“มิเป็นไรเจ้าค่ะ จริงๆ ที่ข้าไม่กินอันใดเลยเพราะพี่ชายของข้ากำชับไว้ว่า บรรดาคุณหนูที่ชอบริษยาผู้อื่นมักจะใช้งานเลี้ยงเช่นนี้สร้างเรื่องอื้อฉาวให้ตนเอง หรือสร้างเรื่องเพื่อทำลายผู้อื่น ข้าควรระวังให้มาก” เพราะกลัวคุณหนูที่นั่งห่างออกไปจะได้ยิน จางชิงหนี่ว์จึงยื่นดวงหน้าหวานเข้าไปใกล้สหายแล้วกระซิบบอกเสียงเบาที่ข้างหู
ใบหน้าหวานของคุณหนูเจิ้งเห่อร้อนกับความใกล้ชิดนี้ ความน่ารักสดใสของคุณหนูผู้นี้ทำให้ภาพลักษณ์เย่อหยิ่งของตนพังทลาย นางช่างเหมือนกระต่ายป่าขนปุกปุยที่ตนเคยเลี้ยงไว้เมื่อตอนเป็นเด็ก
การได้รู้จักจางชิงหนี่ว์ในวันนี้ทำให้ความนิยมชมชอบของน่ารักที่เจิ้งเข่อชิงเคยลืมเลือนไปถูกรื้อฟื้น ที่ผ่านมาเพราะถูกฝึกฝนให้เป็นว่าที่ฮองเฮา นางจึงไม่อาจแสดงออกถึงความต้องการที่แท้จริงของตนได้ บัดนี้เมื่อตัดสินใจที่จะปล่อยมือนางจึงค้นพบความสุขอีกครั้ง
‘เหตุใดหนี่ว์เอ๋อร์ของข้าถึงได้น่ารักเช่นนี้’ อยากจะรั้งตัวเข้ามากอดสักครา แต่เกรงว่านางจะตื่นตกใจ
“ข้าเข้าใจแล้ว แต่การที่เจ้าปล่อยท้องให้หิวเช่นนี้ก็ไม่ดีเท่าใดนัก อย่างไรลองกินขนมนี่ดีหรือไม่ ขนมนี่ข้านำติดตัวมาจากจวนเพราะเยว่ฉิงชอบบ่นหาขนมอยู่บ่อยครั้ง”
“จะดีหรือเจ้าคะ”
“กินเถิดวันนี้ข้ายกให้สหายใหม่เช่นเจ้า” หวังเยว่ฉิงกล่าว
“เช่นนั้นข้าไม่เกรงใจแล้วนะ” สตรีตัวน้อยรับขนมมาด้วยท่าทางดีใจ ก่อนจะค่อยๆ กัดกินขนมกุ้ยฮวาด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสุข
“อร่อยหรือไม่” คุณหนูเจ้าของขนมเอ่ยถามด้วยท่าทางคาดหวัง
“อร่อย หวานกำลังดี ข้าชอบ”
“เจ้าชอบก็ดีแล้ว เอาไว้ไปเที่ยวเล่นที่จวนข้าสิ ข้าจะทำขนมอร่อยๆ ให้เจ้ากิน”
“เจ้าห้ามโกหกข้า ข้าจะไปกินขนมจวนเจ้าจริงๆ นะ”
“ข้ายินดีต้อนรับ”
“เช่นนั้นข้าจะไปที่จวนเจ้าบ่อยๆ หรือหากไม่รังเกียจจะมาเยี่ยมเยียนข้าที่จวนบ้างก็ได้”
“อืมๆ ข้ากับเยว่ฉิงต้องไปแน่นอน”
แปะ แปะ เสียงปรบมือของคุณหนูหลิวดังขึ้นก่อนที่คนอื่นจะปรบมือตาม
“คนที่ปรบมือคนแรก ใครหรือเยว่ฉิง”
“นั่นคือคุณหนูหลิวเมิ่ง คุณหนูรองจวนหลิวแห่งนี้ และนางเป็นสหายของสวี่ลู่ฟาง”
“เพราะเช่นนี้จึงได้ขึ้นแสดงเป็นคนแรกสินะ” นางพึมพำเสียงเบากับตนเองก่อนจะต้องหันกลับมาสนใจเหตุการณ์ตรงหน้าต่อ
เมื่อจู่ๆ สวี่ลู่ฟางที่เมื่อครู่ยังปกปิดใบหน้าครึ่งล่างด้วยผ้าผืนบาง บัดนี้ได้พลั้งเผลอทำผ้าผืนนั้นหลุดแล้วปลิวไปตกอยู่ตรงหน้าที่นั่งของชินอ๋องซื่อจื่อ
‘นี่แหละช่วงเวลาที่ข้ารอคอยมาถึงแล้ว’ จางชิงหนี่ว์จับจ้องเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างใจจดใจจ่อ ในนิยายบรรยายไว้ว่ายามที่ชินอ๋องซื่อจื่อก้มเก็บผ้าคลุมหน้าแล้วส่งคืนให้เจ้าของ ทั้งสองได้สบตากันในระยะเพียงเอื้อมมือ พระเอกก็ถูกสตรีนัยน์ตาหงส์ล่อลวงได้สำเร็จ
เสียงฮือฮาดังขึ้นเมื่อบุรุษทั้งหลายได้เห็นใบหน้าของโฉมสะคราญล่มเมืองอย่างคุณหนูสวี่ ก่อนที่เจ้าตัวจะเดินไปเก็บผ้าคลุมหน้าของตน
“ขอประทานอภัยเพคะ” นางย่อตัวลงเล็กน้อยก่อนจะกล่าวกับบุรุษตรงหน้า
“...” เงียบกริบ บุรุษรูปงามไม่ตอบรับหรือขยับตัวเพื่อเก็บผ้าคลุมหน้าผืนนั้นดังเช่นที่ทุกคนคาดคิด
“ขายหน้าชินอ๋องซื่อจื่อแล้วเพคะ”
“...” โจวอันฉี บุรุษที่นางมักจะเรียกว่า ‘ตัวซวย’ นิ่งเฉย แววตาเรียบเฉยจ้องมองนางเอกเพียงครู่เดียวก่อนจะกวาดสายตามองมายังจุดที่นางนั่งอยู่
‘พระเอกผู้นั้นมองใครหรือ’ คุณหนูจางหันซ้ายทีขวาทีเพื่อดูว่าเป็นคุณหนูผู้ใด แต่จนใจที่รอบตัวนางมีคุณหนูมากมายหลายนาง จึงไม่อาจทราบได้ว่ามองใครกันแน่
สุดท้ายในเมื่อชินอ๋องซื่อจื่อไม่ขยับตัว องค์รัชทายาทก็เอาแต่มองอันใดก็ไม่ทราบ หลิวเฟิงเหมียนจึงลุกขึ้นแล้วไปเก็บผ้าผืนนั้นให้แทน
“ขอบคุณคุณชายหลิวเจ้าค่ะ” แม้จะไม่เหมือนที่คิดไว้แต่สวี่ลู่ฟางก็ต้องรักษามารยาทด้วยการขอบคุณพี่ชายของสหาย
“มิเป็นไรๆ” หลิวเฟิงเหมียนตอบรับก่อนจะกลับไปนั่งที่เดิม
‘เหตุใดไม่เหมือนที่ข้าเคยอ่านมา ไหนล่ะฉากตกหลุมรักของพระเอกนางเอกที่บรรยายว่าเพียงได้พบหน้าสบตาทุกอย่างรอบตัวก็ราวกับหยุดหมุน หยุดหมุนอันใดกันเล่า ไม่ตรงปก น่าผิดหวังจริงๆ’ จางชิงหนี่ว์ได้แต่มองเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยสายตาตัดพ้อต่อว่าด้วยความผิดหวัง
ก็มันผิดหวังจริงๆ นี่ ฉากตกหลุมรักราวกับทุกสิ่งหยุดหมุน มันมีจริงที่ไหนกันเล่า...
3ความเก่งกาจของสหายคนใหม่ ด้านหลิวเฟิงเหมียนที่หลังจากช่วยกู้หน้าให้สาวงามแล้วกลับมานั่งที่เดิม กำลังจะยกชาขึ้นจิบต้องชะงักเมื่อเห็นสายตาไม่ใคร่พอใจของสหาย “อันฉี หากเจ้าไม่พอใจข้าที่ลุกไปเก็บผ้าคลุมหน้าให้กับคุณหนูสวี่ เหตุใดเจ้าไม่ลุกไปเองเล่า” เพราะได้ยินมาจากน้องสาวว่าคุณหนูสวี่กับชินอ๋องซื่อจื่อมีใจให้กัน จึงคิดว่าสหายเกรงใจองค์รัชทายาทที่ก็มีใจให้คุณหนูสวี่จึงไม่กล้าแสดงออกมากนัก ตนเองก็เลยช่วยรักษามารยาทให้ “ข้ามาคิดดูแล้ว ใบหน้าของเจ้าควรมีรอยตำหนิสักสองสามรอยจริง” “อย่าได้คิดทำเช่นนั้นเชียว” “เช่นนั้นก็ไปทำให้ใบหน้าตนไม่น่ามองซะ” ดวงตาดำของโจวอันฉีฉายแววจริงจังจนสหายขนลุก “หากเจ้าไม่พอใจข้าเรื่องคุณหนูสวี่ เจ้าไม่ต้องห่วงไปหรอกอย่างไรนางก็ยังชื่นชอบเจ้า” “หุบปากซะ” “แค่กล่าวถึงก็ไม่ได้ เจ้ามันขี้หวงเกินไปแล้ว” ‘ต่อไปเป็นการแสดงความสามารถของคุณหนูเจิ้ง จากจวนเสนาบดีฝ่ายซ้าย’ “หากข้าจำไม่ผิดในรายชื่อคุณหนูที่จะขึ้นแสดงไม่มีชื่อของคุณหนูเจิ้งนี่” หลิ
ยิ่งนัยน์ตาหงส์ของสตรีผู้นั้นมองเห็นบุรุษที่นั่งในตำแหน่งเหนือกว่าผู้อื่นจ้องมองไปที่ว่าที่คู่หมั้นด้วยสายตาล้ำลึก ยิ่งทำให้นางไม่พอใจ แปะๆ ทันทีที่การบรรเลงจบลง เสียงปรบมือก็ดังกึกก้องคุณหนูคุณชายต่างพร้อมใจกันปรบมือให้กับการแสดงความสามารถของคุณหนูเจิ้งผู้ที่ถูกเล่าลือว่าร้ายกาจ “ขอบคุณทุกท่านเจ้าค่ะที่ให้โอกาสข้าได้แสดงความสามารถ” เจิ้งเข่อชิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม เพราะเป็นรอยยิ้มที่แผ่ไปถึงดวงตาบ่งบอกถึงความสุข ทำให้บุรุษที่จ้องมองต่างเคลิบเคลิ้ม ในขณะที่สตรีต่างตกตะลึงไปกับความงามของคุณหนูผู้เย่อหยิ่ง ‘คุณหนูเจิ้งยิ้มเช่นนี้งดงามกว่าสตรีอันดับหนึ่งอย่างคุณหนูสวี่เสียอีก’ คุณหนูผู้หนึ่งกล่าว ‘ข้าเห็นด้วยกับเจ้า ไหนจะชาติตระกูล กิริยามารยาทเช่นคุณหนูตระกูลใหญ่ นางช่างเหมาะสมกับตำแหน่งฮองเฮา’ ‘นั่นสิ หากนางลงแข่งขันชิงตำแหน่งสตรีอันดับหนึ่งของเมืองหลวง ข้าว่าคุณหนูเจิ้งต้องได้ตำแหน่งเป็นแน่’ เมื่อได้ยินบรรดาคุณหนูต่างพูดคุยถึงเจิ้งเข่อชิงในทางที่ดี มุมปากของสตรีตัวน้อยจึงยกยิ้มก่อนจะจิบชาอย่างอารมณ์ดี
“นี่เจ้า! กล่าววาจาเช่นนี้ตั้งใจบีบบังคับนางหรือ” เจิ้งเข่อชิงรีบลุกขึ้นมายืนอยู่ข้างสหายคนใหม่ที่น่าเอ็นดู “คุณหนูเจิ้งท่านกล่าววาจาว่าร้ายเมิ่งเอ๋อร์เช่นนี้ไม่ดีเลยนะเจ้าคะ” สวี่ลู่ฟาง หญิงงามอันดับหนึ่งของเมืองหลวงก็ลุกขึ้นยืนบ้าง “ข้าน่ะหรือกล่าวว่าร้ายนาง หากคุณหนูคุณชายในที่นี้ไม่โง่เง่าก็คงจะมองเห็นและได้ยินชัดเจนว่าเป็นคุณชายหลิวและคุณหนูหลิวต่างหากที่พยายามจะลากชิงหนี่ว์ซึ่งกำลังบาดเจ็บที่มือให้ออกไปแสดงความสามารถ” เมื่อเห็นคุณหนูเจิ้งกล่าวเช่นนั้นนางจึงรีบเอ่ยวาจาต่อทันที “ขออภัยเจ้าค่ะ ที่ข้ามิอาจฝืนร่างกายทำการแสดงให้ทุกคนได้ชื่นชม แต่หากคุณชายหลิวและคุณหนูหลิวยืนยันอยากจะฟัง ข้าก็คงต้องทำร้ายตนเองด้วยการใช้มือที่บาดเจ็บนี้เล่นพิณแล้ว” “เอาล่ะ คุณหนูจางบาดเจ็บเช่นนี้ เฟิงเหมียนเจ้าคงมิคิดจะให้นางต้องฝืนร่างกายแสดงความสามารถหรอกนะ” องค์รัชทายาทยื่นบันไดให้สหายได้ลง “มิได้ๆ ข้าหลิวเฟิงเหมียนต้องขออภัยคุณหนูจางด้วยที่ไม่รู้เรื่องการบาดเจ็บของเจ้า เป็นข้าที่อยากให้ทุกคนได้รู้จักเจ้ามากเกินไป แต่อย่างน้อยวัน
“ท่านราชเลขาฯ จางหวงแหนน้องสาวยิ่งข้าได้ประจักษ์ด้วยตาตนเองก็วันนี้” เจิ้งเข่อชิงกล่าว “อย่ามัวแต่เยินยอพี่ชายข้าเลย เราไปนั่งคุยกันตรงนั้นดีหรือไม่ ข้าอยากชมดอกไม้” แม้จะพลาดไม่ได้ดูฉากตกหลุมรักของพระเอกนางเอก อย่างน้อยได้ชมดอกไม้ให้รื่นหูรื่นตาบ้างก็ยังดี “เจ้านี่นะ ชมดอกไม้น่ะแค่กล่าวเอาไว้ให้ดูดี จุดประสงค์แท้จริงคือให้มาชมบุรุษ” หวังเยว่ฉิงกล่าว สตรีทั้งสามคนสนทนากันพลางเดินไปที่สวนดอกไม้ โดยไม่รู้ว่ามีสายตามากมายจับจ้อง “ไม่รู้ว่าคุณหนูจางจะโกรธเคืองข้าหรือไม่ ข้าต้องไปขอโทษนางเป็นการส่วนตัวอีกครั้ง...” หลิวเฟิงเหมียนยังกล่าวไม่ทันจบก็ต้องเดินสะดุดกับอะไรบางอย่างจนเซไปเกาะองค์รัชทายาท&nb
4บุรุษสวมหน้ากากกับท่าทางแปลกๆ ของเขา (1) ด้านชินอ๋องซื่อจื่อที่เดินแยกตัวออกไป เดินไปหยุดนิ่งที่ใต้ต้นเหมยนัยน์ตาดำฉายแววล้ำลึกเมื่อจับจ้องไปยังจุดหนึ่ง ‘มีใครอยู่แถวนี้ไหมเจ้าคะ ข้าหกล้มเท้าบาดเจ็บ’ เสียงอ่อนหวานของสตรีนางหนึ่งดังขึ้น ‘ช่วยข้าด้วยเจ้าค่ะ ข้าเจ็บเท้า ลุกไม่ขึ้น’ พอเห็นอะไรบางอย่างที่ดูขัดสายตา จึงใช้กำลังภายในเล็กน้อยดีดผลเหอเถาออกไป ‘ช่วยข้าด้วย คุณชายที่ยืนอยู่ตรงนั้น’ “...” โจวอันฉีไม่ตอบก่อนจะเดินออกจากจุดที่ยืนเมื่อครู่ไปทางต้นเสียง “เป็นชินอ๋องซื่อจื่อเองหรือเพคะ หม่อมฉันต้องขอประทานอภัยที่ต้องรบกวนพระองค์” ดวงตารื้นน้ำตาฉายแววเจ็บปวดทอประกายความหวังเมื่อเห็นบุรุษเลิศล้ำกำลังเดินมาหาตน “...” บุรุษรูปงามไม่กล่าวอันใด ฝีเท้ายังคงก้าวเดินอย่างมั่นคง “หม่อมฉันพลาดพลั้งหกล้มจนเจ็บเท้า ต้องรบกวนท่านอ๋องแล้วเพคะ” โฉมงามอันดับหนึ่งกล่าวพลางกรีดนิ้วเช็ดน้ำตาที่ไม่มีจริงตรงหางตา ท่าทางอ่อนแอน่าปกป้องของสตรีที่มีดวงหน้างดงามทำให้บุรุษอยากปกป้อง ในช่วงที
“มันก็เป็นได้แค่เรื่องสมมติ เพราะสตรีอย่างไรก็กลายเป็นบุรุษไม่ได้” เสียงทุ้มของบุรุษที่แทรกเข้ามาในบทสนทนาทำให้ทั้งสามคนหันไปมอง “คารวะชินอ๋องซื่อจื่อ” คุณหนูทั้งสามแสดงความเคารพตามมารยาทแต่ในใจกลับคิดต่างกันออกไป ‘จู่ๆ ชินอ๋องเดินเข้ามาพูดคุยกับพวกข้าเช่นนี้ ช่างเป็นเรื่องที่แปลกประหลาด’ มันคือสิ่งที่หวังเยว่ฉิงคิด ‘บุรุษผู้นี้กำลังเอ่ยวาจาดักคอข้าอยู่ใช่หรือไม่’ คุณหนูเจิ้งคิด ‘เจ้าพระเอกตัวซวย อย่ามาใกล้ข้านะ ถอยไปให้ห่างๆ ข้า นางเอกของเจ้าอยู่ทางโน้น’ จางชิงหนี่ว์คิดพลางก้มหน้าซ่อนสายตาไม่ใคร่จะชอบใจเอาไว้ “ตามสบาย เปิ่นหวางไม่ได้ตั้งใจจะมารบกวนพวกเจ้า เพียงแค่เห็นว่าคุณหนู
“แต่บ่าวอยากให้คุณหนูได้พักผ่อนนี่เจ้าคะ คุณหนูเอาแต่วาดภาพบุรุษขาย จนบางครั้งตอนกลางวันก็ไม่ยอมหยุดพักเพื่อกินข้าว” หากไม่ติดว่าตอนเช้าและเย็นต้องกินข้าวพร้อมคุณชายใหญ่ คุณหนูของนางก็คงไม่สนใจที่จะหยุดพักเป็นแน่ “ช่วงนี้ราคาภาพวาดกำลังดี มีคุณหนูต้องการมากมาย ข้าจึงต้องเร่งมือ” สุดท้ายสาวใช้คนสนิทก็ไม่อาจห้ามคุณหนูของตนได้อีกจึงได้แต่นั่งพัดและรินน้ำชาให้อย่างเงียบๆ จางชิงหนี่ว์วาดภาพได้ตามจำนวนที่ต้องการจึงยอมหยุดพักแล้วไปเดินเล่นระหว่างรอภาพวาดแห้ง ส่วนจื่อรั่วก็ปล่อยให้เก็บอุปกรณ์วาดภาพไป “เริ่มหิวแล้วสิ แต่หากกินข้าวตอนนี้ แล้วพี่ใหญ่กลับมาข้าก็จะไม่หิวน่ะสิ” และเมื่อใดที่นางกินข้าวน้อยก็มักจะทำให้พี่ใหญ่ไม่สบายใ
“ช่างเถิดหากได้เจอกันอีกครั้งค่อยหาวิธีพิสูจน์” คุณหนูจางบอกกับตัวเองก่อนจะเดินกลับเรือนของตนเพื่ออาบน้ำเปลี่ยนอาภรณ์รอพี่ใหญ่กลับจวน ภาพวาดที่นางวาดโดยใช้เรือนร่างของจื่อเป่าเป็นต้นแบบถูกเถ้าแก่เนี้ยร้านขายภาพวาดรับซื้อเอาไว้หมด พร้อมทั้งสั่งเพิ่มอีกหลายๆ ภาพเท่าที่นางจะวาดไหว “มือก็หายแล้ว แต่จะไปหาบุรุษจากที่ใดมาวาดภาพเล่า” ลานฝึกยุทธ์ก็ไปไม่ได้ นางไม่กล้าเอาชีวิตน้อยๆ ของตนเองไปเสี่ยงอีก “คุณหนู ท่านอย่าออกไปวาดภาพบุรุษอีกเลยนะเจ้าคะ” คราวที่แล้วก็ได้บาดแผลมาจนต้องช่วยกันหาข้ออ้างโกหกคุณชายใหญ่ “ไม่ได้! ข้าต้องไป มือข้าหายแล้วเจ้าไม่ต้องห่วง” แม้จะรู้ว่าจวนตนไม่ได้ขัด
การแต่งฮูหยินที่เร่งรีบของท่านราชครู มีคนมากมายที่อาจจะสงสัยว่าเหตุใดท่านราชครูจางเหว่ยถึงได้เร่งรีบตบแต่งเถ้าแก่เนี้ยร้านขายภาพวาดซือซือเข้าจวนจาง ทั้งที่ก่อนหน้านี้ก็ไม่มีข่าวลือว่าคบหากัน หรืออาจจะเป็นเพราะได้เห็นบทเรียนจากการเล่าลือเรื่องของคุณหนูสวี่ ที่จู่ๆ คนเหล่านั้นบังเอิญลิ้นขาดกลายเป็นคนพูดไม่ได้ แต่โชคดีหนึ่งในนั้นมีคนเขียนอักษรได้ จึงได้เขียนเตือนคนรอบตัวไม่ให้เล่าลือเรื่องราวเกี่ยวกับเชื้อพระวงศ์หรือตระกูลที่ใกล้ชิดราชวงศ์ สุดท้ายจึงไม่มีใครกล้าเล่าลือหรือสงสัยถึงความเร่งรีบของท่านราชครู “พี่เหว่ย ท่านจะไม่เสียใจทีหลังห
ฮองเฮาพบปะสหาย ภายในจวนท่านราชเลขาฯจาง วุ่นวายไม่น้อยเมื่อมีผู้สูงศักดิ์มาเยือนโดยได้นัดหมายกันล่วงหน้า “ถวายพระพรฝ่าบาท ถวายพระพรฮองเฮาพ่ะย่ะค่ะ” ชินอ๋องที่เพิ่งลงจากรถม้าแสดงความเคารพโอรสสวรรค์และฮองเฮา “ถวายพระพรฝ่าบาท ถวายพระพรฮองเฮาเพคะ” พระชายาสกุลจางที่ลงรถม้ามาภายหลังทำความเคารพอีกฝ่ายเช่นกัน “ตามสบายเถิด พวกเจ้าเป็นสหายของเราใช้คำธรรมดาสามัญเถิด”
“เจ้าโอบอุ้มบุตรชายของเราให้แน่นๆ ส่วนเจ้าพี่จะจับให้แน่นๆ เอง” กล่าวจบเขาก็ใช้วิชาตัวเบาโอบอุ้มพานางและบุตรชายกลับตำหนัก ทันทีที่ถึงตำหนักโจวหลี่หมิงถูกส่งตัวให้ซานจี สาวใช้ประจำตัวคนใหม่ของนางที่ทางพระสวามีหามาให้ แน่นอนว่านางมิใช่สาวใช้ธรรมดา เพราะสตรีผู้นี้คือองครักษ์เงาที่ถูกฝึกมาอย่างหนักเพื่อดูแลดวงใจของท่านอ๋อง “นำไปซื่อจื่อไปมอบให้แม่นมแล้วเจ้าไปพัก ข้าจะดูแลพระชายาเอง” บุรุษที่ชื่นชอบการปรนนิบัติฮูหยินกล่าว “แงๆ” แม้จะดีดดิ้นเพียงใด แต่บุตรชายมีหรือจะต่อต้านบิดาได้ “ท่านพี่ หากลูกไม่อยากไป...” ไม่มีมาร
เรื่องเล่าหลังเป็นพระชายาของชิงหนี่ว์ ดวงตาเมล็ดซิ่งทอดมองผืนดินที่เขียวชอุ่มไปด้วยพืชผัก ที่ดินผืนนี้นางใช้เงินที่ได้จากการวาดภาพขายมาซื้อเก็บไว้ เพื่อสร้างรายได้ให้กับบ่าวรับใช้ผู้ภักดีทั้งสอง ก่อนหน้าที่นางจะแต่งเข้าตำหนักอ๋องไม่นาน นางก็จัดการให้จื่อรั่วและจื่อเป่าที่ความสัมพันธ์คืบหน้าไปอย่างรวดเร็วได้เข้าพิธีกราบไหว้ฟ้าดินกันก่อนจะคืนสัญญาทาสแล้วให้ทั้งสองคนย้ายมาปลูกจวนอยู่บนที่ผืนนี้ “พระชายาท่านนั่งพักดื่มน้ำก่อนเถิดเพคะ รอแดดร่มลมตกค่อยออกไปเดินดูด้านนอก”&
“เช่นนั้นก่อนจะลงโทษน้อง ท่านพี่กินข้าวก่อนดีหรือไม่เจ้าคะ” “มิต้อง” กล่าวจบเขาก็รั้งนางเข้าไปแนบชิด มือใหญ่จับยึดคางเรียวเอาไว้ริมฝีปากร้อนกดลงบนกลีบปากบาง ลิ้นร้อนบุกรุกโพรงปากนางอย่างเอาแต่ใจ ในขณะที่มือช่วยปลดเปลื้องอาภรณ์ให้นางอย่างรวดเร็ว ช่างใจร้อนเสียจริง... ดวงหน้าหวานแดงก่ำด้วยความเขินอาย เมื่อพระสวามีของตนที่เพิ่งถอนจุมพิตเร่าร้อนเมื่อครู่ จับจ้องนางราวกับหมาป่าหิวกระหาย “น้องหญิงของพี่เลิศรสกว่าอาหารใดๆ” กล่าวจบเขาก็ช้อนเรือนร่างเปลือยเปล่าเข้าหลังฉากกั้น ว่ากันว่าฮองเฮาชื่นชอบการแช่น้ำร้อน ภายในตำหนักจึงมีบ่อน้ำร้อนขนาดใหญ่อยู่ติดห้องบรรทม 
ฮ่องเต้ผู้เด็ดขาดกับฮองเฮา (แค่บนเตียง) นัยน์ตาดำของบุรุษสูงศักดิ์จับจ้องใบหน้าของสตรีที่ตนรักอย่างไม่ละสายตา มือใหญ่ช่วยคีบอาหารใส่ชามให้นางอย่างเอาใจ “ท่านพี่กินบ้างเถิดเจ้าค่ะ อย่ามัวแต่คีบให้ข้าเลยเจ้าค่ะ” แม้ยามนี้ทั้งสอ
“เอ่อ...ท่านช่วยพาข้าลงจากหลังม้าได้หรือไม่เจ้าคะ” สิ้นเสียงนาง รอยยิ้มบางปรากฏบนใบหน้าไร้ที่ติแม้จะหล่อเหลาน้อยกว่าชินอ๋องซื่อจื่อ แต่ทว่าก็มีสตรีไม่น้อยที่ชื่นชอบบุรุษผู้นี้ หลังจากที่นางได้ขี่ม้าตัวเดียวกับบุรุษที่สตรีหลายคนหมายปอง นางก็มักจะเจอเขาที่เหลาอาหารหรือโรงเตี๊ยมอยู่บ่อยครั้ง เพราะไม่สบายใจกับสายตาจาบจ้วงของบุรุษในวันนั้นนางจึงไม่กล้าไปที่ร้านบะหมี่เนื้อของท่านป้าผู้นั้นอีก แต่ไม่แน่ใจว่าเป็นเรื่องแปลกหรือไม่ นางมักจะเจอท่านราชเลขาฯจางผู้นั้นอยู่บ่อยครั้ง วันนี้ก็เช่นกัน “ดูเหมือนเจ้าจะชื่นชอบการออกมากินข้าวนอกจวน มิทราบว่าพ่อครัวจวนหวังทำอาหารไม่อร่อยหรือ” เขามานั่งร่วมโต๊ะโดยที่นางไม่ต้องเชิญทุกครา จนกลายเป็นความเคยชิ
“ข้าอิ่มแล้วเจ้าค่ะ ได้โปรดยกเท้าที่เหยียบชายอาภรณ์ข้าด้วยเจ้าค่ะ” “เจ้ารู้หรือไม่ มีขอทานและคนยากจนที่ไม่มีแม้แต่ข้าวจะกิน หากคนพวกนั้นมาเห็นเจ้ากินเหลือเช่นนั้น พวกเขาคงตัดพ้อ พวกเขาไม่มีโอกาสแม้แต่จะได้กินบะหมี่น้ำธรรมดา แต่เจ้าที่เป็นคุณหนูกลับกินทิ้งกินขว้าง กินเพียงคำสองคนไม่ถูกใจก็ทิ้ง จะว่าไปก็น่าสงสารชาวบ้านที่เขาทำปลูกพืชผักและเลี้ยงสัตว์นะ พวกเขาลำบากเพียงใดกว่าจะปลูกพืชผักและเลี้ยงสัตว์มาเพื่อเป็นอาหารให้พวกเราได้กิน...” “พอแล้วเจ้าค่ะ ข้ากินให้หมดก็ได้” คุณหนูหวังกล่าวก่อนจะนั่งลงตามเดิม มือเรียวหยิบตะเกียบมาคีบกินบะหมี่เนื้อที่ตนกินค้างไว้ พร้อมกับบะหมี่เนื้อที่เขาสั่งถูกนำมาให้พอดี มุมปากของเขาหยักยิ้มเมื่อเห็นท่าทางของนาง จางชิงเทียนกินบะหมี่เนื้อไปลอบมองสหายของน้องสาวไป เขาเพิ่งสังเกตว่าคุณหน
“ข้าเห็นเจ้าเดินออกจากโรงเตี๊ยมจึงเดินตามเพียงเท่านั้น” กล่าวจบสายตาของท่านราชเลขาฯ ก็จับจ้องดวงหน้าหวานที่มักจะส่งยิ้มให้เขาอยู่เสมอ แต่ทว่าวันนี้กลับบึ้งตึง “ท่านป้าเจ้าขา วันนี้ข้าต้องไปแล้ว ท่านมาเก็บโต๊ะเถิดเจ้าค่ะ คุณชายพวกนี้จะได้มีโต๊ะนั่งไม่ต้องมายืนจ้องผู้อื่นให้เสียมารยาทเช่นนี้” กล่าวจบนางก็วางเหรียญอีแปะลงบนโต๊ะก่อนจะเดินออกจากร้านไป ตั้งแต่ต้นจนจบนางไม่ทักทายเขาเช่นที่เคยทำ ต้องเป็นเพราะที่เขากล่าววาจาไม่ดีใส่นางในวันนั้นเป็นแน่ “ชิงเทียนเจ้ารู้จักคุณหนูผู้นั้นหรือ” “เจ้าชอบนางหรือ” “ใช่ ข้าอยากเกี้ยวพานาง ในเมืองหลวงนี้จะมีคุณหนูส