บทที่ 10 เตรียมของไปขาย ‘ที่แห่งนั้น’
หลังจากที่หยางซีซีให้ทุกคนฝึกลองใช้ตะกร้ามิติ จนทุกคนเข้าใจและสามารถที่จะทำเองได้แล้ว จากนั้นคนในตระกูลหยางก็เดินเรียงกันกลับไปที่สวนและเล้าไก่อีกครั้ง เมื่อไก่สองตัวที่กำลังนอนพักอยู่เห็นคนบ้านนี้เดินกลับมาหาพวกมันอีกแล้วพวกมันก็หันมองหน้ากันอย่างสงสัยก่อนจะส่งเสียงร้องออกมาเหมือนจะเป็นการถามว่า พวกเขามาทำไมกันอีก...ไข่ก็ไข่ให้ไปแล้วอย่างไร...เมื่อพวกมันมองไปด้านหลังเห็นเจ้าหนุ่มคนเดิมหอบผักกาดขาวมาหอบใหญ่เข้ามา พวกมันมองหน้ากันอีกครั้งอย่างบอกนะว่า.….
ตอนที่คนตระกูลหยางกลับออกไปพวกเขาได้ไข่ที่เจ้าไก่ทั้งสองตัวช่วยกันเบ่งจนจะเป็นลมไปอีก 20 ใบ...ตอนนี้พวกมันสองตัวต่างก็พยายามที่เงยคอขึ้นมามองแต่ก็ทำไม่ได้เพราะความเหนื่อย หยางซีซีเห็นเช่นนั้นก็หัวเราะเบาๆ ก่อนพูดกับพวกมันว่าช่วงนี้พวกมันอาจจะต้องเหนื่อยหน่อยนะ จากนั้นเธอก็เทน้ำที่ใช้มือหัตถ์เทวะจุ่มลงไปและใส่พลังลงไปมากหน่อยให้พวกมันดื่มกิน และทันทีที่พวกมันกินน้ำอาการเหนื่อยล้าจากการเบ่งไข่มากมายนั้นก็หายเป็นปลิดทิ้งทันทีตอนนี้หากสังเกตดูดีตัวของพวกมันเหมือนจะอ้วนขึ้นและมีขนสีทองแซมออกมาหลายเส้นทีเดียว
เมื่อได้ไข่แล้ว ตอนนี้กลุ่มคนตระกูลหยางก็เดินเรียงมาที่แปลงผักทันที พวกเขาทั้งหมดต่างก็ช่วยกันเก็บผักและถอนผักทั้งหมดทันที ขณะนั้นเองคุณแม่หยางที่กำลังถอนผักกาดขาว เธอก็ได้สัมผัสกับพลังมากมายที่ถูกปล่อยออกมาจากผักเหล่านั้น แม้เพียงแค่สัมผัสยังไม่ทันได้กินเข้าไปพวกเขาก็รู้สึกถึงความอบอุ่นและพลังที่เปล่งออกมาจากผักเหล่านี้ ในตอนนั้นความคิดของทุกคนก็เหมือนกันคือ ผักนี้ขายไม่ได้แล้ว เพราะมีพลังวิญญาณมากเกินไป
หยางฟู่หลงคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้นมาว่า
“น้องสะใภ้สามพี่ใหญ่คิดว่าผักเหล่านี้เราไม่สามารถที่จะนำไปขายได้แล้วหล่ะ เพราะว่ามันมีพลังมากเกินไป หากว่าพวกเรานำไปขายมันจะต้องสร้างปัญหาให้พวกเราแน่นอน”
ตอนนี้ทุกคนต่างก็ถือต้นผักที่ตัวเองตัดและถอนอยู่ในมือแม้ขณะอยู่ในมือของพวกเขามันยังเปล่งประกายพลังออกมามากมายซะขนาดนี้หากว่านำออกไปวางขายพวกเขาจะต้องมีปัญหาแน่นอน...
หยางซีซีมองไปที่แปลงพลังที่ส่งแสงระยิบระยับเปล่งประกายอยู่จึงนึกขึ้นมาได้ว่าตอนที่เธอส่งพลังจากฝ่ามือหัตถ์วิญญาณนั้นเธอส่งพลังมากไปจริงๆ
“เช่นนั้นพวกเราปลูกใหม่ดีหรือไม่คะ แล้วค่อยนำไปขาย รอบหน้าฉันจะไม่สัมผัสพวกมันโดยตรงแล้วแต่ใช่ทำเป็นน้ำเพื่อจะรดพวกมันแทนหากเป็นแบบนั้นมันน่าจะโตเร็วกว่าปรกติแต่ว่ามีพลังวิญญาณน้อยกว่านี้มาก"
“เอาแบบนี้ดีกว่านะพ่อว่า ถ้าเราปลูกผักใหม่ แล้วค่อยรดด้วยน้ำที่มีพลังวิญญาณผสมอยู่ ผักที่ได้น่าจะยังคงมีพลังวิญญาณอยู่บ้าง แต่ก็คงจะไม่มากเท่ากับการสัมผัสโดยตรงแบบนี้"
คุณพ่อบางทีก็มีความคิดดีๆ เหมือนกัน นี่คือสิ่งที่ลูกๆ ของเขาคิด
คุณพ่อหยางพูดขึ้นมาอีกว่า "ว่าแต่เราจะทำยังไงกับผักที่เก็บเกี่ยวมาแล้วล่ะลูก? มันเสียดายมากเลยนะ"
"พ่อคะผักพวกนี้เราสามารถเก็บเอาไว้ทำอาหารสำหรับครอบครัวเราได้ค่ะ" หยางซีซีกล่าว "หรือไม่ก็อาจจะนำไปแบ่งปันให้กับคนที่เรารู้จักที่มีบุญคุณกับเรา เพราะหากว่าพวกเขาได้กินผักเหล่านี้ร่างกายจะต้องแข็งแรง ไม่เจ็บป่วยง่ายแน่นอน"
ในตอนที่หยางซีซีพูด หยางจิ้งและหยางฟู่เหยาต่างก็หันมองกันแล้ว พวกเขาสองคนคิดเหมือนกันนั้นคือจะต้องแบ่งผัก หรือทำอาหารจากผักเหล่านี้ไปให้พี่ใหญ่จางในเมืองให้ได้
เมื่อทุกคนเห็นด้วยที่จะไม่นำผักไปขายแต่จะเก็บเอาไว้กินแทน จากนั้นพวกเขาก็ช่วยกันเก็บผักในแปลงทั้งหมดและใส่เข้าไปในตะกร้ามิติทันที แบบนี้ก็สามารถเก็บเอาไว้ได้นานเลย แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนประหลาดใจอีกครั้งนั้นคือ คุณพ่อหยางเฉินที่กำลังแบกฟักทองยักษ์ขนาดใหญ่ที่น่าจะหนักเกือบ 30 กิโลกรัมได้คนเดียวแถมเดินไปมาสบายๆ ด้วยสิ คุณพ่อหยางเดินเก็บฟักทองที่มีขนาดเท่าๆ กัน ไปมาอยู่หลายเที่ยวจากนั้นเขาก็สังเกตเห็นความผิดปกติในตัวเอง เมื่อเดินไปถึงฟักทองยักษ์ที่เขากำลังจะเด็ดเขาก็นึกขึ้นมาได้ ...ทำไมเขาถึงได้สามารถแบกฟักทองใหญ่ขนาดนี้คนเดียวโดยที่ไม่มีความเหน็ดเหนื่อยเหรือต้องออกแรงเลยเล่า เขาลองพิสูจน์อีกครั้งโดยการเด็ดฟักทองและลองยกมันขึ้นด้วยมือเพียงข้างเดียว ...
"นี่มันอะไรกันเนี่ย!"
คุณพ่อหยางเฉินร้องออกมาด้วยความประหลาดใจ เมื่อเขาสามารถยกฟักทองยักษ์น้ำหนักเกือบ 30 กิโลกรัมขึ้นมาด้วยมือข้างเดียวได้อย่างง่ายดายราวกับเป็นของเล่นชิ้นเล็กๆ
ก่อนหน้านี้ เขาเคยรู้สึกว่าร่างกายของเขามีเรี่ยวแรงมากขึ้นกว่าเดิม แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก จนกระทั่งมาถึงตอนนี้ที่เขาได้ลองยกฟักทองหนักๆ ดู เขาก็ถึงกับต้องอ้าปากค้างด้วยความตกใจคุณพ่อหยางเฉินลองยกฟักทองขึ้นมาลงหลายครั้งเพื่อยืนยันว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันเป็นเรื่องจริง เขารู้สึกแข็งแรงผิดปกติ ร่างกายเบาเหมือนปุยฝ้าย และกล้ามเนื้อก็ตึงกระชับราวกับนักกีฬาอาชีพ
“ทำไมฉันถึงได้มีพลังมากขนาดนี้เนี้ย และอาการป่วยข้อป่วยหลังก็หายไปหมดแล้วด้วย” หยางเฉินพึมพำกับตัวเอง
"พ่อ...พ่อแข็งแรงขึ้นมากเลย" หยางจิ้งพูดด้วยความทึ่ง
"ใช่แล้วล่ะ" คุณแม่หยางตอบรับด้วยความดีใจจากนั้นเธอก็มองเห็นที่ควรจะเหี่ยวแห้งของเขาตอนนี้กลับเหมือนจะมีกล้ามขึ้นมาเล็กๆ แล้ว
ทุกคนต่างก็มองหน้ากันด้วยความสงสัย ก่อนที่จะนึกถึงผักวิญญาณที่พวกเขากินไปเมื่อไม่นานมานี้
"หรือว่าจะเป็นเพราะผักวิญญาณที่พวกเขากินเข้าไปเมื่อเช้า" สะใภ้ใหญ่เอ่ยขึ้นมาเบาๆ
ทุกคนต่างก็พยักหน้าเห็นด้วยกับความคิดของสะใภ้ใหญ่พวกเขาเริ่มเชื่อมโยงความแข็งแรงผิดปกติของพ่อหยางเข้ากับพลังของผักวิญญาณ และดูเหมือนว่าพวกเขาก็รู้สึกมีพลังมากเหมือนกันนะ
"ถ้าอย่างนั้นแสดงว่าผักวิญญาณไม่เพียงแต่จะให้พลังงานกับเรา แต่ยังทำให้ร่างกายของเราแข็งแรงขึ้นด้วย"
คุณพ่อหยางกล่าวด้วยความตื่นเต้นการค้นพบครั้งนี้ทำให้ครอบครัวหยางตื่นเต้นและตื่นตาตื่นใจผักวิญญาณมีพลังอันมหัศจรรย์จริงๆ
หยางซีซียิ้มก่อนจะพยักหน้าและบอกพวกเขาว่านั้นคือผลลัพธ์ของการกินผักและอาหารที่มีพลังวิญญาณนั้นเอง แต่ว่าตอนนี้เธอยังไม่สามารถที่จะบอกคุณสมบัติของพวกมันได้ทั้งหมด เพราะว่า ตอนนี้เธอคิดว่าพวกเขาควรจะขึ้นเขาและไปเอาเนื้อเพื่อนำไปขายกันได้แล้ว เพราะว่าตอนนี้พวกเขามีเพียงเนื้อไก่เท่านั้นดังนั้นพวกเขาจะต้องมีเนื้อหมูเยอะหน่อยถึงจะดี
แม่หยางจึงแบ่งงานทันทีโดยเธอให้สะใภ้ใหญ่และสะใภ้รองจะช่วยกันทำความสะอาดไก่ ทั้ง 20 ตัว ส่วนพวกผู้ชายให้ไปเอาเนื้อแล้วค่อยมาแล่ทำเป็นชิ้นกันที่บ้าน ซึ่งพวกเขาทั้งหมดก็ลงมือทันที ที่ต้องให้พวกผู้ชายไป เพราะว่าหยางซีซีนั้นจะทำให้ชิ้นหมูมีชีวิตกลายเป็นหมูเป็น 1 ตัวดังนั้นพวกเขาจำเป็นต้องฆ่าหมูกันเองและนำกลับมา และแน่นอนว่าหากว่าจะฆ่าหมูก็ต้องไปทำที่ภูเขาเพื่อที่จะได้ไม่มีใครรู้นั้นเอง ....
คุณพ่อหยาง ลูกชายทั้งสองและลูกสะใภ้สามจากไปเกือบ 1 ชั่วโมงก็พากันกลับมาโดยที่สภาพของเสื้อผ้าของพวกเขานั้นยับเพียงเล็กน้อยเท่านั้น (ความจริงคือโชกเลือดของหมูแต่ว่าหยางซีซีจัดการให้เสื้อผ้ากลับมามีสภาพเหมือนเดิมนั้นเอง)
เมื่อกลับเข้าบ้านมา พวกเขาก็รีบนำเนื้อออกมาหันเป็นชิ้นๆ ทันที โดยพวกเขาทำเป็นชิ้นละ 1 – 5 ชั่ง เพราะอาจจะมีบ้างคนที่อยากจะได้ชิ้นใหญ่บ้าง เล็กบ้าง คนทั้งครอบครัวช่วยกันทำงานจนกระทั่งเวลาเกือบจะ 11 โมงจึงได้เสร็จ
“เอาหล่ะเดี๋ยวฉันกับน้องสะใภ้สามจะเข้าไปที่แห่งนั้นเอง พวกคุณแม่ก็รออยู่ที่บ้านนะคะ”
หยางฟู่เหยาเป็นคนเอ่ยขึ้นมา เหตุที่เธอจะเป็นคนไปเพราะว่า เธอทราบดีว่าที่แห่งนั้นอยู่ตรงไหน และอีกอย่างพวกเธอก็ไม่ได้แบกของอะไรหนักดังนั้นพวกเธอนำไปขายก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
“ผมเป็นห่วงให้ผมไปด้วยเถอะ”
หยางจิ่งไม่อยากจะให้เมียรักและน้องสะใภ้สามเข้าเมืองกันเพียง 2 คนจึงได้เอ่ยขึ้นมา
“เอาแบบที่เจ้ารองพูดเถอะสะใภ้รอง ให้เจ้ารองไปด้วยไปกันผู้หญิง 2 คนแม่เป็นห่วง ส่วนพวกเราที่เหลือก็ช่วยกันทำแปลงผัก เตรียมปลูกใหม่อีกครั้ง”
คุณแม่หยางสรุปทันที และแน่นอนไม่มีใครสามารถแย่งได้ จากนั้นทั้งสามคนก็เดินออกจากบ้านเพื่อเข้าเมืองทันที
หมู่บ้านหลี่ฮวานั้นห่างจากตัวเมืองหางโจวประมาณ 30 กิโลเมตรคนตระกูลหยางทั้ง 3 เดินเกือบ 2 ชั่วโมงจึงได้ถึงเมืองหางโจว หากว่าเป็นเวลาปกติจะมีรถแทรกเตอร์ของหัวหน้าหมู่บ้านที่จะเข้าไปในเมือง ซึ่งรถแทรกเตอร์จะออกเวลา 6.โมงเช้าของทุกวันและกลับประมาณ บ่าย 2 หากคนในหมู่บ้านต้องการจะเข้าเมืองและกลับพร้อมกัน ก็ต้องมารอให้ตรงเวลา หรือหากว่าบ้านไหนมีฐานะหน่อยก็จะมีจักรยานเป็นของตัวเองซึ่งก็จะทำให้สะดวกมากในการที่จะเข้าเมือง
เมื่อทั้ง 3 มาถึงเมืองก็เป็นเวลา บ่ายโมงแล้วตอนนี้พวกเขาไม่หิวเลยอาจจะเป็นเพราะว่าอาหารเช้ากินกันไปเยอะ และอาหารที่มีพลังวิญญาณเยอะขนาดนั้นทำให้พวกเขาสามารถที่จะอดทนได้มากกว่าคนปรกติหลายเท่า..
พวกหยางจิ่งเดินตรงไปที่ ที่แห่งนั้นตามที่พี่ใหญ่จางเคยบอกเอาไว้ทันที เมื่อไปถึงพวกเขาเห็นประตูสังกะสีเก่าๆ ที่เกือบจะพังแล้วปิดอยู่และด้านหน้ามีชายร่างใหญ่เดินไปมาพวกเขาเดินไปที่ประตู หยางจิ่งเดินไปหาและเอ่ยรหัสขึ้นมาเบา ชายร่างใหญ่มองพวกเขาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยออกมาว่า
“ 15 เหมา..”
ใช่แล้ว!!ค่าเข้าไปขายของซื้อของในตลาดนั้นคือคนละ 5 เหมานั้นเองซึ่งก็ถือว่าแพงเอาการอยู่ แต่ว่าเมื่อมาแล้วก็ต้องเข้า หยางจิ้งจ่ายเงินชายคนนั้นก็เปิดประตูให้ พวกเขาจึงเดินเข้าไปทันที ....
ประตูสังกะสีเก่าผุพังถูกผลักออกอย่างเงียบเชียบ เสียงบานพับร้องครางเบาๆ เป็นสัญญาณบอกให้รู้ว่าพวกเขากำลังก้าวเข้าสู่โลกอีกใบ โลกที่เต็มไปด้วยความลับและอันตรายของคนในยุคนี้ก็ว่าได้
พวกของหยางซีซีก้าวข้ามธรณีประตูเข้าไปในตลาดมืดที่เคยได้ยินชื่อเสียงมาโดยตลอด แสงไฟสลัวๆ จากหลอดไฟเก่าๆ ส่องกระทบกับใบหน้าของผู้คนที่เดินสวนไปมา ทำให้บรรยากาศดูน่ากลัวและตื่นเต้นไปพร้อมกัน
"ว้าว! ที่นี่มัน..."
หยางจิ้งอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจเขานั้นเพียงเคยได้ยินชื่อตลาดมืดเท่านั้นแต่ยังไม่เคยเข้ามาในนี้มาก่อนเลย เสียงพูดคุยเจรจาต่อรองดังก้องไปทั่วตลาด มองไปทางไหนก็เห็นแต่ผู้คนเดินขวักไขว่ ซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้ากันอย่างคึกคัก แม้จะยังไม่ถึงเวลาพลบค่ำซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ตลาดมืดมักจะคึกคักเป็นพิเศษ แต่ที่นี่ก็ดูเหมือนจะมีผู้คนมาจับจ่ายใช้สอยกันตลอดเวลา
"คนเยอะมากเลยนะเนี่ย" หยางฟู่เหยาพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
หยางซีซีพยักหน้าเห็นด้วย "ไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนเยอะขนาดนี้นะคะพี่สะใภ้รอง"
พวกเขาเดินลึกเข้าไปในตลาดมืดเรื่อยๆ ผ่านร้านค้าต่างๆ ที่ขายสินค้าหลากหลายชนิด ทั้งขายข้าว ขายเนื้อแต่ดูไม่สดนักและมีน้อยมาก มีพวกอาหารป่าอยู่บ้าง และมีแม้แต่ของผิดกฎหมายบางอย่าง กลิ่นอายของความตื่นเต้นและอันตรายคละคลุ้งไปทั่ว
"นี่แหละคือตลาดมืดที่แท้จริง"
หยางฟู่เหยากล่าวขึ้นมา ตอนนี้เธอไม่มีความกลัวใดๆ หรือออกจะรู้สึกตื่นเต้นมาด้วยซ้ำ
"เราจะไปขายของตรงไหนดีคะ" หยางซีซีถาม
"ดูเหมือนว่าตรงนั้นจะมีคนน้อยกว่าที่อื่น ลองไปดูกันไหม" เธอชี้ไปยังซอยเล็กๆ ที่อยู่ด้านหลังของตลาด
พวกเขาทั้งหมดเดินตามไปยังซอยที่เธอชี้ เมื่อเดินเข้าไปในซอยก็พบว่ามีร้านค้าเล็กๆ ตั้งเรียงรายอยู่สองข้างทาง ซึ่งแตกต่างจากส่วนอื่นๆ ของตลาดที่คึกคัก พวกเขาตัดสินใจเลือกที่จะตั้งแผงขายของตรงบริเวณนี้
เมื่อได้ที่แล้วหยางจิ้งก็นำผ้ามาวางกับพื้นและดึงเนื้อหมูและไก่ออกมาจากตะกร้าโดยนำไก่ออก3-4 ตัว ส่วนเนื้อหมูเขานำออกมาทั้งหมด 5 ชิ้นใหญ่ เนื้อที่ทั้งสดและแดงสวยเรียกสายตาของคนที่เดินผ่านไปมาทันที เพียงไม่นานก็มีหญิงชราเดินถือตะกร้าและตรงมาที่พวกเขาทันที
“เนื้อ!!!…มีเนื้อสดขนาดนี้ขายด้วยจริงๆ หรือเนี้ย พ่อหนุ่มขายเนื้อสดนี้อย่างไรหรือ?”
ลูกค้าคนที่ 1 และ 2 และ 3 เดินพุ่งมาหาพวกเขาอย่างรวดเร็วทันทีราวกับกลัวว่าหากช้ากว่านี้พวกเธอจะซื้อไม่ทัน
หยางจิ้งและภรรยาต่างก็ยืนขายเนื้อสัตว์ มือไม้สั่นระรัวด้วยความตื่นเต้นและกังวลใจกับการค้าขายครั้งแรกในตลาดมืด ขณะที่ทั้งคู่กำลังวุ่นวายกับลูกค้า หยางซีซีก็ใช้โอกาสนี้สอดส่องดูบรรยากาศโดยรอบด้วยความสนใจ
สายตาของเธอปัดไปมาทั่วตลาด พบเห็นทั้งของแปลกตาและสิ่งที่ไม่เคยคาดคิดว่าจะได้เห็นมาก่อน ในชาติภพที่แล้ว เธอไม่เคยมีโอกาสได้สัมผัสกับบรรยากาศที่คึกคักและเต็มไปด้วยสีสันเช่นนี้
ระหว่างที่กำลังเพลิดเพลินกับการสำรวจตลาดอยู่นั้น สายตาก็เหลือบไปเห็นสองตาหลานที่ร่างกายผอมแห้งน่าสงสารที่นั่งอยู่ไม่ไกลจากแผงขายของของครอบครัวเธอ พวกเขานั่งเงียบๆ มองมาที่แผงเนื้อของครอบครัวเธอด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความอยากอาหาร สองตาหลานมองดูเนื้อสัตว์ด้วยความกระหายราวกับว่าไม่ได้กินมานาน
หยางซีซีสังเกตเห็นว่าแผงขายของของสองตาหลานนั้นเงียบเหงา ไม่มีใครสนใจเลย เธอจึงหันไปมองสิ่งของที่พวกเขานำขาย และแล้วเธอก็ต้องเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ เมื่อเห็นว่าสองตาหลานกำลังขายทองคำและเครื่องประดับต่างๆ ที่ดูมีค่ามากกองอยู่ตรงหน้าเหมือนของไม่มีค่าก็ว่าได้
"นั้นมัน… ทองคำนี้!!! " หยางซีซีกระซิบกับตัวเองอย่างตกใจ
เธอมองไปที่กองทองคำและเครื่องประดับเหล่านั้นอีกครั้งด้วยความสงสัย ทำไมสองตาหลานถึงมีของมีค่าแบบนี้มาขายในตลาดมืดได้ และทำไมถึงไม่มีใครสนใจที่จะซื้อเลย หยางซีซีมองจ้องไปที่กองทองคำและเครื่องประดับอยู่นานก่อนจะตัดสินใจเดินเข้าไปหาสองตาหลานทันที….
****ตอนหน้าน้องซีซีจะเอาเนื้อแลกทองกับสองตาหลานนั้นแน่เลย…****
บทที่ 11 เนื้อแลกทองคำ"นั่นมัน… ทองคำนี้!!! " หยางซีซีกระซิบกับตัวเองอย่างตกใจเธอมองไปที่กองทองคำและเครื่องประดับเหล่านั้นอีกครั้งด้วยความสงสัย ทำไมสองตาหลานถึงมีของมีค่าแบบนี้มาขายในตลาดมืดได้ และทำไมถึงไม่มีใครสนใจที่จะซื้อเลย หยางซีซีมองจ้องไปที่กองทองคำและเครื่องประดับอยู่นานก่อนจะตัดสินใจเดินเข้าไปหาสองตาหลานทันที…ในฐานะฮองเฮา หยางซีซีเคยได้สัมผัสกับเครื่องประดับอันงดงามมากมายนับไม่ถ้วน ทั้งเพชรพลอยและทองคำบริสุทธิ์ต่างถูกนำมาประดับประดาตัวเธอเพื่อแสดงถึงฐานะและอำนาจ ถึงแม้ว่าท้ายที่สุดแล้วของนอกกายเหล่านี้จะไม่สามารถที่จะช่วยชีวิตเธอเอาไว้ได้ก็ตามถึงกระนั้นความเป็นหญิงก็ยังคงฝังอยู่ในตัว เธอหลงใหลในความสวยงามของเครื่องประดับเช่นเดียวกับผู้หญิงทั่วไป การได้เห็นทองคำและเครื่องประดับถูกกองรวมกันไว้เหมือนของไม่มีค่าแบบนี้ ทำให้หัวใจของเธอรู้สึกเจ็บปวดอย่างบอกไม่ถูก หยางซีซีเดินเข้าไปใกล้แผงขายของที่ดูจะทรุดโทรม สองตาหลานนั่งตัวงออยู่เพราะความหนาว อยู่ข้างๆ กองของประดับที่ดูจะขัดกับบรรยากาศของตลาดมืดแห่งนี้สายตานางจับจ้องไปยังกองทองคำและเครื่องประดับที่วางเรียงรายอยู่บนผืนผ้าเก่
บทที่ 12 แบ่งเงินพวกเขาทั้งสามช่วยกันขายเนื้ออยู่อีกเกือบ 1 ชั่วโมงเมื่อเห็นว่าเนื้อใกล้จะหมดแล้วจึงได้เก็บของและพวกกันออกมาจากตลาดมืดทันที…ระหว่างทางที่เดินออกมาหยางซีซีตาไวเธอเห็นว่ามีคนนำพวกทองและเครื่องประดับ ภาพวาด แจกันของเก่าโบราณออกมาวางขายกันอยู่หลายร้านทีเดียวเธอหันมองและดวงตาก็วาววับขึ้นมาทันที….คราวหน้าเจอกัน!!!!!ทั้งสามรีบเดินออกมาจากตลาดมืดแห่งนี้ทันที เพราะถึงจะค้าขายได้ดีขนาดไหนแต่ว่าที่นี่ก็ถือว่าเป็นที่แหล่งผิดกฏหมายและอันตรายมากอยู่ดี และการที่พวกเขามีเนื้อมากมายมาขายก็อาจจะทำให้ถูกเพ่งเล็งได้ เพราะว่าพวกเขาเข้ามาเพียงตะกร้าใบเดียวเหตุใดถึงได้ขายเนื้อไม่หมดสักทีนะสิ หากจะนับรวมๆ แล้วเนื้อที่ขายไปนั้นเกือบ 220 ชั่งได้เมื่อออกมาจากตลาดมืดแล้วทั้งสามก็ตรงไปที่สหกรณ์แวะซื้อพวกเครื่องปรุงนมผง น้ำตาล เกลือ ซีอิ้ว และเครื่องเทศอีกหลายอย่างและหยางฟู่เหยายังซื้อลูกอมตรากระต่ายไปให้หลานๆ ด้วยถุงใหญ่ หยางซีซีเห็นว่ามีแตงโมลูกไม่ใหญ่นักวางอยู่ รวมทั้งผลไม้หายากอย่างสตอเบอร์รี่และองุ่นที่ไม่รู้หลุดรอดมาได้อย่างไรอยู่ 2 กล่อง เธอจึงหยิบทันทีถึงแม้ว่าราคาของสตอเบอร์รี่จะแพงมากต
บทที่ 13 สร้างค่ายกลปลูกผักหลังจากที่แบ่งเงินทองกันเรียบร้อยแล้ว ทุกคนต่างก็มีความสุขกับสิ่งที่พวกเขาได้รับมา ตอนนี้พวกเขาต่างก็ปรึกษากันว่าวันต่อไปใครจะเป็นคนไปขายของซึ่งก็ตกลงกันได้ว่าการขายของยังคงให้เป็น หยางจิ้ว สะใภ้รองและสะใภ้สาม เพราะถือว่าได้เข้าไปในตลาดมืดแล้ว ไม่ต้องให้คนอื่นๆ เข้าไปอีก ซึ่งหยางซีซีและครอบครัวได้ใช้เวลาพูดคุยพักใหญ่ จากนั้นบรรยากาศก็ค่อยๆ เงียบลงเมื่อคุณแม่หยางเม่ยหันไปมองกองทองคำและเครื่องประดับที่วางอยู่บนโต๊ะอย่างสงสัย สายตาของเธอจับจ้องไปที่หยางซีซี ก่อนจะเอ่ยปากถามด้วยน้ำเสียงที่จริงใจ"ลูกอยากได้ของพวกนั้นไปทำไมหรือสะใภ้สาม มันไม่มีประโยชน์อะไรเลยนะแม่ว่า อีกอย่างหากมีเก็บเอาไว้ก็อันตรายด้วยหากว่าถูกคนของทางการค้นเจอ ในยุคนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับผู้คนคือเสื้อผ้า อาหาร ของยังชีพต่างหาก ทำไมลูกถึงได้อยากได้ของพวกนี้กันแม่สงสัยจริงๆ"คำถามของคุณแม่หยางเม่ยทำให้บรรยากาศในห้องเงียบลงไปชั่วขณะ เพราะพวกเขาทุกคนก็เห็นด้วยในสิ่งที่แม่หยางพูด หยางซีซีเงยหน้าขึ้นมองคุณแม่สามีและทุกคน เธอเข้าใจดีว่าในยุค 70 สิ่งของเหล่านี้ไม่ได้มีความสำคัญเท่ากับอาหารและความอ
บทที่ 14 อยากรู้อนาคตให้อ่านหนังสือ (พิมพ์)หยางซีซีเอนหลังพิงหัวเตียงไม้เก่าๆ ความคิดของเธอวนเวียนอยู่กับคำพูดของหยางซีซีคนนั้น...น้องสาวที่ถูกทิ้งให้อยู่ในเงาของการใช้แรงงานอย่างทารุณของบ้านป้าและลุง"น้องสาวถูกรังแกอยู่ที่ปักกิ่งอย่างนั้นหรือ..."หยางซีซีพึมพำเบาๆ ดวงตาของเธอหรี่ลงราวกับกำลังมองทะลุผ่านกาลเวลาและระยะทางไปยังอีกฟากหนึ่งของประเทศความทรงจำเกี่ยวกับน้องสาวของร่างนี้ผุดขึ้นมาในหัว เธอจำได้ว่าลุงป้าที่ส่งเธอมาทำงานใช้แรงงานแทนลูกลูกของตัวเองเป็นคนอย่างไร คนแบบนี้ย่อมไม่มีทางปฏิบัติต่อน้องสาวของร่างนี้ด้วยความเมตตาแน่ๆ และการที่วิญญาณของหยางซีซีคนนั้นต้องมาปรากฏตัวต่อหน้าเธอเช่นนี้ แสดงให้เห็นว่าสถานการณ์ของน้องสาวต้องเลวร้ายมาก"แต่จะทำยังไงดีล่ะ..."หยางซีซีครุ่นคิดหนัก ปักกิ่งอยู่ไกลจากที่นี่มากแค่ไหนกันแน่ เธอเองก็ไม่เคยไปมาก่อน ในขณะที่กำลังคิดอยู่นั้น สายตาของเธอก็เหลือบไปเห็นหนังสือพิมพ์ที่วางอยู่บนโต๊ะพาดหัวมีคำว่า"ปักกิ่ง" เธออ่านคำนี้ออกมาเบาๆ ดวงตาของเธอเป็นประกายขึ้นมาเล็กน้อยทันใดนั้นเอง เธอก็นึกขึ้นได้ว่าเธอสามารถที่จะเห็นอนาคตของคนและสิ่งของได้เพียงแค่สั
บทที่ 15 เตรียมตัวเดินทางไปปักกิ่ง "ถ้าอยากได้เงินก้อนโตเร็วๆ คงต้องพึ่งพาพลังของหัตถ์เทวะแล้วล่ะนะ"หยางซีซีกระซิบกับตัวเองอย่างมั่นใจ ดวงตาของเธอเปล่งประกายด้วยความมุ่งมั่นค่ำวันนั้นหยางซีซีได้บอกกับพ่อสามีว่าเธอต้องการที่จะเดินทางไปปักกิ่ง ให้คุณพ่อช่วยไปขอใบออกนอกพื้นที่ให้เธอด้วย โดยเธอจะออกเดินทางในอีก 3วันข้างหน้า คุณแม่หยางเมื่อได้ยินว่าลูกสะใภ้สามต้องการจะเดินทางกลับบ้านจึงได้ถามด้วยความเป็นห่วงเมื่อหยางซีซีจึงได้บอกกับคุณแม่หยางว่าเธอเคยสัญญากับน้องสาวเอาไว้ว่าหากตั้งตัวได้จะไปรับมาอยู่ด้วย ดังนั้นเธอคิดว่าตอนนี้น่าจะถึงเวลาแล้ว และไม่ให้คุณแม่หยางเป็นห่วงหากว่าน้องเธอมาอยู่ด้วยเธอจะหาบ้านเช่าให้น้องเธออยู่เองเพราะว่าบ้านนี้ก็ทั้งเล็กและแคบ หากว่ามีเพิ่มมาอีกคนน่าจะอยู่กันลำบาก เมื่อคิดถึงตรงนี้หยางซีซีจึงได้เอ่ยกับคุณพ่อหยางว่า"คุณพ่อคะ หากว่าพวกเราต้องการจะสร้างบ้านใหม่จะทำได้หรือเปล่าคะ เพราะว่าบ้านเราก็เก่าและคับแคบมากแล้ว หากว่าขยับขยายออกไปหน่อยก็น่าจะดี”“ความจริงแม่ก็คิดอยู่เหมือนกันนะ เอาอย่างนี้ตาเฒ่าตอนที่ไปทำหนังสือของออกนอกพื้นที่กับหัวหน้าก็ลองถามเรื่องการจั
บทที่ 16 การค้าใหญ่กำลังมาการขายของครอบครัวหยางเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและพวกเขาวุ่นวายอยู่จนเวลาผ่านไปเกือบ 2 ชั่วโมงเนื้อที่เตรียมมาใกล้จะหมดแล้ว ส่วนผลไม้นั้นเหลือเพียง 2 กล่องที่หยางซีซีเก็บเอาไว้ไม่อย่างนั้นก็หมดตั้งแต่ครั้งชั่วโมงแรกแล้ว เมื่อความชุลมุนลดลงหยางซีซีก็มองไปที่แผงของคุณตาและหลานชายที่เธอซื้อทองคำไปเมื่อวาน ซึ่งพวกเขาก็นั่งยิ้มแฉ่งมองมาที่เธอทันที….หยางซีซีเดินไปหาทั้งสองคนก่อนจะถามว่าได้เตรียมของมาให้เธอหรือไม่ สองตาหลานพยักเบาๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาว่า“แม่หนู ทำไมไม่ไปที่บ้านของผมหล่ะที่นั่นผมยังมีอีก 2 หีบใหญ่เลยนะ และก็..และก็ญาติของผมพอรู้ว่ามีคนสนใจของพวกนี้พวกเขาก็อยากจะขายและแลกเปลี่ยนด้วยเหมือนกัน” คุณตาเห็นว่าตอนนี้เนื้อที่พวกเธอขายยังเหลืออยู่ประมาณ 50 กว่าชั่งเขาจึงได้เอ่ยขึ้นมาเขาก็กลัวเนื้อจะหมดเหมือนกันหยางซีซีนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินกลับไปที่พี่รองและพี่สะใภ้รองเธอกระซิบ 2-3 ประโยคพวกเขาพยักหน้าและช่วยกันเก็บแผงทันที จากนั้นพวกเขาต่างก็พากันเดินออกไป โดยในขณะที่เธอกำลังเดินผ่านคนของตลาดมืดนั้นพวกเขาต่างก็มองจ้องมาที่ตะกร้าใบเก่าที่พวกหยางจิ้งแบกอยู
บทที่ 17 การค้ากับแก๊งมังกรขาวหยางจิ้งแจ้งความต้องการตามที่หยางซีซีบอกทันทีซึ่งเฉียงจงเมื่อรู้ว่าพวกเขามีเนื้อมากพอที่จะจัดส่งและยังจะจัดส่งให้เป็นตัวก็ดีใจมาก ต้องทราบว่าตอนนี้อากาศหนาวจัดเนื้อหายากมากจริงๆ บางตลาดแทบจะไม่มีเนื้อขายแล้ว และหากว่าได้มาเป็นตัวพวกเขายังสามารถขายกระดูกและพวกเครื่องในและหัวของมันได้“ตกลง”เฉียงจงมองพวกเขาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้นมาว่า“พวกคุณคงจะพอมีข้อมูลมาบ้างว่าตลาดที่พวกคุณขายของอยู่นั้นเป็นของใคร ฉันเฉียงจงเป็นผู้จัดการดูแลตลาดนี้ และอีก2 -3 แห่งอย่างที่บอกไป” เฉียงจงเอ่ยขึ้นมา จากนั้นก็มองจ้องไปที่ทั้งสามคนเหมือนจะเป็นการข่มขวัญอย่างไรอย่างนั้น ก่อนจะเอ่ยต่อว่า“ผมชื่อหยางจิ้งนี้ภรรยาของผม หยางฟู่เหยาและก็น้องสะใภ้ของผม หยางซีซี" หยางจิ้ง เพิ่งจะมีโอกาสได้แนะนำตัวเอง เอ่ยตอบ“ตลาดมืดแห่งนี้มันเป็นของแก๊งมังกรขาว และการทำการค้ากับแก๊งมังกรขาวนั้น....พวกคุณคงจะรู้ว่าหากมาล้อเล่นหรือผิดสัญญากับแก๊งมังกรขาวนั้น...ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร” เมื่อพูดเสร็จเขาก็หยิบตะเกียบขึ้นหนึ่งอันและหักมันแรงๆ ต่อหน้าคนทั้งสาม เหมือนจะเป็นการข่มพวกของหยางซีซีนั้นเอง ว่
บทที่ 18 เดินทางไปปักกิ่งตอนที่กลับออกมาจากโกดังหยางจิ้งก็มีเงินก้อนใหญ่ถึง 75500 หยวนกลับออกมาด้วย หยางซีซีนั้นยิ้มอย่างพอใจ พลางคิดว่าตอนนี้พอจะมีทุนที่จะเดินไปปักกิ่งบ้างแล้ว!!!วันนั้นหลังจากที่กลับมาจากการส่งของให้กับแก๊งมังกรขาว หยางซีซีก็จัดการ ‘ปั๊ม’ หมู วัว แกะ และพืชผักผลไม้เอาไว้ให้กับครอบครัวหยางมากมาย เพราะว่าการไปครั้งนี้อาจจะใช้เวลานานหลายวัน เธอเกรงว่าแก๊งมังกรขาวจะขายของดีจัดและทำให้ของหมด ซึ่งตอนนี้เธอได้วางค่ายกลขยายพื้นที่ในสวนหลังให้กว้างขึ้นเป็น 30 ไร่เลยทีเดียวดังนั้นมันจึงเพียงพอที่จะใส่เนื้อสัตว์ และให้มีพื้นที่สำหรับปลูกผักผลไม้สำหรับเอาไว้จัดส่งแน่นอนหลังจากที่ครอบครัวพร้อมหน้ากันทานอาหารเย็น และนั่งดื่มชากันเพื่อย่อยอาหาร ตอนนี้ร่างกายของทุกคนนั้นถือว่าแข็งแรงมากทีเดียวคุณพ่อคุณแม่จากที่มีรอยตีนกามากมายบนใบหน้าตอนนี้หากว่าสังเกตุดีจะเห็นว่าตีนกาเหล่านั้นลดน้อยลงมาก ไหนจะเส้นผมที่มีเส้นสีดำแซมขึ้นมามากกว่ามีขาวแล้วเพราะทุกวัน พวกเขาต่างก็กินอาหารที่มีพลังวิญญาณเข้าไปนั้นเองหยางซีซีมองดูแต่ละคนที่ร่างกายเริ่มดีขึ้นอย่างพอใจ พี่สะใภ้สามเมื่อจัดการทำความสะอาดโ
บทสุดท้าย : ฝาแฝดหงส์มังกร / การเผชิญหน้าครั้งสุดท้ายวันเวลาผ่านไปหลายเดือนจนกระทั่งครรภ์ของหยางซีซีนั้นตั้งครรภ์ครบเก้าเดือน ครอบครัวหยางก็กำลังเตรียมพร้อมสำหรับเหตุการณ์สำคัญของตระกูล พวกเขาจองห้องพิเศษที่โรงพยาบาลเอาไว้และหยางซีซีก็เข้าพักทันทีในวันคลอด หยางซีซีต้องเผชิญกับความเจ็บปวดอย่างหนักในห้องคลอด เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของเธอทำให้หยางเฟยหลงที่ยืนรออยู่หน้าห้องคลอดเป็นกังวลจนเดินไปมาไม่หยุด เขามองไปยังประตูห้องคลอดด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความห่วงใยและความกดดัน จนคุณพ่อหยางที่มีประสบการณ์มาหลายครั้งต้องตบบ่าเขาเบา ๆ และพูดขึ้นว่า"หยุดเดินไปมาได้แล้วเจ้าสาม พ่อเริ่มเวียนหัวเพราะตามดูเรานี่ล่ะ"หยางเฟยหลงถอนหายใจยาว พยายามสงบสติอารมณ์ แต่ความกังวลในใจยังคงไม่ลดลง เขาภาวนาให้ภรรยาและลูกน้อยปลอดภัย ในขณะที่เสียงร้องของหยางซีซีดังลอดออกมา เขายิ่งรู้สึกเหมือนเวลาผ่านไปช้าเหลือเกินและแล้วเมื่อเวลาผ่านไปนานหลายชั่วโมง เสียงร้องของทารกดังขึ้นมาจากภายในห้องคลอด"อุแว้ อุแว้ อุแว้!!"เสียงดังลั่นห้องไปหมดเหมือนกับว่าพวกเขาไม่พอใจที่ถูกแม่เบ่งออกมาให้พบเจอกับโลกใหม่ หยางเฟยหลงรู้สึกเห
ตอนพิเศษ 2 ดร.หยางไป่หลงในวันที่อากาศสดใสวันหนึ่ง ดร.หยางไป่หลงกำลังยืนอยู่หน้าชั้นเรียน สอนนักศึกษาเกี่ยวกับแนวคิดการประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์ในการวิเคราะห์ข้อมูลทางการแพทย์ เขามีท่าทีที่เป็นมิตรและเป็นกันเอง แต่ว่าขณะเดียวกันก็เต็มไปด้วยความตั้งใจในการสอน หลังจบชั้นเรียน เขาได้ยินเสียงเคาะประตูเบาๆ เมื่อหันไปมองก็พบหญิงสาวคนหนึ่งที่ยืนอยู่หน้าประตู เธอมีใบหน้าสวยงามคิ้วโค้งเรียว ดวงตาคมที่แฝงไปด้วยความมั่นใจ ตามประสาลูกสาวคนเล็กของคนรวยและมีอำนาจ เธอคือเซี่ยจื่อหานลูกสาวของนายพลเซี่ยและเป็นอาจารย์ที่เพิ่งได้รับตำแหน่งในมหาวิทยาลัยชิงหัวเช่นกัน“ดร. หยางใช่ไหมคะ? ฉันเซี่ยจื่อหานเพิ่งมาร่วมงานที่นี่ เห็นได้ยินมาว่าคุณกำลังพัฒนาโครงการทดลองด้านปัญญาประดิษฐ์ ฉันเองก็สนใจงานวิจัยนี้เหมือนกัน”เซี่ยจื่อหานพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ เธอมองไปที่ชายหนุ่มที่หล่อเหลาที่ความหล่อของเขานั้นเหมือนจะไม่ใช่ของจริงที่กำลังยืนอยู่ข้างหน้าเธอ พลางถอนหายใจและคิดว่า …ไม่รู้ว่าจะหล่อไปทำไมหนักหนามาสอนเด็กสาวพวกนี้มันจะไปมีประโยชน์อะไรกันหยางไป่หลงหันมองเธอพร้อมกับยิ้มเล็กๆ“ใช่ครับ ผมก
ตอนพิเศษ 1 หยางไป่หลง อัจฉริยะในรอบ 100 ปี หลังจากที่หยางไป่หลงได้จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยชิงหัว ซึ่งถือว่าเป็นมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศจีน เขาได้สร้างชื่อเสียงในวงการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีตั้งแต่ยังเป็นนักศึกษา ไม่เพียงแค่มีผลการเรียนที่โดดเด่นเท่านั้น แต่ยังมีความสามารถเฉพาะตัวที่หายาก นั่นก็คือความจำแบบภาพถ่าย ทุกสิ่งที่เขาได้เห็นผ่านตา ไม่ว่าจะเป็นบทเรียนทางวิชาการหรือภาพที่ซับซ้อน เขาก็สามารถจดจำได้ทั้งหมด นี่ทำให้หยางไป่หลงมีความได้เปรียบในการศึกษาและการทำงานวิจัยอย่างมากความสามารถในการจดจำของหยางไป่หลงทำให้เขาได้รับความสนใจจากอาจารย์และนักวิจัยหลายคน พวกเขาต่างเห็นศักยภาพในตัวของหยางไป่หลงว่ามีความสามารถในการสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ ๆ ได้ และด้วยความสนใจเป็นพิเศษในด้านเทคโนโลยี เขามักจะใช้เวลาว่างทำการทดลองใหม่ ๆ ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หรือการศึกษาปัญญาประดิษฐ์ เขาใช้เวลาหลายคืนในการคิดค้นโปรเจคที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนในอนาคต***ระบบ AI เริ่มพัฒนาและนำมาใช้ในทศวรรษที่ 1950 โดยนักวิทยาศาสตร์ด้านคอม
บทที่ 94 จุดจบ (จบ ) หลังจากงานเลี้ยงผ่านไปหลายวัน และในที่สุดประกาศเรื่องการปลดรัฐมนตรีเผยเฉินฟงก็ออกมา ตอนนี้เฟิงอวี้ชิงนั้นรู้สึกไม่พอใจอยู่บ้างแต่เมื่อคิดถึงก้าวต่อไปของเธอ ก็ทำให้เธอรู้สึกสบายใจขึ้นมาเล็กน้อย ตอนนี้คงจะถึงเวลาที่เธอจะต้องกำจัดหมากที่หมดประโยชน์อย่างรัฐมนตรีเผยออกจากชีวิตแล้ว และเป้าหมายต่อไปของเธอก็คือ ท่านผู้นำประเทศ ดังนั้นเธอจึงได้คิดว่ารีบจัดการเคลียร์ปัญหาเล็กๆ อย่างรัฐมนตรีเผยยิ่งเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดี เพราะว่าในตอนนี้นั้นเธอได้ทราบแล้วว่า หยางฮองเฮานั้นคือภรรยาของรองรัฐมนตรีหยางเฟยหลง นั้นก็แปลได้ว่าพวกเขาย่อมมีอำนาจพอสมควร และหากว่าเธอต้องการที่จะอยู่เหนือพวกเขา เธอจำเป็นต้องได้ท่านผู้นำประเทศหนุนหลัง และการจะได้เขามานั้นก็ไม่ยากสำหรับเธอ เพราะว่าเรื่องเหล่านี้เธอทำมาครั้งแล้วครั้งเล่าไม่เคยพลาดสักครั้งเลย เฟิงอวี้ชิงคิดอย่างมั่นใจในตัวเองเฟิงอวี้ชิงเดินเข้าไปในห้องของอดีตรัฐมนตรีเผยในยามดึก ห้องทั้งห้องเงียบสนิท มีเพียงเสียงลมหายใจเบา ๆ ที่ดังจากเตียง ร่างของรัฐมนตรีเผยนอนเหยียดยาวบนเตียง ดวงตาปิดสนิท แต่ใบหน้าแสดงถึงความเหนื่อยล้าและความแก่ชรา เฟิงอวี้ช
บทที่93 ตาต่อตาฟันต่อฟัน บรรยากาศรอบตัวทั้งสองคนกลายเป็นตึงเครียด ผู้คนรอบข้างที่สังเกตเห็นสายตาที่ทั้งสองส่งให้กันต่างก็รู้สึกถึงความอึดอัดและพลังที่ปะทะกันอย่างเงียบๆ ราวกับว่าโลกทั้งใบหายไป เหลือเพียงพวกเขาทั้งสองคนที่ยืนประจันหน้ากัน ความเกลียดชังที่ไม่มีทางจบสิ้น ความโกรธเคียดแค้นที่ฝังรากลึก ไม่ว่าจะเป็นหยางซีซีหรือเฟิงอวี้ชิง ต่างก็รู้ดีว่าการพบกันครั้งนี้อาจนำไปสู่การเผชิญหน้าที่รุนแรงในอนาคตเฟิงอวี้ชิงก้าวเข้ามาใกล้เล็กน้อย ดวงตาของเธอจับจ้องไปยังหยางซีซีอย่างไม่ละสายตา"คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะมาอยู่ที่นี่ได้...หยางฮองเฮา" เสียงของเธอเต็มไปด้วยการยั่วยุและการท้าทาย ทันใดนั้นภาพอดีตที่เจียงกุ้ยเฟยเคยวางยาพิษทำร้ายหยางซีซีจนถึงแก่ความตายก็ผุดขึ้นมาในความคิดของทั้งสองฝ่ายหยางซีซีจำได้อย่างชัดเจนถึงวันที่เธอถูกไล่ล่าและเจ็บปวดจากความแค้นของเจียงกุ้ยเฟย ความโกรธที่เคยสงบลงกลับปะทุขึ้นมาในใจ ความรู้สึกเคียดแค้นที่เก็บซ่อนไว้เริ่มชัดเจนขึ้น เธอยิ้มเย็นชาและตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่นิ่งสงบแต่แฝงไปด้วยความเยือกเย็น"เจ้าก็เหมือนกัน เจียงกุ้ยเฟย โลกกลมจริงๆ ข้าคิดว่าคงไม่ได้พบเจ้าที่นี่อ
บทที่ 92 การเผชิญหน้าครั้งที่หนึ่งเรื่องราวของหานหรูอี้และหวังเทียนซานยังคงดำเนินต่อไป โดยที่หานหรูอี้ยังคงให้เขาง้องอนอยู่นานหลายเดือน จนกระทั่งวันหนึ่งเธอรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงในร่างกาย ซึ่งอาการนั้นคล้ายกับที่หยางซีซีเคยเป็นมาก่อน ทำให้เธอรู้ว่าหมดเวลาที่จะเล่นตัวแล้วในเย็นวันหนึ่งเมื่อหวังเทียนซานพูดถึงเรื่องการแต่งงานของพวกเขา หานหรูอี้จึงตอบตกลงทันทีคำตอบนั้นทำให้หวังเทียนซานถึงกับงุนงงเล็กน้อยเนื่องจากไม่คิดว่าเธอจะยอมง่ายๆ หลังจากที่เขานั้นเคยของเธอแต่งงานอยู่หลายครั้ง"หรูอี้... คุณตอบตกลงจริงหรือ?" หวังเทียนซานถามด้วยความแปลกใจในน้ำเสียง เขายังคงมองหน้าหานหรูอี้ด้วยความไม่เชื่อหานหรูอี้ยิ้มบาง ๆ ให้เขา "ฉันตกลงแล้ว คุณคงไม่คิดจะเปลี่ยนใจหรอกนะ?""ไม่... ไม่แน่นอน! ผมแค่... ผมแค่ไม่คิดว่าคุณจะยอมง่าย ๆ แบบนี้" หวังเทียนซานพูดพร้อมหัวเราะเบา ๆ แต่ในแววตาของเขามีความสุขที่ไม่อาจซ่อนได้หานหรูอี้มองเขาอย่างอ่อนโยน "ฉันเองก็เหนื่อยแล้วเหมือนกัน คุณรู้ไหมว่าฉันไม่ได้ต้องการให้คุณทรมานหรอก เพียงแต่อยากให้คุณเข้าใจว่าฉันต้องการความจริงใจจากคุณ"หวังเทียนซานยื่นมือมากุมมือขอ
บทที่ 91 สืบหาความจริง / ลักพาตัว“ความจำเสื่อมอย่างนั้นหรือคะ” คนที่ถามเป็นหยางซีซีนั้นเอง เพราะว่าตอนนี้หานหรูอี้นั้นไม่กำลังถูกปฐมพยาบาลอยู่ โชคดีที่แขนไม่หักเพียงแค่ร้าวเท่านั้น ซึ่งเธอก็ไม่ได้สนใจชายหนุ่มคนนั้นอีกต่อไปแล้ว“ใช่ผมพบเขาเมื่อหลายปีก่อนตอนนั้นรู้สึกว่าเขานั่งอยู่ข้างถนนเนื้อตัวมอมแมมมาก ในตอนนั้นมีคนกำลังจะลอบทำร้ายผมด้วย และเขาเป็นคนที่เข้ามาช่วยและจัดการคนเหล่านั้น ผมเห็นว่าเขามีฝีมือดีจึงได้รับเอาไว้ และให้เขาเป็นพนักงานรักษาความปลอดภัยอยู่นาน แต่เพราะว่าฝีมือของเขานั้นเก่งกาจมากจนผมเลื่อนให้เขามาเป็นคนสนิทนี่แหละ แต่ดูเหมือนว่าเขาจะมีบาดแผลขาดใหญ่ที่ด้านหลังศีรษะนั้น นั้นอาจจะทำให้เขาไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร” ท่านผู้นำนั้นเล่าถึงเรื่องราวความเป็นมาของคนสนิทของเขา ถึงแม้ว่าเรื่องนี้จะเป็นเรื่องผัวเมียแต่หากว่าคนสนิทเขาทำคนท้องแล้วไม่ยอมรับเขาก็จะจัดการมันให้เอง“ท่านไม่ต้องสืบหาแล้วหล่ะค่ะ ฉันกับเขาหย่าขาดกันแล้วและฉันก็ออกจากบ้านเขามาแล้วด้วยค่ะ” หานหรูอี้ที่ฟังอยู่เอ่ยขึ้นมา“หย่า…หย่าตอนไหนผมยังไม่ได้เซ้นต์เอกสารอะไรเลยนะ” หวังเทียนซานที่มองดูหญิงสาวด้วยความไม่ชอ
บทที่ 90 ตั้งครรภ์ / ฉันเป็นเมียแกไงล่ะ..ไอ้บ้า!!!ครอบครัวหยางย้ายมาอยู่ที่ปักกิ่งได้หลายเดือนแล้ว ตอนนี้ทุกคนในบ้านต่างก็ยุ่งอยู่กับงานของตัวเอง พี่รองและสะใภ้รองหยางจิ้งและหยางฟู่เหยาไม่ค่อยได้อยู่บ้าน ทั้งสองมักจะลงไปที่เซินเจิ้นหรือจงไห่เพื่อดูที่ดินที่พวกเขาได้กว้านซื้อเอาไว้ โดยมีคนของนายพลเซี่ยจงติดตามไปด้วยและจัดการเรื่องการซื้อขายที่ดิน ซึ่งเมื่อนายพลเซี่ยลงมือแล้ว อะไรที่คิดว่าเป็นอุปสรรคต่างก็แหวกทางออกให้พวกเขาอย่างไม่ยากเย็นนักหยางเฟยหลงมีอาการแปลก ๆ ตั้งแต่เวียนหัว คลื่นไส้ อยากทานของเปรี้ยว ไปจนถึงการรู้สึกอ่อนเพลียโดยไม่ทราบสาเหตุ ทุกเช้าเขาตื่นขึ้นมาแล้วถามหาน้ำมะนาวหรือผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวอย่างส้มเขียวหวาน หยางซีซีมองสามีด้วยสายตาขำขันในขณะที่เขานั่งทานมะม่วงดิบด้วยท่าทางพยายามกลบเกลื่อนอาการแพ้ท้องนั้นวันหนึ่งหยางเฟยหลงตื่นขึ้นแต่เช้าพร้อมกับอาการคลื่นไส้อย่างหนัก เขารีบลุกจากเตียงและวิ่งไปที่ห้องน้ำเพื่ออาเจียน เสียงอาเจียนดังออกมาจากห้องน้ำทำให้ทุกคนในบ้านต่างตกอกตกใจ หยางซีซีรีบเดินไปดูพร้อมกับความเป็นห่วง เมื่อเธอเปิดประตูห้องน้ำ เห็นหยางเฟยหลงนั่งทรุดอยู่กับพ
บทที่ 89 รับจางอี้เฉิงเข้าทำงาน / เงาในความทรงจำวันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในที่สุดครอบครัวตระกูลหยางก็ได้ย้ายมาอยู่ที่ปักกิ่ง โดยมีเพียงพี่ใหญ่และพี่สะใภ้ใหญ่ที่ยังอยู่ที่เซี่ยงไฮ้เพราะต้องดูแลโรงงานผลิตสบู่ร่วมกับจางอี้เฉิงที่มาเป็นผู้จัดการโรงงานให้ซึ่งเรื่องการได้จางอี้เฉิงพี่ใหญ่ของหยางฟู่เหยามาทำงานด้วยนั้น จำเป็นต้องเล่าย้อนหลังไปหลายเดือนก่อน วันนั้นหยางจิ้งขับรถผ่านไปและเห็นจางอี้เฉิงกำลังเดินเตะฝุ่นเพื่อหางานทำอยู่ เขาจึงได้จอดรถรับและพาไปร้านอาหารและหาที่คุยกันจางอี้เฉิงที่เคยเป็นหนุ่มหล่อและดูสง่างาม ตอนนี้กลับดูหมดสง่าราศีเพราะความลำบาก สภาพของเขาดูโทรมจนแทบจำไม่ได้ ผิวที่เคยขาวตอนนี้กลับคล้ำหมองและแห้งกร้าน ราวกับไม่ได้สัมผัสน้ำมาหลายวัน เสื้อผ้าที่เขาสวมนั้นเก่าและไม่สะอาดนัก มีกลิ่นอับและรอยขาดหลายแห่ง ใบหน้าที่เคยสดใสนนั้นเริ่มปรากฎรอยยับย่นขึ้นมา อาจเพราะความเครียดในชีวิตและการอดนอนอย่างต่อเนื่อง แววตาที่เคยมีประกายกลับดูหม่นหมองและอ่อนล้า สะท้อนถึงคืนวันที่ยากเข็ญและความกดดันที่แบกอยู่บนบ่า แววตาที่บ่งบอกถึงการผ่านความผิดหวังและความเหนื่อยล้ามาก ราวกับคนที่ต้องเผช