ก่อนที่เหล่านักฆ่าจะได้ทำตามที่หัวหน้าสั่ง พวกเขาต้องตกใจกับพลังกดดันที่เตียวหย่งไจ้ปล่อยออกมาด้วยความโกรธ
“หึ พวกเจ้ากล้ามากที่เข้ามาฆ่าคนกลางวันแสก ๆ แถมฆ่าใครไม่ฆ่า กล้ามาฆ่าครอบครัวหลานเขยข้าเหรอ หาที่ตาย!”
อั่ก!
นักฆ่าปลายแถวบางคนทนแรงกดดันไม่ไหวกระอักเลือดออกมา ชิวเพ่ยเพ่ยเห็นท่านตาโกรธก็กลัวจะเสียสุขภาพ นางรีบยัดเจ้าตัวเล็กเข้าอ้อมกอดสามีแล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้เดินไปหาท่านตา
“ท่านตาเจ้าขา อย่าโกรธ เดี๋ยวจะเสียสุขภาพนะเจ้าคะ ยาบำรุงข้ายังไม่ได้ปรุงใหม่เลย” ชิวเพ่ยเพ่ยลูบแขนท่านตาของนางอย่างออดอ้อน
“เฮ่อ เจ้าจะไม่ให้ตาโกรธได้อย่างไร เจ้าดูพวกมันพูดสิ มันพูดเหมือนกับว่าข้าตายไปแล้วเสียอย่างนั้น บัดซบจริง ๆ เลย” เตียวหย่งไจ้พูดด้วยใบหน้างอง้ำ เขาเองก็อยากหายโกรธอยู่หรอ แต่พอมองเห็นพวกโง่ที่รนหาที่ตายตรงหน้าก็อารมณ์ขึ้นมาอีกรอบ
“โธ่ ท่านตา คนพวกนี้แค่อยากตายเท่านั้น ท่านจะโกรธเคืองเรื่องอันใดเล่า อย่างมากก็แค่หาคนมาเก็บศพไปทิ้งที่ป่าให้หมากินโน่น ข้าพูดถูกไหมเจ้าคะ?” ชิวเพ่ยเพ่ยยังมีรอยยิ้มให้ท่านตานางเสียอีก นี่ขนาดว่ากำลังพูดเรื่องฆ่าแกงกันนะ
เสียงของนางที่เปล่งออกมาไม่เบานัก ทุกคนที่ได้ยินต่างมองมาทางชิวเพ่ยเพ่ยเป็นตาเดียวกัน พวกเขาไม่คิดว่าหญิงสาวหน้าตาน่ารักเรียบร้อยจะพูดเรื่องโหดร้ายอย่างหน้าตาเฉยเช่นนี้ อ่า คนพวกนี้เป็นยังไงกันหนอ
นักฆ่าที่คิดว่าตัวเองเก่งกาจหลายคนพอฟังแล้วก็กำดาบในมือแน่น พวกเขาอยากสับปากนังหนูนี่ให้เละเทะจนจำไม่ได้เสียจริง ๆ
“ปากดีจริงนะนังหนู ใกล้จะตายอยู่แล้วยังกล้าหยิ่งยโสถึงขนาดนี้ ข้าอยากจะรู้จริง ๆ ว่าถ้าเจ้าอยู่ใต้ร่างข้า เจ้าจะยังปากดีแบบนี้อยู่หรือเปล่า ฮ่า ฮ่า” นักฆ่าคนหนึ่งที่ไม่กลัวตาย เห็นรูปร่างนางน่าฟัดไม่น้อยจึงเอ่ยออกมาอย่างย่ามใจ
เฟยหยุนที่กำลังอุ้มบุตรชายรีบส่งเขาให้ท่านแม่ยายทันที เขาลุกขึ้นจากเก้าอี้อย่างว่องไว พร้อมใช้วิชาตัวเบาเหินบินเข้าไปตบปากคนที่เอ่ยวาจาจาบจ้วงภรรยารักของเขา
เพี๊ยะ!!!
อ่อก!
เสียงตบดังมา ตามด้วยเสียงกระอักเลือดของนักฆ่าไม่รู้จักที่ตายคนนั้น ทำเอาขุนนางอ่อนแอในงานเลี้ยงต่างขนลุกชูชันจากความหวาดกลัว อา แม่ทัพใจโฉดยังคงโหดร้ายเช่นเดิม ข้าก็นึกว่าเขาจะอ่อนโยนขึ้นหลังจากแต่งภรรยา อั้ยหยา ข้าต้องรีบเตือนคนในเรือนแล้วว่าอย่าไปยั่วยุคนบ้าคนนี้
นักฆ่าคนข้าง ๆ แทบมองไม่เห็นว่าเฟยหยุนมาถึงตรงนี้ได้ยังไง เขาไม่คิดว่าคนในจวนโหวจะมีฝีมือดีถึงขนาดนี้ ไหนคนว่าจ้างบอกว่าครอบครัวโหวมีแค่สี่คน เป็นแม่ทัพวัยกลางคนกับภรรยา และบุตรชายกับลูกสะใภ้อ่อนแอ แต่นี่อะไรกัน ตาเฒ่าผู้นั้นมีพลังปราณสูงส่งกว่าเขาเสียอีก แถมเจ้าหนุ่มคนนี้ก็ไม่น่าจะมีฝีมือด้อยกว่าเขา แล้วแบบนี้เขาจะรอดกลับไปใช้เงินได้อยู่ไหม?
หัวหน้านักฆ่าเห็นคนในกลุ่มถูกทำร้ายต่อหน้าต่อตาก็ชักจะเลือดเดือด เขารีบออกคำสั่งให้ฆ่าเฟยหยุนเสียที เนื่องจากเสียเวลากันมากเกินไปแล้ว หากทางการรู้เข้าแล้วมาล้อมปราบพวกเขาแล้วจะทำอย่างไร ต่อให้มีปีกก็คงจะบินหนีไม่พ้นแน่
องค์ชายสามส่งองครักษ์ไปแจ้งฮ่องเต้ก่อนหน้าแล้ว พอเขาเห็นสหายกำลังจะถูกกลุ้มรุมก็ทนไม่ไหว รีบลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปหาเฟยหยุนที่ด้านข้าง เขาเองก็มีฝีมือไม่ด้อยกว่าสหายหรอกหนา
“หึ พวกเจ้านี่มันรนหาที่ตายกันจริง ๆ เจ้าคิดว่าแคว้นหนานอ่อนแอขนาดนั้นเลยเหรอ ถึงคิดจะฆ่าใครก็ได้น่ะ” องค์ชายสามผู้เย่อหยิ่งมาตลอดชีวิต เขามีหรือจะกลัวคนพวกนี้
“เจ้าเป็นใคร?” หัวหน้านักฆ่าเริ่มงงงัน ทำไมคนที่ไม่ใช่เป้าหมายออกมามากมายแบบนี้วะเนี่ย
“ข้าองค์ชายสามแคว้นหนาน เจ้ากลัวหรือยัง?” องค์ชายสามเชิดหน้าใส่พร้อมรอยยิ้มกวนอวัยวะเบื้องล่างยิ่งนัก
“ฮ่า ข้าหรือจะกลัวองค์ชายผู้ไร้ประโยชน์อย่างเจ้า ฝันไปเถอะ!” นักฆ่าคนหนึ่งเอ่ยคำแทนหัวหน้ากลุ่ม เขาเคยได้ยินชื่อเสียงเลวร้ายขององค์ชายผู้นี้มาไม่น้อย จึงไม่เคยคิดว่าองค์ชายสามจะมีแรงแม้แต่จะฆ่าไก่
องค์ชายสามเห็นคนดูถูกเขาต่อหน้าคนมากมาย ความอับอายกลายเป็นโกรธ เขาเหินบินเข้าไปเตะคนพูดจนปลิวกระเด็นไปชนต้นไม้หักครึ่งเลยในเท้าเดียว
เปรี้ยง! เปรี๊ยะ! โครม!!!
เหล่านักฆ่าเห็นคนตรงหน้าเตะคนของพวกเขาทีเดียวเท่านั้น แต่นักฆ่าที่ถูกเตะกลับปางตายแล้วตอนนี้ อา นี่พวกเขามาทำอะไรกัน? ทำไมที่นี่มีแต่สายแข็งทั้งนั้นหนอ แล้วแบบนี้พวกเขายังจะมีชีวิตรอดไหม?
“พวกเจ้ายังชักช้าหาพระแสงอันใดกันอยู่ หรือจะรอให้มันฆ่าพวกเจ้าก่อนหรืออย่างไร ฆ่ามันเซ่!” หัวหน้านักฆ่าเริ่มหงุดหงิดคนของตน เขาบอกให้พวกมันรุมฆ่ามาหลายรอบแล้วนะ ไอ้โง่พวกนี้ยังมัวแต่ยืนบื้อให้พวกมันทำร้ายอยู่นั่นแหละ คราวนี้บรรดานักฆ่าไม่รอช้า พวกเขากระชับดาบในมือแล้วรุมเข้าหาเฟยหยุนกับองค์ชายสามก่อน ส่วนคนอื่น ๆ กระจายกำลังเข้าหาเฟยโหวและโหวฮูหยิน ชิวเพ่ยเพ่ยเห็นพวกมันกล้าเข้าหาพ่อแม่สามี นางก็ชักจะนิ่งเฉยไม่ไหว นางไปยืนด้านหน้าท่านพ่อท่านแม่สามีและรับมือกับนักฆ่าจำนวนนับสิบด้วยตัวคนเดียว คราแรกเฟยโหวกับภรรยาตั้งใจจะแสดงฝีมือข่มขวัญเหล่านักฆ่ารอเวลาให้คนขององค์ชายสามมาเสียหน่อย กลับกลายเป็นว่าลูกสะใภ้คนดีมาปกป้องพวกเขาเสียนี่ สองสามีภรรยาหันมองหน้ากัน โหวฮูหยินหันไปหาน้องสาวเฟยหลิวคนดีของนาง เตียวเฟยหลิวเห็นพี่สาวคนใหม่หันมาสอบถาม นางจึงยิ้มและตอบกลับอย่างสบาย ๆ ว่า“ปล่อยให้นางยืดเส้นยืดสายเสียหน่อยก็ได้พี่สาว บุตรสาวข้าตั้งแต่ท้องมาก็ยังไม่ได้ออกแรงอีกเลย พวกท่านไม่จำเป็นต้องกังวล นางไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้นเจ้าค่ะ” สองสามีภรรยาพยักหน้าอย่างเหม
ชิวเพ่ยเพ่ยไม่ใช่มองไม่เห็นว่ามีคนหนีไปได้ นางเพียงส่งสัญญาณให้คนตามไปห่าง ๆ แล้วจัดการเสียก็เท่านั้น เมื่อสถานการณ์กลับคืนสู่ความสงบดังเช่นก่อนหน้า ชิวเพ่ยเพ่ยสั่งคนของนางนำศพไปทิ้งป่าให้หมากินอย่างที่นางบอกเอาไว้แล้ว หึ คนอย่างนางพูดคำไหนคำนั้นนะ ขอบอก! แขกเหรื่อที่เหงื่อแตกกับสิ่งที่เห็นตรงหน้า พวกเขาเข้าใจอย่างลึกซึ้งแล้วว่า อย่าได้กล้ายุ่งเกี่ยวเทียวหาเรื่องกับคนพวกนี้หากไม่อยากตาย คราแรกพวกเขาคิดว่าคนที่น่ากลัวจะเป็นซื่อจื่อใจโฉดเสียอีก ที่ไหนได้ภรรยาของเขาช่างน่ากลัวเสียยิ่งกว่า บรื๋อ พวกเขาไม่น่าหลงกลใบหน้าใสซื่อนั่นก่อนหน้านี้เลยจริง ๆ เกือบไปแล้วที่คิดจะแย่งชิงนางมาเป็นสะใภ้ ขุนนางทั้งหลายต่างมีความคิดคล้ายคลึงกันโดยไม่ได้นัดหมาย ชิวเพ่ยเพ่ยที่เห็นว่าแขกเหรื่อเริ่มจิตใจไม่ค่อยดี นางจึงลุกขึ้นกล่าวขอโทษพวกเขาตามแบบอย่างสตรีที่ได้รับการอบรมมาอย่างดีทำกัน“ข้าและครอบครัวต้องขออภัยทุกท่านที่มาร่วมแสดงความยินดีกับบุตรชายในวันนี้ด้วย ข้าไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องมากมายในวันนี้ หวังว่าทุกท่านจะไม่รังเกียจ และเชิญพวกท่านทานอาหารต่อได้เลยเจ้าค่ะ” ชิวเพ่ยเพ่
หลังผ่านงานเลี้ยงของเจ้าตัวเล็กได้สามเดือน จู่ ๆ เฟยหยุนก็มีงานต้องเดินทางไปต่างเมืองเสียนี่ ชิวเพ่ยเพ่ยที่กลับมาดูแลตำหนักเมฆาดับแล้วก็ยิ่งยุ่งแทบทุกวัน นางไม่คิดมากที่สามีต้องห่างหาย ถึงอย่างไรก็มีคนของนางตามดูแลเขาอยู่ดีนี่นา ส่วนเจ้าตัวเล็กนั้นหนา ถูกบรรดาท่านทวดลักพาตัวไปแล้ว ชิวเพ่ยเพ่ยไม่สนใจเขาว่าจะเป็นอย่างไร ดีที่ลูกน้อยนางแข็งแรงกว่าเด็กปกติมากนัก น่าจะเพราะเขาดูดซับยาบำรุงนางไปเสียหมดนั่นแหละ ทำให้ไม่กี่เดือนเขาก็หย่านมด้วยตัวเอง ตอนนี้เขาชอบกินกล้วยบดกับฟักทองบดพร้อมนมวัวที่สุด ท่านตาท่านยายลงทุนให้คนไปหาวัวนมพันธุ์ดีจากต่างแคว้นมาเลี้ยงที่จวนตระกูลชิวเพื่อเหลนของพวกเขาเลยเชียวหนา ชิวเพ่ยเพ่ยยังคงคิดที่จะขยายกิจการที่ตอนนี้มีหลัก ๆ คือร้านแลกเงินทั้งห้าแคว้น นางอยากเพิ่มหนทางหาข่าวที่เร็วกว่านี้ จึงคิดจะสร้างโรงน้ำชาที่คนทุกเพศทุกวัยสามารถใช้บริการได้ ข่าวที่พวกเขาเหล่าคนธรรมดารู้ อาจมีบางสิ่งสำคัญบ้างที่นางสามารถนำมาใช้ได้ เรื่องนี้นางคงต้องปรึกษาท่านตา ท่านยายดูเสียก่อนจะเริ่มดำเนินการ หากทำได้จริง ถึงแม้กิจการงานรับจ้างฆ่าจะน้อยลง รา
ชิวเพ่ยเพ่ยยังไม่รู้ว่าพวกมันจับสามีนางไปไว้ที่ไหน เพราะองครักษ์ที่นางให้ดูแลสามี บาดเจ็บสาหัสตอนเข้าไปปกป้องสามีนาง ดีที่เขายังสามารถส่งข่าวไหวก่อนจะสลบไป คนของตำหนักเมฆาดับเห็นพลุสัญญาณฉุกเฉินบริเวณใกล้เคียงจึงไปนำตัวเขามารักษาที่สาขาเมืองเจิ้งแล้ว ชิวเพ่ยเพ่ยแวะส่งข่าวที่สาขาเมืองไห่เฟิงเพื่อออกคำสั่งลับระดับสูงสุด ระดมคนของตำหนักเมฆาดับสืบหาที่อยู่ของสามีนางโดยด่วน หากรู้ที่อยู่แล้วอย่าเพิ่งทำสิ่งใดวู่วาม ให้รีบส่งข่าวให้นางทันที ตอนนี้นางกำลังรีบไปเมืองเจิ้ง คำสั่งลับที่ไม่ได้ใช้มาหลายสิบปี ตอนนี้ปรากฏขึ้นอีกครั้ง คนในตำหนักเมฆาดับตั้งแต่บนลงล่าง รีบไปทำตามคำสั่งเจ้าตำหนักทันที เหล่าคนร้ายที่ยังไม่รู้ตัวว่าหาเรื่องคนที่ไม่ควรหาเรื่องเข้าแล้ว ยังคงพาตัวเฟยหยุนเดินทางเพื่อจะข้ามชายแดนไปแคว้นจ้าน อดีตองค์ชายมีศักดิ์เป็นหลานของฮ่องเต้แคว้นจ้านในตอนนี้ เขาจึงแอบสั่งให้คนของเขาไปลักพาตัวเฟยหยุนมาเพื่อแก้แค้น คราก่อนที่วังหลวง เป็นเพราะตระกูลเฟยที่ทำให้แผนการใหญ่ของเสด็จพี่ใหญ่ของเขาพังพินาศ เขาถูกปลดแล้วส่งตัวไปเป็นทาสที่ชายแดน ยังดีที่เสด็จลุงทราบข
ชิวเพ่ยเพ่ยออกจากเมืองเจิ้งตามเส้นทางที่ได้รับข่าวของรถม้าต้องสงสัยไปทางชายแดนแคว้นจ้านในขณะนี้ ระหว่างทางที่ใกล้จะถึงเมืองเหิง องครักษ์เงาได้รับสัญญาณข่าวจากตำแหน่งไม่ไกลนัก เขารีบใช้วิชาตัวเบาไปสอบถามทันที พอฟังจบแล้วเขารีบกลับไปหาคุณหนูแล้วรายงานทุกอย่างที่ทราบ ชิวเพ่ยเพ่ยคำนวณเวลาจากที่นี่ไปถึงจุดนั้นน่าจะใช้เวลาเกือบหนึ่งวัน นางไม่อาจรอนานขนาดนั้นได้ ตอนนี้นางรู้สึกไม่ดีผิดปกติ นางกลัวว่าสามีนางจะเป็นอะไรไปเสียก่อน ชิวเพ่ยเพ่ยทิ้งม้าให้องครักษ์ส่งคนมาพามันไปพัก นางเร่งเร้าลมปราณจนถึงขีดสุดแล้วใช้วิชาตัวเบาไปที่นั่นปานสายลมวูบหนึ่ง องครักษ์ทั้งสองรู้ว่าถึงอย่างไรพวกเขาก็ตามนางไม่ทัน จึงได้แต่พาม้าไปแวะสาขาใกล้ ๆ แล้วค่อยตามนางไปทีหลังก็ยังไม่สาย ถึงอย่างไรคุณหนูของพวกเขาก็มักทิ้งกลิ่นให้พวกเขาตามได้ทุกครั้งอยู่แล้ว เรื่องการพลัดหลงกันของพวกเขานั้นยิ่งเป็นไปไม่ได้ ชิวเพ่ยเพ่ยใช้วิชาตัวเบาไปถึงตำแหน่งที่ได้รับข่าวภายในเวลาเพียงสามชั่วยาม นางเห็นคนของตำหนักเมฆาดับรออยู่ก่อนแล้ว หัวหน้ากลุ่มรีบรายงานทุกอย่างอย่างละเอียด ชิวเพ่ยเพ่ยจึงสั่งการให้
เหล่าผู้คนที่เห็นสภาพศพสุดสยองของอดีตองค์ชายต่างฝันร้ายกันไปเกือบเดือน ร่างกายทุกส่วนของเขาแทบไม่มีส่วนใดที่มีสภาพสมบูรณ์ ไหนจะศพของคนในจวนที่ทรมานจากเลือดออกจากทวารทั้งเจ็ด พวกเขาไม่มีใครตายตาหลับเลยแม้แต่คนเดียว ใบหน้าแต่ละคนเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ทำให้ทุกคนรู้เลยว่า ขณะเกิดเหตุการณ์คนผู้นั้นโหดเหี้ยมมากขนาดไหนถึงทำให้คนตายหวาดกลัวได้ขนาดนี้ ฮ่องเต้แคว้นจ้านที่เคยหยิ่งยโส พอได้รับรายงานเรื่องอักษรเลือดเข้าก็ไม่กล้าอีกต่อไป เขาที่ให้องครักษ์ลับไปสืบข่าวในวันนั้นรู้ว่าเป็นคนของตำหนักเมฆาดับที่มาเอง โดยมีเจ้าตำหนักสั่งการด้วยตัวเอง เขามีหรือจะกล้าแหย่หนวดเสือร้ายแบบนั้น มีใครไม่รู้บ้างว่าตำหนักเมฆาดับเป็นหนึ่งในใต้หล้ามาตลอดหลายสิบปี พวกเขาเหล่าเจ้าของแคว้นยังได้ยินข่าวลือที่น่าสะพรึงกลัวว่าเจ้าตำหนักคนใหม่โหดร้ายมากกว่าคนเดิมไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า ขนาดคนในตำหนักเองยังไม่กล้าหือ แล้วคนอย่างพวกเขามีหรือจะกล้า ฮ่องเต้แคว้นจ้านจึงได้แต่สั่งคนไปฝังศพหลานชายและน้องสาว รวมทั้งคนในจวนที่หลุมฝังศพอื่นแทน เขาไม่กล้านำมาฝังที่หลุมศพบรรพชนหรอก หากคนผู้นั้นรู้เ
สองวันต่อมาหลังจากชิวเพ่ยเพ่ยได้รับคำขอบคุณจากสามีนางจนเหนื่อยอ่อน นางรีบชวนเขากลับเมืองหลวงเพื่อไม่ให้ครอบครัวเป็นห่วงทันที คราวนี้พวกเขาใช้รถม้าเดินทางท่องเที่ยวไปด้วยอย่างช้า ๆ ไหนจะคอยซื้อของฝากจนเต็มไปหมดอีก ชิวเพ่ยเพ่ยยังต้องซื้อรถม้าเพิ่มอีกคันเพื่อใส่ของฝากโดยเฉพาะ ก็นะ คนในบ้านนางมีน้อยเสียที่ไหนเล่า กว่าสองสามีภรรยาจะกลับมาถึงเมืองหลวงก็เกือบเดือนครึ่งเลยทีเดียว ระหว่างทางชิวเพ่ยเพ่ยรู้สึกไม่ค่อยสบายอยู่ตลอด จนเฟยหยุนเป็นห่วงอยากให้นางพบหมอ เพียงแต่ชิวเพ่ยเพ่ยดื้อรั้นอยากกลับบ้านท่าเดียว เขาจึงได้แต่พักเป็นระยะแทน นางกินอะไรก็เอาแต่อ้วกจนร่างกายอ่อนเพลีย เขาจนใจที่ไม่รู้จะทำเช่นไรจึงได้แต่พยายามให้องครักษ์เงาของนางไปหาซื้อของแปลก ๆ มา เผื่อนางจะกินได้บ้าง จนสุดท้ายชิวเพ่ยเพ่ยได้กินมะม่วงเปรี้ยวกับมะยมเข้าไปจนกลายเป็นอาหารติดปาก บางครานางก็อยากกินขนมหวานเสียอีก อาหารจำพวกปลาอย่าได้มาใกล้นางเชียว นางเป็นต้องอ้วกเสียทุกที เขาจึงได้แต่สั่งซื้อซาลาเปาไส้หวานบ้าง ไส้เนื้อบ้างมาให้นางกินพร้อมน้ำเต้าหู้ เขาเองก็ไม่รู้ว่าภรรยาเป็นอะไร ทั้งที่เมื่อก่อนนางไม่
เมื่อชิวเพ่ยเพ่ยเข้าเดือนที่สองของการตั้งครรภ์ นางไม่อาจอยู่ใกล้ชิดสามีได้เหมือนดังเดิม เวลาเขาเข้ามาใกล้ นางมักจะรู้สึกอยากอาเจียนไปเสียทุกครั้ง ทำเอาเฟยหยุนสามีผู้น่าสงสารหนีไปร้องห่มร้องไห้กับท่านโหวและภรรยาจนพวกเขาระอาใจ โหวฮูหยินได้แต่ปลอบบุตรชายว่ามันเป็นเพียงแค่ช่วงนางท้องเท่านั้น อีกไม่นานก็หาย สองพ่อแม่ของลูกชายบ้าบอได้แต่เหนื่อยใจ พวกเขาทั้งปลอบทั้งด่า ลูกชายพวกเขาก็ยังงอแงไม่เลิก เฟยหยุนที่ทำอะไรไม่ได้นอกจากออกห่างภรรยารัก เขาจึงทำหน้าที่เลี้ยงดูบุตรชายคนโตด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะอาบน้ำ กินข้าว นอนหลับ เฟยหยุนจะขลุกอยู่กับบุตรชายพอให้หายเหงาจากการคิดถึงภรรยา บรรดาทวดทั้งสี่ที่ถูกแย่งชิงเหลนรักไปได้แต่ทำใจ เอาเถอะ ในเมื่ออีกไม่นานพวกเขาจะมีเหลนคนใหม่มา ปล่อยให้หลานเขยทำอะไรก็ได้ที่เขาสบายใจเลย เฮ้อ เหล่าผู้ชราจึงหาเรื่องอื่นทำแทนในช่วงนี้ พวกเขาสรรหาอาหารสารพัดไปบำรุงหลานสาวที่ท้องครานี้กลับเลือกกินนัก ส่วนเตียวเฟยหลิวน่ะหรือ นางนั่งหัวเราะสมน้ำหน้าบุตรสาวที่ท้องอีกแล้ว แถมครานี้นางลำบากเสียยิ่งกว่าท้องแรกเสียอีก ชิวกังสามีได้แต่สงสัยว่า
“ฝ่า..ฝ่าบาท” ขุนนางที่เมื่อกี้ิเชิดหน้าชูคอใส่ชิวเพ่ยเพ่ยเข่าอ่อนในทันใด เขารีบคุกเข่าทำความเคารพฮ่องเต้พร้อมคนอื่น ๆ ที่เขาพามา ฮ่องเต้ไม่แม้แต่จะมองและสั่งให้พวกเขาลุกขึ้น เขาจะปล่อยให้พวกมันคุกเข่าไปฟังไปแบบนี้นี่แหละ ช่างหาเรื่องให้เขาเสียหน้ากับผู้มีพระคุณนัก“คารวะท่านเจ้าตำหนัก ข้าเพิ่งรู้ว่าท่านมาแคว้นเยี่ยจึงเสียมารยาทที่ไม่ได้มาต้อนรับท่านด้วยตัวเอง หวังว่าท่านจะไม่ถือโทษโกรธข้าหรอกนะ” ฮ่องเต้ที่อาวุโสกว่าชิวเพ่ยเพ่ยหลายปีรีบขอโทษนางก่อนอย่างไม่อายใคร“ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องมากมารยาทกับข้า ข้ากับสามีเพียงอยากมาทำบุญที่แคว้นเยี่ย แต่ดูท่าทางแล้วคนในแคว้นของท่านคงไม่ชอบเรื่องดี ๆ เช่นนี้นัก วันนี้ข้าจึงต้องลงมือจนทำให้ท่านลำบาก ข้ากับสามีต้องขอโทษท่านเช่นกัน” ชิวเพ่ยเพ่ยไม่จำเป็นต้องใช้ราชาศัพท์กับเขา นางพูดกับเขาเหมือนคนสนิทที่เคยพบปะกันมา ทั้งที่จริงนางแค่เคยพูดคุยและติดต่อกับเขาทางจดหมายหลังถล่มจวนอ๋องไปเมื่อคราวนั้นเท่านั้น“อืม ขอบคุณท่านมากที่ไม่ถือสา ส่วนคนที่สร้างปัญหาให้ท่าน ข้าอยากขอให้ท่านจัดการแทนข้าได้หรือไม่ อีกอย่าง ข้ามีเรื่องอยากปรึกษาท่านกับสามีด้ว
“คุณชาย ท่านช่วยข้าด้วยสิเจ้าคะ ข้ายินดีตอบแทนท่านด้วยร่างกายอันสดใหม่ หากท่านช่วยข้าจากผู้หญิงเลวคนนี้ ฮึก” นางแพศยานี่ยังกล้ามาขอให้เขาช่วยอีกหรืออย่างไร ช่างไม่รู้จักตายเสียจริง ๆ เฟยหยุนมองผู้หญิงเสแสร้งตรงหน้าเขาตาขวาง เขาไม่เคยรู้จักนางมาก่อน ทำไมนางคนนี้ถึงได้มาหาเรื่องเขาแบบนี้ เขาอยากรู้มากจริง ๆ ว่าใครมันหาเรื่องให้ข้า!!! ชิวเพ่ยเพ่ยหรี่สายตามองสามีนางและหญิงสาวที่ยังคงเล่นละครอย่างไม่อายใคร กระทั่งเฟยหยุนทนความกดดันไม่ไหวเขารีบสั่งคนจับนางอ้าปากแล้วให้พวกเขายัดอาหารที่หญิงผู้นี้นำมาเข้าไปจนหมด เขาหมดความอดทนแล้วจริง ๆ แถมยังไม่อยากอยู่ใกล้ผู้หญิงน่าขยะแขยงเช่นนี้แม้สักนิด ชิวเพ่ยเพ่ยเห็นสามีกระดึ๊บ กระดึ๊บมาหานางหลังสั่งคนจัดการนังตัวดีแล้ว นางแอบยิ้มอย่างสมใจ หึ นับว่าเจ้ายังรู้ว่าอะไรดีนะสามี ไม่อย่างนั้นล่ะก็… เจ้าหน้าที่เห็นเหตุการณ์และกำลังจะเข้าไปช่วยผู้หญิงคนนั้น แต่คนของตำหนักเมฆาดับมากกว่าสิบคนไม่รู้มาจากไหน พวกเขายืนปิดกั้นเจ้าหน้าที่ไม่ให้ผ่านทางไปช่วยคนได้ เมื่อเห็นท่าไม่ดีแล้ว เจ้าหน้าที่คนหนึ่งรีบบอกให้คนของเขาไปตามเจ้านายม
วันที่สองที่ชิวเพ่ยเพ่ยเปิดการตรวจรักษา วันนี้ชาวบ้านน้อยกว่าเมื่อวานเกือบครึ่งหนึ่ง แต่นางยังคงตรวจรักษาพวกเขาตามปกติ เฟยหยุนยังคงคอยช่วยนางอยู่ข้าง ๆ ดังเช่นทุกครั้ง หลังจากรักษาคนไปหลายสิบคนจนใกล้จะถึงเวลาทานอาหารเที่ยง อยู่ดี ๆ ก็มีเสียงแหลมสูงมาเข้าหูให้ชิวเพ่ยเพ่ยจนระคายโสตประสาท“คุณชาย ข้านำอาหารทำเองมาให้ท่านทานเจ้าค่ะ ท่านลองดูสิว่าถูกปากหรือไม่” ไม่รู้ว่าเป็นแม่นางจากบ้านใด ถึงได้กล้าเข้ามาพูดคุยกับสามีของท่านหมอใจดีอย่างหน้าด้าน ๆ เช่นนี้ เรื่องที่เฟยหยุนเป็นสามีของหมอหญิงใจบุญต่างมีข่าวออกมานานมากแล้ว ทำให้ไม่เคยมีหญิงหรือชายคนใดกล้าล่วงเกินสองผัวเมียคู่นี้มาก่อน นี่นับว่าเป็นครั้งแรกตั้งแต่ชิวเพ่ยเพ่ยเดินทางแล้วพบเข้ากับเหตุการณ์แบบนี้ นางขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจที่ใครก็ไม่รู้เข้าหาสามีนางอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า นางได้กลิ่นยาปลุกกำหนัดมาก่อนหน้านี้แล้ว แต่ไม่คิดว่าจะมาจากในอาหารที่อยู่ตรงหน้าสามีของนาง“ข้าไม่ต้องการอาหารของเจ้า ไสหัวไป!!!” เฟยหยุนไม่คิดไว้หน้าหญิงสาวตรงหน้าเขาแม้แต่นิดเดียว เขาเห็นแล้วว่าภรรยาสุดที่รักชักไม่พอใจ ใครเล่าจะอยากหาเรื่
ชิวเพ่ยเพ่ยกับเฟยหยุนเดินทางโดยปลอมเป็นหมอตั้งแต่วันแรก นางเปิดรักษาชาวบ้านฟรีโดยให้พวกเขาไปซื้อยาจากร้านยาเมฆาดับเอาเอง หากใครยากจนจริง ๆ ชิวเพ่ยเพ่ยจะส่งคนไปแจ้งที่ร้านให้แจกยาพวกเขาแล้วเก็บเงินจากนาง นางทำเช่นนี้ไปตลอดทางที่พวกเขาท่องเที่ยว ไม่ว่าจะผ่านหมู่บ้านกันดารเพียงใด สองสามีภรรยาก็ยังคงมีรอยยิ้มแต่งแต้มไปทั่วใบหน้าอยู่เสมอ จนผู้คนที่ได้รับการรักษาจากสองสามีภรรยาต่างขนานนามพวกเขาว่าคู่รักหมอใจบุญกันเลยทีเดียว แม้ว่าเฟยหยุนจะรักษาใครไม่เป็น แต่เขาช่วยทำแผล ใส่ยาให้คนไข้ชายและดูแลพวกเขาช่วยภรรยาจนหายขาดมาตลอด ฉายาที่พวกเขาได้รับจึงไม่นับว่ามากเกินไป ชิวเพ่ยเพ่ยที่เลือกวิธีการนี้ในการท่องเที่ยวพักผ่อน ก็เพราะนางเคยฆ่าคนมาไม่น้อย พออายุมากขึ้นนางจึงอยากจะทำบุญใหญ่รักษาคนไข้ยากจนบ้างก็เท่านั้น ไหน ๆ ครอบครัวนางก็ร่ำรวยอยู่แล้ว กับอีแค่การรักษาคนทั้งห้าแคว้นฟรีไม่นับว่าเหนือบ่ากว่าแรงของนางหรอกหนา บรรดาหัวหน้าสาขาต่าง ๆ ที่ควบคุมกิจการร้านค้า พวกเขาทราบดีว่าท่านเจ้าตำหนักคนเก่ากำลังออกเดินทางรักษาคนไปทั่วทั้งห้าแคว้นแล้วโดยที่ไม่ต้องมีใครมาส่
หนึ่งปีผ่านไป ชิวเพ่ยเพ่ยและเฟยหยุนก็ยังไม่กลับมาจากการท่องเที่ยว เฟยซินเยว่เริ่มจัดการตารางเวลาการทำงานของเขาได้ดีขึ้นมาก เขาจะพักทุกสองสัปดาห์หลังจากทำงานอย่างหนัก แล้วจะเดินทางไปพักกับท่านทวดและท่านปู่ท่านย่าของเขาที่จ้วงจื่อครั้งละสามสี่วัน จากนั้นก็จะกลับไปลุยงานต่อ เป็นเช่นนี้มาตลอดทั้งปี ส่วนเฟยหยางกวงก็ฝึกทหารและศึกษาตำราพิชัยสงครามไม่ได้ขาด ส่วนการไปดื่มสุราและแต่งกลอนกับสหาย เขาเลิกไปตั้งแต่วันลาสหายแล้ว เขายังเชิญสหายมาเที่ยวที่จวนโหวได้หากต้องการ สหายทั้งสามของเขาเป็นเพียงครอบครัวธรรมดาที่ไม่ได้ร่ำรวยมากมายอันใด แต่พวกเขาล้วนคบหากันด้วยใจมาตลอดสิบปีที่รู้จักกัน ซึ่งตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา เฟยหยางกวงส่งเทียบเชิญสหายมาร่วมงานวันเกิดของเขากับพี่ชาย ไหนจะจัดงานเลี้ยงวันเกิดให้กับสหายทุกคนในวันเกิดของพวกเขา ทำให้ทั้งสี่คนยิ่งสนิทสนมกันมากขึ้นไปอีก สหายของเขาทั้งสามเพิ่งสอบขุนนางได้ในปีนี้ด้วย เขาจึงจัดงานฉลองให้พวกเขาที่จวนโหวอีกงานหนึ่ง เฟยซินเยว่ไม่เคยห้ามน้องชายของเขา เขารู้ทุกอย่างเรื่องน้องชายและน้องสาว เขาเพียงมองพวกเขาอยู่ห่าง ๆ หากมีสิ่ง
ระหว่างที่ชิวเพ่ยเพ่ยกับเฟยหยุนออกไปท่องเที่ยว เฟยซินเยว่กำลังตาลายกับสมุดบัญชีที่เขาได้รับมาตรวจสอบเป็นจำนวนมาก เขานับถือท่านแม่ของเขาจริง ๆ ที่นางสามารถจัดการบัญชีจำนวนมากได้โดยไม่มีอาการเบื่อหน่ายเช่นที่เขาเป็น ยิ่งตอนนี้ร้านของตำหนักเมฆาดับรวมทั้งห้าแคว้นอาจมีมากกว่า 500 ร้านค้าแล้ว นางยังคงสามารถตรวจสอบได้อย่างละเอียดจนไม่มีใครกล้าโกงนางแม้แต่อีแปะเดียว หลังจากเฟยซินเยว่หัวหมุนวุ่นวายอยู่เกือบสองสัปดาห์ วันนี้ท่านตาทวดมาเยี่ยมเขาถึงเรือนอย่างน่าแปลกใจ เฟยซินเยว่รีบหยุดงานที่กำลังทำอยู่แล้วเดินไปพยุงท่านตาทวดเข้ามานั่งอย่างห่วงใย ตอนนี้ท่านตาทวดอายุมากแล้ว เขายังจำได้ว่าตอนเด็ก ๆ ท่านมักเล่นกับเขาอย่างสนุกสนานและดูแลเขาเป็นอย่างดี เวลาเขาถูกท่านแม่พาซ้อมวรยุทธจนบอบช้ำก็เป็นท่านตาที่มานั่งทายาแล้วบ่นท่านแม่ให้เขาฟัง จนเขาหายจากอาการเจ็บช้ำไปเลย“ท่านตาทวดมาได้อย่างไรขอรับ” หลังพาท่านตาทวดนั่งแล้วเขารีบสอบถามอย่างสงสัย“อืม ข้าเป็นห่วงกลัวว่าเจ้าจะทำงานหนักไม่ไหวน่ะสิ แล้วเจ้าเป็นอย่างไรบ้างอาเยว่”“ข้าสบายดีขอรับท่านตา งานเหล่านี้ท่านแม่สอนข้ามานานแล้วขอรับ
วันเดียวกันนั้นเอง มีราชโองการไปที่ค่ายทหารแต่งตั้งเฟยหยางกวงเป็นแม่ทัพเมืองหลวงแทนเฟยหยุน บรรดาทหารตั้งแต่บนลงล่างที่รู้จักเขามาตั้งแต่อายุ 5 ขวบ ไม่มีใครคัดค้าน พวกเขารู้ดีถึงความสามารถของชายหนุ่มผู้เป็นลูกชายแม่ทัพคนเก่าว่าเขาเก่งกาจขนาดไหน ส่วนคนอื่น ๆ ในราชสำนักนั้นพวกเขาไม่คิดจะสนใจ ถึงอย่างไรก็ไม่เกี่ยวอะไรกับการงานของพวกเขาอยู่ดี ข่าวลือในเมืองหลวงแพร่กระจายไปทั่วทุกหัวมุมหลังราชโองการประกาศได้เพียงวันเดียว คราแรกขุนนางหน้าใหม่ที่ไม่รู้เรื่องในอดีตคิดกีดกันเฟยหยางกวงและคิดว่าเขาใช้เส้นสายเพื่อรับตำแหน่งแทนบิดาจึงคัดค้านกันหัวชนฝา แต่พอท่านเสนาบดีกรมโยธาเล่าประวัติความเป็นมาของหลานชายคนรองกลางท้องพระโรงเสียยืดยาว พร้อมตบท้ายว่าหลานชายคนโตของเขาคือเจ้าตำหนักเมฆาดับในตำนานเท่านั้นแหละ ขุนนางเหล่านั้นต่างหุบปากฉับกับแทบไม่ทัน พวกเขาเกือบหาเรื่องตายแล้วไหมเล่า ทำไมขุนนางแก่ ๆ พวกนั้นไม่บอกกันก่อนล่วงหน้า เฮ้อ ฮ่องเต้พอเห็นว่าขุนนางเหล่านั้นกลัวตำหนักเมฆาดับมากกว่าเขาเสียอีกก็นึกขำ ไอ้พวกโง่ที่ไม่รู้ดีชั่ว เขาเกือบต้องลำบากจัดสอบขุนนางใหม่อีกแล
สองปีต่อมาหลังชิวเพ่ยเพ่ยมอบตำหนักเมฆาดับให้บุตรชายคนโตดูแล นางเห็นว่าตำแหน่งของเขามั่นคงแล้วจึงปล่อยให้เขาจัดการงานทั้งหมดด้วยตัวเอง องครักษ์เงาของเขาก็เป็นนางที่ไปพบเข้ากับเด็กกำพร้าขอทานแล้วนำมาฝึกฝนร่วมกันตั้งแต่ยังเด็ก ทุกวันนี้คนอื่น ๆ ก็ดูแลบุตรชายคนรองกับบุตรสาวนางอย่างลับ ๆ ไม่ว่าพวกเขาจะทำสิ่งใดนางรู้ทุกอย่าง เพียงแค่นางไม่จำเป็นต้องบอกพวกเขา ชิวเพ่ยเพ่ยเห็นสามีกลับมาก็รีบลากเขาเข้าห้องเพื่อปรึกษาสิ่งที่นางคิดเอาไว้สักพักแล้วทันที เฟยหยุนคิดว่าภรรยารักจะให้เขาชื่นใจจึงเข้าห้องไปอย่างเริงร่า แต่พอเห็นภรรยาสั่งเขานั่งลงดี ๆ เขาจึงรู้ว่าสิ่งที่เห็นไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคิดสักนิด ฮือ ภรรยาใจร้าย“ท่านพี่จะลาออกเมื่อไหร่กัน”“หืม ทำไมเจ้าถามอีกแล้วล่ะเพ่ยเพ่ย มีอะไรหรือเปล่า”“ถ้าท่านยังไม่ลาออกเสียที ข้าจะหนีไปเที่ยวคนเดียวสักสองสามปีน่ะสิ ตอนนี้ลูกโตกันหมดแล้ว ข้าก็อยากลองไปเที่ยวอย่างอิสระดูบ้างอย่างไรเล่า ท่านก็รู้ว่าข้าดูแลตำหนักเมฆาดับมาตั้งแต่ยังเด็ก จึงไม่เคยมีวัยเด็กอย่างคนอื่นเขา” นางมุ่ยหน้าพูดตามความจริง“อ่า ภรรยาอยากไปเที่ยวกับสามีเหรอ” เฟยหยุน
ชิวเพ่ยเพ่ยที่สอนบุตรชายคนโตในทุกสิ่งที่นางเรียนรู้มาตลอดชีวิตตั้งแต่เขาอายุห้าขวบ นางเห็นว่าตอนนี้เขาน่าจะดูแลตำหนักเมฆาดับแทนนางได้แล้ว ชิวเพ่ยเพ่ยส่งจดหมายไปบอกท่านตาที่พักผ่อนกับท่านยายที่จ้วงจื่อนอกเมืองมาตลอดสองสามปีที่ผ่านมา พวกท่านชมชอบบรรยากาศธรรมชาติที่มีน้ำพุร้อนที่นั่นมากนัก ยิ่งมีคนมาพักผ่อนพอให้ท่านได้พูดคุยคลายเหงาก็ยิ่งไม่อยากจากไปไหน นางได้รับจดหมายตอบกลับจากท่านในช่วงเย็นของวันพอดี ท่านตาบอกว่าแล้วแต่นางจะตัดสินใจ หากเห็นว่าหลานชายคนโตเหมาะสม ท่านก็ไม่คัดค้าน เพียงแค่ให้นางช่วยดูแลอยู่ห่าง ๆ ก่อนจะปล่อยมือเมื่อทุกอย่างเข้าที่เข้าทางแล้วก็พอ ชิวเพ่ยเพ่ยอ่านจดหมายที่คนของนางส่งมาให้แล้วก็ยิ้มอย่างสบายใจได้เสียที ตำหนักเมฆาดับนี้เป็นท่านตาที่ส่งมอบให้นางมา ตอนนี้นางต้องการมอบให้ลูกชายคนโตเช่นกัน อย่างไรการเคารพท่านตาคือสิ่งที่นางทำมาตลอดตั้งแต่เด็กแล้ว วันต่อมาชิวเพ่ยเพ่ยบอกสามีนางว่าจะพาบุตรชายเดินทางไปสาขาใหญ่ตำหนักเมฆาดับบนภูเขาสักหลายวัน เฟยหยุนได้แต่ทำหน้างอคอหักด้วยไม่อยากจากภรรยารักแม้แต่นิดเดียว ชิวเพ่ยเพ่ยจึงต้องใช้ไม้ตายว่ากลับ