8
บุรุษเอาแต่ใจ
จางชิงหนี่ว์ขยับตัวเล็กน้อยอย่างรู้สึกอึดอัด เมื่อบุรุษที่นั่งอยู่ข้างๆ เท้าคางจ้องมองนางด้วยแววตายากจะคาดเดา
“ชินอ๋อง เอ่อ...พี่อันฉีเจ้าคะ ข้าว่าท่านควรปล่อยข้อมือข้าได้แล้ว” จับธรรมดาสามัญนางคงไม่ว่าอันใด หากแต่เขาขยับนิ้วราวกับกำลังลูบไล้ข้อมือนาง
‘บุรุษผู้นี้แท้จริงเป็นคนวิปริตผิดแผก ชอบกินเต้าหู้สตรีหรือนี่’ นางควรจะสงสารสวี่ลู่ฟางดีหรือไม่
“ขออภัยพี่ลืม” เขากล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉยก่อนจะยอมปล่อยข้อมือนางแต่โดยดี หลังจากสัมผัสผิวนุ่มเนียนของนางจนพอใจ
ข้อมือยังนุ่มน่าลูบไล้เช่นนี้ แล้วแก้มพองๆ นั่นจะน่าบีบน่าจุมพิตสักเพียงใด
“ข้าคงต้องขอตัวกลับจวนแล้วเจ้าค่ะ หากท่านอยากนั่งรอองค์รัชทายาทต่อก็เชิญตามสบายนะเจ้าคะ”
“...”
เมื่อเห็นตัวซวยที่ตนไม่อยากอยู่ใกล้ นิ่งเงียบ นางจึงลุกขึ้นแล้วเดินกลับไปที่โถงงานเลี้ยงเพื่อบอกลาเจ้าของจวน มางานเลี้ยงจวนเขาอย่างไรก็ควรจะมีมารยาทจะไปจะมาต้องบอกกล่าวไม่ให้เสียชื่อวงศ์ตระกูล
ไม่รู้ว่าเจิ้งเข่อชิงจะเป็นอย่างไรบ้าง องค์รัชทายาทผู้นั้นหรือก็แปลก ในงานจิบชาชมดอกไม้ที่จวนหลิว ชายสูงศักดิ์ผู้นั้นดูเหมือนจะเอาแต่จับจ้องสหายนาง ทั้งที่ควรจะจ้องมองสตรีดอกบัวขาวด้วยแววตาหลงใหล ส่วนชินอ๋องซื่อจื่อก็ดูแปลกไป ไม่เหมือนที่นางเคยอ่านมาเลยสักนิด
“ท่านเสนาบดีฝ่ายซ้าย ข้าน้อยคงต้องขอตัวกลับแล้ว พอดีข้าน้อยรู้สึกไม่ค่อยสบายตัวเท่าใดนัก ขออภัยเจ้าค่ะที่ข้าเสียมารยาท”
“คุณหนูจางเกรงใจกันเกินไปแล้ว”
“ชิงหนี่ว์เจ้าเป็นอันใดมากหรือไม่ ให้ข้าช่วย...”
“มิรบกวนคุณหนูเจิ้งหรอก” เสียงทุ้มที่ดังอยู่ด้านหลังทำให้นางรีบหันไปดู
เพราะกำลังครุ่นคิดนางจึงไม่ทันได้มองด้านหลังว่ามีใครเดินตามมาหรือไม่ แท้จริงตัวซวยผู้นั้นเดินตามนางมาตลอด มิแปลกใจเลยว่าเหตุใดตอนที่นางก้าวเท้าเข้ามาในโถงจัดเลี้ยงคนตระกูลเจิ้งที่กำลังดื่มกินสนุกสนานพร้อมใจกันเงียบกริบหันจ้องมองนางเป็นตาเดียว คงเพราะบุรุษผู้นี้เป็นแน่
‘เอ๊ะ! ปิ่นนั่น’ ดวงตาของนางฉายแววสับสนเมื่อเห็นปิ่นหงส์ปักอยู่กลางกลุ่มผมของสหาย
ยัดเยียดกันเช่นนี้เลยหรือ สหายผู้นี้คงไม่สามารถหลีกหนีโชคชะตาของนางหงส์ค้ำจุนบัลลังก์ได้
“มิรบกวนทุกท่านแล้ว ข้าน้อยจางชิงหนี่ว์ขอตัวลาเจ้าค่ะ” นางย่อตัวคารวะทุกคนด้วยท่าทางแช่มช้อยงดงามสมเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่
‘แล้วเจอกัน’ คุณหนูจางส่งสายตาบอกสหายก่อนจะหันกลับแล้วเดินออกจากโถงจัดเลี้ยงไป
“ข้าก็ต้องลาเช่นกัน” ชินอ๋องซื่อจื่อกล่าวแล้วเดินออกจากโถงจัดเลี้ยงไปโดยไม่สนใจสีหน้าของผู้อื่น
“ท่านพ่อ ข้าขอไปส่งสหายกลับจวน...”
“หากเจ้าไป ข้าจะถือว่าตระกูลเจิ้งไม่ให้เกียรติข้าที่ยังนั่งอยู่ตรงนี้” คำกล่าวขององค์รัชทายาททำให้เสนาบดีฝ่ายซ้ายผู้รักบุตรสาวหันไปมองด้วยสายตาลำบากใจ
‘บุรุษผู้นี้ เหตุใดไม่รีบไสหัวกลับไป’ นางเอ่ยปากไล่ก็หลายรอบ แต่เหตุใดยังหน้าด้านหน้าทนนั่งอยู่
“กินให้มากหน่อย ข้าไม่ชอบสตรีผอมแห้ง” คนที่โดนก่นด่าอย่างองค์รัชทายาทไม่สนใจสายตาจิกกัดของคุณหนูเจิ้ง ท่าทางการคีบอาหารใส่ชามให้นางช่างลื่นไหลยิ่งนัก
คนตระกูลเจิ้งที่เห็นสีหน้าของนางได้แต่ทำท่าทางลำบากใจ และก้มหน้ากินอาหารกันอย่างเงียบๆ
ด้านคุณหนูจางที่กำลังจะขึ้นรถม้าของตน ในจังหวะที่นางกำลังจะจับมือบ่าวรับใช้ที่ทำหน้าที่บังคับรถม้า บุรุษในอาภรณ์สีดำก็แทรกตัวเข้ามาคั่นกลาง ก่อนจะจับมือนางแล้วพยักหน้าเป็นเชิงให้นางเดินขึ้นรถม้า
จางชิงหนี่ว์ไม่มีทางเลือก จะดึงมือออกจากการเกาะกุมก็ไม่ได้ จึงต้องรีบเดินขึ้นรถม้าซึ่งเขาก็ปล่อยมือเมื่อนางขึ้นไปอยู่บนรถม้าเรียบร้อย
“...” ชินอ๋องซื่อจื่อนิ่งเงียบอยู่ข้างรถม้าไม่กล่าวอันใด
“ขอบพระทัยชินอ๋องซื่อจื่อที่มาส่งหม่อมฉันเพคะ หม่อมฉันทูลลา” เสียงหวานของสตรีที่อยู่ในรถม้าดังขึ้นก่อนที่รถม้าจะค่อยๆ เคลื่อนตัว
รถม้าที่มีตราสัญลักษณ์จวนจางแล่นจากไปสุดสายตา บุรุษในอาภรณ์ดำปักลายสีทองจึงเดินไปขึ้นรถม้าของตนเองที่จอดอยู่ ก่อนจะผลัดเปลี่ยนเป็นอาภรณ์ที่รัดกุมขึ้น มือใหญ่หยิบหน้ากากหนังที่ต้องใส่ยามออกไปสืบหาข่าวขึ้นมาใส่ก่อนจะใช้วิชาตัวเบากระโดดออกจากรถม้าเมื่อถึงจุดปลอดสายตาคน
บุรุษชุดดำเร่งจนตามทันรถม้าตระกูลจาง นัยน์ตาดำจับจ้องเพื่อระวังความปลอดภัยให้ เมื่อถึงจุดหมายเขาก็กระโดดเข้าไปในจวนจางทันที โจวอันฉีเลือกต้นไม้ที่สามารถมองเรือนของสตรีดื้อรั้นได้ชัดเจนก่อนจะเอนหลังหลับตาเพื่อรอฟังการมาของนาง
ย้อนไปเมื่อครั้งที่เจอกันข้างลานฝึกยุทธ์ เขาที่เพิ่งกลับจากการสืบข่าวได้รับรายงานจากเงาว่ามีสตรีน่าสงสัยกำลังนั่งทำอันใดบางอย่างที่ไม่น่าไว้ใจอยู่ เขาจึงรีบร้อนไปตรวจสอบ
ในครานั้นเขาเกือบจะสังหารนางจริงๆ เมื่อคิดว่านางอาจจะเป็นสายลับจากใคร แต่ใครจะไปคิดว่าจู่ๆ นางจะใช้มือปัดกระบี่แล้วพุ่งตัวเข้ามากอดขาเขา เมื่อผ้าปิดหน้าผืนนั้นตกลง หัวใจเขาเต้นรัวเร็วเมื่อเห็นดวงหน้าที่คุ้นเคย ต้องเป็นคุณหนูเล็กจางแน่ๆ นางดูไม่ต่างจากตอนเป็นเด็กเท่าใดนัก เมื่อเห็นเช่นนั้นเขาจึงปล่อยให้นางหนีไป
ยิ่งเห็นสิ่งยืนยันตรงมุมของผ้าผืนนั้นเป็นอักษรสองตัว ‘ชิงหนี่ว์’ หญิงสาวผู้บอบบาง นุ่มนวล เขาก็ยิ่งมั่นใจ
เขาเลือกให้คนนำผ้าคลุมหน้าไปคืนให้กับนาง แต่ผ้าเช็ดหน้าที่เปื้อนเลือด เขาเก็บมันไว้ในอกเสื้อ หากว่างเมื่อใดเขาค่อยซักแล้วนำไปเก็บรวมกับผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นที่เคยได้มา
หลังจากนั้นก็เจอนางในงาน เมื่อเห็นสายตาระวังภัยและท่าทางที่ไม่อยากยุ่งเกี่ยว เขาจึงได้แต่มอบยาให้นางและตัดสินใจจะเข้าหานางฐานะบุรุษสวมหน้ากาก เพราะเมื่อเขาเป็นบุรุษสวมหน้ากาก นางยินยอมที่จะพูดคุยกับเขามากกว่าตอนเป็นชินอ๋องซื่อจื่อ
โป๊ก ผลเหอเถาถูกปากระแทกหน้ากากหนัง ดึงความคิดของเขากลับมาก่อนจะก้มลงมองหาที่มา
“นี่ท่าน ลอบเข้าจวนข้าอีกแล้วนะเจ้าคะ” ตั้งแต่เขาให้ความร่วมมือรีบพานางกลับจวน นางรู้สึกได้ว่าแท้จริงเขาไม่ได้น่ากลัวดังเช่นที่เจอกันในวันแรก
“นี่ท่าน ลอบเข้าจวนข้าอีกแล้วนะเจ้าคะ” ตั้งแต่เขาให้ความร่วมมือรีบพานางกลับจวน นางรู้สึกได้ว่าแท้จริงเขาไม่ได้น่ากลัวดังเช่นที่เจอกันในวันแรก พรึ่บ บุรุษในอาภรณ์สีดำกระโดดลงจากต้นไม้ สองเท้าแตะพื้นอย่างสวยงาม “วันนี้เจ้าแต่งตัวงดงามถึงเพียงนี้ ไปเที่ยวเล่นที่ใดมา” “ข้าไปงานปักปิ่นของสหายมาเจ้าค่ะ” “สหายเจ้าก็ปักปิ่นแล้ว เจ้าเล่าเมื่อใดจะปักปิ่น” “อีกไม่นานเจ้าค่ะ” “ข้ามาร่วมงานได้หรือไม่” “ขออภัยที่ข้าต้องปฏิเสธ” หากเขามา นางจะให้คำอธิบาย
‘ข้าจะรอดู’ คนที่คิดเข้าข้างตนเองไปไกลกล่าวพลางซ่อนรอยยิ้มไว้ในสีหน้าอย่างแนบเนียน “เรื่องที่เจ้าต้องการปรึกษาข้ามีเพียงเรื่องเกี้ยวบุรุษ?” “มีอีกหนึ่งเรื่องเจ้าค่ะ” “กล่าวมา...” “หากวันหนึ่งท่านพึงใจสตรีผู้หนึ่งเข้า แล้วข้าไปทำให้คนรักของท่านไม่ถูกใจ ท่านจะสังหารข้าตามที่นางต้องการหรือไม่” “เหตุใดข้าต้องสังหารเจ้าเพื่อนางด้วย” มันคือคำถามอันใดกัน เขาไม่เข้าใจ “ตอบข้ามาสิเจ้าคะ ว่าท่านจะสังหารข้า ตามคำขอของสตรีที่ท่านรักหรือไม่”&n
“มาจากเขา แต่ข้าให้ท่านพ่อส่งคืนไปแล้ว เหตุใดมันถึงมาอยู่บนหัวข้า” เจิ้งเข่อชิงครุ่นคิดก่อนที่นัยน์ตาหงส์จะเบิกกว้างอีกครั้ง ต้องเป็นตอนนั้นแน่ๆ ที่เขาช่วยประคองไม่ให้นางตกจากเก้าอี้ตอนนั้นนางรู้สึกตึงๆ บนหัว แต่ก็ไม่ได้คิดอันใดเพราะคิดว่าปิ่นที่ปักอยู่หลายอันอาจจะไปชนโดนเขา ‘น่าชังนักโจวเฟยหลง’ นางปฏิเสธอย่างชัดเจนก็ยังดื้อดึงที่จะมอบให้ “เช่นนั้นเราจะทำอย่างไรดีเจ้าคะ” “เก็บไว้ในหีบ หากถึงเวลาข้าจะส่งคืนเขาด้วยตนเอง” หากหมดพันธะต่อกันนางจะรีบส่งคืนให้เร็วที่สุด ไม่กี่วันต่อมาคุณหนูเจิ้งก็มาเยือนจวนจางเพื่อชักชวนให้นางไปเยี่ยมหวังเยว่ฉิงท
9สตรีชาเขียว “ช่างเสียมารยาทจริงๆ ที่เข้าห้องผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต” คุณหนูเจิ้งกล่าวตำหนิแต่ก็ยังไม่ยอมผละออกห่างจากนาง “เข่อชิง เจ้าคิดว่าตนกำลังทำอันใดอยู่” คำกล่าวของบุรุษสูงศักดิ์ทำให้นางรู้สึกงุนงงแล้ว มาโรงเตี๊ยมที่มีอาหารเลิศรส หากไม่มากินข้าวจะให้มาทำอันใดอีก เอ่อ...ข้าลืมไปองค์รัชทายาทผู้นี้นอกจากเรื่องการบริหารบ้านเมืองแล้ว เรื่องอื่นเขาไม่ฉลาดเอาเสียเลย มิเช่นนั้นคงไม่ถูกสตรีดอกบัวขาวล่อลวงเอาไปเป็นทาสรักหรอก “องค์รัชทายาท พระองค์ได้โปรดกลับห้องของพระองค์ไปเถิดเพคะ อย่าได้มายุ่งเกี่ยวกับหม่อมฉันและสหาย” นอกจากจะเอ่ยวาจาแล้ว สหายของนางยังส่งสายตาตำหนิคู่หมาย
“ข้าไม่ได้คิดอันใดกับคุณหนูสวี่จริงๆ เจ้าอย่าได้คิดยัดเยียดข้าให้ผู้อื่น” แม้อยากจะเร่งรัดให้เกิดงานหมั้นหมาย แต่ทว่าฮ่องเต้และฮองเฮากลับไม่ยินยอม ทั้งสองพระองค์ต้องการให้เขาจัดการตนเองให้ปราศจากข่าวลือเสียก่อน ซึ่งเขาก็คงต้องรีบลงมือทำ มิเช่นนั้นสตรีผู้นี้ก็คงเข้าใจผิดไม่เลิก ใครกันบังอาจปล่อยข่าวลือน่ารังเกียจพวกนั้น เขาไม่เคยรักใคร่ไยดีสวี่ลู่ฟางแม้แต่น้อย เหตุใดเรื่องราวถึงใดถูกเล่าลือไปเช่นนั้น “ปากก็กล่าววาจาหลอกลวง แต่ท่านคงลืมไปแล้วว่าผู้อื่นไม่ได้ตามืดบอดถึงจะมองไม่เห็นว่าท่านนัดเจอและไปไหนมาไหนกับนางอยู่บ่อยครั้ง หากท่านพึงใจนางก็ควรรีบยกเลิกการหมั้นหมายกับข้า” นางจะได้ไปหาวิธีทำให้ตนเองได้อยู่กับสตรีที่ตนพึงใจเช่นกัน หากสตรีผู้นั้นเป็นชิงหนี่ว์นา
“เจ้าไปนั่งตรงนั้น” โจวอันฉีรั้งชายอาภรณ์นางให้ถอยออกห่างก่อนจะดันตัวให้ไปนั่งข้างนางเอกผู้นั้น ส่วนตัวเองก็นั่งลงระหว่างนางและหลิวเฟิงเหมียนแทน ‘ท่านกำลังโกรธเกรี้ยวว่าที่ฮูหยินของตนหรืออย่างไร’ เอานางมานั่งคั่นกลางเช่นนี้ช่างไม่ดีเอาเสียเลย “เจ้าอยากกินอันใดบ้าง พี่จะสั่งมาให้” โจวอันฉีหันมาถามสตรีข้างกาย คำเรียกขานที่เป็นกันเองทำให้สายตาของคนตระกูลหลิวมองมาด้วยแววตาสงสัยใคร่รู้ ส่วนนางเอกดอกบัวขาวน่ะหรือแทบจะเข้ามาหักคอนางแล้วกระมัง “ข้าเอ่อ...กินอันใดก็ได้เจ้าค่ะ” นางหันไปมองสวี่ลู่ฟางครู่หนึ่งก่อนจะตอบออกไปอย่างมีมารยาท อาหารเลิศรสทั้งหลาย คราวหน้าค่อยเจอกัน นางยอมเสียเงินเองให้จื่อเป่ามาซื้อให้ก็ได้
‘วาจาหยอกล้อหรือ ช่างแสร้งใสซื่อได้ไร้ที่ติจริงๆ’ ชิงหนี่ว์คิดแต่ไม่กล่าวอันใด ก่อนจะแสร้งทำสีหน้าโศกเศร้าต่อ “วาจาหยอกล้อหรือ เช่นนั้นเจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร เป็นแค่บุตรสาวหมอหลวงแต่บังอาจมาเสนอหน้าร่วมโต๊ะกับองค์รัชทายาทและชินอ๋องซื่อจื่ออย่างเปิ่นหวาง สมควรแล้วหรือ หากจะกล่าวว่าโรงเตี๊ยมแห่งนี้ใครมีเงินก็เข้าได้ เช่นนั้นบุตรสาวหมอหลวงอย่างเจ้าและสหายก็ควรจะย้ายไปนั่งโต๊ะอื่น อย่าได้มาขอนั่งร่วมโต๊ะกับพวกเปิ่นหวาง ที่ผ่านมาเปิ่นหวางไว้หน้าคุณหนูหลิวเพราะเห็นว่าเป็นน้องสาวของเฟิงเหมียน แต่ในเมื่อพวกเจ้าไม่ไว้หน้าคุณหนูจางที่เปิ่นหวางและองค์รัชทายาทตั้งใจเชิญมาร่วมโต๊ะ เปิ่นหวางก็ไม่คิดจะไว้หน้าพวกเจ้าอีกเช่นกัน” แม้คนเป็นน้องสาวจะโดนว่ากล่าวแต่หลิวเฟิงเหมียนหาได้สนใจไม่ เพราะกำลังตกตะลึงกับสหายที่นานๆ จะกล่าววาจายืดยาวได้ “ขอประทานอภัยเพคะ ที่ทำให้ชิน
10รักกันจริงหรือแค่ข่าวลือ ในระหว่างที่นางครุ่นคิดไป คีบข้าวเข้าปากไปนั้น จู่ๆ ประตูห้องก็เปิดออกก่อนที่หนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีจะเดินเข้ามาด้านใน “ชิงหนี่ว์ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” เจิ้งเข่อชิงรีบปรี่เข้าใกล้สหายทันที แต่ยังไม่ทันถึงตัวนาง บุรุษที่นั่งอยู่ด้านข้างก็ยกมือขึ้นมากีดกันเสียก่อน “ข้าไม่เป็นอันใด เจ้าเล่าปลอดภัยดีหรือไม่” คำกล่าวของสตรีทั้งสองทำให้บุรุษสูงศักดิ์ทั้งสองมองหน้ากัน คำกล่าวของพวกนางช่างทำให้เขาสองคนกลายเป็นบุรุษกักขฬะอันตราย ถูกมองไม่ดี “ข้าไม่เป็นอันใด ข้าขอนั่งกับเจ้านะ” คุณหนูเจิ้งกล่าวก่อนจะเดินไปยกเก้าอี้แล้วเอามาวางแทรกกลางระ
แม้จะรู้ว่าความรู้สึกที่แท้จริงของตนเป็นเช่นไร นางก็คิดจะเก็บงำเอาไว้ เพราะคิดว่าคนที่นางพึงใจนั้นไม่มีค่ามากพอที่จะเอาความสุขทั้งชีวิตไปแลกมา นางไม่อยากกลายเป็นสตรีร้ายกาจต้องการเศษเสี้ยวความเมตตาจากเขาที่เพียงแค่เขาปรายตาหันมามองก็หัวใจเต้นระรัวไปหลายวัน “เข่อชิง เจ้าไม่รักข้าแล้วก็ไม่เป็นไร ขอแค่อย่าปิดกั้นข้าจะได้หรือไม่ ให้ข้าได้พิสูจน์ตนเองได้หรือไม่” สีหน้าอ้อนวอนของเขาทำให้นางใจเต้นระรัว “ท่านทำถึงเช่นนี้เพื่ออันใด มันไม่ดีต่อตัวท่านเองเลยแม้แต่น้อย” “เพราะข้ารักเจ้า รักมากกว่าทุกสิ่ง ข้ายินยอมที่จะแลกทุกสิ่งเพื่อมีเจ้าเคียงข้าง เรื่องราวในกาลก่อนที่ข้าเคยทำร้ายจิตใจเจ้า เคยทำให้เจ้าลำบากทั้งที่ตั้งใจก็ดี ไม่ตั้งใจก็ดี ข้าขอโทษ ให้โอกาสข้าได้หรือไม่” กล่าวจบบุรุษสูงศักดิ์ก็คุกเข่าลงกับพื้น ยอมละทิ้งซึ่งศักด
“นี่คิดจะโกงตั้งแต่อาหญิงเจ้ายังไม่ได้เริ่มจัดงานเลยหรือ” “องครักษ์ของข้าก็หน้าตาดีไม่น้อย อย่างไรท่านก็ได้กำไร” “กล่าวเช่นนี้เจ้ารู้รายละเอียดของการประกวดหรือไม่” หลานชายนางคงยังไม่ทราบว่าการประชันบุรุษรูปงามที่คุณหนูจางกล่าวถึงคือการให้บุรุษที่เข้าร่วมประชันถอดอาภรณ์ด้านบน หรือเรียกง่ายๆ ว่าเปลือยอก “รู้แล้วอย่างไร ไม่รู้แล้วอย่างไร” องครักษ์มีหน้าที่ต้องทำตามคำสั่งของเขา มิอาจขัดขืนได้ “เช่นนั้นก็ตามใจเจ้า บุรุษที่เข้าร่วมแข่งขัน ขอที่รูปงามหน่อยก็แล้วกัน” “ได้ขอรับ ท่านอาหญิงดูดีใจมากนะขอรับที่จะได้เป็นป้าสะใภ้ของนาง” 
“คือข้ากลับไปคิดดูว่าหากเถ้าแก่หอชายงามไม่ยินยอมให้เรานำชายงามเหล่านั้นมาประชันแข่งขัน ข้าจึงคิดว่าหรือเราจะมองหาบัณฑิตรูปงามแต่ทว่ายากจนมาแข่งขันแทน หากใครได้อันดับหนึ่งเราก็ตอบแทนด้วยการมอบตำลึงให้จำนวนหนึ่งพร้อมกับภาพวาดของปรมาจารย์ลู่ซือ ที่ชื่อความดีใจ” “ภาพวาดปรมาจารย์ลู่ซือหรือ ความดีใจวาดเสร็จแล้วหรือ” “แท้จริงเสร็จนานแล้วเจ้าค่ะ เพียงแต่ภาพความอาวรณ์เพิ่งปล่อยขายไปเมื่อสองปีก่อน ข้าจึงอยากให้ทิ้งระยะห่างสักนิด” “แต่ภาพวาดของปรมาจารย์ลู่ซือนั้น พี่ว่ามันสูงค่าเกินกว่าจะนำมามอบให้เป็นรางวัลของผู้ชนะ” “พวกบัณฑิตนั้นถือศักดิ์ศรีเป็นสำคัญหากรางวัลของผู้ชนะไม่สูงค่าพอ เกรงว่าจะไม่มีใครยอมเข้าแข่งขัน”&n
“ดีขึ้นหรือไม่เจ้าคะ มองเห็นข้าชัดหรือไม่” สตรีที่มีใบหน้าเต็มไปด้วยฝุ่นผงถ่านดูมอมแมม โบกมือไปมาตรงหน้าพลางจับจ้องเขาด้วยแววตาห่วงใย “...” “แย่แล้ว หรือเขาจะมองไม่เห็นข้าจึงไม่ตอบอันใด ไม่ได้การแล้วต้องรีบตามหมอ” จางชิงหนี่ว์เริ่มร้อนรนเมื่อเห็นการตอบสนองของอีกฝ่ายไม่ค่อยน่าไว้ใจ “ช้าก่อน ข้ามองเห็นเจ้าแล้ว” “เห็นแล้วเหตุใดไม่ตอบข้า ทำเอาข้าใจคอไม่ดี” “ข้านึกว่าเสี่ยวมาวตกโคลน จึงตกใจชั่วครู่” “หน้าข้าเป
14 เงื่อนไขการเป็นพระชายา ช่างเป็นโชคดีของนางจริงๆ พี่ใหญ่ได้รับราชโองการให้เป็นตัวแทนฮ่องเต้ กำกับดูแลกรมพิธีการที่เป็นผู้จัดพิธีหมั้นหมายขององค์รัชทายาท รวมทั้งเตรียมงานอภิเษกสมรสที่จะเกิดขึ้นในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า จางชิงเทียนจึงต้องออกจากจวนตั้งแต่เช้าตรู่และกลับจวนกลางดึก นางจึงรอดพ้นจา
บุรุษในอาภรณ์สีดำลายพยัคฆ์ปักทองอุ้มนางมาที่รถม้าที่มีตราสัญลักษณ์จวนชินอ๋อง เขาวางนางลงก่อนจะทรุดตัวนั่งใกล้มากจนแนบชิด “พี่อันฉีเจ้าขา รถม้าจวนอ๋องกว้างไม่น้อย อย่างไรท่านขยับออกไปหน่อยได้หรือไม่” ที่ก็ตั้งกว้างจะมานั่งเบียดนางด้วยเหตุใด “เจ้าช่างดื้อรั้น พี่บอกแล้วไม่ใช่หรือว่าอย่ายัดเยียดพี่ให้สตรีอื่น” “ข้าไม่ได้ทำเช่นนั้นนะเจ้าคะ ข้ารีบกลับจวนจริงๆ” “ข้าไม่ได้ทำเช่นนั้นนะเจ้าคะ ข้ารีบกลับจวนจริงๆ” “ได้ยินมาว่าเจ้าชอบกินขนมกุ้ยฮวาหรือ” “เจ้าค่ะ” เขาคงเคยได้ยินที่นางกล่าวกับสหายในงา
ไม่ๆ อย่าให้ความอยากรู้อยากเห็นอยู่เหนือสิ่งใด เมื่อคิดได้เช่นนั้นคุณหนูจางจึงเดินไปทางที่ทั้งสองคนกำลังยืนอยู่ ดวงหน้าหวานก้มลงเล็กน้อยเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายสังเกตเห็น โชคดีอีกอย่างคือตอนนี้นางยังปกปิดใบหน้าครึ่งล่างด้วยผ้าที่ให้จื่อเป่าไปหาซื้อมาให้ก่อนหน้านี้ ‘ให้หม่อมฉันยืนรอด้วยนะเพคะ’ น้ำเสียงที่เอื้อนเอ่ยช่างอ่อนหวานพาให้จิตใจบุรุษเคลิบเคลิ้ม แต่เพราะกำลังรีบร้อนนางจึงไม่ทันได้ยินหรอกว่าอีกฝ่ายตอบกลับเช่นไร เนื่องจากเอาแต่ครุ่นคิดนางจึงไม่ทันได้รู้ตัวว่าสาวใช้ของตนเดินนำหน้าไปไกลแล้ว ‘อาภรณ์ข้าเกี่ยวอันใดหรือไม่’ เหตุใดนางถึงรู้สึกตึงๆ บริเวณแขนเสื้อ “คารวะคุณหนูจางเจ้าค่ะ” เสียงอ่อนหวานของสตรีดึงความสนใจของนางจนนางต้องหันกลับไปมอง
“ลืมทักไปเลยว่าได้ปิ่นไม้จากที่ใดมา ช่างงดงามและประณีตจริงๆ” “ดอกหมู่ตานเป็นดอกไม้ที่พระชายาของชินอ๋องชื่นชอบ สุดท้ายจึงกลายเป็นดอกไม้ประจำพระองค์ไปโดยปริยาย” “เจ้าจะบอกว่าปิ่นนั่นเป็นของพระชายาชินอ๋อง เช่นนั้นก็หมายความว่าชินอ๋องซื่อจื่อได้หมายตาชิงหนี่ว์ตัวน้อยของข้าไว้นะสิ” “กล่าวออกมาได้เต็มปากเต็มคำ ดูท่านอาหญิงจะรักและเอ็นดูนางมาก” บุรุษไร้ยางอายที่เมื่อสักครู่ซ่อนตัวอยู่หลังร้านทำสีหน้ายุ่งเหยิง เหตุใดแพรพรรณล้ำค่าที่ตนได้รับมอบหมายจากมารดาให้นำมามอบให้ท่านอาหญิง กลับกลายเป็นอาภรณ์มอบให้สตรีไร้หัวนอนปลายเท้าผู้นั้น นอกจากใบหน้าที่งดงามเขาก็ไม่เห็นว่ามีอันใดที่จะทำให้อาหญิงเอ็นดูอีกฝ่ายได้&nb
13 ว่าด้วยเรื่องขนมกุ้ยฮวา ในวันนี้นางได้นัดหมายกับพี่ใหญ่ว่าจะออกไปซื้อของใช้ที่ตลาดด้วยกัน แต่เพราะฮ่องเต้มีเรื่องสำคัญจึงเรียกตัวเข้าวังเป็นการเร่งด่วน นางจึงออกมาเดินตลาดกับจื่อรั่วและจื่อเป่า ร้านขายภาพวาดซือซือเป็นร้านที่ติดต