ฮองเฮาพบปะสหาย
ภายในจวนท่านราชเลขาฯจาง วุ่นวายไม่น้อยเมื่อมีผู้สูงศักดิ์มาเยือนโดยได้นัดหมายกันล่วงหน้า
“ถวายพระพรฝ่าบาท ถวายพระพรฮองเฮาพ่ะย่ะค่ะ” ชินอ๋องที่เพิ่งลงจากรถม้าแสดงความเคารพโอรสสวรรค์และฮองเฮา
“ถวายพระพรฝ่าบาท ถวายพระพรฮองเฮาเพคะ” พระชายาสกุลจางที่ลงรถม้ามาภายหลังทำความเคารพอีกฝ่ายเช่นกัน
“ตามสบายเถิด พวกเจ้าเป็นสหายของเราใช้คำธรรมดาสามัญเถิด”
การแต่งฮูหยินที่เร่งรีบของท่านราชครู มีคนมากมายที่อาจจะสงสัยว่าเหตุใดท่านราชครูจางเหว่ยถึงได้เร่งรีบตบแต่งเถ้าแก่เนี้ยร้านขายภาพวาดซือซือเข้าจวนจาง ทั้งที่ก่อนหน้านี้ก็ไม่มีข่าวลือว่าคบหากัน หรืออาจจะเป็นเพราะได้เห็นบทเรียนจากการเล่าลือเรื่องของคุณหนูสวี่ ที่จู่ๆ คนเหล่านั้นบังเอิญลิ้นขาดกลายเป็นคนพูดไม่ได้ แต่โชคดีหนึ่งในนั้นมีคนเขียนอักษรได้ จึงได้เขียนเตือนคนรอบตัวไม่ให้เล่าลือเรื่องราวเกี่ยวกับเชื้อพระวงศ์หรือตระกูลที่ใกล้ชิดราชวงศ์ สุดท้ายจึงไม่มีใครกล้าเล่าลือหรือสงสัยถึงความเร่งรีบของท่านราชครู “พี่เหว่ย ท่านจะไม่เสียใจทีหลังห
1เกือบไปแล้ว ผ่านมาเกือบเจ็ดปีแล้วที่พี่ชายผู้นี้ทำหน้าที่เป็นทั้งบิดาและมารดาให้นางเพราะตั้งแต่มารดาตาย บิดาจึงอาสาไปออกรบเกือบสามปีกว่าจะสิ้นลมในสนามรบ และก็เป็นเวลาสิบสี่ปีที่นางได้มาเกิดใหม่ในโลกแห่งนี้ซึ่งตามความเข้าใจของนางมันคือโลกนิยาย ทั้งยังเป็นหนึ่งในนิยายที่นางได้อ่านก่อนจะตายเพราะเดินข้ามทางม้าลายแล้วถูกรถมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์ไร้จิตสำนึกชนล้มหัวกระแทกฟุตบาทตายอนาถ แม้จะงุนงงอยู่สักเล็กน้อยที่จู่ๆ ก็ได้มาเกิดใหม่ในที่แห่งนี้ แต่ก็คิดเข้าข้างตนเองว่าคงเป็นเพราะก่อนตายเพียงสองวันนางได้บริจาคเงินหนึ่งร้อยหยวนให้กับวัดที่เดินผ่านทุกวัน ด้วยผลบุญนั้นจึงนำพาให้นางได้มาเกิดใหม่โดยไม่ต้องไปเดินเล่นในนรกก่อน ใช่แล้ว การมาที่โลกแห่งนี้ของนางไม่ได้ทะลุมิติหรือตายแล้วมาเข้าร่างผู้อื่นเช่นนางเอกนิยายที่เคยอ่าน แต่เป็นการที่นางตายจากแล้วเกิดใหม่โดยเริ่มตั้งแต่เป็นทารก ผ่านร้อนผ่านหนาวกว่าจะกลายเป็นแม่นางน้อยวัยใกล้ปักปิ่นผู้นี้ “พี่ใหญ่ข้าขอไปร่วมงานจิบชาชมดอกไม้ที่จวนหลิวมิได้หรือเจ้าคะ” จางชิงหนี่ว์ส่งสายตาออดอ้อนพี่ชาย “มิได้
เขาไม่มีทางยกน้องสาวให้บุรุษน่าตายผู้นั้นหรอก... “พี่ชายเห็นข้าเป็นสตรีเช่นไรเจ้าคะ ข้าไม่ได้ถูกล่อลวงง่ายดายเช่นนั้น ให้ข้าไปร่วมงานที่จวนหลิวเถิดนะเจ้าคะ” หากนางไปล่อลวงบุรุษอื่นเข้าจวนน่ะก็ไม่แน่ “เจ้าอยากไปจริงๆ หรือ” “ข้าอยากไปจริงๆ เจ้าค่ะ” นางอยากเห็นฉากที่พระเอกนางเอกเจอกันครั้งแรก อยากเห็นภาพที่บรรยายว่า ‘เพียงได้พบหน้าสบตาทุกอย่างรอบตัวก็ราวกับหยุดหมุน’ “เช่นนั้นก็ได้ เจ้าต้องอยู่ข้างๆ ไม่ห่างจากพี่เข้าใจหรือไม่” จุดประสงค์ของงานชมดอกไม้คือต้องการให้บุรุษสตรีได้พบเจอพูดคุยกันหวังสานสัมพันธ์ ซึ่งน้องเล็กยังไม่ถึงเวลาที่ต้องทำเช่นนั้น “เจ้าค่ะ พี่ใหญ่ของข้าน่ารักที่สุด” นางยิ้มดีใจก่อนจะโผเข้าไปกอดพี่ชาย ซึ่งคนเป็นพี่ก็ได้แต่ลูบหัวอย่างอ่อนโยน ปีหน้านางก็คงโผกอดเขาเช่นนี้มิได้แล้ว เพราะคำว่า ‘เหมาะสม’ ในสายตาผู้อื่นเพียงคำเดียว แม้จะเป็นพี่น้องที่รักใคร่กัน แต่หากเติบโตถึงวัยออกเรือนก็จะสนิทสนมกันดังเช่นแต่ก่อนไม่ได้ เรื่องนี้ทำให้คุณชายใหญ่จางไม่ชอบใจอยู่มาก “วันนี้เจ้า
แม้ในจวนของอดีตแม่ทัพประจิมที่ตอนนี้เปลี่ยนเป็นจวนท่านราชเลขาฯ แล้วจะไม่ได้ขัดสนเรื่องเงินทองเพราะยังมีท่านราชครูจางคอยเกื้อหนุน แต่คุณหนูของเขาก็ยังคงตั้งหน้าตั้งตาวาดภาพบุรุษขายเพื่อหาเงิน เนิ่นนานเท่าใดไม่รู้ที่จางชิงหนี่ว์วาดภาพสลับกับลอบมองบุรุษในลานฝึกวรยุทธ์ผ่านพุ่มไม้ แปะ แปะ แรงสะกิดของใครบางคนดึงความสนใจของนาง แต่เพราะคิดว่าคนที่สะกิดคือผู้คุ้มกันของตน นางจึงตอบกลับไปสั้นๆ โดยไม่ได้หันไปมอง “หากรูปนี้เสร็จข้าก็จะกลับแล้ว” แปะ แปะ คนที่อยู่ด้านหลังก็ยังใช้ปลายนิ้วแตะลงบนไหล่นาง&
“ปล่อยข้า” บุรุษสวมหน้ากากกล่าวแล้วพยายามดึงขาออกจากการเกาะกุม มือใหญ่สองข้างดึงรั้งตัวสตรีแปลกหน้าให้ออกห่าง “ข้าเพียงแค่เข้ามาวาดรูปบุรุษเพื่อเอาไปขายหาเงินเลี้ยงชีพเพียงเท่านั้น ข้าไม่ได้มีเจตนาร้ายอันใดเลยนะเจ้าคะ ได้โปรดไว้ชีวิตข้าเถิดเจ้าค่ะ ท่านจะให้ข้าทำอันใดก็ได้ทั้งนั้นขอแค่อย่าได้เอาชีวิตข้าเลย” “ข้าบอกให้ปล่อยขาข้าอย่างไรเล่า” น้ำเสียงของบุรุษสวมหน้ากากเริ่มแสดงออกถึงโทสะ ก่อนที่เขาจะกระชากอย่างแรงทำให้สตรีผู้นั้นกระเด็นไปอีกทาง “โอ๊ย!” เจ็บชะมัด ใช่สิ! ข้ามันไม่ใช่โฉมสะคราญเหมือนนางเอกที่จะมีบุรุษมาพึงใจตั้งแต่แรกเห็น “เจ้า!&rdq
2แรกพบสบตา ในที่สุดก็ถึงวันงานจิบชาชมดอกไม้ของจวนหลิวมีคุณหนูคุณชายมาร่วมงานเป็นจำนวนมาก เนื่องจากผู้นำตระกูลหลิวเป็นถึงเสนาบดีฝ่ายขวาที่มีความสำคัญต่อราชสำนัก และเนื่องจากตระกูลหลิวได้แจ้งถึงจุดประสงค์การจัดงานชัดเจน สตรีวัยออกเรือนที่เข้าร่วมจึงพากันแต่งตัวงดงามอวดโฉมโดยหวังว่าจะมีบุรุษที่เพียบพร้อมด้วยรูปโฉมและชาติตระกูลหมายปองตน “เจ้าอย่ามัวเหม่อมอง ประเดี๋ยวจะพลัดหลงกับพี่” “เจ้าค่ะ” อีกไม่กี่เดือนนางก็จะปักปิ่นแล้ว พี่ใหญ่ก็เป็นห่วงนางเกินไป “เจ้าต้องระวังตัวให้ดี ในงานเลี้ยงเหล่านี้มักจะเกิดเรื่องไม่ดีงาม คุณหนูบางคนพลาดท่าเสียทีศัตรูจนต้องแต่งงานกับบุรุษที่ตนไม่พึงใจมานักต่อนัก&rdquo
‘มิได้ ข้าไม่ควรสบตากับเขา แรงดึงดูดของพระเอกรุนแรงเกินไป ข้าอาจจะพลั้งเผลอเข้าไปในบทบาทเดิม’ “ชิงหนี่ว์ เจ้าฟังข้าอยู่หรือไม่” “ขออภัยเจ้าค่ะ นานๆ ทีข้าจะได้ออกมาร่วมงานเช่นนี้ ข้าจึงพลั้งเผลอมองบุรุษรูปงามนานเกินไปบ้าง” “ข้าชอบเจ้ายิ่ง เรามาเป็นสหายกันเถิด” หวังเยว่ฉิงคว้ามือน้อยมาจับไว้ด้วยความดีใจ สตรีตรงไปตรงมาไม่เสแสร้งในเมืองหลวงช่างหากได้ยากยิ่ง “ข้ายินดีเจ้าค่ะ ท่านล่ะเจ้าคะ อยากเป็นสหายของข้าด้วยหรือไม่” จางชิงหนี่ว์หันไปเอ่ยถามแล้วส่งยิ้มกว้างให้กับนางร้ายที่นั่งเงียบ “อะ...อืม” “เข่อชิงตอบรับแล้ว เช่นนั้นต่อจากนี้เราเป็นสหายกันแล้วนะ” หวังเยว่ฉิงกล่าวอย่างอารมณ์ดี พลางเอามือข้างหนึ่งของนางไปวางลงบนมือของเจิ้งเข่อชิงทำให้เจ้าตัวรีบก้มหน้าลงเพื่อซ่อนสีหน้า ‘เหตุใดสตรีผู้นี้ถึงได้งดงามน่ามองเช่นนี้’ คุณหนูเจิ้งผู้เย่อหยิ่งไม่เข้าใจตนเองว่าเหตุใดถึงใจเต้นแรงยามเห็นรอยยิ้มของสหายคนใหม่ เมื่อปรับเปลี่ยนสีหน้าได้แล้วจึงเงยขึ้นมองคุณหนูจางก่อนจะส่งยิ้มให้อย่างจริงใจ
สตรีตัวน้อยที่กล่าวปฏิเสธข้อเสนอการหมั้นหมายกับชินอ๋องซื่อจื่อพร้อมทั้งปฏิเสธรางวัลทั้งหมดแลกกับราชโองการเลือกคู่ครองด้วยตนเอง ส่วนพี่ชายก็ปฏิเสธรางวัลแลกกับการได้เป็นขุนนางช่วยเหลืองานในวังเพื่อจะได้เป็นเสาหลักให้น้องสาว ซึ่งสุดท้ายจางชิงเทียนก็สามารถพิสูจน์ตนเองถึงความสามารถและได้รับความไว้วางใจจากฮ่องเต้ให้ทำงานอยู่ข้างกาย นั่นเป็นครั้งเดียวที่องค์รัชทายาทเช่นเขาได้เจอสตรีผู้นั้น “เฟยหลง สตรีที่พูดคุยกับคู่หมายเจ้าเป็นคุณหนูจวนใดหรือ เหตุใดข้าไม่เคยเห็นหน้า” “ข้าไม่ทราบ” องค์รัชทายาทกล่าวพลางจ้องมองไปยังว่าที่คู่หมั้นซึ่งตนไม่ได้พึงใจกำลังนั่งพูดคุยกับสตรีที่มีดวงหน้างดงามน่ามอง ก่อนจะชะงักไปเล็กน้อยเมื่อเห็นรอยยิ้มที่ระบายเต็มดวงหน้าหวานของเจิ้งเข่อชิง รู้จักกันมาตั้งนานเขาเพิ่งเคยเห็นนางยิ้มเช่นนี้เป็นครั้งแรก... “ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน อันฉีเจ้ารู้หรือไม่” “หึ” ชินอ๋องซื่อจื่อส่งเสียงสั้นๆ เพียงแค่นั้นก่อนจะยกชาขึ้นจิบ สายตาจับจ้องไปที่กลุ่มสตรีสามคนกำลังพูดคุยกัน ในงานจิบชาชมดอก
การแต่งฮูหยินที่เร่งรีบของท่านราชครู มีคนมากมายที่อาจจะสงสัยว่าเหตุใดท่านราชครูจางเหว่ยถึงได้เร่งรีบตบแต่งเถ้าแก่เนี้ยร้านขายภาพวาดซือซือเข้าจวนจาง ทั้งที่ก่อนหน้านี้ก็ไม่มีข่าวลือว่าคบหากัน หรืออาจจะเป็นเพราะได้เห็นบทเรียนจากการเล่าลือเรื่องของคุณหนูสวี่ ที่จู่ๆ คนเหล่านั้นบังเอิญลิ้นขาดกลายเป็นคนพูดไม่ได้ แต่โชคดีหนึ่งในนั้นมีคนเขียนอักษรได้ จึงได้เขียนเตือนคนรอบตัวไม่ให้เล่าลือเรื่องราวเกี่ยวกับเชื้อพระวงศ์หรือตระกูลที่ใกล้ชิดราชวงศ์ สุดท้ายจึงไม่มีใครกล้าเล่าลือหรือสงสัยถึงความเร่งรีบของท่านราชครู “พี่เหว่ย ท่านจะไม่เสียใจทีหลังห
ฮองเฮาพบปะสหาย ภายในจวนท่านราชเลขาฯจาง วุ่นวายไม่น้อยเมื่อมีผู้สูงศักดิ์มาเยือนโดยได้นัดหมายกันล่วงหน้า “ถวายพระพรฝ่าบาท ถวายพระพรฮองเฮาพ่ะย่ะค่ะ” ชินอ๋องที่เพิ่งลงจากรถม้าแสดงความเคารพโอรสสวรรค์และฮองเฮา “ถวายพระพรฝ่าบาท ถวายพระพรฮองเฮาเพคะ” พระชายาสกุลจางที่ลงรถม้ามาภายหลังทำความเคารพอีกฝ่ายเช่นกัน “ตามสบายเถิด พวกเจ้าเป็นสหายของเราใช้คำธรรมดาสามัญเถิด”
“เจ้าโอบอุ้มบุตรชายของเราให้แน่นๆ ส่วนเจ้าพี่จะจับให้แน่นๆ เอง” กล่าวจบเขาก็ใช้วิชาตัวเบาโอบอุ้มพานางและบุตรชายกลับตำหนัก ทันทีที่ถึงตำหนักโจวหลี่หมิงถูกส่งตัวให้ซานจี สาวใช้ประจำตัวคนใหม่ของนางที่ทางพระสวามีหามาให้ แน่นอนว่านางมิใช่สาวใช้ธรรมดา เพราะสตรีผู้นี้คือองครักษ์เงาที่ถูกฝึกมาอย่างหนักเพื่อดูแลดวงใจของท่านอ๋อง “นำไปซื่อจื่อไปมอบให้แม่นมแล้วเจ้าไปพัก ข้าจะดูแลพระชายาเอง” บุรุษที่ชื่นชอบการปรนนิบัติฮูหยินกล่าว “แงๆ” แม้จะดีดดิ้นเพียงใด แต่บุตรชายมีหรือจะต่อต้านบิดาได้ “ท่านพี่ หากลูกไม่อยากไป...” ไม่มีมาร
เรื่องเล่าหลังเป็นพระชายาของชิงหนี่ว์ ดวงตาเมล็ดซิ่งทอดมองผืนดินที่เขียวชอุ่มไปด้วยพืชผัก ที่ดินผืนนี้นางใช้เงินที่ได้จากการวาดภาพขายมาซื้อเก็บไว้ เพื่อสร้างรายได้ให้กับบ่าวรับใช้ผู้ภักดีทั้งสอง ก่อนหน้าที่นางจะแต่งเข้าตำหนักอ๋องไม่นาน นางก็จัดการให้จื่อรั่วและจื่อเป่าที่ความสัมพันธ์คืบหน้าไปอย่างรวดเร็วได้เข้าพิธีกราบไหว้ฟ้าดินกันก่อนจะคืนสัญญาทาสแล้วให้ทั้งสองคนย้ายมาปลูกจวนอยู่บนที่ผืนนี้ “พระชายาท่านนั่งพักดื่มน้ำก่อนเถิดเพคะ รอแดดร่มลมตกค่อยออกไปเดินดูด้านนอก”&
“เช่นนั้นก่อนจะลงโทษน้อง ท่านพี่กินข้าวก่อนดีหรือไม่เจ้าคะ” “มิต้อง” กล่าวจบเขาก็รั้งนางเข้าไปแนบชิด มือใหญ่จับยึดคางเรียวเอาไว้ริมฝีปากร้อนกดลงบนกลีบปากบาง ลิ้นร้อนบุกรุกโพรงปากนางอย่างเอาแต่ใจ ในขณะที่มือช่วยปลดเปลื้องอาภรณ์ให้นางอย่างรวดเร็ว ช่างใจร้อนเสียจริง... ดวงหน้าหวานแดงก่ำด้วยความเขินอาย เมื่อพระสวามีของตนที่เพิ่งถอนจุมพิตเร่าร้อนเมื่อครู่ จับจ้องนางราวกับหมาป่าหิวกระหาย “น้องหญิงของพี่เลิศรสกว่าอาหารใดๆ” กล่าวจบเขาก็ช้อนเรือนร่างเปลือยเปล่าเข้าหลังฉากกั้น ว่ากันว่าฮองเฮาชื่นชอบการแช่น้ำร้อน ภายในตำหนักจึงมีบ่อน้ำร้อนขนาดใหญ่อยู่ติดห้องบรรทม 
ฮ่องเต้ผู้เด็ดขาดกับฮองเฮา (แค่บนเตียง) นัยน์ตาดำของบุรุษสูงศักดิ์จับจ้องใบหน้าของสตรีที่ตนรักอย่างไม่ละสายตา มือใหญ่ช่วยคีบอาหารใส่ชามให้นางอย่างเอาใจ “ท่านพี่กินบ้างเถิดเจ้าค่ะ อย่ามัวแต่คีบให้ข้าเลยเจ้าค่ะ” แม้ยามนี้ทั้งสอ
“เอ่อ...ท่านช่วยพาข้าลงจากหลังม้าได้หรือไม่เจ้าคะ” สิ้นเสียงนาง รอยยิ้มบางปรากฏบนใบหน้าไร้ที่ติแม้จะหล่อเหลาน้อยกว่าชินอ๋องซื่อจื่อ แต่ทว่าก็มีสตรีไม่น้อยที่ชื่นชอบบุรุษผู้นี้ หลังจากที่นางได้ขี่ม้าตัวเดียวกับบุรุษที่สตรีหลายคนหมายปอง นางก็มักจะเจอเขาที่เหลาอาหารหรือโรงเตี๊ยมอยู่บ่อยครั้ง เพราะไม่สบายใจกับสายตาจาบจ้วงของบุรุษในวันนั้นนางจึงไม่กล้าไปที่ร้านบะหมี่เนื้อของท่านป้าผู้นั้นอีก แต่ไม่แน่ใจว่าเป็นเรื่องแปลกหรือไม่ นางมักจะเจอท่านราชเลขาฯจางผู้นั้นอยู่บ่อยครั้ง วันนี้ก็เช่นกัน “ดูเหมือนเจ้าจะชื่นชอบการออกมากินข้าวนอกจวน มิทราบว่าพ่อครัวจวนหวังทำอาหารไม่อร่อยหรือ” เขามานั่งร่วมโต๊ะโดยที่นางไม่ต้องเชิญทุกครา จนกลายเป็นความเคยชิ
“ข้าอิ่มแล้วเจ้าค่ะ ได้โปรดยกเท้าที่เหยียบชายอาภรณ์ข้าด้วยเจ้าค่ะ” “เจ้ารู้หรือไม่ มีขอทานและคนยากจนที่ไม่มีแม้แต่ข้าวจะกิน หากคนพวกนั้นมาเห็นเจ้ากินเหลือเช่นนั้น พวกเขาคงตัดพ้อ พวกเขาไม่มีโอกาสแม้แต่จะได้กินบะหมี่น้ำธรรมดา แต่เจ้าที่เป็นคุณหนูกลับกินทิ้งกินขว้าง กินเพียงคำสองคนไม่ถูกใจก็ทิ้ง จะว่าไปก็น่าสงสารชาวบ้านที่เขาทำปลูกพืชผักและเลี้ยงสัตว์นะ พวกเขาลำบากเพียงใดกว่าจะปลูกพืชผักและเลี้ยงสัตว์มาเพื่อเป็นอาหารให้พวกเราได้กิน...” “พอแล้วเจ้าค่ะ ข้ากินให้หมดก็ได้” คุณหนูหวังกล่าวก่อนจะนั่งลงตามเดิม มือเรียวหยิบตะเกียบมาคีบกินบะหมี่เนื้อที่ตนกินค้างไว้ พร้อมกับบะหมี่เนื้อที่เขาสั่งถูกนำมาให้พอดี มุมปากของเขาหยักยิ้มเมื่อเห็นท่าทางของนาง จางชิงเทียนกินบะหมี่เนื้อไปลอบมองสหายของน้องสาวไป เขาเพิ่งสังเกตว่าคุณหน
“ข้าเห็นเจ้าเดินออกจากโรงเตี๊ยมจึงเดินตามเพียงเท่านั้น” กล่าวจบสายตาของท่านราชเลขาฯ ก็จับจ้องดวงหน้าหวานที่มักจะส่งยิ้มให้เขาอยู่เสมอ แต่ทว่าวันนี้กลับบึ้งตึง “ท่านป้าเจ้าขา วันนี้ข้าต้องไปแล้ว ท่านมาเก็บโต๊ะเถิดเจ้าค่ะ คุณชายพวกนี้จะได้มีโต๊ะนั่งไม่ต้องมายืนจ้องผู้อื่นให้เสียมารยาทเช่นนี้” กล่าวจบนางก็วางเหรียญอีแปะลงบนโต๊ะก่อนจะเดินออกจากร้านไป ตั้งแต่ต้นจนจบนางไม่ทักทายเขาเช่นที่เคยทำ ต้องเป็นเพราะที่เขากล่าววาจาไม่ดีใส่นางในวันนั้นเป็นแน่ “ชิงเทียนเจ้ารู้จักคุณหนูผู้นั้นหรือ” “เจ้าชอบนางหรือ” “ใช่ ข้าอยากเกี้ยวพานาง ในเมืองหลวงนี้จะมีคุณหนูส