เขาไม่มีทางยกน้องสาวให้บุรุษน่าตายผู้นั้นหรอก...
“พี่ชายเห็นข้าเป็นสตรีเช่นไรเจ้าคะ ข้าไม่ได้ถูกล่อลวงง่ายดายเช่นนั้น ให้ข้าไปร่วมงานที่จวนหลิวเถิดนะเจ้าคะ” หากนางไปล่อลวงบุรุษอื่นเข้าจวนน่ะก็ไม่แน่
“เจ้าอยากไปจริงๆ หรือ”
“ข้าอยากไปจริงๆ เจ้าค่ะ” นางอยากเห็นฉากที่พระเอกนางเอกเจอกันครั้งแรก
อยากเห็นภาพที่บรรยายว่า ‘เพียงได้พบหน้าสบตาทุกอย่างรอบตัวก็ราวกับหยุดหมุน’
“เช่นนั้นก็ได้ เจ้าต้องอยู่ข้างๆ ไม่ห่างจากพี่เข้าใจหรือไม่” จุดประสงค์ของงานชมดอกไม้คือต้องการให้บุรุษสตรีได้พบเจอพูดคุยกันหวังสานสัมพันธ์ ซึ่งน้องเล็กยังไม่ถึงเวลาที่ต้องทำเช่นนั้น
“เจ้าค่ะ พี่ใหญ่ของข้าน่ารักที่สุด” นางยิ้มดีใจก่อนจะโผเข้าไปกอดพี่ชาย ซึ่งคนเป็นพี่ก็ได้แต่ลูบหัวอย่างอ่อนโยน
ปีหน้านางก็คงโผกอดเขาเช่นนี้มิได้แล้ว เพราะคำว่า ‘เหมาะสม’ ในสายตาผู้อื่นเพียงคำเดียว
แม้จะเป็นพี่น้องที่รักใคร่กัน แต่หากเติบโตถึงวัยออกเรือนก็จะสนิทสนมกันดังเช่นแต่ก่อนไม่ได้ เรื่องนี้ทำให้คุณชายใหญ่จางไม่ชอบใจอยู่มาก
“วันนี้เจ้าอยากออกไปซื้อชุดกับเครื่องประดับใหม่หรือไม่ พี่จะได้เตรียมผู้คุ้มกันเอาไว้ให้” ผู้คุ้มกันที่ว่านี้ส่วนใหญ่ก็เป็นอดีตทหารของบิดาซึ่งยังคงจงรักภักดีต่อแม่ทัพประจิมที่แม้จะสิ้นชีพไปแล้ว คนเหล่านั้นยังคงขอมาดูแลทายาทของแม่ทัพที่พวกเขาภักดี
“ชุดกับเครื่องประดับข้ามีมากแล้ว” จะแต่งตัวสวยงามไปเพื่ออันใด วันนี้มันเป็นวันที่พระเอกและนางเอกจะโดดเด่น
“ยามไปร่วมงานเลี้ยง สตรีมิใช่ว่าต้องซื้ออาภรณ์ชุดใหม่หรือเครื่องประดับชิ้นใหม่หรือ”
“สำหรับสตรีอื่นอาจจะเป็นเช่นนั้น แต่สำหรับข้า ข้าไม่ถือสาเจ้าค่ะที่จะใส่อาภรณ์ชุดเก่าไปร่วมงาน” เพียงแค่ไปจิบชากินขนมในงานไม่กี่คำเหตุใดต้องสิ้นเปลืองเช่นนั้น
“ชิงหนี่ว์ จวนเราไม่ได้ยากจนถึงเพียงนั้น หากเจ้าอยากซื้อชุดใหม่ เครื่องประดับใหม่ เจ้าสามารถซื้อได้”
“ข้าไม่อยากได้จริงๆ เจ้าค่ะ แค่ที่พี่ใหญ่ ท่านลุงและท่านปู่มอบให้ ศีรษะน้อยๆ ของข้าก็ไม่สามารถปักได้หมดแล้วเจ้าค่ะ”
“ตามใจเจ้า” สุดท้ายพี่ชายก็อดไม่ได้ที่จะตามใจ
สองพี่น้องนั่งสนทนากันบนโต๊ะอาหารอีกสักหลายประโยคก่อนผู้เป็นพี่จะไปเตรียมตัวเพื่อเข้าวัง
ในทุกเช้าจางชิงเทียนจะรับมื้อเช้ากับน้องสาวก่อนที่จะเข้าวังไปเฝ้าฮ่องเต้ และในตอนเย็นก็จะรีบกลับมารับมื้อเย็นกับนาง ที่ทำเช่นนี้ก็เพราะไม่อยากให้น้องสาวรู้สึกเหงาหรือขาดความรัก
หลังจากท่านราชเลขาฯ จางออกจากเรือนไป สตรีตัวน้อยก็หอบกระดาษวาดภาพและชุดพู่กันราคาแพงที่พี่ชายมอบให้เพื่อเตรียมตัวไปยังที่แห่งหนึ่ง
“คุณหนูท่านอย่าทำเช่นนี้เลยเจ้าค่ะ หากคุณชายใหญ่กับนายท่านทั้งสองรู้เข้า บ่าวต้องโดนลงโทษเป็นแน่” จื่อรั่วกล่าวพลางมองคุณหนูผูกผ้าเพื่อบดบังใบหน้าครึ่งล่างเผยให้เห็นแต่ดวงตา
“ข้าไม่พูด เจ้าไม่เอ่ยปากก็ไม่มีใครทราบ” ลานฝึกยุทธ์แห่งนั้นอยู่ไม่ไกลจากจวนราชเลขาฯ เท่าใดนัก พี่ชายก็เข้าวังไปแล้ว ดังนั้นสามารถมั่นใจได้ว่าเขาจะไม่มีทางไปเจอนางที่นั่นแน่นอน
“แต่มันไม่งามนะเจ้าคะ” มีอย่างที่ไหนคุณหนูในห้องหอไปซุ่มดูบุรุษที่ลานฝึกยุทธ์
“ข้าไม่น่าบอกเรื่องนี้แก่เจ้าเลยจื่อรั่ว จื่อเป่าออกมา” นางเอ่ยกับสาวใช้คนสนิทก่อนจะเรียกผู้คุ้มกันออกมา
“ขอรับคุณหนู”
“พาข้าไปลานฝึกยุทธ์ทางตะวันออกของเมือง” สิ้นเสียงผู้เป็นนาย บุรุษที่อายุน้อยกว่าพี่ชายเพียงปีเดียวหันไปมองหน้าสาวใช้คนสนิทของนาง
“...” จื่อเป่าไม่กล้าตอบรับ แม้เขาจะเป็นทาสที่คุณหนูเมตตาซื้อมาจากตลาดทาสแล้วให้ฝึกวรยุทธ์เพื่อติดตามคุณหนู แต่เขาก็ยังต้องเชื่อฟังคุณชายใหญ่ทั้งนี้ก็เพื่อความปลอดภัยของนาง
“ว่าอย่างไร เจ้าคิดจะขัดคำสั่งข้าหรือ” จางชิงหนี่ว์กล่าวก่อนจะยกแขนกอดอก ดวงหน้าหวานเชิดขึ้นเล็กน้อยราวกับหงุดหงิดที่ถูกขัดใจ
“ก็ได้ขอรับ แต่ไปได้เพียงครู่เดียวนะขอรับ ลานฝึกยุทธ์ไม่ใช่สถานที่ที่เราจะไปเที่ยวเล่นได้”
“ข้าวาดแค่สองสามภาพก็จะกลับแล้ว” ภาพวาดบุรุษในสภาพที่มีเหงื่อผุดพรายทั่วอกแกร่ง อาภรณ์บริเวณอกแหวกออกเล็กน้อยยามขยับตัว ช่างเป็นภาพที่งดงามจนเป็นที่นิยมของสตรีหลายคน
ยิ่งเป็นภาพบุรุษเปลือยอกท่อนบนยิ่งขายได้ราคาสูง เพราะเป็นเช่นนี้นางจึงไม่ค่อยอยากใช้เงินสิ้นเปลืองเท่าใดนัก เนื่องจากกว่าจะได้ภาพบุรุษแต่ละภาพ ช่างยากเย็น ไหนจะต้องลอบทำโดยไม่ให้บุรุษตระกูลจางรู้ ไหนจะต้องไปลอบดูบุรุษตามที่ต่างๆ ซึ่งหากโดนจับได้ชื่อเสียงนางคงป่นปี้
“เช่นนั้นข้าขออภัยขอรับคุณหนู” ผู้คุ้มกันหนุ่มกล่าวก่อนจะเดินเข้าไปโอบอุ้มคุณหนูของตนแล้วใช้วิชาตัวเบาที่ได้ร่ำเรียนมาพานางไปยังสถานที่ที่ต้องการ
เห็นหรือไม่การไปซื้อทาสมาฝึกวรยุทธ์เพื่อดูแลตน มันง่ายกว่าการที่นางต้องมาฝึกเอง ‘ข้านี่มันฉลาดจริงๆ’
ใช้เวลาเพียงชั่วจิบชาสองเท้าของนางก็แตะลงบนพื้นดินในป่าข้างลานฝึกยุทธ์ จื่อเป่าช่างเลือกได้ดียิ่ง ที่ตรงนี้อยู่หลังพุ่มไม้ใหญ่ นางสามารถแหวกพุ่มไม้เพื่อลอบมองบุรุษได้และยากต่อการถูกค้นพบ
จางชิงหนี่ว์รีบกางอุปกรณ์วาดภาพอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเริ่มลงมือวาด นางขยับมือรวดเร็วราวกับชำนาญทำให้จื่อเป่าที่กลายเป็นผู้คุ้มกันคุณหนูตั้งแต่เมื่อสี่ปีก่อนได้แต่ถอยห่างเพื่อให้คุณหนูวาดภาพได้สะดวก
แม้ในจวนของอดีตแม่ทัพประจิมที่ตอนนี้เปลี่ยนเป็นจวนท่านราชเลขาฯ แล้วจะไม่ได้ขัดสนเรื่องเงินทองเพราะยังมีท่านราชครูจางคอยเกื้อหนุน แต่คุณหนูของเขาก็ยังคงตั้งหน้าตั้งตาวาดภาพบุรุษขายเพื่อหาเงิน
แม้ในจวนของอดีตแม่ทัพประจิมที่ตอนนี้เปลี่ยนเป็นจวนท่านราชเลขาฯ แล้วจะไม่ได้ขัดสนเรื่องเงินทองเพราะยังมีท่านราชครูจางคอยเกื้อหนุน แต่คุณหนูของเขาก็ยังคงตั้งหน้าตั้งตาวาดภาพบุรุษขายเพื่อหาเงิน เนิ่นนานเท่าใดไม่รู้ที่จางชิงหนี่ว์วาดภาพสลับกับลอบมองบุรุษในลานฝึกวรยุทธ์ผ่านพุ่มไม้ แปะ แปะ แรงสะกิดของใครบางคนดึงความสนใจของนาง แต่เพราะคิดว่าคนที่สะกิดคือผู้คุ้มกันของตน นางจึงตอบกลับไปสั้นๆ โดยไม่ได้หันไปมอง “หากรูปนี้เสร็จข้าก็จะกลับแล้ว” แปะ แปะ คนที่อยู่ด้านหลังก็ยังใช้ปลายนิ้วแตะลงบนไหล่นาง&
“ปล่อยข้า” บุรุษสวมหน้ากากกล่าวแล้วพยายามดึงขาออกจากการเกาะกุม มือใหญ่สองข้างดึงรั้งตัวสตรีแปลกหน้าให้ออกห่าง “ข้าเพียงแค่เข้ามาวาดรูปบุรุษเพื่อเอาไปขายหาเงินเลี้ยงชีพเพียงเท่านั้น ข้าไม่ได้มีเจตนาร้ายอันใดเลยนะเจ้าคะ ได้โปรดไว้ชีวิตข้าเถิดเจ้าค่ะ ท่านจะให้ข้าทำอันใดก็ได้ทั้งนั้นขอแค่อย่าได้เอาชีวิตข้าเลย” “ข้าบอกให้ปล่อยขาข้าอย่างไรเล่า” น้ำเสียงของบุรุษสวมหน้ากากเริ่มแสดงออกถึงโทสะ ก่อนที่เขาจะกระชากอย่างแรงทำให้สตรีผู้นั้นกระเด็นไปอีกทาง “โอ๊ย!” เจ็บชะมัด ใช่สิ! ข้ามันไม่ใช่โฉมสะคราญเหมือนนางเอกที่จะมีบุรุษมาพึงใจตั้งแต่แรกเห็น “เจ้า!&rdq
2แรกพบสบตา ในที่สุดก็ถึงวันงานจิบชาชมดอกไม้ของจวนหลิวมีคุณหนูคุณชายมาร่วมงานเป็นจำนวนมาก เนื่องจากผู้นำตระกูลหลิวเป็นถึงเสนาบดีฝ่ายขวาที่มีความสำคัญต่อราชสำนัก และเนื่องจากตระกูลหลิวได้แจ้งถึงจุดประสงค์การจัดงานชัดเจน สตรีวัยออกเรือนที่เข้าร่วมจึงพากันแต่งตัวงดงามอวดโฉมโดยหวังว่าจะมีบุรุษที่เพียบพร้อมด้วยรูปโฉมและชาติตระกูลหมายปองตน “เจ้าอย่ามัวเหม่อมอง ประเดี๋ยวจะพลัดหลงกับพี่” “เจ้าค่ะ” อีกไม่กี่เดือนนางก็จะปักปิ่นแล้ว พี่ใหญ่ก็เป็นห่วงนางเกินไป “เจ้าต้องระวังตัวให้ดี ในงานเลี้ยงเหล่านี้มักจะเกิดเรื่องไม่ดีงาม คุณหนูบางคนพลาดท่าเสียทีศัตรูจนต้องแต่งงานกับบุรุษที่ตนไม่พึงใจมานักต่อนัก&rdquo
‘มิได้ ข้าไม่ควรสบตากับเขา แรงดึงดูดของพระเอกรุนแรงเกินไป ข้าอาจจะพลั้งเผลอเข้าไปในบทบาทเดิม’ “ชิงหนี่ว์ เจ้าฟังข้าอยู่หรือไม่” “ขออภัยเจ้าค่ะ นานๆ ทีข้าจะได้ออกมาร่วมงานเช่นนี้ ข้าจึงพลั้งเผลอมองบุรุษรูปงามนานเกินไปบ้าง” “ข้าชอบเจ้ายิ่ง เรามาเป็นสหายกันเถิด” หวังเยว่ฉิงคว้ามือน้อยมาจับไว้ด้วยความดีใจ สตรีตรงไปตรงมาไม่เสแสร้งในเมืองหลวงช่างหากได้ยากยิ่ง “ข้ายินดีเจ้าค่ะ ท่านล่ะเจ้าคะ อยากเป็นสหายของข้าด้วยหรือไม่” จางชิงหนี่ว์หันไปเอ่ยถามแล้วส่งยิ้มกว้างให้กับนางร้ายที่นั่งเงียบ “อะ...อืม” “เข่อชิงตอบรับแล้ว เช่นนั้นต่อจากนี้เราเป็นสหายกันแล้วนะ” หวังเยว่ฉิงกล่าวอย่างอารมณ์ดี พลางเอามือข้างหนึ่งของนางไปวางลงบนมือของเจิ้งเข่อชิงทำให้เจ้าตัวรีบก้มหน้าลงเพื่อซ่อนสีหน้า ‘เหตุใดสตรีผู้นี้ถึงได้งดงามน่ามองเช่นนี้’ คุณหนูเจิ้งผู้เย่อหยิ่งไม่เข้าใจตนเองว่าเหตุใดถึงใจเต้นแรงยามเห็นรอยยิ้มของสหายคนใหม่ เมื่อปรับเปลี่ยนสีหน้าได้แล้วจึงเงยขึ้นมองคุณหนูจางก่อนจะส่งยิ้มให้อย่างจริงใจ
สตรีตัวน้อยที่กล่าวปฏิเสธข้อเสนอการหมั้นหมายกับชินอ๋องซื่อจื่อพร้อมทั้งปฏิเสธรางวัลทั้งหมดแลกกับราชโองการเลือกคู่ครองด้วยตนเอง ส่วนพี่ชายก็ปฏิเสธรางวัลแลกกับการได้เป็นขุนนางช่วยเหลืองานในวังเพื่อจะได้เป็นเสาหลักให้น้องสาว ซึ่งสุดท้ายจางชิงเทียนก็สามารถพิสูจน์ตนเองถึงความสามารถและได้รับความไว้วางใจจากฮ่องเต้ให้ทำงานอยู่ข้างกาย นั่นเป็นครั้งเดียวที่องค์รัชทายาทเช่นเขาได้เจอสตรีผู้นั้น “เฟยหลง สตรีที่พูดคุยกับคู่หมายเจ้าเป็นคุณหนูจวนใดหรือ เหตุใดข้าไม่เคยเห็นหน้า” “ข้าไม่ทราบ” องค์รัชทายาทกล่าวพลางจ้องมองไปยังว่าที่คู่หมั้นซึ่งตนไม่ได้พึงใจกำลังนั่งพูดคุยกับสตรีที่มีดวงหน้างดงามน่ามอง ก่อนจะชะงักไปเล็กน้อยเมื่อเห็นรอยยิ้มที่ระบายเต็มดวงหน้าหวานของเจิ้งเข่อชิง รู้จักกันมาตั้งนานเขาเพิ่งเคยเห็นนางยิ้มเช่นนี้เป็นครั้งแรก... “ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน อันฉีเจ้ารู้หรือไม่” “หึ” ชินอ๋องซื่อจื่อส่งเสียงสั้นๆ เพียงแค่นั้นก่อนจะยกชาขึ้นจิบ สายตาจับจ้องไปที่กลุ่มสตรีสามคนกำลังพูดคุยกัน ในงานจิบชาชมดอก
“มิเป็นไรเจ้าค่ะ จริงๆ ที่ข้าไม่กินอันใดเลยเพราะพี่ชายของข้ากำชับไว้ว่า บรรดาคุณหนูที่ชอบริษยาผู้อื่นมักจะใช้งานเลี้ยงเช่นนี้สร้างเรื่องอื้อฉาวให้ตนเอง หรือสร้างเรื่องเพื่อทำลายผู้อื่น ข้าควรระวังให้มาก” เพราะกลัวคุณหนูที่นั่งห่างออกไปจะได้ยิน จางชิงหนี่ว์จึงยื่นดวงหน้าหวานเข้าไปใกล้สหายแล้วกระซิบบอกเสียงเบาที่ข้างหู ใบหน้าหวานของคุณหนูเจิ้งเห่อร้อนกับความใกล้ชิดนี้ ความน่ารักสดใสของคุณหนูผู้นี้ทำให้ภาพลักษณ์เย่อหยิ่งของตนพังทลาย นางช่างเหมือนกระต่ายป่าขนปุกปุยที่ตนเคยเลี้ยงไว้เมื่อตอนเป็นเด็ก การได้รู้จักจางชิงหนี่ว์ในวันนี้ทำให้ความนิยมชมชอบของน่ารักที่เจิ้งเข่อชิงเคยลืมเลือนไปถูกรื้อฟื้น ที่ผ่านมาเพราะถูกฝึกฝนให้เป็นว่าที่ฮองเฮา นางจึงไม่อาจแสดงออกถึงความต้องการที่แท้จริงของตนได้ บัดนี้เมื่อตัดสินใจที่จะปล่อยมือนางจึงค้นพบความสุขอีกครั้ง ‘เหตุใดหนี่ว์เอ๋อร์ของข้าถึงได้น่ารักเช่นนี้’ อยากจะรั้งตัวเข้ามากอดสักครา แต่เกรงว่านางจะตื่นตกใจ “ข้าเข้าใจแล้ว แต่การที่เจ้าปล่อยท้องให้หิวเช่นนี้ก็ไม่ดีเท่าใดนัก อย่างไรลองกินขนมนี่ดีหรื
3ความเก่งกาจของสหายคนใหม่ ด้านหลิวเฟิงเหมียนที่หลังจากช่วยกู้หน้าให้สาวงามแล้วกลับมานั่งที่เดิม กำลังจะยกชาขึ้นจิบต้องชะงักเมื่อเห็นสายตาไม่ใคร่พอใจของสหาย “อันฉี หากเจ้าไม่พอใจข้าที่ลุกไปเก็บผ้าคลุมหน้าให้กับคุณหนูสวี่ เหตุใดเจ้าไม่ลุกไปเองเล่า” เพราะได้ยินมาจากน้องสาวว่าคุณหนูสวี่กับชินอ๋องซื่อจื่อมีใจให้กัน จึงคิดว่าสหายเกรงใจองค์รัชทายาทที่ก็มีใจให้คุณหนูสวี่จึงไม่กล้าแสดงออกมากนัก ตนเองก็เลยช่วยรักษามารยาทให้ “ข้ามาคิดดูแล้ว ใบหน้าของเจ้าควรมีรอยตำหนิสักสองสามรอยจริง” “อย่าได้คิดทำเช่นนั้นเชียว” “เช่นนั้นก็ไปทำให้ใบหน้าตนไม่น่ามองซะ” ดวงตาดำของโจวอันฉีฉายแววจริงจังจนสหายขนลุก “หากเจ้าไม่พอใจข้าเรื่องคุณหนูสวี่ เจ้าไม่ต้องห่วงไปหรอกอย่างไรนางก็ยังชื่นชอบเจ้า” “หุบปากซะ” “แค่กล่าวถึงก็ไม่ได้ เจ้ามันขี้หวงเกินไปแล้ว” ‘ต่อไปเป็นการแสดงความสามารถของคุณหนูเจิ้ง จากจวนเสนาบดีฝ่ายซ้าย’ “หากข้าจำไม่ผิดในรายชื่อคุณหนูที่จะขึ้นแสดงไม่มีชื่อของคุณหนูเจิ้งนี่” หลิ
ยิ่งนัยน์ตาหงส์ของสตรีผู้นั้นมองเห็นบุรุษที่นั่งในตำแหน่งเหนือกว่าผู้อื่นจ้องมองไปที่ว่าที่คู่หมั้นด้วยสายตาล้ำลึก ยิ่งทำให้นางไม่พอใจ แปะๆ ทันทีที่การบรรเลงจบลง เสียงปรบมือก็ดังกึกก้องคุณหนูคุณชายต่างพร้อมใจกันปรบมือให้กับการแสดงความสามารถของคุณหนูเจิ้งผู้ที่ถูกเล่าลือว่าร้ายกาจ “ขอบคุณทุกท่านเจ้าค่ะที่ให้โอกาสข้าได้แสดงความสามารถ” เจิ้งเข่อชิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม เพราะเป็นรอยยิ้มที่แผ่ไปถึงดวงตาบ่งบอกถึงความสุข ทำให้บุรุษที่จ้องมองต่างเคลิบเคลิ้ม ในขณะที่สตรีต่างตกตะลึงไปกับความงามของคุณหนูผู้เย่อหยิ่ง ‘คุณหนูเจิ้งยิ้มเช่นนี้งดงามกว่าสตรีอันดับหนึ่งอย่างคุณหนูสวี่เสียอีก’ คุณหนูผู้หนึ่งกล่าว ‘ข้าเห็นด้วยกับเจ้า ไหนจะชาติตระกูล กิริยามารยาทเช่นคุณหนูตระกูลใหญ่ นางช่างเหมาะสมกับตำแหน่งฮองเฮา’ ‘นั่นสิ หากนางลงแข่งขันชิงตำแหน่งสตรีอันดับหนึ่งของเมืองหลวง ข้าว่าคุณหนูเจิ้งต้องได้ตำแหน่งเป็นแน่’ เมื่อได้ยินบรรดาคุณหนูต่างพูดคุยถึงเจิ้งเข่อชิงในทางที่ดี มุมปากของสตรีตัวน้อยจึงยกยิ้มก่อนจะจิบชาอย่างอารมณ์ดี
“หนี่ว์เอ๋อร์ เจ้าอย่าได้ลืมสิ ว่าสหายของเจ้าในภายหน้านางจะต้องขึ้นเป็นฮองเฮา นางจะมีข่าวลือเสียหายไม่ได้แม้เจ้าจะเป็นสหายที่สนิทสนมกันก็ตามอย่างไรก็ควรรักษาระยะห่าง” “แต่ข้ากับนางบริสุทธิ์ใจต่อกันเหตุใดต้องหวาดกลัวเสียงเล่าลือของผู้อื่นด้วยเจ้าคะ ข้าไม่สนหรอกเจ้าค่ะใครจะเอาข้าไปเล่าลืออย่างไร” ‘หนี่ว์เอ๋อร์ เจ้าบริสุทธิ์ใจ แต่สตรีผู้นั้นไม่ได้บริสุทธิ์ใจเช่นที่เจ้าคิดน่ะสิ’ แม้จะอยากกล่าวไปแต่ชินอ๋องซื่อจื่อก็เลือกที่จะเงียบ “ข่าวลือก็เป็นแค่ข่าวลือ ไม่ใช่เรื่องจริงเสียหน่อย” “แล้วเหตุใดพอเป็นเรื่องพี่ เจ้าถึงเชื่อสนิทใจว่าพี่เป็นคนรักของสตรีผู้นั้น” ‘นี่เขากำลังยอกย้อน
“กล่าวถึงเรื่องที่สนทนาค้างไว้เมื่อครู่ ท่านบอกว่าที่องค์รัชทายาทไม่ยอมยกเลิกการหมั้นหมายเพราะพึงใจในสหายข้าหรือเจ้าคะ” เพราะความอยากรู้นางจึงยอมขึ้นรถมากับเจ้าตัวซวยนี่ “พี่คาดเดาว่าเป็นเช่นนั้น” เขากล่าวพลางจ้องมองนางไม่วางตา คำเรียกขานเปลี่ยนไปเมื่ออยู่ด้วยกันตามลำพัง “คาดเดา? ข้าว่าท่านเดาผิดแล้ว สตรีที่องค์รัชทายาทพึงพอใจไม่ใช่สหายข้าหรอกเจ้าค่ะ” ก็แค่อยากเอาชนะคู่หมายของตนเพียงเท่านั้น “เช่นนั้นเจ้าคิดว่าองค์รัชทายาทพึงใจใคร” “คุณหนูสวี่ลู่ฟาง” “เหตุใดถึงคิดว่าเป็นนาง”
ใครจะอยากถูกเปรียบเทียบกับคนที่เก่งกว่าเล่า... ด้านชิงหนี่ว์เมื่อได้ยินคำถามเช่นนั้น นางก็เริ่มรู้สึกสงสัย หนังสือไร้ชื่อเล่มสีดำเช่นนั้นหรือ หรือแท้จริงสตรีดอกบัวขาวผู้นี้จะรู้เรื่องเหตุการณ์ต่างๆ จากหนังสือเล่มนั้นจึงสามารถเอาชนะใจบุรุษที่เลิศล้ำและเก่งกาจได้ถึงสามคน “ขอบคุณเจ้าค่ะ สำหรับอาหารเลิศรสมื้อนี้” แม้จะอึดอัดใจมากก็ตาม “หากเจ้าอยากมากินข้าวที่นี่อีกให้บอก พี่จะพามาเอง” ชินอ๋องซื่อจื่อกล่าว “เอ่อ...เจ้าค่ะ” นางปรายตามองสตรีที่นั่งอยู่ข้างๆ เห็นอีกฝ่ายกำมือแน่นราว
10รักกันจริงหรือแค่ข่าวลือ ในระหว่างที่นางครุ่นคิดไป คีบข้าวเข้าปากไปนั้น จู่ๆ ประตูห้องก็เปิดออกก่อนที่หนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีจะเดินเข้ามาด้านใน “ชิงหนี่ว์ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” เจิ้งเข่อชิงรีบปรี่เข้าใกล้สหายทันที แต่ยังไม่ทันถึงตัวนาง บุรุษที่นั่งอยู่ด้านข้างก็ยกมือขึ้นมากีดกันเสียก่อน “ข้าไม่เป็นอันใด เจ้าเล่าปลอดภัยดีหรือไม่” คำกล่าวของสตรีทั้งสองทำให้บุรุษสูงศักดิ์ทั้งสองมองหน้ากัน คำกล่าวของพวกนางช่างทำให้เขาสองคนกลายเป็นบุรุษกักขฬะอันตราย ถูกมองไม่ดี “ข้าไม่เป็นอันใด ข้าขอนั่งกับเจ้านะ” คุณหนูเจิ้งกล่าวก่อนจะเดินไปยกเก้าอี้แล้วเอามาวางแทรกกลางระ
‘วาจาหยอกล้อหรือ ช่างแสร้งใสซื่อได้ไร้ที่ติจริงๆ’ ชิงหนี่ว์คิดแต่ไม่กล่าวอันใด ก่อนจะแสร้งทำสีหน้าโศกเศร้าต่อ “วาจาหยอกล้อหรือ เช่นนั้นเจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร เป็นแค่บุตรสาวหมอหลวงแต่บังอาจมาเสนอหน้าร่วมโต๊ะกับองค์รัชทายาทและชินอ๋องซื่อจื่ออย่างเปิ่นหวาง สมควรแล้วหรือ หากจะกล่าวว่าโรงเตี๊ยมแห่งนี้ใครมีเงินก็เข้าได้ เช่นนั้นบุตรสาวหมอหลวงอย่างเจ้าและสหายก็ควรจะย้ายไปนั่งโต๊ะอื่น อย่าได้มาขอนั่งร่วมโต๊ะกับพวกเปิ่นหวาง ที่ผ่านมาเปิ่นหวางไว้หน้าคุณหนูหลิวเพราะเห็นว่าเป็นน้องสาวของเฟิงเหมียน แต่ในเมื่อพวกเจ้าไม่ไว้หน้าคุณหนูจางที่เปิ่นหวางและองค์รัชทายาทตั้งใจเชิญมาร่วมโต๊ะ เปิ่นหวางก็ไม่คิดจะไว้หน้าพวกเจ้าอีกเช่นกัน” แม้คนเป็นน้องสาวจะโดนว่ากล่าวแต่หลิวเฟิงเหมียนหาได้สนใจไม่ เพราะกำลังตกตะลึงกับสหายที่นานๆ จะกล่าววาจายืดยาวได้ “ขอประทานอภัยเพคะ ที่ทำให้ชิน
“เจ้าไปนั่งตรงนั้น” โจวอันฉีรั้งชายอาภรณ์นางให้ถอยออกห่างก่อนจะดันตัวให้ไปนั่งข้างนางเอกผู้นั้น ส่วนตัวเองก็นั่งลงระหว่างนางและหลิวเฟิงเหมียนแทน ‘ท่านกำลังโกรธเกรี้ยวว่าที่ฮูหยินของตนหรืออย่างไร’ เอานางมานั่งคั่นกลางเช่นนี้ช่างไม่ดีเอาเสียเลย “เจ้าอยากกินอันใดบ้าง พี่จะสั่งมาให้” โจวอันฉีหันมาถามสตรีข้างกาย คำเรียกขานที่เป็นกันเองทำให้สายตาของคนตระกูลหลิวมองมาด้วยแววตาสงสัยใคร่รู้ ส่วนนางเอกดอกบัวขาวน่ะหรือแทบจะเข้ามาหักคอนางแล้วกระมัง “ข้าเอ่อ...กินอันใดก็ได้เจ้าค่ะ” นางหันไปมองสวี่ลู่ฟางครู่หนึ่งก่อนจะตอบออกไปอย่างมีมารยาท อาหารเลิศรสทั้งหลาย คราวหน้าค่อยเจอกัน นางยอมเสียเงินเองให้จื่อเป่ามาซื้อให้ก็ได้
“ข้าไม่ได้คิดอันใดกับคุณหนูสวี่จริงๆ เจ้าอย่าได้คิดยัดเยียดข้าให้ผู้อื่น” แม้อยากจะเร่งรัดให้เกิดงานหมั้นหมาย แต่ทว่าฮ่องเต้และฮองเฮากลับไม่ยินยอม ทั้งสองพระองค์ต้องการให้เขาจัดการตนเองให้ปราศจากข่าวลือเสียก่อน ซึ่งเขาก็คงต้องรีบลงมือทำ มิเช่นนั้นสตรีผู้นี้ก็คงเข้าใจผิดไม่เลิก ใครกันบังอาจปล่อยข่าวลือน่ารังเกียจพวกนั้น เขาไม่เคยรักใคร่ไยดีสวี่ลู่ฟางแม้แต่น้อย เหตุใดเรื่องราวถึงใดถูกเล่าลือไปเช่นนั้น “ปากก็กล่าววาจาหลอกลวง แต่ท่านคงลืมไปแล้วว่าผู้อื่นไม่ได้ตามืดบอดถึงจะมองไม่เห็นว่าท่านนัดเจอและไปไหนมาไหนกับนางอยู่บ่อยครั้ง หากท่านพึงใจนางก็ควรรีบยกเลิกการหมั้นหมายกับข้า” นางจะได้ไปหาวิธีทำให้ตนเองได้อยู่กับสตรีที่ตนพึงใจเช่นกัน หากสตรีผู้นั้นเป็นชิงหนี่ว์นา
9สตรีชาเขียว “ช่างเสียมารยาทจริงๆ ที่เข้าห้องผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต” คุณหนูเจิ้งกล่าวตำหนิแต่ก็ยังไม่ยอมผละออกห่างจากนาง “เข่อชิง เจ้าคิดว่าตนกำลังทำอันใดอยู่” คำกล่าวของบุรุษสูงศักดิ์ทำให้นางรู้สึกงุนงงแล้ว มาโรงเตี๊ยมที่มีอาหารเลิศรส หากไม่มากินข้าวจะให้มาทำอันใดอีก เอ่อ...ข้าลืมไปองค์รัชทายาทผู้นี้นอกจากเรื่องการบริหารบ้านเมืองแล้ว เรื่องอื่นเขาไม่ฉลาดเอาเสียเลย มิเช่นนั้นคงไม่ถูกสตรีดอกบัวขาวล่อลวงเอาไปเป็นทาสรักหรอก “องค์รัชทายาท พระองค์ได้โปรดกลับห้องของพระองค์ไปเถิดเพคะ อย่าได้มายุ่งเกี่ยวกับหม่อมฉันและสหาย” นอกจากจะเอ่ยวาจาแล้ว สหายของนางยังส่งสายตาตำหนิคู่หมาย
“มาจากเขา แต่ข้าให้ท่านพ่อส่งคืนไปแล้ว เหตุใดมันถึงมาอยู่บนหัวข้า” เจิ้งเข่อชิงครุ่นคิดก่อนที่นัยน์ตาหงส์จะเบิกกว้างอีกครั้ง ต้องเป็นตอนนั้นแน่ๆ ที่เขาช่วยประคองไม่ให้นางตกจากเก้าอี้ตอนนั้นนางรู้สึกตึงๆ บนหัว แต่ก็ไม่ได้คิดอันใดเพราะคิดว่าปิ่นที่ปักอยู่หลายอันอาจจะไปชนโดนเขา ‘น่าชังนักโจวเฟยหลง’ นางปฏิเสธอย่างชัดเจนก็ยังดื้อดึงที่จะมอบให้ “เช่นนั้นเราจะทำอย่างไรดีเจ้าคะ” “เก็บไว้ในหีบ หากถึงเวลาข้าจะส่งคืนเขาด้วยตนเอง” หากหมดพันธะต่อกันนางจะรีบส่งคืนให้เร็วที่สุด ไม่กี่วันต่อมาคุณหนูเจิ้งก็มาเยือนจวนจางเพื่อชักชวนให้นางไปเยี่ยมหวังเยว่ฉิงท