประหยัดใช้น้ำมันกันอย่างมาก
นอกจากนี้ พี่สะใภ้ใหญ่ยังได้เจียวน้ำมันจากไขมันไก่ที่เหลือออกมาอีกด้วย กลิ่นหอมของน้ำมันเจียวลอยฟุ้งไปทั่วบ้าน ทำให้ทุกคนยิ่งรู้สึกหิวและตื่นเต้นกับอาหารมื้อนี้เป็นพิเศษ และต้องทราบว่าเนื้อไก่ที่ออกจากไข่ที่แม่ไก่ได้กินผักวิญญาณนั้นแตกต่างจากเนื้อไก่ธรรมดาอยู่แล้ว เพราะว่ามันให้พลังงานมากกว่าเนื้อไก่ปรกติมาก
เพราะทันทีที่พวกเขารับประทานเนื้อไก่วิญญาณเข้าไป พลังงานจากผักวิญญาณจะถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย ทำให้เกิดความรู้สึกอบอุ่นแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย พวกเขาทุกคนต่างรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงในร่างกายอย่างชัดเจน ร่างกายที่เคยรู้สึกเหนื่อยล้า อ่อนเพลีย และหนาวเย็น ก็กลับมารู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า สมองก็ปลอดโปร่ง คิดอะไรออกง่ายขึ้น รู้สึกเหมือนได้เกิดใหม่ร่างกายที่เคยรู้สึกเหนื่อยล้าจะกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง สมองที่เคยมึนงงก็กลับมาปลอดโปร่ง และความรู้สึกโดยรวมจะดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
หยางจิ้งนั่งเคี้ยวเนื้อไก่ในปากช้าๆ ราวกับต้องการให้รสชาติของเนื้อไก่นั้นแทรกซึมเข้าไปในทุกอนูของต่อมรับรสของเขาก็ว่าได้ เขาคิดวนไปวนมาถึงรสชาติอันแสนอร่อยนี้เขาอยากจะจำความรู้สึกนี้เอาไว้ให้มาก ๆ ความสุขเล็กๆ น้อยๆ ในวันที่ยากลำบากเหล่านี้ จะเป็นความทรงจำที่ติดอยู่ในใจไปตลอดกาล
หยางจิ้งกัดชิ้นเนื้อไก่ที่ทั้งกรอบนอกและฉ่ำด้านในเข้าไปอีกคำใหญ่ รสชาติหอมหวานของเนื้อไก่ยังคงอบอวลอยู่ในปาก แต่ความสุขกลับถูกกลบด้วยความรู้สึกเศร้าที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นในใจ เมื่อเขาหันไปมองภรรยาคนสวยของเขา หยางฟู่เหยา ที่กำลังนั่งเคียงข้างกันอยู่ ใบหน้าที่เคยสวยงามของเธอตอนนี้เปื้อนไปด้วยคราบน้ำมันและซอสจากการกินไก่ แต่ว่าดวงตาของเธอเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่บ่งบอกถึงสุข แต่หยางจิ้งกลับมองเห็นความเหนื่อยล้าซ่อนอยู่เบื้องหลังรอยยิ้มนั้น เธอต้องทำงานหนักมาตลอดทั้งวัน ทั้งดูแลบ้าน ทำนา และเลี้ยงลูกน้อย
สายตาของหยางจิ้งหันไปยังลูกชายตัวน้อยที่กำลังกัดกินน่องไก่ชิ้นโตอย่างมีความสุข ใบหน้าของลูกชายก็เปื้อนเปรอะไปด้วยคราบอาหารเช่นเดียวกับแม่ เมื่อเห็นภาพสองแม่ลูกที่น่ารักนี้ หยางจิ้งก็รู้สึกผิดขึ้นมาในใจ
ความรู้สึกผิดกัดกินใจเขาอย่างรุนแรง เขาคิดถึงช่วงเวลาที่ผ่านมาที่เขาไม่สามารถเป็นสามีที่ดีให้กับภรรยาได้ เขาไม่สามารถหาเงินมาให้ครอบครัวได้มากพอ ทำให้ภรรยาและลูกต้องลำบากหิวโหยมาตลอด เขาเป็นผู้ชายที่ไร้ความสามารถ ไม่สามารถปกป้องคุ้มครองครอบครัวของเขาได้
“ผมเป็นสามีที่ไม่ได้เรื่องเลย…” หยางจิ้งกระซิบเบาๆ กับตัวเอง
ยิ่งมองใบหน้าของเธอผมเผ้ารุงรังเล็กน้อยจากความรีบร้อนทำให้ใจของเขาเจ็บปวด เขาอยากจะทำทุกอย่างเพื่อให้ภรรยาและลูกและครอบครัวของเขามีความสุข แต่เขาก็ไม่รู้จะเริ่มต้นจากตรงไหน
ในขณะที่ความคิดมากมายวนเวียนอยู่ในหัวของหยางจิ้ง เขาก็รู้สึกได้ถึงมือเล็กๆ ของลูกชายที่มากอดเขาไว้เบาๆ ดวงตาใสๆ ของลูกมองมาที่เขาด้วยความรัก หยางจิ้งก้มลงมองลูกชายที่ร่างกายผอมแห้ง เขาอายุ 8 ขวบแล้ว แต่เพราะได้รับอาหารน้อยทำให้เขาไม่สูง แขนขาแห้งเล็ก ซึ่งก็เหมือนกันกับหลานอีก 4 คนที่เหลือของเขาที่มีสภาพไม่ต่างกันนัก
ในขณะที่เขากำลังมองไปที่ครอบครัวของเขาแต่ละคน หยางซีซีก็มองเขาเช่นกัน ไม่รู้ว่าทำไมเธอจึงคิดว่าเธอเข้าใจความรู้สึกของพี่รองหยางจิ้งคนนี้ในวันนี้มาก จากนั้นเธอก็มองไปที่สมาชิกในครอบครัวทีละคน แต่ละคนมีร่างกายผอมแห้ง ผิวพรรณกร้านจากการทำงานหนัก แม้แต่พี่สะใภ้รองที่เคยเป็นสวยมากคนหนึ่งมาตอนนี้ก็ดูเหนื่อยล้า ร่างกายทรุดโทรมลงมากทีเดียว..จากนั้นสายตาของหยางซีซีก็ตกลงที่ลูกน้อยทั้งสองของเธอ เจ้าใหญ่หยางอี้เฟยและเจ้ารองหยางจิว เพราะขาดสารอาหารมากทำให้ พวกเขาแทบจะเหมือนเด็กแคระก็ว่าได้แขนขาเล็กและตอนนี้เจ้าหยางจิวยังพูดไม่ชัดเลยทั้งๆ ที่เขาอายุ3ขวบแล้ว หยางซีซีถอนหายใจเบาพลางป้อนโจ๊กให้กับเจ้าเล็กหยางจิวอีกหนึ่งคำ ซึ่งเขาก็อ้าปากเหมือนลูกนกรอให้คุณแม่ป้อนโจ๊กแสนอร่อยอยู่นั้นเอง ป้อนเสร็จเธอก็ฉีกเนื้อไก่เป็นชิ้นเล็กๆ วางใส่ถ้วยให้เขาหยิบกินเอง ซึ่งตอนนี้หน้าตาก็มอมแมมไม่ต่างจากทุกคนก็ว่าได้....
บรรยากาศในห้องครัวเงียบลงไปชั่วขณะ ทุกคนต่างนั่งเอนหลังพิงผนังไม้เก่าๆ ดวงตาของพวกเขามองออกไปนอกหน้าต่างไม้บานเดียวที่เปิดออกรับลมหนาว พวกเขากำลังเพลิดเพลินกับความสุขเล็กๆ น้อยๆ ที่มีอยู่
“เอาหละค่ะทุกคน ตอนนี้พวกเรามาคิดกันดีกว่าว่าจะทำอย่างไรกับผักที่เหลือของพวกเรา”
ตอนนี้คนที่เอ่ยออกมาคือพี่ใหญ่หยางฟูหลง ที่วันนี้เขาก็ลุยอาหารเต็มที่เช่นกัน เขารู้สึกทั้งอิ่มและมีเรียวมีแรงขึ้นมามากทีเดียว ไหนจะร่างกายที่อบอุ่นขึ้นมาก ทั้งๆ ที่ตอนนี้ด้านนอกนั้นหิมะเริ่มตกหนักลงมาอีกแล้ว ตอนนี้เขาพร้อมทำงานหนักแล้ว เมื่อพูดเสร็จทุกคนก็หันไปมองผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในบ้านที่ตอนนี้กำลังนั่งเอนหลังและมีคุณพ่อที่นวดท้องให้เป็นบางครั้ง เพราะว่าคุณแม่เผลอกินมากไปหน่อยนั้นเอง...
เมื่อทุกคนหันมามองเธอแต่ว่า ตอนนี้สายตาของคุณแม่หยางเม่ยนั้นกลับตกไปที่สะใภ้สามคนดีของเธออยู่ เมื่อทุกคนรอทำตอบเธอจึงได้เอ่ยถามสะใภ้สามของเธอขึ้นมาว่าจะเอาอย่างไร
ขณะนั้นเองสะใภ้ใหญ่ที่ยังไม่ทันได้เช็ดปากที่มันจากน้ำมันไก่ก็เอ่ยขึ้นมาเบาๆ เหมือนจะเป็นการรำพึงรำพันกับตัวเองมากกว่าว่า
“ผักเยอะขนาดนี้หากว่าเอาขายได้ก็คงจะดี บ้านเราจะได้มีเงินขึ้นมาบ้าง”
พูดเสร็จเธอก็คีบเนื้อไก่ที่เหลืออยู่ในชามของลูกๆ ขึ้นมากัดกินอีกครั้ง ถึงแม้จะอิ่มมากแล้วแต่ว่ายังมีไก่เหลืออยู่เธอเสียดายตามประสาแม่นั้นเอง
“ทำไมเราไม่เอาไปขายที่แห่งนั้นละคะ” เป็นสะใภ้รองที่เอ่ยขึ้นมาเบาๆ บ้าง
ทันใดนั้นสายตาของทุกคนก็หันมาจ้องมองเธอทันที เพราะทุกคนนั้นทราบดีว่า ‘ที่แห่งนั้น’ ที่สะใภ้รองพูดถึงนั้นคือที่ไหน หยางซีซีมองหน้าคนนั้นทีคนนี้ทีก็ยังไม่มีใครยอมเฉลยให้เธอฟังว่าไอ้ ‘ที่แห่งนั้น’ ที่พี่สะใภ้รองพูดถึงนั้นคือที่ไหนกันแน่..เธอจึงจำเป็นต้องพยายามจะค้นความทรงจำของร่างเดิมเพื่อหาความหมายของคำว่า ‘ที่แห่งนั้น’ ซึ่งในที่สุดได้ค้นพบนั้นคือ ตลาดมืด นั้นเอง….
ต้อนทราบว่าในปียุคปี 70 นั้นชาวบ้านไม่สามารถที่จะค้าขายได้อย่างอิสระ ทุกอย่างอยู่ภายใต้การควบคุมของทางการ และหากว่ามีคนฝ่าฝืนแน่นอนว่าบทลงโทษนั้นก็มีหนักเบาตามความผิดของการกระทำของแต่ละคนไป ซึ่งชาวนาชาวไร่อย่างพวกเขานั้น กลัวเรื่องพวกนี้มาก แต่ทว่าเมื่อความหิวโหยมันมากมายจนบางครั้งพวกเขาก็ต้องหาทางเพื่อให้มีชีวิตรอด ดังนั้นถึงแม้ว่าทางการจะไม่ยอมให้เปิดขาย พวกเขาก็แอบขายกันเองและที่สำคัญคือของที่นำไปขายในตลาดมืดนั้นไม่จำเป็นต้องใช้คูปอง แค่เงินหยวนอย่างเดียวก็สามารถหาซื้อได้แล้ว หรือบางครั้งก็เป็นการแลกเปลี่ยนของกันเอง
แต่การจะเข้าไปขายในตลาดมืดนั้นพวกเขาจำเป็นต้องรู้รหัสในการเข้าไป หากไม่รู้ก็ไม่สามารถที่จะเข้าไปได้ เมื่อสะใภ้รองเอ่ยเปิดประเด็นมาเช่นนี้ตอนนี้พวกเขาต่างก็ตกอยู่ในภวังค์ของตัวเอง หยางซีซีเห็นว่าทุกคนเงียบลงและยังไม่มีใครพูดอะไรต่อ เธอจึงได้บอกให้เด็กไปพากันไปล้างหน้าหน้าตาและไปนั่งเล่นบนเตียงเตาในห้อง และให้เจ้าหยางอวิ่นลูกพี่ใหญ่ดูแลน้องๆ ด้วย ซึ่งเขาก็รับปากทันทีและพาน้องๆ เดินออกไป…
“หากว่าอยากจะขายฉันว่าเราเอาเนื้อไปขายด้วยจะดีกว่าค่ะคุณพ่อคุณแม่ ฉันคิดว่าตอนนี้หิมะตกหนัก ผู้คนในที่แห่งนั้นจะต้องขาดพวกเนื้อสัตว์แน่นอน หากว่าเรามีเนื้อหมูและเนื้อไก่และผักสดไปขายมันจะต้องขายดีแน่นอน”
หยางซีซีเอ่ยความในใจของทุกคนออกมาเองอย่างกล้าหาญ เธอรู้ว่าพวกเขาอยากจะเอาของไปขายแต่ว่าก็ยังกลัวอยู่จึงได้เอ่ยต่อไปว่า
“ขอเพียงรู้รหัสที่จะเข้าไปในตลาด ฉันจะหาวิธีให้พวกเราขนของไปขายโดยที่ไม่ถูกใครจับได้เอง”
ทันใดนั้นสะใภ้รองก็เอ่ยขึ้นมาเบาๆ ตามสไตล์ของเธอว่า
“..ฉันรู้รหัสค่ะ”
**** ฮองเฮาช่างมีความกล้าหาญจริงๆ ว่าแต่จะทำวิธีไหนถึงจะขนของไปได้เยอะๆ กันนะ อยากรู้จริงๆ 5555****
***หากรีดที่รักถูกใจ อย่าลืมกดหัวใจ เพิ่มเข้าชั้นเป็นกำลังใจไรท์ด้วยนะคะ ขอบคุณมากค่ะ**
บทที่9 สร้างมิติใส่ของ“..ฉันรู้รหัสค่ะ”สะใภ้รองผู้งดงามและเป็นคนเงียบ ๆ เอ่ยขึ้นมาเบาๆ“พี่ใหญ่ของฉันแอบส่งมาให้ฉันพร้อมกับของที่ส่งมาให้รอบล่าสุดค่ะ”เธอเฉลยให้ทุกคนได้ฟังว่าได้รหัสมาอย่างไร เพราะการที่จะได้รหัสที่จะเข้าไปในตลาดมืดนั้นไม่ง่ายนัก ต้องคนที่เคยเข้าไปเท่านั้นถึงจะได้มา เพราะตลาดมืดนั้นเป็นการสร้างขึ้นมาโดยผู้มีอิทธิพลกลุ่มหนึ่ง ดูเหมือนว่าจะเป็นทหารเก่าอะไรสักอย่างและหากว่าหยางฟู่เหยาจำไม่ผิดพี่ชายเธอเคยบอกว่าเจ้าของตลาดคือทหารเก่าที่ผันตัวมาเป็นเจ้าพ่อน่าจะชื่อฉีฮ้าว อะไรสักอย่างเธอก็จำไม่ค่อยได้เพราะว่าเส้นทางของภรรยาพวกชาวนาอย่างเธอนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับพวกเจ้าพ่ออยู่แล้วก็เลยไม่อยากจะใส่ใจจำพูดถึงพี่ใหญ่ของหยางฟู่เหยาเขาคือจางอี้เฉิง พี่ใหญ่จางทำงานที่โรงงานเหล็กในตัวเมืองเป็นผู้ช่วยผู้จัดการ ทำให้หน้าที่การงานและการเงินถือว่าดีมาก เพราะว่าสมัยนั้นการได้ทำงานโรงงานนั้นถือว่ามีชามข้าวเหล็กอยู่ในมือ กินใช่อย่างไรก็ไม่หมด คนส่วนใหญ่จึงอยากจะให้ลูกหลานเข้าทำงานในโรงงานกันมาก วันที่เธอได้พบพี่ใหญ่นั้นหยางฟู่เหยาจำได้ดี วันนั้นเธอกับหยางจิ้งเดินทางเข้าเมืองเพื่อซื้อของ
บทที่ 10 เตรียมของไปขาย ‘ที่แห่งนั้น’หลังจากที่หยางซีซีให้ทุกคนฝึกลองใช้ตะกร้ามิติ จนทุกคนเข้าใจและสามารถที่จะทำเองได้แล้ว จากนั้นคนในตระกูลหยางก็เดินเรียงกันกลับไปที่สวนและเล้าไก่อีกครั้ง เมื่อไก่สองตัวที่กำลังนอนพักอยู่เห็นคนบ้านนี้เดินกลับมาหาพวกมันอีกแล้วพวกมันก็หันมองหน้ากันอย่างสงสัยก่อนจะส่งเสียงร้องออกมาเหมือนจะเป็นการถามว่า พวกเขามาทำไมกันอีก...ไข่ก็ไข่ให้ไปแล้วอย่างไร...เมื่อพวกมันมองไปด้านหลังเห็นเจ้าหนุ่มคนเดิมหอบผักกาดขาวมาหอบใหญ่เข้ามา พวกมันมองหน้ากันอีกครั้งอย่างบอกนะว่า.….ตอนที่คนตระกูลหยางกลับออกไปพวกเขาได้ไข่ที่เจ้าไก่ทั้งสองตัวช่วยกันเบ่งจนจะเป็นลมไปอีก 20 ใบ...ตอนนี้พวกมันสองตัวต่างก็พยายามที่เงยคอขึ้นมามองแต่ก็ทำไม่ได้เพราะความเหนื่อย หยางซีซีเห็นเช่นนั้นก็หัวเราะเบาๆ ก่อนพูดกับพวกมันว่าช่วงนี้พวกมันอาจจะต้องเหนื่อยหน่อยนะ จากนั้นเธอก็เทน้ำที่ใช้มือหัตถ์เทวะจุ่มลงไปและใส่พลังลงไปมากหน่อยให้พวกมันดื่มกิน และทันทีที่พวกมันกินน้ำอาการเหนื่อยล้าจากการเบ่งไข่มากมายนั้นก็หายเป็นปลิดทิ้งทันทีตอนนี้หากสังเกตดูดีตัวของพวกมันเหมือนจะอ้วนขึ้นและมีขนสีทองแซมออกมาหลายเส้นที
บทที่ 11 เนื้อแลกทองคำ"นั่นมัน… ทองคำนี้!!! " หยางซีซีกระซิบกับตัวเองอย่างตกใจเธอมองไปที่กองทองคำและเครื่องประดับเหล่านั้นอีกครั้งด้วยความสงสัย ทำไมสองตาหลานถึงมีของมีค่าแบบนี้มาขายในตลาดมืดได้ และทำไมถึงไม่มีใครสนใจที่จะซื้อเลย หยางซีซีมองจ้องไปที่กองทองคำและเครื่องประดับอยู่นานก่อนจะตัดสินใจเดินเข้าไปหาสองตาหลานทันที…ในฐานะฮองเฮา หยางซีซีเคยได้สัมผัสกับเครื่องประดับอันงดงามมากมายนับไม่ถ้วน ทั้งเพชรพลอยและทองคำบริสุทธิ์ต่างถูกนำมาประดับประดาตัวเธอเพื่อแสดงถึงฐานะและอำนาจ ถึงแม้ว่าท้ายที่สุดแล้วของนอกกายเหล่านี้จะไม่สามารถที่จะช่วยชีวิตเธอเอาไว้ได้ก็ตามถึงกระนั้นความเป็นหญิงก็ยังคงฝังอยู่ในตัว เธอหลงใหลในความสวยงามของเครื่องประดับเช่นเดียวกับผู้หญิงทั่วไป การได้เห็นทองคำและเครื่องประดับถูกกองรวมกันไว้เหมือนของไม่มีค่าแบบนี้ ทำให้หัวใจของเธอรู้สึกเจ็บปวดอย่างบอกไม่ถูก หยางซีซีเดินเข้าไปใกล้แผงขายของที่ดูจะทรุดโทรม สองตาหลานนั่งตัวงออยู่เพราะความหนาว อยู่ข้างๆ กองของประดับที่ดูจะขัดกับบรรยากาศของตลาดมืดแห่งนี้สายตานางจับจ้องไปยังกองทองคำและเครื่องประดับที่วางเรียงรายอยู่บนผืนผ้าเก่
บทที่ 12 แบ่งเงินพวกเขาทั้งสามช่วยกันขายเนื้ออยู่อีกเกือบ 1 ชั่วโมงเมื่อเห็นว่าเนื้อใกล้จะหมดแล้วจึงได้เก็บของและพวกกันออกมาจากตลาดมืดทันที…ระหว่างทางที่เดินออกมาหยางซีซีตาไวเธอเห็นว่ามีคนนำพวกทองและเครื่องประดับ ภาพวาด แจกันของเก่าโบราณออกมาวางขายกันอยู่หลายร้านทีเดียวเธอหันมองและดวงตาก็วาววับขึ้นมาทันที….คราวหน้าเจอกัน!!!!!ทั้งสามรีบเดินออกมาจากตลาดมืดแห่งนี้ทันที เพราะถึงจะค้าขายได้ดีขนาดไหนแต่ว่าที่นี่ก็ถือว่าเป็นที่แหล่งผิดกฏหมายและอันตรายมากอยู่ดี และการที่พวกเขามีเนื้อมากมายมาขายก็อาจจะทำให้ถูกเพ่งเล็งได้ เพราะว่าพวกเขาเข้ามาเพียงตะกร้าใบเดียวเหตุใดถึงได้ขายเนื้อไม่หมดสักทีนะสิ หากจะนับรวมๆ แล้วเนื้อที่ขายไปนั้นเกือบ 220 ชั่งได้เมื่อออกมาจากตลาดมืดแล้วทั้งสามก็ตรงไปที่สหกรณ์แวะซื้อพวกเครื่องปรุงนมผง น้ำตาล เกลือ ซีอิ้ว และเครื่องเทศอีกหลายอย่างและหยางฟู่เหยายังซื้อลูกอมตรากระต่ายไปให้หลานๆ ด้วยถุงใหญ่ หยางซีซีเห็นว่ามีแตงโมลูกไม่ใหญ่นักวางอยู่ รวมทั้งผลไม้หายากอย่างสตอเบอร์รี่และองุ่นที่ไม่รู้หลุดรอดมาได้อย่างไรอยู่ 2 กล่อง เธอจึงหยิบทันทีถึงแม้ว่าราคาของสตอเบอร์รี่จะแพงมากต
บทที่ 13 สร้างค่ายกลปลูกผักหลังจากที่แบ่งเงินทองกันเรียบร้อยแล้ว ทุกคนต่างก็มีความสุขกับสิ่งที่พวกเขาได้รับมา ตอนนี้พวกเขาต่างก็ปรึกษากันว่าวันต่อไปใครจะเป็นคนไปขายของซึ่งก็ตกลงกันได้ว่าการขายของยังคงให้เป็น หยางจิ้ว สะใภ้รองและสะใภ้สาม เพราะถือว่าได้เข้าไปในตลาดมืดแล้ว ไม่ต้องให้คนอื่นๆ เข้าไปอีก ซึ่งหยางซีซีและครอบครัวได้ใช้เวลาพูดคุยพักใหญ่ จากนั้นบรรยากาศก็ค่อยๆ เงียบลงเมื่อคุณแม่หยางเม่ยหันไปมองกองทองคำและเครื่องประดับที่วางอยู่บนโต๊ะอย่างสงสัย สายตาของเธอจับจ้องไปที่หยางซีซี ก่อนจะเอ่ยปากถามด้วยน้ำเสียงที่จริงใจ"ลูกอยากได้ของพวกนั้นไปทำไมหรือสะใภ้สาม มันไม่มีประโยชน์อะไรเลยนะแม่ว่า อีกอย่างหากมีเก็บเอาไว้ก็อันตรายด้วยหากว่าถูกคนของทางการค้นเจอ ในยุคนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับผู้คนคือเสื้อผ้า อาหาร ของยังชีพต่างหาก ทำไมลูกถึงได้อยากได้ของพวกนี้กันแม่สงสัยจริงๆ"คำถามของคุณแม่หยางเม่ยทำให้บรรยากาศในห้องเงียบลงไปชั่วขณะ เพราะพวกเขาทุกคนก็เห็นด้วยในสิ่งที่แม่หยางพูด หยางซีซีเงยหน้าขึ้นมองคุณแม่สามีและทุกคน เธอเข้าใจดีว่าในยุค 70 สิ่งของเหล่านี้ไม่ได้มีความสำคัญเท่ากับอาหารและความอ
บทที่ 14 อยากรู้อนาคตให้อ่านหนังสือ (พิมพ์)หยางซีซีเอนหลังพิงหัวเตียงไม้เก่าๆ ความคิดของเธอวนเวียนอยู่กับคำพูดของหยางซีซีคนนั้น...น้องสาวที่ถูกทิ้งให้อยู่ในเงาของการใช้แรงงานอย่างทารุณของบ้านป้าและลุง"น้องสาวถูกรังแกอยู่ที่ปักกิ่งอย่างนั้นหรือ..."หยางซีซีพึมพำเบาๆ ดวงตาของเธอหรี่ลงราวกับกำลังมองทะลุผ่านกาลเวลาและระยะทางไปยังอีกฟากหนึ่งของประเทศความทรงจำเกี่ยวกับน้องสาวของร่างนี้ผุดขึ้นมาในหัว เธอจำได้ว่าลุงป้าที่ส่งเธอมาทำงานใช้แรงงานแทนลูกลูกของตัวเองเป็นคนอย่างไร คนแบบนี้ย่อมไม่มีทางปฏิบัติต่อน้องสาวของร่างนี้ด้วยความเมตตาแน่ๆ และการที่วิญญาณของหยางซีซีคนนั้นต้องมาปรากฏตัวต่อหน้าเธอเช่นนี้ แสดงให้เห็นว่าสถานการณ์ของน้องสาวต้องเลวร้ายมาก"แต่จะทำยังไงดีล่ะ..."หยางซีซีครุ่นคิดหนัก ปักกิ่งอยู่ไกลจากที่นี่มากแค่ไหนกันแน่ เธอเองก็ไม่เคยไปมาก่อน ในขณะที่กำลังคิดอยู่นั้น สายตาของเธอก็เหลือบไปเห็นหนังสือพิมพ์ที่วางอยู่บนโต๊ะพาดหัวมีคำว่า"ปักกิ่ง" เธออ่านคำนี้ออกมาเบาๆ ดวงตาของเธอเป็นประกายขึ้นมาเล็กน้อยทันใดนั้นเอง เธอก็นึกขึ้นได้ว่าเธอสามารถที่จะเห็นอนาคตของคนและสิ่งของได้เพียงแค่สั
บทที่ 15 เตรียมตัวเดินทางไปปักกิ่ง "ถ้าอยากได้เงินก้อนโตเร็วๆ คงต้องพึ่งพาพลังของหัตถ์เทวะแล้วล่ะนะ"หยางซีซีกระซิบกับตัวเองอย่างมั่นใจ ดวงตาของเธอเปล่งประกายด้วยความมุ่งมั่นค่ำวันนั้นหยางซีซีได้บอกกับพ่อสามีว่าเธอต้องการที่จะเดินทางไปปักกิ่ง ให้คุณพ่อช่วยไปขอใบออกนอกพื้นที่ให้เธอด้วย โดยเธอจะออกเดินทางในอีก 3วันข้างหน้า คุณแม่หยางเมื่อได้ยินว่าลูกสะใภ้สามต้องการจะเดินทางกลับบ้านจึงได้ถามด้วยความเป็นห่วงเมื่อหยางซีซีจึงได้บอกกับคุณแม่หยางว่าเธอเคยสัญญากับน้องสาวเอาไว้ว่าหากตั้งตัวได้จะไปรับมาอยู่ด้วย ดังนั้นเธอคิดว่าตอนนี้น่าจะถึงเวลาแล้ว และไม่ให้คุณแม่หยางเป็นห่วงหากว่าน้องเธอมาอยู่ด้วยเธอจะหาบ้านเช่าให้น้องเธออยู่เองเพราะว่าบ้านนี้ก็ทั้งเล็กและแคบ หากว่ามีเพิ่มมาอีกคนน่าจะอยู่กันลำบาก เมื่อคิดถึงตรงนี้หยางซีซีจึงได้เอ่ยกับคุณพ่อหยางว่า"คุณพ่อคะ หากว่าพวกเราต้องการจะสร้างบ้านใหม่จะทำได้หรือเปล่าคะ เพราะว่าบ้านเราก็เก่าและคับแคบมากแล้ว หากว่าขยับขยายออกไปหน่อยก็น่าจะดี”“ความจริงแม่ก็คิดอยู่เหมือนกันนะ เอาอย่างนี้ตาเฒ่าตอนที่ไปทำหนังสือของออกนอกพื้นที่กับหัวหน้าก็ลองถามเรื่องการจั
บทที่ 16 การค้าใหญ่กำลังมาการขายของครอบครัวหยางเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและพวกเขาวุ่นวายอยู่จนเวลาผ่านไปเกือบ 2 ชั่วโมงเนื้อที่เตรียมมาใกล้จะหมดแล้ว ส่วนผลไม้นั้นเหลือเพียง 2 กล่องที่หยางซีซีเก็บเอาไว้ไม่อย่างนั้นก็หมดตั้งแต่ครั้งชั่วโมงแรกแล้ว เมื่อความชุลมุนลดลงหยางซีซีก็มองไปที่แผงของคุณตาและหลานชายที่เธอซื้อทองคำไปเมื่อวาน ซึ่งพวกเขาก็นั่งยิ้มแฉ่งมองมาที่เธอทันที….หยางซีซีเดินไปหาทั้งสองคนก่อนจะถามว่าได้เตรียมของมาให้เธอหรือไม่ สองตาหลานพยักเบาๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาว่า“แม่หนู ทำไมไม่ไปที่บ้านของผมหล่ะที่นั่นผมยังมีอีก 2 หีบใหญ่เลยนะ และก็..และก็ญาติของผมพอรู้ว่ามีคนสนใจของพวกนี้พวกเขาก็อยากจะขายและแลกเปลี่ยนด้วยเหมือนกัน” คุณตาเห็นว่าตอนนี้เนื้อที่พวกเธอขายยังเหลืออยู่ประมาณ 50 กว่าชั่งเขาจึงได้เอ่ยขึ้นมาเขาก็กลัวเนื้อจะหมดเหมือนกันหยางซีซีนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินกลับไปที่พี่รองและพี่สะใภ้รองเธอกระซิบ 2-3 ประโยคพวกเขาพยักหน้าและช่วยกันเก็บแผงทันที จากนั้นพวกเขาต่างก็พากันเดินออกไป โดยในขณะที่เธอกำลังเดินผ่านคนของตลาดมืดนั้นพวกเขาต่างก็มองจ้องมาที่ตะกร้าใบเก่าที่พวกหยางจิ้งแบกอยู
บทสุดท้าย : ฝาแฝดหงส์มังกร / การเผชิญหน้าครั้งสุดท้ายวันเวลาผ่านไปหลายเดือนจนกระทั่งครรภ์ของหยางซีซีนั้นตั้งครรภ์ครบเก้าเดือน ครอบครัวหยางก็กำลังเตรียมพร้อมสำหรับเหตุการณ์สำคัญของตระกูล พวกเขาจองห้องพิเศษที่โรงพยาบาลเอาไว้และหยางซีซีก็เข้าพักทันทีในวันคลอด หยางซีซีต้องเผชิญกับความเจ็บปวดอย่างหนักในห้องคลอด เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของเธอทำให้หยางเฟยหลงที่ยืนรออยู่หน้าห้องคลอดเป็นกังวลจนเดินไปมาไม่หยุด เขามองไปยังประตูห้องคลอดด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความห่วงใยและความกดดัน จนคุณพ่อหยางที่มีประสบการณ์มาหลายครั้งต้องตบบ่าเขาเบา ๆ และพูดขึ้นว่า"หยุดเดินไปมาได้แล้วเจ้าสาม พ่อเริ่มเวียนหัวเพราะตามดูเรานี่ล่ะ"หยางเฟยหลงถอนหายใจยาว พยายามสงบสติอารมณ์ แต่ความกังวลในใจยังคงไม่ลดลง เขาภาวนาให้ภรรยาและลูกน้อยปลอดภัย ในขณะที่เสียงร้องของหยางซีซีดังลอดออกมา เขายิ่งรู้สึกเหมือนเวลาผ่านไปช้าเหลือเกินและแล้วเมื่อเวลาผ่านไปนานหลายชั่วโมง เสียงร้องของทารกดังขึ้นมาจากภายในห้องคลอด"อุแว้ อุแว้ อุแว้!!"เสียงดังลั่นห้องไปหมดเหมือนกับว่าพวกเขาไม่พอใจที่ถูกแม่เบ่งออกมาให้พบเจอกับโลกใหม่ หยางเฟยหลงรู้สึกเห
ตอนพิเศษ 2 ดร.หยางไป่หลงในวันที่อากาศสดใสวันหนึ่ง ดร.หยางไป่หลงกำลังยืนอยู่หน้าชั้นเรียน สอนนักศึกษาเกี่ยวกับแนวคิดการประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์ในการวิเคราะห์ข้อมูลทางการแพทย์ เขามีท่าทีที่เป็นมิตรและเป็นกันเอง แต่ว่าขณะเดียวกันก็เต็มไปด้วยความตั้งใจในการสอน หลังจบชั้นเรียน เขาได้ยินเสียงเคาะประตูเบาๆ เมื่อหันไปมองก็พบหญิงสาวคนหนึ่งที่ยืนอยู่หน้าประตู เธอมีใบหน้าสวยงามคิ้วโค้งเรียว ดวงตาคมที่แฝงไปด้วยความมั่นใจ ตามประสาลูกสาวคนเล็กของคนรวยและมีอำนาจ เธอคือเซี่ยจื่อหานลูกสาวของนายพลเซี่ยและเป็นอาจารย์ที่เพิ่งได้รับตำแหน่งในมหาวิทยาลัยชิงหัวเช่นกัน“ดร. หยางใช่ไหมคะ? ฉันเซี่ยจื่อหานเพิ่งมาร่วมงานที่นี่ เห็นได้ยินมาว่าคุณกำลังพัฒนาโครงการทดลองด้านปัญญาประดิษฐ์ ฉันเองก็สนใจงานวิจัยนี้เหมือนกัน”เซี่ยจื่อหานพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ เธอมองไปที่ชายหนุ่มที่หล่อเหลาที่ความหล่อของเขานั้นเหมือนจะไม่ใช่ของจริงที่กำลังยืนอยู่ข้างหน้าเธอ พลางถอนหายใจและคิดว่า …ไม่รู้ว่าจะหล่อไปทำไมหนักหนามาสอนเด็กสาวพวกนี้มันจะไปมีประโยชน์อะไรกันหยางไป่หลงหันมองเธอพร้อมกับยิ้มเล็กๆ“ใช่ครับ ผมก
ตอนพิเศษ 1 หยางไป่หลง อัจฉริยะในรอบ 100 ปี หลังจากที่หยางไป่หลงได้จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยชิงหัว ซึ่งถือว่าเป็นมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศจีน เขาได้สร้างชื่อเสียงในวงการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีตั้งแต่ยังเป็นนักศึกษา ไม่เพียงแค่มีผลการเรียนที่โดดเด่นเท่านั้น แต่ยังมีความสามารถเฉพาะตัวที่หายาก นั่นก็คือความจำแบบภาพถ่าย ทุกสิ่งที่เขาได้เห็นผ่านตา ไม่ว่าจะเป็นบทเรียนทางวิชาการหรือภาพที่ซับซ้อน เขาก็สามารถจดจำได้ทั้งหมด นี่ทำให้หยางไป่หลงมีความได้เปรียบในการศึกษาและการทำงานวิจัยอย่างมากความสามารถในการจดจำของหยางไป่หลงทำให้เขาได้รับความสนใจจากอาจารย์และนักวิจัยหลายคน พวกเขาต่างเห็นศักยภาพในตัวของหยางไป่หลงว่ามีความสามารถในการสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ ๆ ได้ และด้วยความสนใจเป็นพิเศษในด้านเทคโนโลยี เขามักจะใช้เวลาว่างทำการทดลองใหม่ ๆ ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หรือการศึกษาปัญญาประดิษฐ์ เขาใช้เวลาหลายคืนในการคิดค้นโปรเจคที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนในอนาคต***ระบบ AI เริ่มพัฒนาและนำมาใช้ในทศวรรษที่ 1950 โดยนักวิทยาศาสตร์ด้านคอม
บทที่ 94 จุดจบ (จบ ) หลังจากงานเลี้ยงผ่านไปหลายวัน และในที่สุดประกาศเรื่องการปลดรัฐมนตรีเผยเฉินฟงก็ออกมา ตอนนี้เฟิงอวี้ชิงนั้นรู้สึกไม่พอใจอยู่บ้างแต่เมื่อคิดถึงก้าวต่อไปของเธอ ก็ทำให้เธอรู้สึกสบายใจขึ้นมาเล็กน้อย ตอนนี้คงจะถึงเวลาที่เธอจะต้องกำจัดหมากที่หมดประโยชน์อย่างรัฐมนตรีเผยออกจากชีวิตแล้ว และเป้าหมายต่อไปของเธอก็คือ ท่านผู้นำประเทศ ดังนั้นเธอจึงได้คิดว่ารีบจัดการเคลียร์ปัญหาเล็กๆ อย่างรัฐมนตรีเผยยิ่งเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดี เพราะว่าในตอนนี้นั้นเธอได้ทราบแล้วว่า หยางฮองเฮานั้นคือภรรยาของรองรัฐมนตรีหยางเฟยหลง นั้นก็แปลได้ว่าพวกเขาย่อมมีอำนาจพอสมควร และหากว่าเธอต้องการที่จะอยู่เหนือพวกเขา เธอจำเป็นต้องได้ท่านผู้นำประเทศหนุนหลัง และการจะได้เขามานั้นก็ไม่ยากสำหรับเธอ เพราะว่าเรื่องเหล่านี้เธอทำมาครั้งแล้วครั้งเล่าไม่เคยพลาดสักครั้งเลย เฟิงอวี้ชิงคิดอย่างมั่นใจในตัวเองเฟิงอวี้ชิงเดินเข้าไปในห้องของอดีตรัฐมนตรีเผยในยามดึก ห้องทั้งห้องเงียบสนิท มีเพียงเสียงลมหายใจเบา ๆ ที่ดังจากเตียง ร่างของรัฐมนตรีเผยนอนเหยียดยาวบนเตียง ดวงตาปิดสนิท แต่ใบหน้าแสดงถึงความเหนื่อยล้าและความแก่ชรา เฟิงอวี้ช
บทที่93 ตาต่อตาฟันต่อฟัน บรรยากาศรอบตัวทั้งสองคนกลายเป็นตึงเครียด ผู้คนรอบข้างที่สังเกตเห็นสายตาที่ทั้งสองส่งให้กันต่างก็รู้สึกถึงความอึดอัดและพลังที่ปะทะกันอย่างเงียบๆ ราวกับว่าโลกทั้งใบหายไป เหลือเพียงพวกเขาทั้งสองคนที่ยืนประจันหน้ากัน ความเกลียดชังที่ไม่มีทางจบสิ้น ความโกรธเคียดแค้นที่ฝังรากลึก ไม่ว่าจะเป็นหยางซีซีหรือเฟิงอวี้ชิง ต่างก็รู้ดีว่าการพบกันครั้งนี้อาจนำไปสู่การเผชิญหน้าที่รุนแรงในอนาคตเฟิงอวี้ชิงก้าวเข้ามาใกล้เล็กน้อย ดวงตาของเธอจับจ้องไปยังหยางซีซีอย่างไม่ละสายตา"คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะมาอยู่ที่นี่ได้...หยางฮองเฮา" เสียงของเธอเต็มไปด้วยการยั่วยุและการท้าทาย ทันใดนั้นภาพอดีตที่เจียงกุ้ยเฟยเคยวางยาพิษทำร้ายหยางซีซีจนถึงแก่ความตายก็ผุดขึ้นมาในความคิดของทั้งสองฝ่ายหยางซีซีจำได้อย่างชัดเจนถึงวันที่เธอถูกไล่ล่าและเจ็บปวดจากความแค้นของเจียงกุ้ยเฟย ความโกรธที่เคยสงบลงกลับปะทุขึ้นมาในใจ ความรู้สึกเคียดแค้นที่เก็บซ่อนไว้เริ่มชัดเจนขึ้น เธอยิ้มเย็นชาและตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่นิ่งสงบแต่แฝงไปด้วยความเยือกเย็น"เจ้าก็เหมือนกัน เจียงกุ้ยเฟย โลกกลมจริงๆ ข้าคิดว่าคงไม่ได้พบเจ้าที่นี่อ
บทที่ 92 การเผชิญหน้าครั้งที่หนึ่งเรื่องราวของหานหรูอี้และหวังเทียนซานยังคงดำเนินต่อไป โดยที่หานหรูอี้ยังคงให้เขาง้องอนอยู่นานหลายเดือน จนกระทั่งวันหนึ่งเธอรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงในร่างกาย ซึ่งอาการนั้นคล้ายกับที่หยางซีซีเคยเป็นมาก่อน ทำให้เธอรู้ว่าหมดเวลาที่จะเล่นตัวแล้วในเย็นวันหนึ่งเมื่อหวังเทียนซานพูดถึงเรื่องการแต่งงานของพวกเขา หานหรูอี้จึงตอบตกลงทันทีคำตอบนั้นทำให้หวังเทียนซานถึงกับงุนงงเล็กน้อยเนื่องจากไม่คิดว่าเธอจะยอมง่ายๆ หลังจากที่เขานั้นเคยของเธอแต่งงานอยู่หลายครั้ง"หรูอี้... คุณตอบตกลงจริงหรือ?" หวังเทียนซานถามด้วยความแปลกใจในน้ำเสียง เขายังคงมองหน้าหานหรูอี้ด้วยความไม่เชื่อหานหรูอี้ยิ้มบาง ๆ ให้เขา "ฉันตกลงแล้ว คุณคงไม่คิดจะเปลี่ยนใจหรอกนะ?""ไม่... ไม่แน่นอน! ผมแค่... ผมแค่ไม่คิดว่าคุณจะยอมง่าย ๆ แบบนี้" หวังเทียนซานพูดพร้อมหัวเราะเบา ๆ แต่ในแววตาของเขามีความสุขที่ไม่อาจซ่อนได้หานหรูอี้มองเขาอย่างอ่อนโยน "ฉันเองก็เหนื่อยแล้วเหมือนกัน คุณรู้ไหมว่าฉันไม่ได้ต้องการให้คุณทรมานหรอก เพียงแต่อยากให้คุณเข้าใจว่าฉันต้องการความจริงใจจากคุณ"หวังเทียนซานยื่นมือมากุมมือขอ
บทที่ 91 สืบหาความจริง / ลักพาตัว“ความจำเสื่อมอย่างนั้นหรือคะ” คนที่ถามเป็นหยางซีซีนั้นเอง เพราะว่าตอนนี้หานหรูอี้นั้นไม่กำลังถูกปฐมพยาบาลอยู่ โชคดีที่แขนไม่หักเพียงแค่ร้าวเท่านั้น ซึ่งเธอก็ไม่ได้สนใจชายหนุ่มคนนั้นอีกต่อไปแล้ว“ใช่ผมพบเขาเมื่อหลายปีก่อนตอนนั้นรู้สึกว่าเขานั่งอยู่ข้างถนนเนื้อตัวมอมแมมมาก ในตอนนั้นมีคนกำลังจะลอบทำร้ายผมด้วย และเขาเป็นคนที่เข้ามาช่วยและจัดการคนเหล่านั้น ผมเห็นว่าเขามีฝีมือดีจึงได้รับเอาไว้ และให้เขาเป็นพนักงานรักษาความปลอดภัยอยู่นาน แต่เพราะว่าฝีมือของเขานั้นเก่งกาจมากจนผมเลื่อนให้เขามาเป็นคนสนิทนี่แหละ แต่ดูเหมือนว่าเขาจะมีบาดแผลขาดใหญ่ที่ด้านหลังศีรษะนั้น นั้นอาจจะทำให้เขาไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร” ท่านผู้นำนั้นเล่าถึงเรื่องราวความเป็นมาของคนสนิทของเขา ถึงแม้ว่าเรื่องนี้จะเป็นเรื่องผัวเมียแต่หากว่าคนสนิทเขาทำคนท้องแล้วไม่ยอมรับเขาก็จะจัดการมันให้เอง“ท่านไม่ต้องสืบหาแล้วหล่ะค่ะ ฉันกับเขาหย่าขาดกันแล้วและฉันก็ออกจากบ้านเขามาแล้วด้วยค่ะ” หานหรูอี้ที่ฟังอยู่เอ่ยขึ้นมา“หย่า…หย่าตอนไหนผมยังไม่ได้เซ้นต์เอกสารอะไรเลยนะ” หวังเทียนซานที่มองดูหญิงสาวด้วยความไม่ชอ
บทที่ 90 ตั้งครรภ์ / ฉันเป็นเมียแกไงล่ะ..ไอ้บ้า!!!ครอบครัวหยางย้ายมาอยู่ที่ปักกิ่งได้หลายเดือนแล้ว ตอนนี้ทุกคนในบ้านต่างก็ยุ่งอยู่กับงานของตัวเอง พี่รองและสะใภ้รองหยางจิ้งและหยางฟู่เหยาไม่ค่อยได้อยู่บ้าน ทั้งสองมักจะลงไปที่เซินเจิ้นหรือจงไห่เพื่อดูที่ดินที่พวกเขาได้กว้านซื้อเอาไว้ โดยมีคนของนายพลเซี่ยจงติดตามไปด้วยและจัดการเรื่องการซื้อขายที่ดิน ซึ่งเมื่อนายพลเซี่ยลงมือแล้ว อะไรที่คิดว่าเป็นอุปสรรคต่างก็แหวกทางออกให้พวกเขาอย่างไม่ยากเย็นนักหยางเฟยหลงมีอาการแปลก ๆ ตั้งแต่เวียนหัว คลื่นไส้ อยากทานของเปรี้ยว ไปจนถึงการรู้สึกอ่อนเพลียโดยไม่ทราบสาเหตุ ทุกเช้าเขาตื่นขึ้นมาแล้วถามหาน้ำมะนาวหรือผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวอย่างส้มเขียวหวาน หยางซีซีมองสามีด้วยสายตาขำขันในขณะที่เขานั่งทานมะม่วงดิบด้วยท่าทางพยายามกลบเกลื่อนอาการแพ้ท้องนั้นวันหนึ่งหยางเฟยหลงตื่นขึ้นแต่เช้าพร้อมกับอาการคลื่นไส้อย่างหนัก เขารีบลุกจากเตียงและวิ่งไปที่ห้องน้ำเพื่ออาเจียน เสียงอาเจียนดังออกมาจากห้องน้ำทำให้ทุกคนในบ้านต่างตกอกตกใจ หยางซีซีรีบเดินไปดูพร้อมกับความเป็นห่วง เมื่อเธอเปิดประตูห้องน้ำ เห็นหยางเฟยหลงนั่งทรุดอยู่กับพ
บทที่ 89 รับจางอี้เฉิงเข้าทำงาน / เงาในความทรงจำวันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในที่สุดครอบครัวตระกูลหยางก็ได้ย้ายมาอยู่ที่ปักกิ่ง โดยมีเพียงพี่ใหญ่และพี่สะใภ้ใหญ่ที่ยังอยู่ที่เซี่ยงไฮ้เพราะต้องดูแลโรงงานผลิตสบู่ร่วมกับจางอี้เฉิงที่มาเป็นผู้จัดการโรงงานให้ซึ่งเรื่องการได้จางอี้เฉิงพี่ใหญ่ของหยางฟู่เหยามาทำงานด้วยนั้น จำเป็นต้องเล่าย้อนหลังไปหลายเดือนก่อน วันนั้นหยางจิ้งขับรถผ่านไปและเห็นจางอี้เฉิงกำลังเดินเตะฝุ่นเพื่อหางานทำอยู่ เขาจึงได้จอดรถรับและพาไปร้านอาหารและหาที่คุยกันจางอี้เฉิงที่เคยเป็นหนุ่มหล่อและดูสง่างาม ตอนนี้กลับดูหมดสง่าราศีเพราะความลำบาก สภาพของเขาดูโทรมจนแทบจำไม่ได้ ผิวที่เคยขาวตอนนี้กลับคล้ำหมองและแห้งกร้าน ราวกับไม่ได้สัมผัสน้ำมาหลายวัน เสื้อผ้าที่เขาสวมนั้นเก่าและไม่สะอาดนัก มีกลิ่นอับและรอยขาดหลายแห่ง ใบหน้าที่เคยสดใสนนั้นเริ่มปรากฎรอยยับย่นขึ้นมา อาจเพราะความเครียดในชีวิตและการอดนอนอย่างต่อเนื่อง แววตาที่เคยมีประกายกลับดูหม่นหมองและอ่อนล้า สะท้อนถึงคืนวันที่ยากเข็ญและความกดดันที่แบกอยู่บนบ่า แววตาที่บ่งบอกถึงการผ่านความผิดหวังและความเหนื่อยล้ามาก ราวกับคนที่ต้องเผช