ชิวเพ่ยเพ่ยไม่ใช่มองไม่เห็นว่ามีคนหนีไปได้ นางเพียงส่งสัญญาณให้คนตามไปห่าง ๆ แล้วจัดการเสียก็เท่านั้น เมื่อสถานการณ์กลับคืนสู่ความสงบดังเช่นก่อนหน้า ชิวเพ่ยเพ่ยสั่งคนของนางนำศพไปทิ้งป่าให้หมากินอย่างที่นางบอกเอาไว้แล้ว หึ คนอย่างนางพูดคำไหนคำนั้นนะ ขอบอก!
แขกเหรื่อที่เหงื่อแตกกับสิ่งที่เห็นตรงหน้า พวกเขาเข้าใจอย่างลึกซึ้งแล้วว่า อย่าได้กล้ายุ่งเกี่ยวเทียวหาเรื่องกับคนพวกนี้หากไม่อยากตาย คราแรกพวกเขาคิดว่าคนที่น่ากลัวจะเป็นซื่อจื่อใจโฉดเสียอีก ที่ไหนได้ภรรยาของเขาช่างน่ากลัวเสียยิ่งกว่า บรื๋อ พวกเขาไม่น่าหลงกลใบหน้าใสซื่อนั่นก่อนหน้านี้เลยจริง ๆ เกือบไปแล้วที่คิดจะแย่งชิงนางมาเป็นสะใภ้
ขุนนางทั้งหลายต่างมีความคิดคล้ายคลึงกันโดยไม่ได้นัดหมาย ชิวเพ่ยเพ่ยที่เห็นว่าแขกเหรื่อเริ่มจิตใจไม่ค่อยดี นางจึงลุกขึ้นกล่าวขอโทษพวกเขาตามแบบอย่างสตรีที่ได้รับการอบรมมาอย่างดีทำกัน
“ข้าและครอบครัวต้องขออภัยทุกท่านที่มาร่วมแสดงความยินดีกับบุตรชายในวันนี้ด้วย ข้าไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องมากมายในวันนี้ หวังว่าทุกท่านจะไม่รังเกียจ และเชิญพวกท่านทานอาหารต่อได้เลยเจ้าค่ะ” ชิวเพ่ยเพ่ยยิ้มให้ทุกคนอย่างอ่อนหวานพร้อมดวงตาใสซื่อของนาง
“ไม่เป็นไร ๆ” บรรดาขุนนางมีหรือจะกล้าโทษว่านางกับครอบครัว พวกเขายังอยากมีลมหายใจอยู่!
ชิวเพ่ยเพ่ยเห็นแขกมีสีหน้าดีขึ้นแล้ว นางก็กลับมาสู่กิริยามารยาทลูกผู้ดีดังเดิม ทิ้งคราบนักฆ่าที่แสดงออกตอนทำร้ายคนไปจนหมดสิ้น จนเหล่าขุนนางที่มาร่วมงานเริ่มสับสนว่าหรือสิ่งที่พวกเขาเห็นก่อนหน้าเป็นภาพลวงตากันหนอ ทำไมฮูหยินซื่อจื่อจึงได้แตกต่างกับเมื่อกี้นักเล่า
ชิวเพ่ยเพ่ยเห็นสีหน้าพ่อกับแม่สามีเหมือนมีเรื่องอยากถาม นางที่เป็นสะใภ้จึงเริ่มเอื้อนเอ่ยเปิดทางให้พวกเขาเสียก่อน
“ท่านพ่อ ท่านแม่ มีอะไรอยากถามข้าหรือไม่เจ้าคะ?” นางส่งสายตาใสซื่อให้พวกเขาพร้อมยิ้มการค้าที่นางฝึกมาแต่อ้อนแต่ออก
“อืม เจ้าเก่งทางด้านวรยุทธเหรอเพ่ยเพ่ย” โหวฮูหยินถามลูกสะใภ้อย่างอยากรู้อยากเห็น
“อ่า ข้าแค่พอมีฝีมืออยู่บ้างเจ้าค่ะท่านแม่ ไม่ถึงกับเก่งกาจอย่างที่ท่านว่าเสียหน่อย ข้าเป็นแค่ภรรยาผู้อ่อนแอของท่านพี่เท่านั้นเจ้าค่ะ” ชิวเพ่ยเพ่ยเอ่ยอย่างถ่อมตัวพร้อมทำท่าทีเอียงอายใส่สามี
“ใช่ ๆ ท่านแม่ เพ่ยเพ่ยของข้าแค่ฝึกฝนเพื่อให้ร่างกายแข็งแรงขอรับ ฮิฮิ” เฟยหยุนรีบเข้าข้างภรรยารัก เขาหวังว่าคืนนี้จะมีบริการที่ดีจากภรรยาด้วยหนา อ่า คิดแล้วก็กระชุ่มกระชวยจริง ๆ
เฟยโหวกับภรรยาได้แต่ส่ายหน้าให้ลูกชายที่ชักจะไร้สาระขึ้นทุกวัน ถ้าลูกสะใภ้พวกเขาฝึกแค่ให้ร่างกายแข็งแรงจริง ๆ นางจะเก่งกาจขนาดนี้ได้อย่างไร เฮ้อ มีลูกโง่นี่ช่างเป็นบาป
องค์ชายสามที่อยู่โต๊ะข้าง ๆ ได้ยินสองสามีภรรยายังทำเป็นไร้เดียงสาก็ได้แต่หมั่นไส้ หึ ถ้าเมียเจ้าอ่อนแอ ในใต้หล้านี้คงไม่มีผู้ใดแข็งแกร่งแล้วล่ะ ไอ้สหายโง่เง่าหลงเมีย!
ส่วนเตียวหย่งไจ้ได้แต่หัวเราะกับข้อแก้ตัวของหลานสาว เขาล่ะชอบเสียจริง ๆ เวลาหลานสาวเข้าสู่โหมดคุณหนูผู้ดี นางช่างน่ารักนักแล ไม่เหมือนบุตรสาวเขาที่เอาแต่ออเซาะสามีนางนั่นหรอก ฮึ
เจียวไฉ่หลานเองก็แอบขำกับหลานสาวนาง หากหลานสาวนางเป็นสตรีอ่อนแอจริง ๆ ใต้หล้านี้คงไร้ซึ่งผู้แข็งแกร่งแล้ว
เตียวเฟยหลิวหมั่นไส้บุตรสาวตัวดี นางจึงเอาแต่ใช้หลานชายเรียกร้องความสนใจสามีนางแทน หึ ลูกชายเจ้าอยู่ในมือข้าแล้ว ข้าจะแกล้งเขาแทนแกล้งเจ้าเจ้าบุตรสาวเจ้าบทบาท ฮ่า ฮ่า
ท่านปู่ ท่านย่าที่ได้แต่อ้าปากค้างตั้งแต่เห็นหลานสาวสุดเรียบร้อยของนางเตะต่อยไปก่อนหน้า ตอนนี้พวกท่านเริ่มสงบจิตสงบใจได้บ้างแล้ว พอได้ยินหลานสาวเอ่ยคำ พวกเขาต่างพากันพยักหน้าสนับสนุนกันหงึกหงัก ใช่ ๆ หลานสาวพวกเขาอ่อนแอจริง ๆ นะ
แขกเหรื่อต่างนั่งทานกันพอเป็นพิธีไม่นานนัก สักพักก็พาครอบครัวลากลับกันทีละคน ๆ พวกเขายังสัญญาว่า หากจวนโหวจัดเลี้ยงก็จะมาอีกแน่นอน โอ้ว ใครเล่าจะกล้าปฏิเสธพวกเขาได้ หากพวกเขายังไม่ตาย อย่างไรพวกเขาก็ต้องมาให้เห็นหน้าพร้อมบัตรเชิญ
หลังผ่านงานเลี้ยงของเจ้าตัวเล็กได้สามเดือน จู่ ๆ เฟยหยุนก็มีงานต้องเดินทางไปต่างเมืองเสียนี่ ชิวเพ่ยเพ่ยที่กลับมาดูแลตำหนักเมฆาดับแล้วก็ยิ่งยุ่งแทบทุกวัน นางไม่คิดมากที่สามีต้องห่างหาย ถึงอย่างไรก็มีคนของนางตามดูแลเขาอยู่ดีนี่นา ส่วนเจ้าตัวเล็กนั้นหนา ถูกบรรดาท่านทวดลักพาตัวไปแล้ว ชิวเพ่ยเพ่ยไม่สนใจเขาว่าจะเป็นอย่างไร ดีที่ลูกน้อยนางแข็งแรงกว่าเด็กปกติมากนัก น่าจะเพราะเขาดูดซับยาบำรุงนางไปเสียหมดนั่นแหละ ทำให้ไม่กี่เดือนเขาก็หย่านมด้วยตัวเอง ตอนนี้เขาชอบกินกล้วยบดกับฟักทองบดพร้อมนมวัวที่สุด ท่านตาท่านยายลงทุนให้คนไปหาวัวนมพันธุ์ดีจากต่างแคว้นมาเลี้ยงที่จวนตระกูลชิวเพื่อเหลนของพวกเขาเลยเชียวหนา ชิวเพ่ยเพ่ยยังคงคิดที่จะขยายกิจการที่ตอนนี้มีหลัก ๆ คือร้านแลกเงินทั้งห้าแคว้น นางอยากเพิ่มหนทางหาข่าวที่เร็วกว่านี้ จึงคิดจะสร้างโรงน้ำชาที่คนทุกเพศทุกวัยสามารถใช้บริการได้ ข่าวที่พวกเขาเหล่าคนธรรมดารู้ อาจมีบางสิ่งสำคัญบ้างที่นางสามารถนำมาใช้ได้ เรื่องนี้นางคงต้องปรึกษาท่านตา ท่านยายดูเสียก่อนจะเริ่มดำเนินการ หากทำได้จริง ถึงแม้กิจการงานรับจ้างฆ่าจะน้อยลง รา
ชิวเพ่ยเพ่ยยังไม่รู้ว่าพวกมันจับสามีนางไปไว้ที่ไหน เพราะองครักษ์ที่นางให้ดูแลสามี บาดเจ็บสาหัสตอนเข้าไปปกป้องสามีนาง ดีที่เขายังสามารถส่งข่าวไหวก่อนจะสลบไป คนของตำหนักเมฆาดับเห็นพลุสัญญาณฉุกเฉินบริเวณใกล้เคียงจึงไปนำตัวเขามารักษาที่สาขาเมืองเจิ้งแล้ว ชิวเพ่ยเพ่ยแวะส่งข่าวที่สาขาเมืองไห่เฟิงเพื่อออกคำสั่งลับระดับสูงสุด ระดมคนของตำหนักเมฆาดับสืบหาที่อยู่ของสามีนางโดยด่วน หากรู้ที่อยู่แล้วอย่าเพิ่งทำสิ่งใดวู่วาม ให้รีบส่งข่าวให้นางทันที ตอนนี้นางกำลังรีบไปเมืองเจิ้ง คำสั่งลับที่ไม่ได้ใช้มาหลายสิบปี ตอนนี้ปรากฏขึ้นอีกครั้ง คนในตำหนักเมฆาดับตั้งแต่บนลงล่าง รีบไปทำตามคำสั่งเจ้าตำหนักทันที เหล่าคนร้ายที่ยังไม่รู้ตัวว่าหาเรื่องคนที่ไม่ควรหาเรื่องเข้าแล้ว ยังคงพาตัวเฟยหยุนเดินทางเพื่อจะข้ามชายแดนไปแคว้นจ้าน อดีตองค์ชายมีศักดิ์เป็นหลานของฮ่องเต้แคว้นจ้านในตอนนี้ เขาจึงแอบสั่งให้คนของเขาไปลักพาตัวเฟยหยุนมาเพื่อแก้แค้น คราก่อนที่วังหลวง เป็นเพราะตระกูลเฟยที่ทำให้แผนการใหญ่ของเสด็จพี่ใหญ่ของเขาพังพินาศ เขาถูกปลดแล้วส่งตัวไปเป็นทาสที่ชายแดน ยังดีที่เสด็จลุงทราบข
ชิวเพ่ยเพ่ยออกจากเมืองเจิ้งตามเส้นทางที่ได้รับข่าวของรถม้าต้องสงสัยไปทางชายแดนแคว้นจ้านในขณะนี้ ระหว่างทางที่ใกล้จะถึงเมืองเหิง องครักษ์เงาได้รับสัญญาณข่าวจากตำแหน่งไม่ไกลนัก เขารีบใช้วิชาตัวเบาไปสอบถามทันที พอฟังจบแล้วเขารีบกลับไปหาคุณหนูแล้วรายงานทุกอย่างที่ทราบ ชิวเพ่ยเพ่ยคำนวณเวลาจากที่นี่ไปถึงจุดนั้นน่าจะใช้เวลาเกือบหนึ่งวัน นางไม่อาจรอนานขนาดนั้นได้ ตอนนี้นางรู้สึกไม่ดีผิดปกติ นางกลัวว่าสามีนางจะเป็นอะไรไปเสียก่อน ชิวเพ่ยเพ่ยทิ้งม้าให้องครักษ์ส่งคนมาพามันไปพัก นางเร่งเร้าลมปราณจนถึงขีดสุดแล้วใช้วิชาตัวเบาไปที่นั่นปานสายลมวูบหนึ่ง องครักษ์ทั้งสองรู้ว่าถึงอย่างไรพวกเขาก็ตามนางไม่ทัน จึงได้แต่พาม้าไปแวะสาขาใกล้ ๆ แล้วค่อยตามนางไปทีหลังก็ยังไม่สาย ถึงอย่างไรคุณหนูของพวกเขาก็มักทิ้งกลิ่นให้พวกเขาตามได้ทุกครั้งอยู่แล้ว เรื่องการพลัดหลงกันของพวกเขานั้นยิ่งเป็นไปไม่ได้ ชิวเพ่ยเพ่ยใช้วิชาตัวเบาไปถึงตำแหน่งที่ได้รับข่าวภายในเวลาเพียงสามชั่วยาม นางเห็นคนของตำหนักเมฆาดับรออยู่ก่อนแล้ว หัวหน้ากลุ่มรีบรายงานทุกอย่างอย่างละเอียด ชิวเพ่ยเพ่ยจึงสั่งการให้
เหล่าผู้คนที่เห็นสภาพศพสุดสยองของอดีตองค์ชายต่างฝันร้ายกันไปเกือบเดือน ร่างกายทุกส่วนของเขาแทบไม่มีส่วนใดที่มีสภาพสมบูรณ์ ไหนจะศพของคนในจวนที่ทรมานจากเลือดออกจากทวารทั้งเจ็ด พวกเขาไม่มีใครตายตาหลับเลยแม้แต่คนเดียว ใบหน้าแต่ละคนเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ทำให้ทุกคนรู้เลยว่า ขณะเกิดเหตุการณ์คนผู้นั้นโหดเหี้ยมมากขนาดไหนถึงทำให้คนตายหวาดกลัวได้ขนาดนี้ ฮ่องเต้แคว้นจ้านที่เคยหยิ่งยโส พอได้รับรายงานเรื่องอักษรเลือดเข้าก็ไม่กล้าอีกต่อไป เขาที่ให้องครักษ์ลับไปสืบข่าวในวันนั้นรู้ว่าเป็นคนของตำหนักเมฆาดับที่มาเอง โดยมีเจ้าตำหนักสั่งการด้วยตัวเอง เขามีหรือจะกล้าแหย่หนวดเสือร้ายแบบนั้น มีใครไม่รู้บ้างว่าตำหนักเมฆาดับเป็นหนึ่งในใต้หล้ามาตลอดหลายสิบปี พวกเขาเหล่าเจ้าของแคว้นยังได้ยินข่าวลือที่น่าสะพรึงกลัวว่าเจ้าตำหนักคนใหม่โหดร้ายมากกว่าคนเดิมไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า ขนาดคนในตำหนักเองยังไม่กล้าหือ แล้วคนอย่างพวกเขามีหรือจะกล้า ฮ่องเต้แคว้นจ้านจึงได้แต่สั่งคนไปฝังศพหลานชายและน้องสาว รวมทั้งคนในจวนที่หลุมฝังศพอื่นแทน เขาไม่กล้านำมาฝังที่หลุมศพบรรพชนหรอก หากคนผู้นั้นรู้เ
สองวันต่อมาหลังจากชิวเพ่ยเพ่ยได้รับคำขอบคุณจากสามีนางจนเหนื่อยอ่อน นางรีบชวนเขากลับเมืองหลวงเพื่อไม่ให้ครอบครัวเป็นห่วงทันที คราวนี้พวกเขาใช้รถม้าเดินทางท่องเที่ยวไปด้วยอย่างช้า ๆ ไหนจะคอยซื้อของฝากจนเต็มไปหมดอีก ชิวเพ่ยเพ่ยยังต้องซื้อรถม้าเพิ่มอีกคันเพื่อใส่ของฝากโดยเฉพาะ ก็นะ คนในบ้านนางมีน้อยเสียที่ไหนเล่า กว่าสองสามีภรรยาจะกลับมาถึงเมืองหลวงก็เกือบเดือนครึ่งเลยทีเดียว ระหว่างทางชิวเพ่ยเพ่ยรู้สึกไม่ค่อยสบายอยู่ตลอด จนเฟยหยุนเป็นห่วงอยากให้นางพบหมอ เพียงแต่ชิวเพ่ยเพ่ยดื้อรั้นอยากกลับบ้านท่าเดียว เขาจึงได้แต่พักเป็นระยะแทน นางกินอะไรก็เอาแต่อ้วกจนร่างกายอ่อนเพลีย เขาจนใจที่ไม่รู้จะทำเช่นไรจึงได้แต่พยายามให้องครักษ์เงาของนางไปหาซื้อของแปลก ๆ มา เผื่อนางจะกินได้บ้าง จนสุดท้ายชิวเพ่ยเพ่ยได้กินมะม่วงเปรี้ยวกับมะยมเข้าไปจนกลายเป็นอาหารติดปาก บางครานางก็อยากกินขนมหวานเสียอีก อาหารจำพวกปลาอย่าได้มาใกล้นางเชียว นางเป็นต้องอ้วกเสียทุกที เขาจึงได้แต่สั่งซื้อซาลาเปาไส้หวานบ้าง ไส้เนื้อบ้างมาให้นางกินพร้อมน้ำเต้าหู้ เขาเองก็ไม่รู้ว่าภรรยาเป็นอะไร ทั้งที่เมื่อก่อนนางไม่
เมื่อชิวเพ่ยเพ่ยเข้าเดือนที่สองของการตั้งครรภ์ นางไม่อาจอยู่ใกล้ชิดสามีได้เหมือนดังเดิม เวลาเขาเข้ามาใกล้ นางมักจะรู้สึกอยากอาเจียนไปเสียทุกครั้ง ทำเอาเฟยหยุนสามีผู้น่าสงสารหนีไปร้องห่มร้องไห้กับท่านโหวและภรรยาจนพวกเขาระอาใจ โหวฮูหยินได้แต่ปลอบบุตรชายว่ามันเป็นเพียงแค่ช่วงนางท้องเท่านั้น อีกไม่นานก็หาย สองพ่อแม่ของลูกชายบ้าบอได้แต่เหนื่อยใจ พวกเขาทั้งปลอบทั้งด่า ลูกชายพวกเขาก็ยังงอแงไม่เลิก เฟยหยุนที่ทำอะไรไม่ได้นอกจากออกห่างภรรยารัก เขาจึงทำหน้าที่เลี้ยงดูบุตรชายคนโตด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะอาบน้ำ กินข้าว นอนหลับ เฟยหยุนจะขลุกอยู่กับบุตรชายพอให้หายเหงาจากการคิดถึงภรรยา บรรดาทวดทั้งสี่ที่ถูกแย่งชิงเหลนรักไปได้แต่ทำใจ เอาเถอะ ในเมื่ออีกไม่นานพวกเขาจะมีเหลนคนใหม่มา ปล่อยให้หลานเขยทำอะไรก็ได้ที่เขาสบายใจเลย เฮ้อ เหล่าผู้ชราจึงหาเรื่องอื่นทำแทนในช่วงนี้ พวกเขาสรรหาอาหารสารพัดไปบำรุงหลานสาวที่ท้องครานี้กลับเลือกกินนัก ส่วนเตียวเฟยหลิวน่ะหรือ นางนั่งหัวเราะสมน้ำหน้าบุตรสาวที่ท้องอีกแล้ว แถมครานี้นางลำบากเสียยิ่งกว่าท้องแรกเสียอีก ชิวกังสามีได้แต่สงสัยว่า
ตั้งแต่งานเป็นเหยื่อครั้งก่อน เฟยหยุนก็ไม่ได้เข้าไปที่ค่ายอีกเลย เขาบอกรองแม่ทัพเอาไว้แล้วว่าให้มารายงานเขาที่จวน ช่วงนี้ภรรยาเขาท้องจึงต้องการคนดูแล เขาที่เป็นสามีย่อมต้องอยู่ที่บ้าน องค์ชายสามแสนจะเอือมระอาสหายสนิท แต่เขาเองก็รู้สึกผิดกับเรื่องคราก่อนไม่น้อยเช่นกัน เขามารู้ทีหลังว่าเฟยหยุนเกือบตายพร้อมองครักษ์ทั้งสี่ ยังดีที่เขารอดมาได้ทั้งหมด ขนาดหนึ่งเดือนหลังเกิดเรื่อง องครักษ์ของเฟยหยุนทั้งสี่คนยังไม่หายดีเลย เขาสามารถเดาได้ว่าพวกเขาบาดเจ็บสาหัสกันขนาดไหน แต่ที่สหายเขาหายเร็วกว่าใครเพื่อน คงเป็นเพราะภรรยาผู้เก่งกาจนั่นแหละ เขารู้อยู่แล้วว่านางเก่งทั้งการปรุงยาและใช้ยาพิษ แต่ไม่คิดว่าจะเก่งถึงขนาดนี้จริง ๆ เขายังอยากได้ยาของนางมาเอาไว้ใช้ยามฉุกเฉินบ้าง คงต้องรอให้นางคลอดบุตรครั้งนี้เสียก่อนเขาค่อยขอซื้อจากนางก็แล้วกัน ฮ่องเต้เองก็ได้รับรายงานเรื่องของเฟยหยุนเช่นกัน เขาไม่สนใจว่าเฟยหยุนจะเข้าไปดูแลค่ายนอกเมืองหรือไม่ ถึงอย่างไรเพื่อนเขาที่เป็นแม่ทัพใหญ่ก็ช่วยเขาดูแลอยู่ดี เรื่องนี้เลยทำให้เฟยหยุนนั่ง ๆ นอน ๆ เลี้ยงดูบุตรชายที่จวนอย่างสบายใจ กระท
หนึ่งเดือนต่อมา ชิวเพ่ยเพ่ยหายจากอาการเหม็นสามี เฟยหยุนจึงติดหนึบกับนางจนแทบกระดิกตัวไม่ได้ แถมท้องของนางยังใหญ่กว่าตอนท้องสี่เดือนครั้งก่อนเกือบเท่าหนึ่ง นางจึงได้แต่ผลักไสเขาโดยเอาเจ้าตัวเล็กทั้งสองในท้องมาอ้างแทน ไม่อย่างนั้นสามีตัวดีของนางคงไม่ยอมปล่อยนางไปง่าย ๆ แน่ ช่วงสายมีคนขององค์ชายสามเรียกเฟยหยุนไปพบที่โรงน้ำชาที่เดิม เขายังย้ำว่าให้เฟยหยุนมาให้ได้ ไม่อย่างนั้นเขาจะบุกไปที่จวนโหวโดยพาบ่าวสาวสุดสวยไปส่งให้เฟยหยุนด้วย หากเฟยหยุนไม่อยากถูกแม่เสือที่บ้านฆ่าตายก็ให้รีบไปพบเขาเสีย เฟยหยุนพอฟังก็ได้แต่ฮึดฮัดขัดใจกับสหายคนนี้ เจ้านี่มันอะไรอีกเนี่ย เขาอยากอยู่กับลูกกับเมียก็เอาแต่ตามไปคุยเรื่องไร้สาระอยู่ได้ ที่องค์ชายสามเทียวตามหาเฟยหยุนนั้นไม่นับว่ามีปัญหาร้ายแรงใด ๆ เพียงแค่ฮองเฮาเร่งเร้าองค์ชายให้รีบแต่งภรรยาเสียที ยิ่งเฟยหยุนกำลังจะมีลูกแฝดในอีกไม่นาน ฮ่องเต้และฮองเฮาได้แต่อิจฉาเพื่อนพวกเขาที่จวนโหว ความซวยจึงมาเยือนองค์ชายสามด้วยเหตุฉะนี้ เฟยหยุนรายงานภรรยาที่รักก่อนจะออกไป เขายังพาบุตรชายไปป่วนสหายสนิทด้วยเช่นเคย เดี๋ยวนี้เฟยซินเยว่ชอ
“ฝ่า..ฝ่าบาท” ขุนนางที่เมื่อกี้ิเชิดหน้าชูคอใส่ชิวเพ่ยเพ่ยเข่าอ่อนในทันใด เขารีบคุกเข่าทำความเคารพฮ่องเต้พร้อมคนอื่น ๆ ที่เขาพามา ฮ่องเต้ไม่แม้แต่จะมองและสั่งให้พวกเขาลุกขึ้น เขาจะปล่อยให้พวกมันคุกเข่าไปฟังไปแบบนี้นี่แหละ ช่างหาเรื่องให้เขาเสียหน้ากับผู้มีพระคุณนัก“คารวะท่านเจ้าตำหนัก ข้าเพิ่งรู้ว่าท่านมาแคว้นเยี่ยจึงเสียมารยาทที่ไม่ได้มาต้อนรับท่านด้วยตัวเอง หวังว่าท่านจะไม่ถือโทษโกรธข้าหรอกนะ” ฮ่องเต้ที่อาวุโสกว่าชิวเพ่ยเพ่ยหลายปีรีบขอโทษนางก่อนอย่างไม่อายใคร“ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องมากมารยาทกับข้า ข้ากับสามีเพียงอยากมาทำบุญที่แคว้นเยี่ย แต่ดูท่าทางแล้วคนในแคว้นของท่านคงไม่ชอบเรื่องดี ๆ เช่นนี้นัก วันนี้ข้าจึงต้องลงมือจนทำให้ท่านลำบาก ข้ากับสามีต้องขอโทษท่านเช่นกัน” ชิวเพ่ยเพ่ยไม่จำเป็นต้องใช้ราชาศัพท์กับเขา นางพูดกับเขาเหมือนคนสนิทที่เคยพบปะกันมา ทั้งที่จริงนางแค่เคยพูดคุยและติดต่อกับเขาทางจดหมายหลังถล่มจวนอ๋องไปเมื่อคราวนั้นเท่านั้น“อืม ขอบคุณท่านมากที่ไม่ถือสา ส่วนคนที่สร้างปัญหาให้ท่าน ข้าอยากขอให้ท่านจัดการแทนข้าได้หรือไม่ อีกอย่าง ข้ามีเรื่องอยากปรึกษาท่านกับสามีด้ว
“คุณชาย ท่านช่วยข้าด้วยสิเจ้าคะ ข้ายินดีตอบแทนท่านด้วยร่างกายอันสดใหม่ หากท่านช่วยข้าจากผู้หญิงเลวคนนี้ ฮึก” นางแพศยานี่ยังกล้ามาขอให้เขาช่วยอีกหรืออย่างไร ช่างไม่รู้จักตายเสียจริง ๆ เฟยหยุนมองผู้หญิงเสแสร้งตรงหน้าเขาตาขวาง เขาไม่เคยรู้จักนางมาก่อน ทำไมนางคนนี้ถึงได้มาหาเรื่องเขาแบบนี้ เขาอยากรู้มากจริง ๆ ว่าใครมันหาเรื่องให้ข้า!!! ชิวเพ่ยเพ่ยหรี่สายตามองสามีนางและหญิงสาวที่ยังคงเล่นละครอย่างไม่อายใคร กระทั่งเฟยหยุนทนความกดดันไม่ไหวเขารีบสั่งคนจับนางอ้าปากแล้วให้พวกเขายัดอาหารที่หญิงผู้นี้นำมาเข้าไปจนหมด เขาหมดความอดทนแล้วจริง ๆ แถมยังไม่อยากอยู่ใกล้ผู้หญิงน่าขยะแขยงเช่นนี้แม้สักนิด ชิวเพ่ยเพ่ยเห็นสามีกระดึ๊บ กระดึ๊บมาหานางหลังสั่งคนจัดการนังตัวดีแล้ว นางแอบยิ้มอย่างสมใจ หึ นับว่าเจ้ายังรู้ว่าอะไรดีนะสามี ไม่อย่างนั้นล่ะก็… เจ้าหน้าที่เห็นเหตุการณ์และกำลังจะเข้าไปช่วยผู้หญิงคนนั้น แต่คนของตำหนักเมฆาดับมากกว่าสิบคนไม่รู้มาจากไหน พวกเขายืนปิดกั้นเจ้าหน้าที่ไม่ให้ผ่านทางไปช่วยคนได้ เมื่อเห็นท่าไม่ดีแล้ว เจ้าหน้าที่คนหนึ่งรีบบอกให้คนของเขาไปตามเจ้านายม
วันที่สองที่ชิวเพ่ยเพ่ยเปิดการตรวจรักษา วันนี้ชาวบ้านน้อยกว่าเมื่อวานเกือบครึ่งหนึ่ง แต่นางยังคงตรวจรักษาพวกเขาตามปกติ เฟยหยุนยังคงคอยช่วยนางอยู่ข้าง ๆ ดังเช่นทุกครั้ง หลังจากรักษาคนไปหลายสิบคนจนใกล้จะถึงเวลาทานอาหารเที่ยง อยู่ดี ๆ ก็มีเสียงแหลมสูงมาเข้าหูให้ชิวเพ่ยเพ่ยจนระคายโสตประสาท“คุณชาย ข้านำอาหารทำเองมาให้ท่านทานเจ้าค่ะ ท่านลองดูสิว่าถูกปากหรือไม่” ไม่รู้ว่าเป็นแม่นางจากบ้านใด ถึงได้กล้าเข้ามาพูดคุยกับสามีของท่านหมอใจดีอย่างหน้าด้าน ๆ เช่นนี้ เรื่องที่เฟยหยุนเป็นสามีของหมอหญิงใจบุญต่างมีข่าวออกมานานมากแล้ว ทำให้ไม่เคยมีหญิงหรือชายคนใดกล้าล่วงเกินสองผัวเมียคู่นี้มาก่อน นี่นับว่าเป็นครั้งแรกตั้งแต่ชิวเพ่ยเพ่ยเดินทางแล้วพบเข้ากับเหตุการณ์แบบนี้ นางขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจที่ใครก็ไม่รู้เข้าหาสามีนางอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า นางได้กลิ่นยาปลุกกำหนัดมาก่อนหน้านี้แล้ว แต่ไม่คิดว่าจะมาจากในอาหารที่อยู่ตรงหน้าสามีของนาง“ข้าไม่ต้องการอาหารของเจ้า ไสหัวไป!!!” เฟยหยุนไม่คิดไว้หน้าหญิงสาวตรงหน้าเขาแม้แต่นิดเดียว เขาเห็นแล้วว่าภรรยาสุดที่รักชักไม่พอใจ ใครเล่าจะอยากหาเรื่
ชิวเพ่ยเพ่ยกับเฟยหยุนเดินทางโดยปลอมเป็นหมอตั้งแต่วันแรก นางเปิดรักษาชาวบ้านฟรีโดยให้พวกเขาไปซื้อยาจากร้านยาเมฆาดับเอาเอง หากใครยากจนจริง ๆ ชิวเพ่ยเพ่ยจะส่งคนไปแจ้งที่ร้านให้แจกยาพวกเขาแล้วเก็บเงินจากนาง นางทำเช่นนี้ไปตลอดทางที่พวกเขาท่องเที่ยว ไม่ว่าจะผ่านหมู่บ้านกันดารเพียงใด สองสามีภรรยาก็ยังคงมีรอยยิ้มแต่งแต้มไปทั่วใบหน้าอยู่เสมอ จนผู้คนที่ได้รับการรักษาจากสองสามีภรรยาต่างขนานนามพวกเขาว่าคู่รักหมอใจบุญกันเลยทีเดียว แม้ว่าเฟยหยุนจะรักษาใครไม่เป็น แต่เขาช่วยทำแผล ใส่ยาให้คนไข้ชายและดูแลพวกเขาช่วยภรรยาจนหายขาดมาตลอด ฉายาที่พวกเขาได้รับจึงไม่นับว่ามากเกินไป ชิวเพ่ยเพ่ยที่เลือกวิธีการนี้ในการท่องเที่ยวพักผ่อน ก็เพราะนางเคยฆ่าคนมาไม่น้อย พออายุมากขึ้นนางจึงอยากจะทำบุญใหญ่รักษาคนไข้ยากจนบ้างก็เท่านั้น ไหน ๆ ครอบครัวนางก็ร่ำรวยอยู่แล้ว กับอีแค่การรักษาคนทั้งห้าแคว้นฟรีไม่นับว่าเหนือบ่ากว่าแรงของนางหรอกหนา บรรดาหัวหน้าสาขาต่าง ๆ ที่ควบคุมกิจการร้านค้า พวกเขาทราบดีว่าท่านเจ้าตำหนักคนเก่ากำลังออกเดินทางรักษาคนไปทั่วทั้งห้าแคว้นแล้วโดยที่ไม่ต้องมีใครมาส่
หนึ่งปีผ่านไป ชิวเพ่ยเพ่ยและเฟยหยุนก็ยังไม่กลับมาจากการท่องเที่ยว เฟยซินเยว่เริ่มจัดการตารางเวลาการทำงานของเขาได้ดีขึ้นมาก เขาจะพักทุกสองสัปดาห์หลังจากทำงานอย่างหนัก แล้วจะเดินทางไปพักกับท่านทวดและท่านปู่ท่านย่าของเขาที่จ้วงจื่อครั้งละสามสี่วัน จากนั้นก็จะกลับไปลุยงานต่อ เป็นเช่นนี้มาตลอดทั้งปี ส่วนเฟยหยางกวงก็ฝึกทหารและศึกษาตำราพิชัยสงครามไม่ได้ขาด ส่วนการไปดื่มสุราและแต่งกลอนกับสหาย เขาเลิกไปตั้งแต่วันลาสหายแล้ว เขายังเชิญสหายมาเที่ยวที่จวนโหวได้หากต้องการ สหายทั้งสามของเขาเป็นเพียงครอบครัวธรรมดาที่ไม่ได้ร่ำรวยมากมายอันใด แต่พวกเขาล้วนคบหากันด้วยใจมาตลอดสิบปีที่รู้จักกัน ซึ่งตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา เฟยหยางกวงส่งเทียบเชิญสหายมาร่วมงานวันเกิดของเขากับพี่ชาย ไหนจะจัดงานเลี้ยงวันเกิดให้กับสหายทุกคนในวันเกิดของพวกเขา ทำให้ทั้งสี่คนยิ่งสนิทสนมกันมากขึ้นไปอีก สหายของเขาทั้งสามเพิ่งสอบขุนนางได้ในปีนี้ด้วย เขาจึงจัดงานฉลองให้พวกเขาที่จวนโหวอีกงานหนึ่ง เฟยซินเยว่ไม่เคยห้ามน้องชายของเขา เขารู้ทุกอย่างเรื่องน้องชายและน้องสาว เขาเพียงมองพวกเขาอยู่ห่าง ๆ หากมีสิ่ง
ระหว่างที่ชิวเพ่ยเพ่ยกับเฟยหยุนออกไปท่องเที่ยว เฟยซินเยว่กำลังตาลายกับสมุดบัญชีที่เขาได้รับมาตรวจสอบเป็นจำนวนมาก เขานับถือท่านแม่ของเขาจริง ๆ ที่นางสามารถจัดการบัญชีจำนวนมากได้โดยไม่มีอาการเบื่อหน่ายเช่นที่เขาเป็น ยิ่งตอนนี้ร้านของตำหนักเมฆาดับรวมทั้งห้าแคว้นอาจมีมากกว่า 500 ร้านค้าแล้ว นางยังคงสามารถตรวจสอบได้อย่างละเอียดจนไม่มีใครกล้าโกงนางแม้แต่อีแปะเดียว หลังจากเฟยซินเยว่หัวหมุนวุ่นวายอยู่เกือบสองสัปดาห์ วันนี้ท่านตาทวดมาเยี่ยมเขาถึงเรือนอย่างน่าแปลกใจ เฟยซินเยว่รีบหยุดงานที่กำลังทำอยู่แล้วเดินไปพยุงท่านตาทวดเข้ามานั่งอย่างห่วงใย ตอนนี้ท่านตาทวดอายุมากแล้ว เขายังจำได้ว่าตอนเด็ก ๆ ท่านมักเล่นกับเขาอย่างสนุกสนานและดูแลเขาเป็นอย่างดี เวลาเขาถูกท่านแม่พาซ้อมวรยุทธจนบอบช้ำก็เป็นท่านตาที่มานั่งทายาแล้วบ่นท่านแม่ให้เขาฟัง จนเขาหายจากอาการเจ็บช้ำไปเลย“ท่านตาทวดมาได้อย่างไรขอรับ” หลังพาท่านตาทวดนั่งแล้วเขารีบสอบถามอย่างสงสัย“อืม ข้าเป็นห่วงกลัวว่าเจ้าจะทำงานหนักไม่ไหวน่ะสิ แล้วเจ้าเป็นอย่างไรบ้างอาเยว่”“ข้าสบายดีขอรับท่านตา งานเหล่านี้ท่านแม่สอนข้ามานานแล้วขอรับ
วันเดียวกันนั้นเอง มีราชโองการไปที่ค่ายทหารแต่งตั้งเฟยหยางกวงเป็นแม่ทัพเมืองหลวงแทนเฟยหยุน บรรดาทหารตั้งแต่บนลงล่างที่รู้จักเขามาตั้งแต่อายุ 5 ขวบ ไม่มีใครคัดค้าน พวกเขารู้ดีถึงความสามารถของชายหนุ่มผู้เป็นลูกชายแม่ทัพคนเก่าว่าเขาเก่งกาจขนาดไหน ส่วนคนอื่น ๆ ในราชสำนักนั้นพวกเขาไม่คิดจะสนใจ ถึงอย่างไรก็ไม่เกี่ยวอะไรกับการงานของพวกเขาอยู่ดี ข่าวลือในเมืองหลวงแพร่กระจายไปทั่วทุกหัวมุมหลังราชโองการประกาศได้เพียงวันเดียว คราแรกขุนนางหน้าใหม่ที่ไม่รู้เรื่องในอดีตคิดกีดกันเฟยหยางกวงและคิดว่าเขาใช้เส้นสายเพื่อรับตำแหน่งแทนบิดาจึงคัดค้านกันหัวชนฝา แต่พอท่านเสนาบดีกรมโยธาเล่าประวัติความเป็นมาของหลานชายคนรองกลางท้องพระโรงเสียยืดยาว พร้อมตบท้ายว่าหลานชายคนโตของเขาคือเจ้าตำหนักเมฆาดับในตำนานเท่านั้นแหละ ขุนนางเหล่านั้นต่างหุบปากฉับกับแทบไม่ทัน พวกเขาเกือบหาเรื่องตายแล้วไหมเล่า ทำไมขุนนางแก่ ๆ พวกนั้นไม่บอกกันก่อนล่วงหน้า เฮ้อ ฮ่องเต้พอเห็นว่าขุนนางเหล่านั้นกลัวตำหนักเมฆาดับมากกว่าเขาเสียอีกก็นึกขำ ไอ้พวกโง่ที่ไม่รู้ดีชั่ว เขาเกือบต้องลำบากจัดสอบขุนนางใหม่อีกแล
สองปีต่อมาหลังชิวเพ่ยเพ่ยมอบตำหนักเมฆาดับให้บุตรชายคนโตดูแล นางเห็นว่าตำแหน่งของเขามั่นคงแล้วจึงปล่อยให้เขาจัดการงานทั้งหมดด้วยตัวเอง องครักษ์เงาของเขาก็เป็นนางที่ไปพบเข้ากับเด็กกำพร้าขอทานแล้วนำมาฝึกฝนร่วมกันตั้งแต่ยังเด็ก ทุกวันนี้คนอื่น ๆ ก็ดูแลบุตรชายคนรองกับบุตรสาวนางอย่างลับ ๆ ไม่ว่าพวกเขาจะทำสิ่งใดนางรู้ทุกอย่าง เพียงแค่นางไม่จำเป็นต้องบอกพวกเขา ชิวเพ่ยเพ่ยเห็นสามีกลับมาก็รีบลากเขาเข้าห้องเพื่อปรึกษาสิ่งที่นางคิดเอาไว้สักพักแล้วทันที เฟยหยุนคิดว่าภรรยารักจะให้เขาชื่นใจจึงเข้าห้องไปอย่างเริงร่า แต่พอเห็นภรรยาสั่งเขานั่งลงดี ๆ เขาจึงรู้ว่าสิ่งที่เห็นไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคิดสักนิด ฮือ ภรรยาใจร้าย“ท่านพี่จะลาออกเมื่อไหร่กัน”“หืม ทำไมเจ้าถามอีกแล้วล่ะเพ่ยเพ่ย มีอะไรหรือเปล่า”“ถ้าท่านยังไม่ลาออกเสียที ข้าจะหนีไปเที่ยวคนเดียวสักสองสามปีน่ะสิ ตอนนี้ลูกโตกันหมดแล้ว ข้าก็อยากลองไปเที่ยวอย่างอิสระดูบ้างอย่างไรเล่า ท่านก็รู้ว่าข้าดูแลตำหนักเมฆาดับมาตั้งแต่ยังเด็ก จึงไม่เคยมีวัยเด็กอย่างคนอื่นเขา” นางมุ่ยหน้าพูดตามความจริง“อ่า ภรรยาอยากไปเที่ยวกับสามีเหรอ” เฟยหยุน
ชิวเพ่ยเพ่ยที่สอนบุตรชายคนโตในทุกสิ่งที่นางเรียนรู้มาตลอดชีวิตตั้งแต่เขาอายุห้าขวบ นางเห็นว่าตอนนี้เขาน่าจะดูแลตำหนักเมฆาดับแทนนางได้แล้ว ชิวเพ่ยเพ่ยส่งจดหมายไปบอกท่านตาที่พักผ่อนกับท่านยายที่จ้วงจื่อนอกเมืองมาตลอดสองสามปีที่ผ่านมา พวกท่านชมชอบบรรยากาศธรรมชาติที่มีน้ำพุร้อนที่นั่นมากนัก ยิ่งมีคนมาพักผ่อนพอให้ท่านได้พูดคุยคลายเหงาก็ยิ่งไม่อยากจากไปไหน นางได้รับจดหมายตอบกลับจากท่านในช่วงเย็นของวันพอดี ท่านตาบอกว่าแล้วแต่นางจะตัดสินใจ หากเห็นว่าหลานชายคนโตเหมาะสม ท่านก็ไม่คัดค้าน เพียงแค่ให้นางช่วยดูแลอยู่ห่าง ๆ ก่อนจะปล่อยมือเมื่อทุกอย่างเข้าที่เข้าทางแล้วก็พอ ชิวเพ่ยเพ่ยอ่านจดหมายที่คนของนางส่งมาให้แล้วก็ยิ้มอย่างสบายใจได้เสียที ตำหนักเมฆาดับนี้เป็นท่านตาที่ส่งมอบให้นางมา ตอนนี้นางต้องการมอบให้ลูกชายคนโตเช่นกัน อย่างไรการเคารพท่านตาคือสิ่งที่นางทำมาตลอดตั้งแต่เด็กแล้ว วันต่อมาชิวเพ่ยเพ่ยบอกสามีนางว่าจะพาบุตรชายเดินทางไปสาขาใหญ่ตำหนักเมฆาดับบนภูเขาสักหลายวัน เฟยหยุนได้แต่ทำหน้างอคอหักด้วยไม่อยากจากภรรยารักแม้แต่นิดเดียว ชิวเพ่ยเพ่ยจึงต้องใช้ไม้ตายว่ากลับ