“แต่บ่าวอยากให้คุณหนูได้พักผ่อนนี่เจ้าคะ คุณหนูเอาแต่วาดภาพบุรุษขาย จนบางครั้งตอนกลางวันก็ไม่ยอมหยุดพักเพื่อกินข้าว” หากไม่ติดว่าตอนเช้าและเย็นต้องกินข้าวพร้อมคุณชายใหญ่ คุณหนูของนางก็คงไม่สนใจที่จะหยุดพักเป็นแน่
“ช่วงนี้ราคาภาพวาดกำลังดี มีคุณหนูต้องการมากมาย ข้าจึงต้องเร่งมือ”
สุดท้ายสาวใช้คนสนิทก็ไม่อาจห้ามคุณหนูของตนได้อีกจึงได้แต่นั่งพัดและรินน้ำชาให้อย่างเงียบๆ
จางชิงหนี่ว์วาดภาพได้ตามจำนวนที่ต้องการจึงยอมหยุดพักแล้วไปเดินเล่นระหว่างรอภาพวาดแห้ง ส่วนจื่อรั่วก็ปล่อยให้เก็บอุปกรณ์วาดภาพไป
“เริ่มหิวแล้วสิ แต่หากกินข้าวตอนนี้ แล้วพี่ใหญ่กลับมาข้าก็จะไม่หิวน่ะสิ” และเมื่อใดที่นางกินข้าวน้อยก็มักจะทำให้พี่ใหญ่ไม่สบายใจ
ปึ้ก เสียงลูกอะไรบางอย่างตกลงบนพื้นดึงความสนใจนาง ก่อนที่ดวงหน้าหวานจะเผยยิ้มออกมาเมื่อเห็นว่ามันคือผิงกั่ว[1]
“แต่เอ๊ะ! แถวนี้ไม่มีต้นผิงกั่วนี่” นางคิดพลางใช้ชายอาภรณ์เช็ดถูเพื่อทำความสะอาดผลไม้สีแดงสดน่ากิน ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองหาต้นของมัน
‘บุรุษสวมหน้ากากที่เกือบจะฆ่าข้าในวันนั้น’ ดวงตาเมล็ดซิ่งเบิกกว้างด้วยความตกใจก่อนจะค่อยๆ ก้าวเท้าถอยหนี
พรึ่บ บุรุษที่นางไม่รู้จักแม้แต่ชื่อแซ่กระโดดลงมาตรงหน้านาง มือใหญ่คว้าข้อมือกลมกลึงเอาไว้ไม่ให้นางได้วิ่งหนี
“ปล่อยข้านะเจ้าคะ ช่วย...” คุณหนูจางกำลังจะตะโกนเรียกผู้คุ้มกันที่เป็นลูกน้องเก่าของบิดาซึ่งคอยดูแลจวนแห่งนี้อยู่ให้มาช่วย แต่กลับถูกบุรุษผู้นั้นโอบกอดแล้วใช้มือข้างที่ว่างปิดปากนางเอาไว้ไม่ให้ส่งเสียง
“ข้าไม่ได้จะมาทำร้ายเจ้า วันนี้เพียงแค่ผ่านมาเห็นจวนแห่งนี้ร่มรื่นดี จึงลองเข้ามาดู ไม่คิดว่าจะเจอเจ้า”
‘จวนข้าหาใช่ที่เดินเล่นของใคร’ บุรุษผู้นี้ปีนเข้าจวนนางโดยที่ท่านลุงท่านน้าทั้งหลายไม่รับรู้การมาเยือนได้อย่างไร หรือเป็นเพราะบุรุษผู้นี้วรยุทธ์สูงส่งจนสามารถหลบหูตาของผู้คุ้มกันได้
“หากเจ้าอยากให้ข้าปล่อยเจ้า เจ้าต้องรับปากว่าจะไม่ส่งเสียงร้อง”
“...” นางพยักหน้าตอบรับ
“ที่ลานฝึกยุทธ์วันนั้นข้าต้องขอโทษด้วยที่ทำให้เจ้ากลัว” บุรุษสวมหน้ากากบอก นัยน์ตาดำจับจ้องมือของนางที่ยังคงพันผ้าปิดแผลไว้
“มิเป็นไรเจ้าค่ะ ข้าผิดเองที่ล่วงล้ำเข้าไปในที่แห่งนั้นโดยไม่ได้รับอนุญาต” คุณหนูจางกล่าวก่อนจะค่อยๆ ซ่อนมือตนเอาไว้ด้านหลัง
“มือเจ้ายังไม่หายอีกหรือ”
‘ต่อให้เป็นจอมมารแผลก็ใช่ว่าจะสมานกันได้ภายในสองสามวัน’ ทำได้เพียงแค่คิดก่อนจะเอ่ยตอบออกไปด้วยท่าทางเจียมเนื้อเจียมตัว
“ยังเจ้าค่ะ แต่ก็ดีขึ้นมากแล้ว”
“นี่ยามอบให้เจ้า คราวหน้าหากข้าผ่านมาแล้วเห็นว่าแผลที่มือเจ้ายังไม่หาย มือของสาวใช้เจ้าอาจจะกลายเป็นแผลเช่นเดียวกับเจ้าไปด้วย” เขากล่าวพลางยื่นตลับยาให้นาง
“ไม่เห็นต้องข่มขู่กันถึงเช่นนั้นเลยเจ้าค่ะ” นางกล่าวเสียงอ่อนพร้อมกับรับยามาแต่โดยดี
‘ตลับยาคล้ายกับที่ชินอ๋องซื่อจื่อให้มา หรือว่าจะมาจากบิดาสวี่ลู่ฟางเหมือนกัน’ ซึ่งยาที่ชินอ๋องให้มานางโยนทิ้งลงกองขยะไปแล้ว
ใครจะไปกล้าใช้ยาที่ตัวซวยผู้นั้นมอบให้กันเล่า...
“ข้าต้องไปแล้ว อย่าลืมทายาที่ข้าให้”
พรึ่บ! บุรุษสวมหน้ากากกล่าวจบก็ใช้วิชาตัวเบากระโดดขึ้นต้นไม้ก่อนจะหายไปทิ้งให้นางงุนงงกับการปรากฏตัวของคนผู้นี้
‘นี่ข้าต้องหวาดกลัวคำข่มขู่ของเขาใช่หรือไม่’ คุณหนูจางคิดแล้วก้มมองตลับยาในมือตนอย่างไม่แน่ใจ
คนผู้นี้เป็นใครกันแน่ หรือจะเป็นตัวร้ายผู้นั้น หากจำไม่ผิดในนิยายเคยบรรยายเอาไว้ว่า องค์รัชทายาทต่างแคว้นผู้นั้นมักจะชอบปลอมตัวเข้าไปท่องเที่ยวในแคว้นอื่นอยู่เสมอเพื่อจะได้เอาการบริหารบ้านเมืองของฮ่องเต้แต่ละแคว้นไปปรับใช้กับแคว้นตน ช่างเป็นองค์รัชทายาทที่ปรีชาสามารถ จนไม่น่าไปหลงใหลมารยาสตรีดอกบัวขาวอย่างสวี่ลู่ฟางได้
วีรบุรุษไม่อาจผ่านด่านสาวงามได้ เป็นคำกล่าวที่ไม่เกินจริง
‘แต่ตัวร้ายน่าจะยังไม่ได้เจอนางเอกไม่ใช่หรือ’ ตอนนี้มันน่าจะเป็นช่วงเวลาที่พระเอกกับนางเอกกำลังจะรักกัน ส่วนตัวร้ายจะมาช่วงประมาณกลางเรื่อง แล้วตลับยานี่มาได้อย่างไร หรือว่ายาตัวนี้มีขายในร้านยาทั่วไป
“ช่างเถิดหากได้เจอกันอีกครั้งค่อยหาวิธีพิสูจน์” คุณหนูจางบอกกับตัวเองก่อนจะเดินกลับเรือนของตนเพื่ออาบน้ำเปลี่ยนอาภรณ์รอพี่ใหญ่กลับจวน
[1] แอปเปิ้ล
“ช่างเถิดหากได้เจอกันอีกครั้งค่อยหาวิธีพิสูจน์” คุณหนูจางบอกกับตัวเองก่อนจะเดินกลับเรือนของตนเพื่ออาบน้ำเปลี่ยนอาภรณ์รอพี่ใหญ่กลับจวน ภาพวาดที่นางวาดโดยใช้เรือนร่างของจื่อเป่าเป็นต้นแบบถูกเถ้าแก่เนี้ยร้านขายภาพวาดรับซื้อเอาไว้หมด พร้อมทั้งสั่งเพิ่มอีกหลายๆ ภาพเท่าที่นางจะวาดไหว “มือก็หายแล้ว แต่จะไปหาบุรุษจากที่ใดมาวาดภาพเล่า” ลานฝึกยุทธ์ก็ไปไม่ได้ นางไม่กล้าเอาชีวิตน้อยๆ ของตนเองไปเสี่ยงอีก “คุณหนู ท่านอย่าออกไปวาดภาพบุรุษอีกเลยนะเจ้าคะ” คราวที่แล้วก็ได้บาดแผลมาจนต้องช่วยกันหาข้ออ้างโกหกคุณชายใหญ่ “ไม่ได้! ข้าต้องไป มือข้าหายแล้วเจ้าไม่ต้องห่วง” แม้จะรู้ว่าจวนตนไม่ได้ขัด
5บุรุษสวมหน้ากากกับท่าทางแปลกๆ ของเขา (2) คุณหนูจางที่ตอนนี้อยู่ในคราบบุรุษเดินตามผู้ดูแลไปที่ห้องส่วนตัว “คุณชายรอข้าน้อยเพียงครู่เดียว ข้าน้อยจะไปพาเหล่าบุรุษมาให้ท่านเลือกขอรับ” “อืม” นางตอบรับพลางโยนตำลึงสีเงินก้อนใหญ่ให้ผู้ดูแล ซึ่งชายวัยกลางคนรับมาแล้วยิ้มอย่างอารมณ์ดีก่อนจะหายออกไปทางประตู ผ่านไปไม่ถึงชั่วจิบชาผู้ดูแลกลับมาพร้อมกับบุรุษจำนวนเจ็ดคนเพื่อให้นางเลือกสรร “คุณชายสามารถเลือกคนที่คุณชายต้องการได้เลยขอรับ”&nb
“เหลือเวลาอีกครึ่งชั่วยามก่อนผู้ดูแลจะพาชายงามมาให้ข้าเลือกเพิ่ม คราวนี้ข้าขอเปลี่ยนท่านั่งพวกเจ้าใหม่” สตรีในคราบบุรุษกล่าวก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปใกล้ทั้งสามคน จางชิงหนี่ว์จัดบุรุษคนหนึ่งให้นอนเอนหลังลงกับพื้น ส่วนบุรุษอีกคนคุกเข่านั่งคร่อมขาข้างหนึ่งของคนที่นอนอยู่ มือใหญ่ของคนที่อยู่ด้านบนวางลงตรงแผ่นอก ส่วนแขนอีกข้างยันพื้นเอาไว้ ชายอีกหนึ่งคนที่เหลือ นางให้นอนคว่ำแล้วซบใบหน้าลงตรงต้นขาที่ไม่มีอาภรณ์ปกปิด มือใหญ่ข้างหนึ่งเอื้อมไปวางลงบนหน้าท้อง “อู่เจ๋อ ท่าทางเจ้ายังไม่ได้ มานี่ประเดี๋ยวข้าทำให้ดู” นางดันตัวเล็กน้อยเพื่อให้อีกฝ่ายหลบ “เจ้าต้องทำเช่นนี้ อืม โน้มใบหน้าเข้าไปใกล้เช่นนี้ดีกว่า” นางขึ้นคร่อมขาข้างหนึ่งของชายงามที่นอนอยู่ก่อนจะใช้ม
“พวกท่านรีบใส่อาภรณ์เถิดเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวจะเป็นหวัดเอาได้” นางเอ่ยพลางส่งยิ้มให้กับชายงามทั้งสามที่ช่วยให้งานของนางลุล่วงไปได้ “...” บุรุษสวมหน้ากากตวัดสายตามองเช่นกัน ทำให้ทั้งสามคนได้แต่ก้มหน้า คุณชายผู้นี้หวงแหนฮูหยินยิ่งนัก... “พวกท่านจะนั่งดื่มกินก่อนก็ได้นะเจ้าคะ ประเดี๋ยวผู้ดูแลนำบุรุษมาให้ข้าเลือกเพิ่ม พวกท่านค่อยไปก็ได้” “นี่เจ้ายังจะเลือกบุรุษมาเพิ่มอีกหรือ” “ข้ายังวาดได้ไม่มาก จึงต้องหาคนเพิ่มอีกเจ้าค่ะ” “ที่นี่เป็นหอชายงา
“เลิกมองช้าเช่นนั้นเลยนะเจ้าคะ ข้าไม่ได้จะเสนอตัวเป็นฮูหยินให้ท่าน แต่ข้ามีสหายเป็นคุณหนูงดงามถึงสองนาง หากท่านสนใจข้าก็ไม่รังเกียจที่เป็นผู้เฒ่าจันทราช่วยผูกด้ายแดงให้” “...” “เงียบเช่นนี้ไม่สนใจสหายของข้าสินะเจ้าคะ” “อืม” “เช่นนั้นเป็นใครดีล่ะ อืม...คุณหนูสวี่ลู่ฟาง สาวงามอันดับหนึ่งก็ไม่ได้ เพราะนางเป็นคนรักของชินอ๋องซื่อจื่ออยู่” กล่าวอ้อมไปอ้อมมาตั้งนาน ได้เวลาเข้าเรื่องเสียที นัยน์ตาดำที่มองลอดผ่านหน้ากากหนังฉายแววกรุ่นโกรธ ทำให้นางยิ่งมั่นใจว่าบุรุษผู้นี้อาจจะเป็นตัวร้ายผู้นั้น แ
6ตัวซวยที่ไม่อยากเข้าใกล้ บนโต๊ะอาหารบุรุษตระกูลจางสามคนต่างคีบอาหารใส่ชามให้นางอย่างเอาใจจนชามข้าวนางพูนใกล้ล้น “ท่านปู่ ท่านลุงและพี่ใหญ่เจ้าขา พวกท่านกินบ้างเถิดเจ้าค่ะ อย่าเอาแต่คีบให้ข้าเลย” “เจ้าตัวเล็กยิ่งนัก ต้องกินให้มากหน่อย” อดีตราชครูของฮ่องเต้และชินอ๋องกล่าว “นั่นสิ เดือนหน้าก็จะปักปิ่นแล้ว ตัวยังเล็กกว่าคุณหนูวัยเดียวกันมากนัก เจ้าต้องกินให้มากๆ หน่อยนะหนี่ว์เอ๋อร์” ท่านลุงที่เป็นราชครูให้กับองค์รัชทายาทและชินอ๋องซื่อจื่อกล่าว “พูดถึงปักปิ่น เจ้าตอบรับเทียบเชิญงานปักปิ่นของคุณหนูเจิ้งแล้วใช่หรือไม่” “เรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ พี่ใหญ่จะไปกับข้าด้วยหรือไม่” “ชิงเทียนต้องไปอยู่แล้ว จะทิ้งเจ้าให้ไปร่วมงานจวนอื่นลำพังได้อย่างไร” เป็นท่านปู่จางจื้อกล่าวตอบ “ท่านปู่ ท่านลุงเจ้าขา ข้ามีเรื่องสงสัยอยากสอบถามพวกท่านสักนิด” “ถามแต่ท่านปู่กับท่านลุงแล้วพี่ล่ะ หรือเจ้าคิดว่าพี่มีความรู้ไม่มากพอ” จางชิงเทียนแสร้งเล่นบทโศกแย่งชิงความรักจากน้องสาว “มีสิเจ้าคะ แต่พี่ใหญ่มีง
“อืม พอได้ยินที่เจ้าเอ่ยในงานจิบชาชมดอกไม้ ข้าก็คิดได้ทันที เหตุใดข้าต้องพยายามมากมายถึงเพียงนั้นเพื่อบุรุษที่ไม่คิดจะไยดีความรู้สึกข้า” “เจ้าคิดได้ข้าก็ดีใจ กล่าวตามตรงข้าก็ได้ยินเรื่องที่องค์รัชทายาทพึงใจคุณหนูสวี่จนทำให้สตรีนางนั้นทะเลาะกับชินอ๋องซื่อจื่อ” “เรื่องที่บุรุษผู้นั้นไปกินข้าวและไปส่งสวี่ลู่ฟางถึงจวนเป็นเรื่องจริง แต่เรื่องที่ชินอ๋องซื่อจื่อเป็นคนรักของนาง ข้าก็ได้ยินผู้คนภายนอกเล่าลือ แต่ทว่าในวังหลวงกลับเงียบไม่มีท่าทีต่อเรื่องนี้ ราวกับว่ามันเป็นเพียงการปล่อยข่าวของใครคนหนึ่ง” ‘ข้าลืมไปได้อย่างไรว่าสหายผู้นี้เป็นถึงบุตรสาวของสหายสนิทของฮองเฮา’ ซึ่งได้รับความรักและความเอ็นดูอย่างล้นเหลือจึงทำให้สามารถเข้าออกวังได้อย่างตามใจตั้งแต่เด็ก แต่แล้
“ข้าเข้าใจแล้ว ข้าจะระวังให้ดี” หากบุรุษผู้นั้นเล่นตุกติกนางก็ไม่คิดไว้ไมตรีอีก อย่าได้คิดเอานางไปเป็นเครื่องมือเพื่อค้ำจุนบัลลังก์ บทสนทนาในวันนั้นก็จบเพียงเท่านี้ แต่นางไม่คิดเลยว่าบุรุษที่สหายบอกว่าไม่ได้เชิญกลับมานั่งโดดเด่นอยู่ในงานปักปิ่นทั้งยังพาตัวซวยอย่างชินอ๋องซื่อจื่อมาด้วย พี่ใหญ่ก็มาไม่ได้โดนฮ่องเต้เรียกตัวเข้าวังด่วน เพราะคิดว่าไม่น่าจะมีเรื่องอันตรายใดในจวนสหายนางจึงยืนยันที่จะมาคนเดียว ส่วนหวังเยว่ฉิง ก็ล้มป่วยกะทันหันจึงไม่สามารถมาร่วมงานได้ ในคราแรกนางจึงต้องนั่งเพียงลำพัง แต่โชคดีที่เปี่ยวเม่ย[1]ของสหายเข้ากับผู้อื่นง่ายนางจึงมีเพื่อนไม่เคว้งคว้างเท่าใดนัก “ขออภัยที่เปิ่นหวางมาร่วมงานโดยไม่ได้แจ้งล่วงหน้า” ‘ไม่ได้แจ้งหรือเขาไม่ได้อยากเชิญกันแน่
แต่เอาเถิดเห็นแก่เป็นว่าที่พี่ชายพระชายาของตน เขาจึงออกแรงจัดการให้ตามที่อีกฝ่ายต้องการทั้งยังได้ระบายโทสะเจ้าสหายตัวดีที่มักจะเสนอหน้าเข้าใกล้สตรีของเขา ใบหน้าของคุณหนูเจิ้งบึ้งตึงเมื่อถูกบีบบังคับให้กลับจวนพร้อมกับบุรุษไร้ยางอาย ทั้งที่งานเลี้ยงปักปิ่นของสหายยังไม่ทันเสร็จสิ้น “นี่ท่านเลิกยุ่งกับข้าได้หรือไม่” นางเอ่ยขึ้นในขณะที่อยู่บนรถม้าด้วยกันตามลำพัง “ไม่ได้” “เพราะเหตุใด” ที่ผ่านมาแทบไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับนาง พอนางคิดจะปล่อยมือ บุรุษผู้นี้กลับพยายามรั้งและเปลี่ยนสถานะ “หากข้าจะกล่าว
“ข้าเพียงกล่าวกับนางไม่กี่คำ เจ้าไม่เห็นจะต้องทุบไหน้ำส้มเลย” คุณชายหลิวโน้มใบหน้าเข้าไปใกล้เพื่อกระซิบพูดคุยกับสหาย “ไสหัวเจ้าไปให้ไกลจากสตรีของข้า” “ข้าเป็นสหายของเจ้า ทักทายว่าที่ชายาของเจ้าสองสามประโยคทำเป็นหวงไปได้” สหายน่าตายของเขากล่าวก่อนจะถอยห่างแล้วหันไปส่งยิ้มให้นาง “เชิญคุณชายหลิวตามสบายนะเจ้าคะ หากขาดตกบกพร่องอันใดสามารถแจ้งข้าหรือพี่ใหญ่ได้เจ้าค่ะ ข้าต้องขอตัวก่อน” เมื่อเห็นสายตาของจางชิงเทียนที่มองมาทางนี้อยู่บ่อยครั้ง นางจึงคิดจะแยกตัวออกมาทันทีที่ได้โอกาส คล้อยหลังนางได้ไม่นาน บุรุษตระกูลจางก็เดินเข้ามาทักทายหลิวเฟิงเหมียนด้วยท่าทางเป็นกันเองแตกต่างจากตอนสนทนากับชินอ๋องซื่อจื่อลิบลับ&
“จิบชาเสียหน่อยสิ” เสียงทุ้มของบุรุษผู้หนึ่งกล่าวขึ้นพลางทรุดตัวนั่งลงตรงเก้าอี้ข้างตัวนาง “ขอบคุณเจ้าค่ะ” นางรับชาจอกนั้นมาโดยไม่ทันสังเกตว่าเป็นผู้ใดยื่นให้ “เสียใจมากหรือไม่ที่คุณหนูเจิ้งจะหมั้นหมายกับองค์รัชทายาท” “ก็เสียใจอยู่บ้าง อ๊ะ! ชินอ๋องซื่อจื่อ” จางชิงหนี่ว์ที่กำลังจะเอ่ยตอบอีกฝ่ายรีบรั้งสติของตนกลับมา “เจ้ามีใจให้คุณหนูเจิ้งหรืออย่างไรเหตุใดถึงต้องเสียใจเช่นนั้น” แม้น้ำเสียงที่เขากล่าวออกมาจะอ่อนโยนแฝงความเอ็นดู แต่แท้จริงแล้วเพียงแค่คิดว่านางกับสตรีผู้นั้นเป็นหมัวจิ้งมีใจให้กัน ในอกเขาก็รู้สึกเหมือนกำลังถูกไฟโทสะสุมอยู่ “สหายจะต้องแต่งงานไปกับบุรุษที่อีกไม่
สายตาที่จ้องมองนางเต็มไปด้วยความพึงพอใจ ก่อนที่นางจะดึงสายตาตนกลับมาอย่างยอมแพ้ ทำอย่างไรได้นางใจไม่แข็งพอที่เล่นสบตากับบุรุษรูปงาม “ในเมื่อสหายเจ้ามาครบเช่นนี้ ข้าว่าถึงเวลาแล้วที่เราควรบอกกล่าวข่าวดีแก่พวกนาง” “ข่าวดี ข่าวอันใดหรือเข่อชิง” หวังเยว่ฉิงเอ่ยถามสหาย “ข้าไม่รู้ องค์รัชทายาทนี่พระองค์กล่าวอันใดออกมา หม่อมฉันไม่เล่นด้วยนะเพคะ” อย่าได้คิดกล่าวเรื่องไม่ดีต่อหน้าชิงหนี่ว์เด็ดขาด “เรื่องงานหมั้นที่จะเกิดในอีกเจ็ดวันข้างหน้าข้าจะเอามาล้อเล่นได้อย่างไร” “งานหมั้นหรือเจ้าคะ” สีหน้าของคุณหนูเจิ้งบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าตกใจกับเรื่องนี้ไม่น้อย
12ปิ่นไม้ดอกหมู่ตาน งานปักปิ่นของนางถูกจัดขึ้นที่จวนราชครูจางของท่านปู่และท่านลุงตามความต้องการของทั้งสอง แม้ตั้งใจเอาไว้ว่าจะจัดงานเล็กๆ เฉพาะญาติและสหายสนิทดั่งเช่นจวนเจิ้ง แต่พอถึงวันจริงกลับมีผู้คนมากมายที่หวังจะประจบเอาใจจวนราชครูที่บรรดาขุนนางรู้ดีว่าคนตระกูลนี้มีความสำคัญในพระทัยของฮ่องเต้ จึงไม่มีใครกล้ามองข้ามแม้จะไม่ได้รับเทียบเชิญแต่ทว่าหลายคนก็ยังยินดีมาร่วมงานไม่เว้นแม้แต่ชินอ๋องซื่อจื่อ และองค์รัชทายาทที่ติดสอยห้อยตามมากับสหายของนาง พิธีปักปิ่นผ่านไปอย่างเรียบร้อย ปิ่นหลายอันถูกปักอยู่บนผมนางซึ่งนางเข้าใจว่า บุรุษตระกูลจางที่รักและเอ็นดูนางทั้งสามคงตระเตรียมเอาไว้ให้นางคนละชิ้น หลังจากเสร็จสิ้นพิธีการแล้ว คุณหนูจางจึงไปผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ชุดใหม่พร้อมกับเลือกปิ่นปักผมขึ้นมาอันหนึ่งเ
“ดูเหมือนจะมีคนเป็นเดือดเป็นร้อนเพราะข่าวลือเช่นเดียวกับข้า” “ที่ผ่านมาข้าไม่สนใจเพราะข้าไม่ไยดีคู่หมายของตน แต่ตอนนี้มันไม่ได้เป็นเช่นนั้นแล้ว ข้าจึงอยากจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยนางจะได้ไม่เข้าใจข้าผิดอีก” “องค์รัชทายาทเช่นท่านก็มีวันที่เป็นเช่นนี้” “อื้อๆ อื้อๆ” เมื่อได้ยินว่าชายตรงหน้าคือบุรุษสูงศักดิ์ในข่าวลือที่ตนกล่าวถึงหลายครั้ง หญิงวัยกลางคนจึงดิ้นรนเพื่อคาดหวังให้อีกฝ่ายมีใจเมตตาช่วยเหลือ แต่ก็ไม่อาจเอื้อนเอ่ยหรือขยับตัวได้เพราะถูกตรึงให้อยู่นิ่งด้วยฝีมือของบุรุษชุดดำ “ครานี้คงไม่ใช่มีแต่ข้าที่เดือดร้อนเรื่องข่าวลือกระมัง มิเช่นนั้นข้าจะมาเจอชินอ๋องซื่อจื่ออย่างเจ้าที่นี่หรือ”&
“ในเมื่อท่านมองสตรีทะลุปรุโปร่งเช่นนี้ ข้าก็คงไม่มีอันใดจะกล่าว แต่หากอยากให้ข้าเป็นผู้เฒ่าจันทราช่วยสานวาสนาผูกด้ายแดงให้ท่านกับคุณหนูสวี่ ให้รีบบอก ข้ายินดีที่จะให้การช่วยเหลือท่านเต็มที่” “ดูเหมือนเจ้าสนับสนุนคุณหนูสวี่ให้ข้ามากจนเกินงาม เจ้าได้ค่าจ้างจากนางหรือ” “ไม่เจ้าค่ะ ข้าแค่เห็นว่านางเป็นสตรีอันดับหนึ่งเอ่อ...เป็นที่หมายปองของบุรุษทั่วทั้งเมืองหลวง ข้าจึงอยากให้ท่านได้สตรีที่ดีงามเช่นนั้นมาเป็นฮูหยิน” “เจ้าเอาแต่สนับสนุนข้า แล้วเรื่องเจ้ากับชินอ๋องเล่า อยากให้ข้าช่วยผูกด้ายแดงให้หรือไม่” “ไม่ดีกว่าเจ้าค่ะ ข้าไม่ได้พึงใจบุรุษผู้นั้น” “เพราะเหตุใด ข้าได้ยินมาว่าชินอ๋อง
สาเหตุที่จางชิงเทียนยังไม่ยอมรับการจับคู่ของฮ่องเต้ก็เพราะน้องสาว เขาเป็นห่วงกลัวว่าฮูหยินของตนจะมารังแกน้องสาว “เอาล่ะ ประเดี๋ยวพี่ต้องเข้าวังแล้ว ใกล้ปักปิ่นแล้วช่วงนี้เจ้าก็หยุดออกไปเที่ยวเล่นนอกจวนก่อน” “เจ้าค่ะ” เรื่องจัดงานประชันบุรุษรูปงามเอาไว้ค่อยทำเมื่อผ่านพ้นงานปักปิ่นไปก่อนก็แล้วกัน “พี่ไปล่ะ” “เจ้าค่ะ” จางชิงหนี่ว์ลุกขึ้นเพื่อเดินไปส่งพี่ชายที่หน้าประตูจวน เมื่อพี่ชายเข้าวังไปแล้วคุณหนูจางก็หงอยเหงาในทันที นางเลือกไปนั่งเล่นที่ลำธารในสวน ซึ่งสร้างเลียนแบบขึ้นมาตามความชอบของนาง “คนที่ชอ
11จุดจบของข่าวลือที่น่ารังเกียจ ราวกับถูกฟ้าผ่าตั้งแต่เช้าเมื่อรับมื้อเช้ากับพี่ใหญ่เสร็จแล้วนางก็ถูกเรียกให้ไปสนทนาที่ห้องโถง ใบหน้าคมเข้มของพี่ชายฉายแววเคร่งเครียดจนนางไม่กล้าสบตา “เมื่อวานชินอ๋องซื่อจื่อมาส่งเจ้าที่จวนใช่หรือไม่” “คือ...” นางมองซ้ายทีขวาทีอย่างร้อนรน “อย่าได้คิดโกหกพี่ ตอบมาตามความจริง” เบื่อคนรู้ทัน “จริงเจ้าค่ะ แต่มันมีเหตุนะเจ้าคะ” “เหตุอันใด จงกล่าวมา” “คือหลังจากข้าไปเยี่ยมเยว่ฉ