บทที่ 5 ครอบครัวนี้ยากจนเกินไป
หยางซีซีค่อยๆ เปิดประตูห้องและเดินออกไปตามเสียง เสียงกุกกักกระทบกันของหม้อไหดังมาจากห้องครัว เธอเห็นหยางชิงหลิงพี่สะใภ้ใหญ่กำลังยุ่งอยู่กับการเตรียมอาหารเช้า ในกระทะขนาดใหญ่กำลังมีควันลอยฟุ้งออกมา กลิ่นหอมของโจ๊กเจือปนกับกลิ่นผักดองลอยมาในอากาศ ทำให้หยางซีซีรู้สึกหิวขึ้นมาทันที อาจจะเป็นเพราะไม่ได้กินอาหารมาทั้งคืนทำให้ตอนนี้แม้ได้กลิ่นอาหารเธอก็รู้สึกน้ำลายสอแล้ว เมื่อหยางชิงหลินเห็นว่าคนที่เดินมาคือสะใภ้สามเธอเอ่ยทักเบาๆว่า
“น้องสะใภ้สามอาการดีขึ้นแล้วหรือ หากว่ายังไม่สบายอยู่ก็ยังไม่ต้องออกมาช่วยพี่หรอกนะ เดียวสะใภ้รองจะออกมาช่วยพี่เอง”
น้ำเสียงของพี่สะใภ้ใหญ่ฟังดูอบอุ่น และแฝงเอาไว้ด้วยความห่วงใยอย่างจริงใจ หยางซีซีรีบเดินเข้ามายืนข้างและมองไปที่ของที่วางอยู่บนโต๊ะที่พี่สะใภ้ใหญ่เตรียมเพื่อจะทำอาหารเช้า ขณะเดียวกันหยางชิงหลิงมองสำรวจร่างกายที่ผอมแห้งของหยางซีซี เธอพบว่าวันนี้ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่าในตอนที่น้องสะใภ้สามเดินเข้ามาเธอเหมือนจะเห็นประกายออร่าออกมาจากร่างของน้องสะใภ้สาม ไหนจะท่าเดินที่ดูเหมือนจะสง่างามราวกับจะลอยมาเหมือนพวกองค์หญิงองค์ชายเรื่องราวที่เธอเคยได้ยินได้ฟังมาในตอนเด็กอย่างไรอย่างนั้น จนหยางชิงหลิงต้องหลับตาและสั่นศีรษะเล็กน้อยจากนั้นก็หันกลับไปมองใหม่ภาพที่เห็นยังคงเห็นสะใภ้สามเช่นเดิม ดูเหมือนสีหน้าของเธอจะดีขึ้นมากกว่าเดิมจากเมื่อ 3-4 วันก่อนแล้ว.
“ฉันดีขึ้นมากแล้วค่ะพี่สะใภ้ใหญ่ ฉันจะช่วยทำอาหารเช้านะคะ”
หยางซีซีเอ่ยตอบพร้อมกับมองพี่สะใภ้ใหญ่ที่กำลังยุ่งอยู่กับการเตรียมอาหารเช้าสำหรับทุกคนอยู่หน้าเตาไฟเก่าๆ ควันลอยฟุ้งไปทั่วห้องครัว กลิ่นหอมของโจ๊กโชยออกมาเตะจมูก หยางซีซีสูดหายใจเข้าลึกๆ พยายามลืมความไม่เป็นธรรมที่สวรรค์กลั่นแกล้งเธออยู่ แน่นอนว่าหากจะมีคนผิดในเรื่องนี้เธอจะต้องโทษสวรรค์อยู่แล้ว เพราะพวกเขาสามารถที่จะส่งเธอไปอยู่ในที่ดีๆ และมีชีวิตสุขสบายได้แต่กลับเลือกที่จะส่งเธอมาลำบากที่นี่..
(สวรรค์: เจ้าหาคนผิดไม่ได้ก็ต้องมาลงที่พวกเขาใช่หรือไม่ แต่หากเจ้าทำแล้วสบายใจก็ทำเถอะ)
บนโต๊ะไม้เก่าๆ เธอเห็นจานชาม ตะเกียบที่บางส่วนทำจากดินเผาวางอยู่ และวัตถุดิบง่ายๆ ที่หาได้จากในหมู่บ้าน เช่น เห็ดป่าตากแห้ง ผักดอง มีพริกเม็ดเล็กๆ อยู่ 5-6 เม็ด และมันฝรั่งลูกเล็กๆ ที่เธอเห็นพี่สะใภ้ใหญ่กำลังหั่น หยางซีซี เค้นความทรงจำจากร่างเดิมเพราะอยากจะรู้ว่าผัก เห็ดและมันฝรั่งเหล่านี้สามารถที่จะทำอาหารชนิดใดได้บ้าง ก็นะเธอเป็นฮองเฮานะ จะรู้ได้อย่างไรว่าของแต่ละชนิดใช้ทำอะไรได้บ้าง เพียงครู่หนึ่งเธอก็ทราบว่า มันฝรั่งลูกเล็กๆ เหล่านี้น่าจะเพื่อที่จะทำผัดมันฝรั่งนั้นเอง
ต้องทราบว่าตอนที่เธอเป็นฮ่องเฮานั้นไม่เคยได้เห็นหรือสัมผัสกับการทำอาหารเลย และยิ่งเป็นของง่ายๆ พื้นๆ แบบนี้ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะถูกนำเข้าไปในห้องครัวหลวงเพื่อทำอาหารให้ฮ่องเต้และฮองเฮา หยางซีซีต้องอาศัยความจำจากร่างเดิมเท่านั้นถึงได้รู้ว่าอะไรใช่ทำอะไรได้บ้าง เธอมองไปทั่วโต๊ะและของที่วางกระจายอยู่แต่กลับไม่เห็นจะมีเนื้อสัตว์ชนิดใดเลย นอกจากผักดอง เห็ดป่าและมันฝรั่งหัวเล็ก 10 กว่าหัวที่ถูกล้างเอาไว้อย่างดี ส่วนเครื่องปรุงก็มีน้อยมาก เธอเห็น มีเกลือ ซีอิ้ว มีน้ำมันเหลืออยู่ก้นไห และเหล้าจีนอีกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ต้องพูดถึงข้าวสารที่เหลืออยู่ติดก้นถังเท่านั้น จากนั้นก็ถอนหายใจออกมาเบา พลางคิดว่าครอบครัวนี้ช่างยากจนเหลือเกิน ในครอบครัวที่มีคนมากมายแต่ว่าอาหารกลับมีน้อยมาก และแน่นอนว่าไม่มีเนื้อสัตว์ให้กินอยู่แล้ว หยางซีซีคิดถึงครั้งสุดท้ายที่พวกเธอได้กินเนื้อนั้นมันคือเมื่อ 2 เดือนที่แล้วไม่ใช่หรือ!!!
คิดได้เช่นนั้นหยางซีซีพลางนึกถึงมื้ออาหารเช้าของเธอในแต่ละวันที่วังหลวง อาหารเช้าสำหรับฮองเฮาในสมัยก่อนนั้น ถือเป็นมื้ออาหารที่สำคัญมาก เพราะเป็นการเริ่มต้นวันใหม่ที่ต้องใช้พลังงานในการบริหารราชการแผ่นดินช่วยเหลือฮ้องเต้ อาหารเช้าของฮองเฮาจึงถูกจัดเตรียมอย่างพิถีพิถันและมีคุณค่าทางโภชนาการสูง โดยส่วนใหญ่จะประกอบไปด้วยอาหารหลากหลายชนิด ทั้งอาหารคาวและหวาน เพื่อให้ได้รสชาติที่กลมกล่อมและครบถ้วน
โจ๊กหรือข้าวต้มเป็นอาหารหลักที่ให้พลังงานและย่อยง่ายเมล็ดข้าวอย่างดีที่สุดเมล็ดยาวกลิ่นหอมอบอวลในปาก อาจมีการใส่เนื้อสัตว์เช่นหมูสับหรือพวกอาหารทะเลพวกกุ้งขนาดใหญ่ หรือหอยนางรม เพื่อเพิ่มโปรตีนซุปต่างๆ เช่น ซุปเห็ด ซุปผัก หรือซุปเนื้อ จะช่วยให้ร่างกายอบอุ่น
ติ่มซำหลากหลายชนิด เช่น ขนมจีบ ซาลาเปา หรือขนมกุ้ยช่าย จะช่วยเพิ่มความอร่อยและความหลากหลายให้กับมื้ออาหาร
ผลไม้ตามฤดูกาล เช่น แอปเปิล สตอเบอร์รี่ แตงโม ลำใย ส้มหรือองุ่นแม้ว่าผลไม้จะหายากแต่ว่าในสำรับของเธอนั้นต้องมีตลอดทั้งปี พวกขนมหวานต่างๆที่ทางห้องครัวทำออกมาอย่างประณีต แน่นอนที่ขาดไม่ได้คือชาชั้นเลิศที่ต้องมาคู่กัน ทั้งสำหรับล้างปากและดื่ม
นอกจากรสชาติและคุณค่าทางโภชนาการแล้ว การจัดเตรียมอาหารเช้าสำหรับฮองเฮายังคำนึงถึงความสวยงามและความหมายของอาหารแต่ละชนิดด้วย เช่น การเลือกใช้ภาชนะที่สวยงาม การจัดวางอาหารให้เป็นระเบียบ และการเลือกใช้สีสันของอาหารที่สอดคล้องกับฤดูกาลและโอกาสต่างๆ
แต่ทว่าสิ่งที่วางอยู่ตรงหน้าเธอในตอนนี้นั้นช่างห่างไกลจากอาหารที่เคยกินยิ่งนัก เมื่อคิดถึงตรงนี้ก็แอบถอนหายใจเบาๆ และแอบเหล่ตาขึ้นมาไปที่ท้องฟ้าอีกครั้ง แน่นอนว่าเธอแอบโทษสวรรค์อยู่แล้วที่ทำให้เธอต้องมาตกระกำลำบากอยู่ในยุคนี้ จากนั้นจึงได้เอ่ยขึ้นมาว่า
“วันนี้พี่สะใภ้ใหญ่จะทำอาหารอะไรบ้างคะ?” หยางซีซีเอ่ยถามขึ้นมา
พี่สะใภ้ใหญ่ที่กำลังเดินเติมไฟให้กับหม้อโจ๊กเงยหน้าขึ้นมา ก่อนจะตอบกลับไปว่า
"วันนี้ทำโจ๊กข้าวรวมผสมธัญพืชจะใส่ผักกาดขาว ผัดมันฝรั่ง แล้วก็มีหมั่นโถวอบร้อนๆ กินคู่กันจ๊ะ"
ส่วนผักดองนั้นเป็นของคู่กันอยู่แล้วที่ชาวบ้านส่วนใหญ่จะต้องมีติดบ้าน หยางซีซีมองไปทั่วโต๊ะ ยังไม่เห็นผักกาดขาว จึงอาสาที่จะเก็บที่แปลงมาให้ ซึ่งพี่สะใภ้ใหญ่ก็พยักหน้า
“น้องสะใภ้สามช่วยเก็บต้นหอมมาเพิ่มให้พี่ด้วยนะ พี่อยากจะทำแป้งทอดต้นหอมให้เด็กๆ ได้กินด้วย”
“ได้ค่ะพี่สะใภ้ใหญ่”
จากนั้นก็หันหลังเดินไปทางหลังบ้านที่เธอเห็นตอนที่เปิดหน้าต่างว่ามีแปลงผักโทรมๆ อยู่หลายแปลง หยางซีซีเดินมาถึงแปลงผักด้วยความรู้สึกหดหู่ใจ เธอมองไปที่ผักกาดขาวเหี่ยวเฉาเหลืองซีด หัวไชเท้าก็มีขนาดเล็กแคระแกร็นกว่าปกติ คะน้าและฟักทอง ต้นหอม ก็ต้นเล็กมากราวกับขาดน้ำมานาน ใบของพวกมันห่อเหี่ยวลงราวกับจะร้องขอความช่วยเหลือ ใบหน้าของหยางซีซีเต็มไปด้วยความจนใจ เธอรู้ดีว่าสภาพอากาศที่หนาวเย็นและแห้งแล้งในปีนี้ ทำให้พืชผักทุกชนิดเจริญเติบโตได้ยากลำบาก
หยางซีซีเดินไปที่แปลงผักกาดขาวจากนั้นก็หันซ้ายมองขวาอยู่ครู่หนึ่งเพื่อความแน่ใจว่าไม่มีใครเห็นสิ่งที่เธอกำลังจะทำ จากนั้นจึงเอื้อมมือไปสัมผัสใบผักกาดขาวเบาๆ พลังงานสีขาวนวลก็แผ่ออกมาจากฝ่ามือของเธอ เหมือนกับแสงอาทิตย์ที่ส่องลงมาบนผืนดินในทันใดนั้นเอง ปรากฏการณ์อันน่าอัศจรรย์ก็เกิดขึ้น ใบผักกาดขาวที่เคยห่อเหี่ยวลงราวกับจะร้องขอความช่วยเหลือ เริ่มแผ่กว้างออกไปเหมือนกับปีกผีเสื้อที่เริ่มจะกระจายออก ใบที่เหี่ยวเฉาเริ่มกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ใบที่เคยเหลืองซีดกลับเขียวขจีขึ้นเรื่อยๆ ราวกับได้รับน้ำค้างยามเช้า เส้นใบที่เคยเหี่ยวเฉาก็เริ่มตั้งตรงขึ้นมา ใบของมันดูอวบน้ำและสดใสราวกับเพิ่งได้รับการรดน้ำอย่างเต็มที่ จากต้นที่หนึ่งก็ลามไปต้นที่ 2 3 4 จนกระทั่งแปลงผักกาดขาวที่ทรุดโทรมเหี่ยวเฉาทั้งแปลง กลับกลายเป็นผักกาดขาวกอใหญ่ขาวอวบอิ่มน้ำ หากมองดูดีจะมีแสงสีประกายสีขาวนวลเปล่งออกมา ....มีพลังวิญญาณแทรกซึมอยู่ตามใบและเส้นสายลำต้นของมันอย่างหนาแน่น...
ความเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและน่าทึ่ง หยางซีซีตกใจเล็กน้อยเธอไม่เคยคิดว่าฝ่ามือของเธอจะมีพลังอำนาจในการชุบชีวิตพืชผักได้ขนาดนี้ เพราะต้องทราบว่าร่างนี้เป็นร่างที่เธอสวมร่างย้ายวิญญาณมา เหตุใดร่างนี้ถึงได้ผสานกับพลังฝ่ามือหัตถ์เทวะของเธอได้ดีขนาดนี้นะ หยางซีซีงวยงงงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็หันมาสัมผัสที่หัวไชเท้าที่หัวเล็กแกร็น เมื่อได้สัมผัสจากหัตถ์เทวะพวกมันก็เริ่มเติบโต หัวขยายใหญ่อวบน้ำขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ละหัวมีขนาดเกือบเท่าแขนของผู้ชายตัวโตๆ คนหนึ่งทีเดียว
หลังจากที่หยางซีซีใช้พลังของตนฟื้นฟูผักกาดขาวต้นแรกก็ตามมาด้วยผักชนิดอื่นๆ ปรากฏการณ์มหัศจรรย์ก็เริ่มเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาเธอ หัวไชเท้าที่เคยเหี่ยวเฉาเริ่มงอกรากใหม่ที่แข็งแรงขึ้น ใบของมันกลับมาเขียวชอุ่มราวกับได้รับน้ำค้างยามเช้า คะน้าก็แตกยอดอ่อนสีเขียวสดใสออกมาอย่างรวดเร็วราวกับจะแข่งกันออกดอกออกผล ต้นหอมหน้ายาวเขียวขจีอวบอิ่ม ฟักทองที่เคยดูแคระแกร็นกลับเติบโตอย่างรวดเร็ว ผลฟักทองขนาดใหญ่สีเหลืองอร่ามปรากฏขึ้นมาอย่างน่าอัศจรรย์ใจ จนหยางซีซีต้องอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง ผลฟักทองลูกนั้นใหญ่โตมโหฬารจนผู้หญิงตัวเล็ก ๆ อย่างเธออุ้มไม่ไหวเลยทีเดียว
ในเวลาเพียงไม่กี่นาที แปลงผักที่เคยดูแห้งแล้งและไร้ชีวิตชีวา กลับกลายเป็นสวนผักที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยพืชผักนานาชนิดที่เติบโตอย่างรวดเร็วราวกับได้รับปุ๋ยวิเศษ พืชผักทุกชนิดดูสดใสและแข็งแรงผิดกับเมื่อกี้ราวกับเป็นคนละแปลงกันเลยทีเดียว หยางซีซีมองไปที่แปลงผักที่เธอจัดการอย่างลืมตัวซะอลังการ ก่อนจะนึกขึ้นมาได้ว่า …แล้วเธอจะให้คำตอบกับครอบครัวหยางอย่างไรดี กับการที่พืชผักพวกนี้มันเติบโตสวยงามขึ้นมาแถมที่สำคัญที่สุดคือมันมีพลังวิญญาณด้วยนะสิ ….เอาอย่างไรดีหล่ะทีนี้
ทันใดนั้นเอง คุณแม่หยางเม่ยก็เดินมาข้างหลังของเธอและมองไปที่แปลงผักที่เคยทรุดโทรมและเหี่ยวเฉาของเธอและอ้าปากค้าง ก่อนจะค่อยๆ หันหน้าไปมองหน้าสะใภ้สามจอมขี้โรคของเธอดวงตาของเธอนั้นเบิกกว้างจนเหมือนจะหลุดออกจากเบ้าตาได้ทุกเวลา…ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาว่าด้วยน้ำเสียงสั่นเทาว่า
“สะใภ้สามเธอทำได้อย่างไร!!!!”
…..อ้าว….มีคนเห็น….
***อ้าวววว!!!! ไหนว่ามองซ้ายมองขวาแล้วอย่างไรเล่า ทำไมแม่สามีถึงมาเห็นได้ล่ะ…****
***อย่าลืมกดหัวใจ เพิ่มเข้าชั้นหรือคอมเมนต์มาเป็นกำลังให้ไรท์ด้วยนะคะ ***
***หากว่าสนุกเกินไปก็สามารถบอกได้ นะคะไรท์จะได้เพิ่มความร้อนแรงเข้าไปอีกสักเล็กน้อย 5555 ****
บทที่ 6 มันจะต้องเป็นความลับของครอบครัวเราตลอดไป“สะใภ้สามเธอทำได้อย่างไร!!!!”น้ำเสียงที่เอ่ยออกไปนั้นสั่นเทาด้วยความตกใจและตื่นตะลึงวันนี้คุณแม่หยางเม่ยตื่นขึ้นมาแต่เช้า เมื่อเดินมาใกล้ห้องครัวเธอได้ยินเสียงของลูกสะใภ้คุยกันที่ห้องครัวเรื่องการทำอาหาร เลยคิดจะออกไปเก็บไข่มาเพิ่มให้พวกเขาเสียหน่อยเพราะจากที่ได้ยินแว่วๆ รายการอาหารนั้นไม่มีเนื้อสัตว์หรือไข่เลย ไหนๆ วันนี้เธอก็เห็นว่าลูกสะใภ้สามนั้นลุกจากเตียงมาได้แล้ว เธอก็อยากจะให้ลูกสะใภ้สามได้กินของดีเสียหน่อย เพราะหลายวันที่ผ่านมานั้นสะใภ้สามนอนป่วยมาตลอดกินได้น้อยด้วย ยิ่งเธอเป็นคนขี้โรคเอะอะอะไรนิดหน่อยก็ปวดหัว ก็เป็นไข้ หยางเม่ยจึงอยากจะให้เธอได้กินไข่บำรุงร่างกาย ความรู้สึกเอ็นดูลูกสะใภ้ของหยางเม่ยนั้นมีที่มาจากอดีตอันขมขื่นของเธอเอง เมื่อครั้งยังสาวเธอถูกครอบครัวขายให้กับตาเฒ่าหยางของเธอ ความรู้สึกถูกทอดทิ้งและความเจ็บปวดจากอดีตได้ฝังรากลึกอยู่ในใจของเธอถึงแม้ว่าเมื่อเธอมาอยู่ที่ตระกูลหยางพวกเขาจะดูแลเธออย่างดี แต่ความฝังใจมันก็ยากที่จะสลัดให้หลุดได้ง่ายๆ ดังนั้นเมื่อมีลูกสะใภ้แต่งเข้ามาเธอจึงดูแลเอาใจใส่พวกเธอทั้งสามมาก มา
บทที่ 7 กินเนื้อ กินเนื้อ กินเนื้อ“เรื่องมันก็เป็นอย่างนี้แหละค่ะคุณพ่อคุณแม่!!”หลังจากที่ทุกคนมากันครบและอาการตื่นเต้นจากการเห็นสวนผักเก่าๆ โทรมๆ ของพวกเขากลายเป็นเหมือนสวนสวรรค์ทุเลาลงบ้างแล้ว หยางซีซีก็เริ่มแต่งเรื่อง เออ...เริ่มเล่าเรื่องเกี่ยวกับมือวิเศษของเธอให้กับครอบครัวได้รู้กัน“คุณพ่อกับคุณแม่ของน้องสะใภ้สามที่ตายไปหลายปีแล้วมาเข้าฝันและให้พรวิเศษอย่างนั้นหรือ?”เป็นพี่สะใภ้ใหญ่ที่ได้ฟังเรื่องราวที่หยางซีซีเล่าเอ่ยถามออกมา และคำถามของเธอก็แทนใจของทุกคนในบ้านเลยทีเดียวหยางซีซีพยายามเล่าเรื่องราวของตนด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา แต่แฝงไปด้วยความศรัทธาและความอัศจรรย์ใจ อย่าลืมว่าเธอคือฮองเฮามาก่อนนะ การเล่าเรื่องให้คนเชื่อถือจะไปอยากอะไร..จริงไหม!!“พวกพี่ก็ทราบว่าฉันนอนป่วยอยู่หลายวัน ในตอนนั้นวิญญาณของฉันได้หลุดออกจากร่างไปแล้วค่ะ ฉันรู้สึกเหมือนกำลังเดินอยู่ในอุโมงค์มืดๆ แล้วก็เห็นแสงสีทองสว่างอยู่ข้างหน้า ฉันเลยเดินตามแสงนั้นไปเรื่อยๆ แสงสีทองนั้นสว่างจ้าราวกับดวงอาทิตย์ มันดึงดูดให้ฉันเดินเข้าไปหาอย่างไม่รู้ตัว รู้สึกเหมือนถูกมันดูดกลืนเข้าไป ทันใดนั้นเอง ฉันก็ได้ยินเสียงเรี
บทที่ 8 ต้องการหาเงินเข้าบ้านบรรยากาศอบอุ่นแผ่ซ่านไปทั่วห้องกินข้าวของบ้านหลังเล็กของตระกูลหยาง เสียงเคี้ยวอาหารเบาๆ ผสมผสานกับเสียงหัวเราะคิกคักอย่างมีความสุขของเด็กๆ ทำให้บรรยากาศดูมีชีวิตชีวาผิดจากวันปกติ"เฮ้อ...ฉันไม่เคยได้กินเนื้ออิ่มขนาดนี้มาก่อนเลย"หยางจิ้ง ผู้เป็นคนพูดน้อยที่สุดของบ้านเอ่ยขึ้นเบาๆ คำพูดสั้นๆ นี้สะท้อนให้เห็นถึงความรู้สึกของทุกคนในบ้านได้เป็นอย่างดี วันนี้เป็นวันที่พิเศษจริงๆ เพราะพวกเขาได้กินเนื้อไก่กันอย่างเต็มที่ ไก่ 2 ตัว ทำอาหารออกมาได้มากมายและคุณแม่ก็ให้พวกเขากินกันเต็มที่เลยจริงๆ หลังจากที่ต้องอดอยากมานาน ต้องทราบว่าในยุค 70 ที่อาหารการกินนั้นขาดแคลนมาก การได้กินเนื้อสัตว์สักมื้อถือเป็นเรื่องที่หรูหราสำหรับครอบครัวชาวนาอย่างพวกเขามากเมนูอาหารวันนี้จัดเต็มตั้งแต่โจ๊กไก่แบบเข้มข้นคนละสองชาม หรือหากใครไม่พอก็เติมได้อีก น้ำแกงไก่รสเข้มข้น ไก่ผัดขิงหอมกรุ่นกินเข้าไปแล้วทำให้ร่างกายอบอุ่น ผัดผักกาดขาวที่รสชาติทั้งหวานทั้งกรอบ และอาหารจานพิเศษที่แม้จะปีใหม่ก็ยากที่จะได้กินนั้นคือ ไก่ทอดพริกเกลือกรอบนอกนุ่มใน ซึ่งเป็นเมนูพิเศษที่คุณแม่หยางเม่ยใจดีอนุญาตให้พ
บทที่9 สร้างมิติใส่ของ“..ฉันรู้รหัสค่ะ”สะใภ้รองผู้งดงามและเป็นคนเงียบ ๆ เอ่ยขึ้นมาเบาๆ“พี่ใหญ่ของฉันแอบส่งมาให้ฉันพร้อมกับของที่ส่งมาให้รอบล่าสุดค่ะ”เธอเฉลยให้ทุกคนได้ฟังว่าได้รหัสมาอย่างไร เพราะการที่จะได้รหัสที่จะเข้าไปในตลาดมืดนั้นไม่ง่ายนัก ต้องคนที่เคยเข้าไปเท่านั้นถึงจะได้มา เพราะตลาดมืดนั้นเป็นการสร้างขึ้นมาโดยผู้มีอิทธิพลกลุ่มหนึ่ง ดูเหมือนว่าจะเป็นทหารเก่าอะไรสักอย่างและหากว่าหยางฟู่เหยาจำไม่ผิดพี่ชายเธอเคยบอกว่าเจ้าของตลาดคือทหารเก่าที่ผันตัวมาเป็นเจ้าพ่อน่าจะชื่อฉีฮ้าว อะไรสักอย่างเธอก็จำไม่ค่อยได้เพราะว่าเส้นทางของภรรยาพวกชาวนาอย่างเธอนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับพวกเจ้าพ่ออยู่แล้วก็เลยไม่อยากจะใส่ใจจำพูดถึงพี่ใหญ่ของหยางฟู่เหยาเขาคือจางอี้เฉิง พี่ใหญ่จางทำงานที่โรงงานเหล็กในตัวเมืองเป็นผู้ช่วยผู้จัดการ ทำให้หน้าที่การงานและการเงินถือว่าดีมาก เพราะว่าสมัยนั้นการได้ทำงานโรงงานนั้นถือว่ามีชามข้าวเหล็กอยู่ในมือ กินใช่อย่างไรก็ไม่หมด คนส่วนใหญ่จึงอยากจะให้ลูกหลานเข้าทำงานในโรงงานกันมาก วันที่เธอได้พบพี่ใหญ่นั้นหยางฟู่เหยาจำได้ดี วันนั้นเธอกับหยางจิ้งเดินทางเข้าเมืองเพื่อซื้อของ
บทที่ 10 เตรียมของไปขาย ‘ที่แห่งนั้น’หลังจากที่หยางซีซีให้ทุกคนฝึกลองใช้ตะกร้ามิติ จนทุกคนเข้าใจและสามารถที่จะทำเองได้แล้ว จากนั้นคนในตระกูลหยางก็เดินเรียงกันกลับไปที่สวนและเล้าไก่อีกครั้ง เมื่อไก่สองตัวที่กำลังนอนพักอยู่เห็นคนบ้านนี้เดินกลับมาหาพวกมันอีกแล้วพวกมันก็หันมองหน้ากันอย่างสงสัยก่อนจะส่งเสียงร้องออกมาเหมือนจะเป็นการถามว่า พวกเขามาทำไมกันอีก...ไข่ก็ไข่ให้ไปแล้วอย่างไร...เมื่อพวกมันมองไปด้านหลังเห็นเจ้าหนุ่มคนเดิมหอบผักกาดขาวมาหอบใหญ่เข้ามา พวกมันมองหน้ากันอีกครั้งอย่างบอกนะว่า.….ตอนที่คนตระกูลหยางกลับออกไปพวกเขาได้ไข่ที่เจ้าไก่ทั้งสองตัวช่วยกันเบ่งจนจะเป็นลมไปอีก 20 ใบ...ตอนนี้พวกมันสองตัวต่างก็พยายามที่เงยคอขึ้นมามองแต่ก็ทำไม่ได้เพราะความเหนื่อย หยางซีซีเห็นเช่นนั้นก็หัวเราะเบาๆ ก่อนพูดกับพวกมันว่าช่วงนี้พวกมันอาจจะต้องเหนื่อยหน่อยนะ จากนั้นเธอก็เทน้ำที่ใช้มือหัตถ์เทวะจุ่มลงไปและใส่พลังลงไปมากหน่อยให้พวกมันดื่มกิน และทันทีที่พวกมันกินน้ำอาการเหนื่อยล้าจากการเบ่งไข่มากมายนั้นก็หายเป็นปลิดทิ้งทันทีตอนนี้หากสังเกตดูดีตัวของพวกมันเหมือนจะอ้วนขึ้นและมีขนสีทองแซมออกมาหลายเส้นที
บทที่ 11 เนื้อแลกทองคำ"นั่นมัน… ทองคำนี้!!! " หยางซีซีกระซิบกับตัวเองอย่างตกใจเธอมองไปที่กองทองคำและเครื่องประดับเหล่านั้นอีกครั้งด้วยความสงสัย ทำไมสองตาหลานถึงมีของมีค่าแบบนี้มาขายในตลาดมืดได้ และทำไมถึงไม่มีใครสนใจที่จะซื้อเลย หยางซีซีมองจ้องไปที่กองทองคำและเครื่องประดับอยู่นานก่อนจะตัดสินใจเดินเข้าไปหาสองตาหลานทันที…ในฐานะฮองเฮา หยางซีซีเคยได้สัมผัสกับเครื่องประดับอันงดงามมากมายนับไม่ถ้วน ทั้งเพชรพลอยและทองคำบริสุทธิ์ต่างถูกนำมาประดับประดาตัวเธอเพื่อแสดงถึงฐานะและอำนาจ ถึงแม้ว่าท้ายที่สุดแล้วของนอกกายเหล่านี้จะไม่สามารถที่จะช่วยชีวิตเธอเอาไว้ได้ก็ตามถึงกระนั้นความเป็นหญิงก็ยังคงฝังอยู่ในตัว เธอหลงใหลในความสวยงามของเครื่องประดับเช่นเดียวกับผู้หญิงทั่วไป การได้เห็นทองคำและเครื่องประดับถูกกองรวมกันไว้เหมือนของไม่มีค่าแบบนี้ ทำให้หัวใจของเธอรู้สึกเจ็บปวดอย่างบอกไม่ถูก หยางซีซีเดินเข้าไปใกล้แผงขายของที่ดูจะทรุดโทรม สองตาหลานนั่งตัวงออยู่เพราะความหนาว อยู่ข้างๆ กองของประดับที่ดูจะขัดกับบรรยากาศของตลาดมืดแห่งนี้สายตานางจับจ้องไปยังกองทองคำและเครื่องประดับที่วางเรียงรายอยู่บนผืนผ้าเก่
บทที่ 12 แบ่งเงินพวกเขาทั้งสามช่วยกันขายเนื้ออยู่อีกเกือบ 1 ชั่วโมงเมื่อเห็นว่าเนื้อใกล้จะหมดแล้วจึงได้เก็บของและพวกกันออกมาจากตลาดมืดทันที…ระหว่างทางที่เดินออกมาหยางซีซีตาไวเธอเห็นว่ามีคนนำพวกทองและเครื่องประดับ ภาพวาด แจกันของเก่าโบราณออกมาวางขายกันอยู่หลายร้านทีเดียวเธอหันมองและดวงตาก็วาววับขึ้นมาทันที….คราวหน้าเจอกัน!!!!!ทั้งสามรีบเดินออกมาจากตลาดมืดแห่งนี้ทันที เพราะถึงจะค้าขายได้ดีขนาดไหนแต่ว่าที่นี่ก็ถือว่าเป็นที่แหล่งผิดกฏหมายและอันตรายมากอยู่ดี และการที่พวกเขามีเนื้อมากมายมาขายก็อาจจะทำให้ถูกเพ่งเล็งได้ เพราะว่าพวกเขาเข้ามาเพียงตะกร้าใบเดียวเหตุใดถึงได้ขายเนื้อไม่หมดสักทีนะสิ หากจะนับรวมๆ แล้วเนื้อที่ขายไปนั้นเกือบ 220 ชั่งได้เมื่อออกมาจากตลาดมืดแล้วทั้งสามก็ตรงไปที่สหกรณ์แวะซื้อพวกเครื่องปรุงนมผง น้ำตาล เกลือ ซีอิ้ว และเครื่องเทศอีกหลายอย่างและหยางฟู่เหยายังซื้อลูกอมตรากระต่ายไปให้หลานๆ ด้วยถุงใหญ่ หยางซีซีเห็นว่ามีแตงโมลูกไม่ใหญ่นักวางอยู่ รวมทั้งผลไม้หายากอย่างสตอเบอร์รี่และองุ่นที่ไม่รู้หลุดรอดมาได้อย่างไรอยู่ 2 กล่อง เธอจึงหยิบทันทีถึงแม้ว่าราคาของสตอเบอร์รี่จะแพงมากต
บทที่ 13 สร้างค่ายกลปลูกผักหลังจากที่แบ่งเงินทองกันเรียบร้อยแล้ว ทุกคนต่างก็มีความสุขกับสิ่งที่พวกเขาได้รับมา ตอนนี้พวกเขาต่างก็ปรึกษากันว่าวันต่อไปใครจะเป็นคนไปขายของซึ่งก็ตกลงกันได้ว่าการขายของยังคงให้เป็น หยางจิ้ว สะใภ้รองและสะใภ้สาม เพราะถือว่าได้เข้าไปในตลาดมืดแล้ว ไม่ต้องให้คนอื่นๆ เข้าไปอีก ซึ่งหยางซีซีและครอบครัวได้ใช้เวลาพูดคุยพักใหญ่ จากนั้นบรรยากาศก็ค่อยๆ เงียบลงเมื่อคุณแม่หยางเม่ยหันไปมองกองทองคำและเครื่องประดับที่วางอยู่บนโต๊ะอย่างสงสัย สายตาของเธอจับจ้องไปที่หยางซีซี ก่อนจะเอ่ยปากถามด้วยน้ำเสียงที่จริงใจ"ลูกอยากได้ของพวกนั้นไปทำไมหรือสะใภ้สาม มันไม่มีประโยชน์อะไรเลยนะแม่ว่า อีกอย่างหากมีเก็บเอาไว้ก็อันตรายด้วยหากว่าถูกคนของทางการค้นเจอ ในยุคนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับผู้คนคือเสื้อผ้า อาหาร ของยังชีพต่างหาก ทำไมลูกถึงได้อยากได้ของพวกนี้กันแม่สงสัยจริงๆ"คำถามของคุณแม่หยางเม่ยทำให้บรรยากาศในห้องเงียบลงไปชั่วขณะ เพราะพวกเขาทุกคนก็เห็นด้วยในสิ่งที่แม่หยางพูด หยางซีซีเงยหน้าขึ้นมองคุณแม่สามีและทุกคน เธอเข้าใจดีว่าในยุค 70 สิ่งของเหล่านี้ไม่ได้มีความสำคัญเท่ากับอาหารและความอ
บทที่ 15 เตรียมตัวเดินทางไปปักกิ่ง "ถ้าอยากได้เงินก้อนโตเร็วๆ คงต้องพึ่งพาพลังของหัตถ์เทวะแล้วล่ะนะ"หยางซีซีกระซิบกับตัวเองอย่างมั่นใจ ดวงตาของเธอเปล่งประกายด้วยความมุ่งมั่นค่ำวันนั้นหยางซีซีได้บอกกับพ่อสามีว่าเธอต้องการที่จะเดินทางไปปักกิ่ง ให้คุณพ่อช่วยไปขอใบออกนอกพื้นที่ให้เธอด้วย โดยเธอจะออกเดินทางในอีก 3วันข้างหน้า คุณแม่หยางเมื่อได้ยินว่าลูกสะใภ้สามต้องการจะเดินทางกลับบ้านจึงได้ถามด้วยความเป็นห่วงเมื่อหยางซีซีจึงได้บอกกับคุณแม่หยางว่าเธอเคยสัญญากับน้องสาวเอาไว้ว่าหากตั้งตัวได้จะไปรับมาอยู่ด้วย ดังนั้นเธอคิดว่าตอนนี้น่าจะถึงเวลาแล้ว และไม่ให้คุณแม่หยางเป็นห่วงหากว่าน้องเธอมาอยู่ด้วยเธอจะหาบ้านเช่าให้น้องเธออยู่เองเพราะว่าบ้านนี้ก็ทั้งเล็กและแคบ หากว่ามีเพิ่มมาอีกคนน่าจะอยู่กันลำบาก เมื่อคิดถึงตรงนี้หยางซีซีจึงได้เอ่ยกับคุณพ่อหยางว่า"คุณพ่อคะ หากว่าพวกเราต้องการจะสร้างบ้านใหม่จะทำได้หรือเปล่าคะ เพราะว่าบ้านเราก็เก่าและคับแคบมากแล้ว หากว่าขยับขยายออกไปหน่อยก็น่าจะดี”“ความจริงแม่ก็คิดอยู่เหมือนกันนะ เอาอย่างนี้ตาเฒ่าตอนที่ไปทำหนังสือของออกนอกพื้นที่กับหัวหน้าก็ลองถามเรื่องการจั
บทที่ 14 อยากรู้อนาคตให้อ่านหนังสือ (พิมพ์)หยางซีซีเอนหลังพิงหัวเตียงไม้เก่าๆ ความคิดของเธอวนเวียนอยู่กับคำพูดของหยางซีซีคนนั้น...น้องสาวที่ถูกทิ้งให้อยู่ในเงาของการใช้แรงงานอย่างทารุณของบ้านป้าและลุง"น้องสาวถูกรังแกอยู่ที่ปักกิ่งอย่างนั้นหรือ..."หยางซีซีพึมพำเบาๆ ดวงตาของเธอหรี่ลงราวกับกำลังมองทะลุผ่านกาลเวลาและระยะทางไปยังอีกฟากหนึ่งของประเทศความทรงจำเกี่ยวกับน้องสาวของร่างนี้ผุดขึ้นมาในหัว เธอจำได้ว่าลุงป้าที่ส่งเธอมาทำงานใช้แรงงานแทนลูกลูกของตัวเองเป็นคนอย่างไร คนแบบนี้ย่อมไม่มีทางปฏิบัติต่อน้องสาวของร่างนี้ด้วยความเมตตาแน่ๆ และการที่วิญญาณของหยางซีซีคนนั้นต้องมาปรากฏตัวต่อหน้าเธอเช่นนี้ แสดงให้เห็นว่าสถานการณ์ของน้องสาวต้องเลวร้ายมาก"แต่จะทำยังไงดีล่ะ..."หยางซีซีครุ่นคิดหนัก ปักกิ่งอยู่ไกลจากที่นี่มากแค่ไหนกันแน่ เธอเองก็ไม่เคยไปมาก่อน ในขณะที่กำลังคิดอยู่นั้น สายตาของเธอก็เหลือบไปเห็นหนังสือพิมพ์ที่วางอยู่บนโต๊ะพาดหัวมีคำว่า"ปักกิ่ง" เธออ่านคำนี้ออกมาเบาๆ ดวงตาของเธอเป็นประกายขึ้นมาเล็กน้อยทันใดนั้นเอง เธอก็นึกขึ้นได้ว่าเธอสามารถที่จะเห็นอนาคตของคนและสิ่งของได้เพียงแค่สั
บทที่ 13 สร้างค่ายกลปลูกผักหลังจากที่แบ่งเงินทองกันเรียบร้อยแล้ว ทุกคนต่างก็มีความสุขกับสิ่งที่พวกเขาได้รับมา ตอนนี้พวกเขาต่างก็ปรึกษากันว่าวันต่อไปใครจะเป็นคนไปขายของซึ่งก็ตกลงกันได้ว่าการขายของยังคงให้เป็น หยางจิ้ว สะใภ้รองและสะใภ้สาม เพราะถือว่าได้เข้าไปในตลาดมืดแล้ว ไม่ต้องให้คนอื่นๆ เข้าไปอีก ซึ่งหยางซีซีและครอบครัวได้ใช้เวลาพูดคุยพักใหญ่ จากนั้นบรรยากาศก็ค่อยๆ เงียบลงเมื่อคุณแม่หยางเม่ยหันไปมองกองทองคำและเครื่องประดับที่วางอยู่บนโต๊ะอย่างสงสัย สายตาของเธอจับจ้องไปที่หยางซีซี ก่อนจะเอ่ยปากถามด้วยน้ำเสียงที่จริงใจ"ลูกอยากได้ของพวกนั้นไปทำไมหรือสะใภ้สาม มันไม่มีประโยชน์อะไรเลยนะแม่ว่า อีกอย่างหากมีเก็บเอาไว้ก็อันตรายด้วยหากว่าถูกคนของทางการค้นเจอ ในยุคนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับผู้คนคือเสื้อผ้า อาหาร ของยังชีพต่างหาก ทำไมลูกถึงได้อยากได้ของพวกนี้กันแม่สงสัยจริงๆ"คำถามของคุณแม่หยางเม่ยทำให้บรรยากาศในห้องเงียบลงไปชั่วขณะ เพราะพวกเขาทุกคนก็เห็นด้วยในสิ่งที่แม่หยางพูด หยางซีซีเงยหน้าขึ้นมองคุณแม่สามีและทุกคน เธอเข้าใจดีว่าในยุค 70 สิ่งของเหล่านี้ไม่ได้มีความสำคัญเท่ากับอาหารและความอ
บทที่ 12 แบ่งเงินพวกเขาทั้งสามช่วยกันขายเนื้ออยู่อีกเกือบ 1 ชั่วโมงเมื่อเห็นว่าเนื้อใกล้จะหมดแล้วจึงได้เก็บของและพวกกันออกมาจากตลาดมืดทันที…ระหว่างทางที่เดินออกมาหยางซีซีตาไวเธอเห็นว่ามีคนนำพวกทองและเครื่องประดับ ภาพวาด แจกันของเก่าโบราณออกมาวางขายกันอยู่หลายร้านทีเดียวเธอหันมองและดวงตาก็วาววับขึ้นมาทันที….คราวหน้าเจอกัน!!!!!ทั้งสามรีบเดินออกมาจากตลาดมืดแห่งนี้ทันที เพราะถึงจะค้าขายได้ดีขนาดไหนแต่ว่าที่นี่ก็ถือว่าเป็นที่แหล่งผิดกฏหมายและอันตรายมากอยู่ดี และการที่พวกเขามีเนื้อมากมายมาขายก็อาจจะทำให้ถูกเพ่งเล็งได้ เพราะว่าพวกเขาเข้ามาเพียงตะกร้าใบเดียวเหตุใดถึงได้ขายเนื้อไม่หมดสักทีนะสิ หากจะนับรวมๆ แล้วเนื้อที่ขายไปนั้นเกือบ 220 ชั่งได้เมื่อออกมาจากตลาดมืดแล้วทั้งสามก็ตรงไปที่สหกรณ์แวะซื้อพวกเครื่องปรุงนมผง น้ำตาล เกลือ ซีอิ้ว และเครื่องเทศอีกหลายอย่างและหยางฟู่เหยายังซื้อลูกอมตรากระต่ายไปให้หลานๆ ด้วยถุงใหญ่ หยางซีซีเห็นว่ามีแตงโมลูกไม่ใหญ่นักวางอยู่ รวมทั้งผลไม้หายากอย่างสตอเบอร์รี่และองุ่นที่ไม่รู้หลุดรอดมาได้อย่างไรอยู่ 2 กล่อง เธอจึงหยิบทันทีถึงแม้ว่าราคาของสตอเบอร์รี่จะแพงมากต
บทที่ 11 เนื้อแลกทองคำ"นั่นมัน… ทองคำนี้!!! " หยางซีซีกระซิบกับตัวเองอย่างตกใจเธอมองไปที่กองทองคำและเครื่องประดับเหล่านั้นอีกครั้งด้วยความสงสัย ทำไมสองตาหลานถึงมีของมีค่าแบบนี้มาขายในตลาดมืดได้ และทำไมถึงไม่มีใครสนใจที่จะซื้อเลย หยางซีซีมองจ้องไปที่กองทองคำและเครื่องประดับอยู่นานก่อนจะตัดสินใจเดินเข้าไปหาสองตาหลานทันที…ในฐานะฮองเฮา หยางซีซีเคยได้สัมผัสกับเครื่องประดับอันงดงามมากมายนับไม่ถ้วน ทั้งเพชรพลอยและทองคำบริสุทธิ์ต่างถูกนำมาประดับประดาตัวเธอเพื่อแสดงถึงฐานะและอำนาจ ถึงแม้ว่าท้ายที่สุดแล้วของนอกกายเหล่านี้จะไม่สามารถที่จะช่วยชีวิตเธอเอาไว้ได้ก็ตามถึงกระนั้นความเป็นหญิงก็ยังคงฝังอยู่ในตัว เธอหลงใหลในความสวยงามของเครื่องประดับเช่นเดียวกับผู้หญิงทั่วไป การได้เห็นทองคำและเครื่องประดับถูกกองรวมกันไว้เหมือนของไม่มีค่าแบบนี้ ทำให้หัวใจของเธอรู้สึกเจ็บปวดอย่างบอกไม่ถูก หยางซีซีเดินเข้าไปใกล้แผงขายของที่ดูจะทรุดโทรม สองตาหลานนั่งตัวงออยู่เพราะความหนาว อยู่ข้างๆ กองของประดับที่ดูจะขัดกับบรรยากาศของตลาดมืดแห่งนี้สายตานางจับจ้องไปยังกองทองคำและเครื่องประดับที่วางเรียงรายอยู่บนผืนผ้าเก่
บทที่ 10 เตรียมของไปขาย ‘ที่แห่งนั้น’หลังจากที่หยางซีซีให้ทุกคนฝึกลองใช้ตะกร้ามิติ จนทุกคนเข้าใจและสามารถที่จะทำเองได้แล้ว จากนั้นคนในตระกูลหยางก็เดินเรียงกันกลับไปที่สวนและเล้าไก่อีกครั้ง เมื่อไก่สองตัวที่กำลังนอนพักอยู่เห็นคนบ้านนี้เดินกลับมาหาพวกมันอีกแล้วพวกมันก็หันมองหน้ากันอย่างสงสัยก่อนจะส่งเสียงร้องออกมาเหมือนจะเป็นการถามว่า พวกเขามาทำไมกันอีก...ไข่ก็ไข่ให้ไปแล้วอย่างไร...เมื่อพวกมันมองไปด้านหลังเห็นเจ้าหนุ่มคนเดิมหอบผักกาดขาวมาหอบใหญ่เข้ามา พวกมันมองหน้ากันอีกครั้งอย่างบอกนะว่า.….ตอนที่คนตระกูลหยางกลับออกไปพวกเขาได้ไข่ที่เจ้าไก่ทั้งสองตัวช่วยกันเบ่งจนจะเป็นลมไปอีก 20 ใบ...ตอนนี้พวกมันสองตัวต่างก็พยายามที่เงยคอขึ้นมามองแต่ก็ทำไม่ได้เพราะความเหนื่อย หยางซีซีเห็นเช่นนั้นก็หัวเราะเบาๆ ก่อนพูดกับพวกมันว่าช่วงนี้พวกมันอาจจะต้องเหนื่อยหน่อยนะ จากนั้นเธอก็เทน้ำที่ใช้มือหัตถ์เทวะจุ่มลงไปและใส่พลังลงไปมากหน่อยให้พวกมันดื่มกิน และทันทีที่พวกมันกินน้ำอาการเหนื่อยล้าจากการเบ่งไข่มากมายนั้นก็หายเป็นปลิดทิ้งทันทีตอนนี้หากสังเกตดูดีตัวของพวกมันเหมือนจะอ้วนขึ้นและมีขนสีทองแซมออกมาหลายเส้นที
บทที่9 สร้างมิติใส่ของ“..ฉันรู้รหัสค่ะ”สะใภ้รองผู้งดงามและเป็นคนเงียบ ๆ เอ่ยขึ้นมาเบาๆ“พี่ใหญ่ของฉันแอบส่งมาให้ฉันพร้อมกับของที่ส่งมาให้รอบล่าสุดค่ะ”เธอเฉลยให้ทุกคนได้ฟังว่าได้รหัสมาอย่างไร เพราะการที่จะได้รหัสที่จะเข้าไปในตลาดมืดนั้นไม่ง่ายนัก ต้องคนที่เคยเข้าไปเท่านั้นถึงจะได้มา เพราะตลาดมืดนั้นเป็นการสร้างขึ้นมาโดยผู้มีอิทธิพลกลุ่มหนึ่ง ดูเหมือนว่าจะเป็นทหารเก่าอะไรสักอย่างและหากว่าหยางฟู่เหยาจำไม่ผิดพี่ชายเธอเคยบอกว่าเจ้าของตลาดคือทหารเก่าที่ผันตัวมาเป็นเจ้าพ่อน่าจะชื่อฉีฮ้าว อะไรสักอย่างเธอก็จำไม่ค่อยได้เพราะว่าเส้นทางของภรรยาพวกชาวนาอย่างเธอนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับพวกเจ้าพ่ออยู่แล้วก็เลยไม่อยากจะใส่ใจจำพูดถึงพี่ใหญ่ของหยางฟู่เหยาเขาคือจางอี้เฉิง พี่ใหญ่จางทำงานที่โรงงานเหล็กในตัวเมืองเป็นผู้ช่วยผู้จัดการ ทำให้หน้าที่การงานและการเงินถือว่าดีมาก เพราะว่าสมัยนั้นการได้ทำงานโรงงานนั้นถือว่ามีชามข้าวเหล็กอยู่ในมือ กินใช่อย่างไรก็ไม่หมด คนส่วนใหญ่จึงอยากจะให้ลูกหลานเข้าทำงานในโรงงานกันมาก วันที่เธอได้พบพี่ใหญ่นั้นหยางฟู่เหยาจำได้ดี วันนั้นเธอกับหยางจิ้งเดินทางเข้าเมืองเพื่อซื้อของ
บทที่ 8 ต้องการหาเงินเข้าบ้านบรรยากาศอบอุ่นแผ่ซ่านไปทั่วห้องกินข้าวของบ้านหลังเล็กของตระกูลหยาง เสียงเคี้ยวอาหารเบาๆ ผสมผสานกับเสียงหัวเราะคิกคักอย่างมีความสุขของเด็กๆ ทำให้บรรยากาศดูมีชีวิตชีวาผิดจากวันปกติ"เฮ้อ...ฉันไม่เคยได้กินเนื้ออิ่มขนาดนี้มาก่อนเลย"หยางจิ้ง ผู้เป็นคนพูดน้อยที่สุดของบ้านเอ่ยขึ้นเบาๆ คำพูดสั้นๆ นี้สะท้อนให้เห็นถึงความรู้สึกของทุกคนในบ้านได้เป็นอย่างดี วันนี้เป็นวันที่พิเศษจริงๆ เพราะพวกเขาได้กินเนื้อไก่กันอย่างเต็มที่ ไก่ 2 ตัว ทำอาหารออกมาได้มากมายและคุณแม่ก็ให้พวกเขากินกันเต็มที่เลยจริงๆ หลังจากที่ต้องอดอยากมานาน ต้องทราบว่าในยุค 70 ที่อาหารการกินนั้นขาดแคลนมาก การได้กินเนื้อสัตว์สักมื้อถือเป็นเรื่องที่หรูหราสำหรับครอบครัวชาวนาอย่างพวกเขามากเมนูอาหารวันนี้จัดเต็มตั้งแต่โจ๊กไก่แบบเข้มข้นคนละสองชาม หรือหากใครไม่พอก็เติมได้อีก น้ำแกงไก่รสเข้มข้น ไก่ผัดขิงหอมกรุ่นกินเข้าไปแล้วทำให้ร่างกายอบอุ่น ผัดผักกาดขาวที่รสชาติทั้งหวานทั้งกรอบ และอาหารจานพิเศษที่แม้จะปีใหม่ก็ยากที่จะได้กินนั้นคือ ไก่ทอดพริกเกลือกรอบนอกนุ่มใน ซึ่งเป็นเมนูพิเศษที่คุณแม่หยางเม่ยใจดีอนุญาตให้พ
บทที่ 7 กินเนื้อ กินเนื้อ กินเนื้อ“เรื่องมันก็เป็นอย่างนี้แหละค่ะคุณพ่อคุณแม่!!”หลังจากที่ทุกคนมากันครบและอาการตื่นเต้นจากการเห็นสวนผักเก่าๆ โทรมๆ ของพวกเขากลายเป็นเหมือนสวนสวรรค์ทุเลาลงบ้างแล้ว หยางซีซีก็เริ่มแต่งเรื่อง เออ...เริ่มเล่าเรื่องเกี่ยวกับมือวิเศษของเธอให้กับครอบครัวได้รู้กัน“คุณพ่อกับคุณแม่ของน้องสะใภ้สามที่ตายไปหลายปีแล้วมาเข้าฝันและให้พรวิเศษอย่างนั้นหรือ?”เป็นพี่สะใภ้ใหญ่ที่ได้ฟังเรื่องราวที่หยางซีซีเล่าเอ่ยถามออกมา และคำถามของเธอก็แทนใจของทุกคนในบ้านเลยทีเดียวหยางซีซีพยายามเล่าเรื่องราวของตนด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา แต่แฝงไปด้วยความศรัทธาและความอัศจรรย์ใจ อย่าลืมว่าเธอคือฮองเฮามาก่อนนะ การเล่าเรื่องให้คนเชื่อถือจะไปอยากอะไร..จริงไหม!!“พวกพี่ก็ทราบว่าฉันนอนป่วยอยู่หลายวัน ในตอนนั้นวิญญาณของฉันได้หลุดออกจากร่างไปแล้วค่ะ ฉันรู้สึกเหมือนกำลังเดินอยู่ในอุโมงค์มืดๆ แล้วก็เห็นแสงสีทองสว่างอยู่ข้างหน้า ฉันเลยเดินตามแสงนั้นไปเรื่อยๆ แสงสีทองนั้นสว่างจ้าราวกับดวงอาทิตย์ มันดึงดูดให้ฉันเดินเข้าไปหาอย่างไม่รู้ตัว รู้สึกเหมือนถูกมันดูดกลืนเข้าไป ทันใดนั้นเอง ฉันก็ได้ยินเสียงเรี