“เลิกมองช้าเช่นนั้นเลยนะเจ้าคะ ข้าไม่ได้จะเสนอตัวเป็นฮูหยินให้ท่าน แต่ข้ามีสหายเป็นคุณหนูงดงามถึงสองนาง หากท่านสนใจข้าก็ไม่รังเกียจที่เป็นผู้เฒ่าจันทราช่วยผูกด้ายแดงให้”
“...”
“เงียบเช่นนี้ไม่สนใจสหายของข้าสินะเจ้าคะ”
“อืม”
“เช่นนั้นเป็นใครดีล่ะ อืม...คุณหนูสวี่ลู่ฟาง สาวงามอันดับหนึ่งก็ไม่ได้ เพราะนางเป็นคนรักของชินอ๋องซื่อจื่ออยู่” กล่าวอ้อมไปอ้อมมาตั้งนาน ได้เวลาเข้าเรื่องเสียที
นัยน์ตาดำที่มองลอดผ่านหน้ากากหนังฉายแววกรุ่นโกรธ ทำให้นางยิ่งมั่นใจว่าบุรุษผู้นี้อาจจะเป็นตัวร้ายผู้นั้น และหากเป็นเช่นนั้นคราวหน้านางจะได้ไม่ต้องกล่าวถึงชินอ๋องซื่อจื่อและสวี่ลู่ฟางอีก
“อ่ะ ท่านอย่าเพิ่งโกรธเจ้าค่ะ”
“ไม่ต้องคิดจะเป็นผู้เฒ่าจันทราให้ข้า เอ้า! เงิน หากเจ้าไม่คิดจะรับไว้ก็นำไปทิ้งซะ” เขากล่าวจบก่อนจะใช้วิชาตัวเบากระโดดจากไป
‘ช่างร่ำรวยเหลือเกินตัวร้ายผู้นี้’ นางพึมพำก่อนจะก้มเก็บก้อนเงินสี่ทองสามก้อนใส่ถุงเงินของตน
บุรุษผู้มากล้นทรัพย์สมบัติเช่นนี้ น่าเสียดายที่นางเอกผู้นั้นเลือกบุรุษรูปงามแทนแต่หากเป็นนางก็คงเลือกชินอ๋องซื่อจื่อผู้นั้นแทน เพราะขึ้นชื่อว่าองค์รัชทายาทไม่มีทางที่จะมีเมียเดียว ต่างจากชินอ๋องซื่อจื่อที่ให้คำสัตย์สาบานกับมารดาเอาไว้ว่าจะมีฮูหยินเพียงคนเดียวไม่มากรัก
“เหตุใดข้าถึงเป็นเช่นนี้” วันนี้นางลืมตัวพูดคุยกับเขาดั่งเช่นคนรู้จักมักคุ้น ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้เขาแทบจะเอากระบี่มาปาดคอนางแล้วยังจะข่มขู่นาง แต่จะว่าไปหากมาลองคิดย้อนดูดีๆ เขาก็มีท่าทีเป็นกันเองมากขึ้นยามสนทนากับนาง
เอาเถิดหากนางคุ้นเคยสนิทสนมกับเขาก็ดีไม่น้อย หากบุรุษสวมหน้ากากเป็นตัวร้ายผู้นั้นจริง ตอนนี้นางไม่ได้เป็นคู่หมั้นของชินอ๋องซื่อจื่อแล้ว เขาอาจจะไว้หน้าไม่สังหารนางก็ได้
ในวันนั้นหลังจากบุรุษสวมหน้ากากออกจากเรือนนางไปได้ไม่ถึงหนึ่งเค่อ บุรุษชุดดำปิดหน้าเหลือเพียงดวงตาที่เป็นลูกน้องก็นำอุปกรณ์วาดภาพและภาพวาดชายงามมาให้นาง
“วันนี้ข้าจะออกไปขายภาพด้วยตนเอง”
“แต่คุณหนูเจ้าคะ เดือนหน้าก็จะถึงงานปักปิ่นแล้ว ท่านให้ข้าไปร้านซือซือแทนดีหรือไม่เจ้าคะ”
“วันนี้ข้าจะไปด้วยตนเอง เพราะข้ามีเรื่องต้องหารือกับพี่สาวหยุนซือ” นางต้องไปดูของที่นางฝากอีกฝ่ายหามาให้เพื่อเป็นของกำนัลให้กับสหายที่จะปักปิ่นในอีกเจ็ดวันข้างหน้า
“แต่ว่า...”
“ปักปิ่นก็เป็นแค่งานที่จะประกาศให้บุรุษหรือแม่สื่อทราบว่าสตรีผู้นี้พร้อมจะออกเรือนแล้ว ดังนั้นข้าที่คิดจะอยู่เกาะพี่ชาย ท่านลุงและท่านปู่ไปตลอดชีวิต ก็ไม่ต้องสนใจเรื่องนั้น”
“คุณหนู...”
“จื่อเป่าออกมา” นางส่งเสียงเรียกผู้คุ้มกัน
“ขอรับคุณหนู”
“พาข้าไปร้านซือซือของพี่สาวหยุนซือ”
“เช่นนั้นขออภัยด้วยนะขอรับคุณหนู” จื่อเป่าตอบรับพลางก้มตัวเพื่อโอบอุ้มคุณหนู
วิชาตัวเบาช่างเป็นสิ่งที่สร้างความสะดวกสบายเป็นอย่างยิ่ง จะไปที่ใดไกลๆ ไม่ต้องเดินให้เมื่อย
จางชิงหนี่ว์อมยิ้มเมื่อเห็นก้อนตำลึงในถุงมีมากขึ้นกว่าก่อนหน้านี้เพราะได้มาจากบุรุษสวมหน้ากากผู้นั้น
“เรียนคุณหนูคุณชายใหญ่กลับมาแล้วขอรับ” จื่อเหยียนพ่อบ้านเก่าแก่ที่เคยเป็นถึงหัวหน้านายกองในกองทัพประจิมกล่าวรายงานคุณหนู
“อืม”
“วันนี้นายท่านจางจื้อและนายท่านจางเหว่ยจะมารับมื้อเย็นด้วยขอรับ”
“ท่านปู่กับท่านลุงกลับจวนมาพร้อมพี่ใหญ่หรือ”
“ขอรับ”
“เช่นนั้นประเดี๋ยวข้าจะรีบไป”
“ขอรับ” พ่อบ้านเหยียนรับคำก่อนจะกลับไป
“ถามท่านปู่กับท่านลุงเรื่ององค์รัชทายาทแคว้นสือเจ้าดีหรือไม่” นางครุ่นคิดก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินกลับจวนเพื่อผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ให้ดูเรียบร้อยกว่าเดิม
6ตัวซวยที่ไม่อยากเข้าใกล้ บนโต๊ะอาหารบุรุษตระกูลจางสามคนต่างคีบอาหารใส่ชามให้นางอย่างเอาใจจนชามข้าวนางพูนใกล้ล้น “ท่านปู่ ท่านลุงและพี่ใหญ่เจ้าขา พวกท่านกินบ้างเถิดเจ้าค่ะ อย่าเอาแต่คีบให้ข้าเลย” “เจ้าตัวเล็กยิ่งนัก ต้องกินให้มากหน่อย” อดีตราชครูของฮ่องเต้และชินอ๋องกล่าว “นั่นสิ เดือนหน้าก็จะปักปิ่นแล้ว ตัวยังเล็กกว่าคุณหนูวัยเดียวกันมากนัก เจ้าต้องกินให้มากๆ หน่อยนะหนี่ว์เอ๋อร์” ท่านลุงที่เป็นราชครูให้กับองค์รัชทายาทและชินอ๋องซื่อจื่อกล่าว “พูดถึงปักปิ่น เจ้าตอบรับเทียบเชิญงานปักปิ่นของคุณหนูเจิ้งแล้วใช่หรือไม่” “เรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ พี่ใหญ่จะไปกับข้าด้วยหรือไม่” “ชิงเทียนต้องไปอยู่แล้ว จะทิ้งเจ้าให้ไปร่วมงานจวนอื่นลำพังได้อย่างไร” เป็นท่านปู่จางจื้อกล่าวตอบ “ท่านปู่ ท่านลุงเจ้าขา ข้ามีเรื่องสงสัยอยากสอบถามพวกท่านสักนิด” “ถามแต่ท่านปู่กับท่านลุงแล้วพี่ล่ะ หรือเจ้าคิดว่าพี่มีความรู้ไม่มากพอ” จางชิงเทียนแสร้งเล่นบทโศกแย่งชิงความรักจากน้องสาว “มีสิเจ้าคะ แต่พี่ใหญ่มีง
“อืม พอได้ยินที่เจ้าเอ่ยในงานจิบชาชมดอกไม้ ข้าก็คิดได้ทันที เหตุใดข้าต้องพยายามมากมายถึงเพียงนั้นเพื่อบุรุษที่ไม่คิดจะไยดีความรู้สึกข้า” “เจ้าคิดได้ข้าก็ดีใจ กล่าวตามตรงข้าก็ได้ยินเรื่องที่องค์รัชทายาทพึงใจคุณหนูสวี่จนทำให้สตรีนางนั้นทะเลาะกับชินอ๋องซื่อจื่อ” “เรื่องที่บุรุษผู้นั้นไปกินข้าวและไปส่งสวี่ลู่ฟางถึงจวนเป็นเรื่องจริง แต่เรื่องที่ชินอ๋องซื่อจื่อเป็นคนรักของนาง ข้าก็ได้ยินผู้คนภายนอกเล่าลือ แต่ทว่าในวังหลวงกลับเงียบไม่มีท่าทีต่อเรื่องนี้ ราวกับว่ามันเป็นเพียงการปล่อยข่าวของใครคนหนึ่ง” ‘ข้าลืมไปได้อย่างไรว่าสหายผู้นี้เป็นถึงบุตรสาวของสหายสนิทของฮองเฮา’ ซึ่งได้รับความรักและความเอ็นดูอย่างล้นเหลือจึงทำให้สามารถเข้าออกวังได้อย่างตามใจตั้งแต่เด็ก แต่แล้
“ข้าเข้าใจแล้ว ข้าจะระวังให้ดี” หากบุรุษผู้นั้นเล่นตุกติกนางก็ไม่คิดไว้ไมตรีอีก อย่าได้คิดเอานางไปเป็นเครื่องมือเพื่อค้ำจุนบัลลังก์ บทสนทนาในวันนั้นก็จบเพียงเท่านี้ แต่นางไม่คิดเลยว่าบุรุษที่สหายบอกว่าไม่ได้เชิญกลับมานั่งโดดเด่นอยู่ในงานปักปิ่นทั้งยังพาตัวซวยอย่างชินอ๋องซื่อจื่อมาด้วย พี่ใหญ่ก็มาไม่ได้โดนฮ่องเต้เรียกตัวเข้าวังด่วน เพราะคิดว่าไม่น่าจะมีเรื่องอันตรายใดในจวนสหายนางจึงยืนยันที่จะมาคนเดียว ส่วนหวังเยว่ฉิง ก็ล้มป่วยกะทันหันจึงไม่สามารถมาร่วมงานได้ ในคราแรกนางจึงต้องนั่งเพียงลำพัง แต่โชคดีที่เปี่ยวเม่ย[1]ของสหายเข้ากับผู้อื่นง่ายนางจึงมีเพื่อนไม่เคว้งคว้างเท่าใดนัก “ขออภัยที่เปิ่นหวางมาร่วมงานโดยไม่ได้แจ้งล่วงหน้า” ‘ไม่ได้แจ้งหรือเขาไม่ได้อยากเชิญกันแน่
“หึ” โกหกทั้งเพ นางเกลียดเขาเพียงเพราะเขาเป็นชินอ๋องซื่อจื่อ “พระองค์จะเชื่อที่หม่อมฉันกล่าวหรือไม่ก็แล้วแต่ หม่อมฉันขอตัวเพคะ” นางจะลุกหนี แต่มือใหญ่ของเขาคว้าข้อมือของนางเอาไว้ก่อนจะดึงรั้ง “เจ้ายังไปไม่ได้” “ชินอ๋องซื่อจื่อ พระองค์จะเอาแต่ใจเช่นนี้ไม่ได้ พระองค์ไม่มีสิทธิ์มาห้ามหม่อมฉัน” ตัวซวยผู้นี้เหตุใดถึงได้หน้าหนาหน้าทน นางแสดงตัวว่าไม่อยากอยู่ใกล้มากถึงเพียงนี้ ก็ยังดื้อรั้น “หึ” กล่าวถึงสิทธิ์หรือ หากตอนนั้นนางไม่เอ่ยปฏิเสธคำของฮ่องเต้และบิดาเขาด้วยท่าทางไร้เดียงสา วันนี้เขาและนางก็คงได้กลายเป็นคู่หมั้น “ปล่อยหม่อมฉันนะเพคะ” ยิ่งนางพยายามแกะมือบุรุษผู้นี้เพียงใด มือน
7อดีตที่ค้างคาของชินอ๋องซื่อจื่อ ย้อนกลับไปเมื่อเก้าปีก่อนตอนนั้นเขาอายุเพียงสิบสองปี ส่วนนางเป็นเจ้าก้อนแป้งอายุห้าขวบปี เขาซึ่งเป็นศิษย์ของท่านราชครูจางเหว่ยสามารถเข้าออกจวนจางได้ราวกับจวนของตนเอง ส่วนหนึ่งก็เพราะชินอ๋องและท่านราชครูจางเป็นสหายกัน จึงย้ายออกจากวังแล้วมาปลูกเรือนอยู่ข้างๆ จวนจาง “พี่ชายท่านเป็นใครหรือเจ้าคะ” “ไปให้พ้น อย่ามายุ่งกับข้า” “รูปก็งามแต่เหตุใดปากถึงได้กล่าววาจาไม่น่าฟัง” สตรีตัวน้อยกล่าวพลางเอานิ้วชี้แตะคางตน ดวงตาที่จับจ้องเขาเต็มไปด้วยความสงสัย ท่าทางน่ารักน่
เนิ่นนานนับเค่อที่เด็กชายแปลกหน้าที่นางไม่รู้จักชื่อนั่งร้องไห้ จนนางเริ่มกลัวเขาจะปวดหัว จึงลุกยืนขึ้นแล้วเข้าไปรั้งศีรษะเขามาพิงตัวนางไว้ก่อนจะโอบกอด “ท่านแม่ของท่าน แท้จริงนางไม่ได้อยากจะทิ้งท่านไปเช่นนี้หรอก แต่เพราะนางเห็นท่านเติบใหญ่เป็นคนที่ดีและน่าภูมิใจ นางจึงหมดห่วง” “ฮือ...” “แม้ว่าตอนนี้นางจะไม่ได้โอบกอดท่านแล้ว แต่นางยังคงอยู่ตรงนี้” เด็กหญิงตัวน้อยชี้ไปที่อกของเขา “ภาพความทรงจำที่ดีงามระหว่างท่านและนางจะไม่มีใครมาลบล้างไปได้ ข้าเชื่อว่านางยังคงมองดูท่านจากที่ตรงโน้น แม้ท่านจะเสียใจแต่ข้าว่านางคงอยากเห็นท่านเติบโตเป็นบุรุษที่องอาจและเก่งกาจ” “ปล่อยข้า
เรื่องราวเกี่ยวกับนางจึงค่อยๆ เลือนหายไปจากความทรงจำของเขาจนกระทั่งได้เจอกันอีกครั้งในวันนั้น... ด้านองค์รัชทายาทที่สวมรอยเดินตามสาวใช้คนสนิทของคุณหนูเจิ้งแทน กว่าเสี่ยวยาจะรู้ตัวก็พาบุรุษที่คุณหนูไม่อยากพบเจอมาหาถึงหน้าเรือนนอน “องค์...” สาวใช้ยังกล่าวไม่ทันจบก็ถูกปิดปากด้วยมือของบุรุษผู้หนึ่งก่อนที่ผู้สูงศักดิ์จะพยักหน้าส่งสัญญาณให้คนของตนพาตัวออกไป ก๊อก ก๊อก เสียงเคาะประตูจากผู้ที่ยืนอยู่หน้าห้อง ทำให้เจิ้งเข่อชิงรีบสาวเท้าก้าวมาที่ประตูก่อนจะเปิดออกด้วยสีหน้ายินดี รอยยิ้มของนางค้างแข็งไปชั่วขณะเมื่อเห็นว่าคนที่อยู่หน้าห้องหาใช่สตรีที่ตนรอคอย ดวงหน้าหวานแปรเปลี่ยนเป็นบึ้งตึงไร้รอยยิ้ม
“เรื่องถอนหมั้น...” เจิ้งเข่อชิงกำลังจะกล่าวถึงเรื่องราวที่เขามีสตรีที่พึงใจ แต่เขากลับเอ่ยแทรกขึ้นอย่างเสียมารยาท “ก่อนที่จะกล่าวเรื่องนั้น ขอให้ข้าได้อธิบายเรื่องที่ชาวบ้านพวกนั้นเล่าลือก่อนได้หรือไม่” “เจ้าค่ะ” นางตอบรับพลางรอดูว่าบุรุษผู้นี้จะปั้นเรื่องอันใดขึ้นมาหลอกนางอีก “แท้จริงเรื่องราวไม่มีอันใดเลย วันนั้นข้าแค่ออกไปหาอาหารเลิศรสกินที่โรงเตี๊ยมเหอหยวนกับหลิวเฟิงเหมียน แต่บังเอิญไปเจอน้องสาวของเขาและสหายที่ชื่อสวี่ลู่ฟาง จึงได้ร่วมโต๊ะ ก่อนกลับคุณหนูเมิ่งร่ำร้องให้พี่ชายพาไปซื้อเครื่องประดับ แต่สหายของนางต้องรีบกลับจวน นางจึงขอร้องให้ข้าไปส่งสตรีผู้นั้นที่จวนสวี่ เรื่องราวมีเพียงแค่นี้” เขาก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าเหตุใดชาวบ้านถึงได้เล่าลือไปไกลถึงเพียงนั้น&nbs
บุรุษในอาภรณ์สีดำลายพยัคฆ์ปักทองอุ้มนางมาที่รถม้าที่มีตราสัญลักษณ์จวนชินอ๋อง เขาวางนางลงก่อนจะทรุดตัวนั่งใกล้มากจนแนบชิด “พี่อันฉีเจ้าขา รถม้าจวนอ๋องกว้างไม่น้อย อย่างไรท่านขยับออกไปหน่อยได้หรือไม่” ที่ก็ตั้งกว้างจะมานั่งเบียดนางด้วยเหตุใด “เจ้าช่างดื้อรั้น พี่บอกแล้วไม่ใช่หรือว่าอย่ายัดเยียดพี่ให้สตรีอื่น” “ข้าไม่ได้ทำเช่นนั้นนะเจ้าคะ ข้ารีบกลับจวนจริงๆ” “ข้าไม่ได้ทำเช่นนั้นนะเจ้าคะ ข้ารีบกลับจวนจริงๆ” “ได้ยินมาว่าเจ้าชอบกินขนมกุ้ยฮวาหรือ” “เจ้าค่ะ” เขาคงเคยได้ยินที่นางกล่าวกับสหายในงา
ไม่ๆ อย่าให้ความอยากรู้อยากเห็นอยู่เหนือสิ่งใด เมื่อคิดได้เช่นนั้นคุณหนูจางจึงเดินไปทางที่ทั้งสองคนกำลังยืนอยู่ ดวงหน้าหวานก้มลงเล็กน้อยเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายสังเกตเห็น โชคดีอีกอย่างคือตอนนี้นางยังปกปิดใบหน้าครึ่งล่างด้วยผ้าที่ให้จื่อเป่าไปหาซื้อมาให้ก่อนหน้านี้ ‘ให้หม่อมฉันยืนรอด้วยนะเพคะ’ น้ำเสียงที่เอื้อนเอ่ยช่างอ่อนหวานพาให้จิตใจบุรุษเคลิบเคลิ้ม แต่เพราะกำลังรีบร้อนนางจึงไม่ทันได้ยินหรอกว่าอีกฝ่ายตอบกลับเช่นไร เนื่องจากเอาแต่ครุ่นคิดนางจึงไม่ทันได้รู้ตัวว่าสาวใช้ของตนเดินนำหน้าไปไกลแล้ว ‘อาภรณ์ข้าเกี่ยวอันใดหรือไม่’ เหตุใดนางถึงรู้สึกตึงๆ บริเวณแขนเสื้อ “คารวะคุณหนูจางเจ้าค่ะ” เสียงอ่อนหวานของสตรีดึงความสนใจของนางจนนางต้องหันกลับไปมอง
“ลืมทักไปเลยว่าได้ปิ่นไม้จากที่ใดมา ช่างงดงามและประณีตจริงๆ” “ดอกหมู่ตานเป็นดอกไม้ที่พระชายาของชินอ๋องชื่นชอบ สุดท้ายจึงกลายเป็นดอกไม้ประจำพระองค์ไปโดยปริยาย” “เจ้าจะบอกว่าปิ่นนั่นเป็นของพระชายาชินอ๋อง เช่นนั้นก็หมายความว่าชินอ๋องซื่อจื่อได้หมายตาชิงหนี่ว์ตัวน้อยของข้าไว้นะสิ” “กล่าวออกมาได้เต็มปากเต็มคำ ดูท่านอาหญิงจะรักและเอ็นดูนางมาก” บุรุษไร้ยางอายที่เมื่อสักครู่ซ่อนตัวอยู่หลังร้านทำสีหน้ายุ่งเหยิง เหตุใดแพรพรรณล้ำค่าที่ตนได้รับมอบหมายจากมารดาให้นำมามอบให้ท่านอาหญิง กลับกลายเป็นอาภรณ์มอบให้สตรีไร้หัวนอนปลายเท้าผู้นั้น นอกจากใบหน้าที่งดงามเขาก็ไม่เห็นว่ามีอันใดที่จะทำให้อาหญิงเอ็นดูอีกฝ่ายได้&nb
13 ว่าด้วยเรื่องขนมกุ้ยฮวา ในวันนี้นางได้นัดหมายกับพี่ใหญ่ว่าจะออกไปซื้อของใช้ที่ตลาดด้วยกัน แต่เพราะฮ่องเต้มีเรื่องสำคัญจึงเรียกตัวเข้าวังเป็นการเร่งด่วน นางจึงออกมาเดินตลาดกับจื่อรั่วและจื่อเป่า ร้านขายภาพวาดซือซือเป็นร้านที่ติดต
แต่เอาเถิดเห็นแก่เป็นว่าที่พี่ชายพระชายาของตน เขาจึงออกแรงจัดการให้ตามที่อีกฝ่ายต้องการทั้งยังได้ระบายโทสะเจ้าสหายตัวดีที่มักจะเสนอหน้าเข้าใกล้สตรีของเขา ใบหน้าของคุณหนูเจิ้งบึ้งตึงเมื่อถูกบีบบังคับให้กลับจวนพร้อมกับบุรุษไร้ยางอาย ทั้งที่งานเลี้ยงปักปิ่นของสหายยังไม่ทันเสร็จสิ้น “นี่ท่านเลิกยุ่งกับข้าได้หรือไม่” นางเอ่ยขึ้นในขณะที่อยู่บนรถม้าด้วยกันตามลำพัง “ไม่ได้” “เพราะเหตุใด” ที่ผ่านมาแทบไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับนาง พอนางคิดจะปล่อยมือ บุรุษผู้นี้กลับพยายามรั้งและเปลี่ยนสถานะ “หากข้าจะกล่าว
“ข้าเพียงกล่าวกับนางไม่กี่คำ เจ้าไม่เห็นจะต้องทุบไหน้ำส้มเลย” คุณชายหลิวโน้มใบหน้าเข้าไปใกล้เพื่อกระซิบพูดคุยกับสหาย “ไสหัวเจ้าไปให้ไกลจากสตรีของข้า” “ข้าเป็นสหายของเจ้า ทักทายว่าที่ชายาของเจ้าสองสามประโยคทำเป็นหวงไปได้” สหายน่าตายของเขากล่าวก่อนจะถอยห่างแล้วหันไปส่งยิ้มให้นาง “เชิญคุณชายหลิวตามสบายนะเจ้าคะ หากขาดตกบกพร่องอันใดสามารถแจ้งข้าหรือพี่ใหญ่ได้เจ้าค่ะ ข้าต้องขอตัวก่อน” เมื่อเห็นสายตาของจางชิงเทียนที่มองมาทางนี้อยู่บ่อยครั้ง นางจึงคิดจะแยกตัวออกมาทันทีที่ได้โอกาส คล้อยหลังนางได้ไม่นาน บุรุษตระกูลจางก็เดินเข้ามาทักทายหลิวเฟิงเหมียนด้วยท่าทางเป็นกันเองแตกต่างจากตอนสนทนากับชินอ๋องซื่อจื่อลิบลับ&
“จิบชาเสียหน่อยสิ” เสียงทุ้มของบุรุษผู้หนึ่งกล่าวขึ้นพลางทรุดตัวนั่งลงตรงเก้าอี้ข้างตัวนาง “ขอบคุณเจ้าค่ะ” นางรับชาจอกนั้นมาโดยไม่ทันสังเกตว่าเป็นผู้ใดยื่นให้ “เสียใจมากหรือไม่ที่คุณหนูเจิ้งจะหมั้นหมายกับองค์รัชทายาท” “ก็เสียใจอยู่บ้าง อ๊ะ! ชินอ๋องซื่อจื่อ” จางชิงหนี่ว์ที่กำลังจะเอ่ยตอบอีกฝ่ายรีบรั้งสติของตนกลับมา “เจ้ามีใจให้คุณหนูเจิ้งหรืออย่างไรเหตุใดถึงต้องเสียใจเช่นนั้น” แม้น้ำเสียงที่เขากล่าวออกมาจะอ่อนโยนแฝงความเอ็นดู แต่แท้จริงแล้วเพียงแค่คิดว่านางกับสตรีผู้นั้นเป็นหมัวจิ้งมีใจให้กัน ในอกเขาก็รู้สึกเหมือนกำลังถูกไฟโทสะสุมอยู่ “สหายจะต้องแต่งงานไปกับบุรุษที่อีกไม่
สายตาที่จ้องมองนางเต็มไปด้วยความพึงพอใจ ก่อนที่นางจะดึงสายตาตนกลับมาอย่างยอมแพ้ ทำอย่างไรได้นางใจไม่แข็งพอที่เล่นสบตากับบุรุษรูปงาม “ในเมื่อสหายเจ้ามาครบเช่นนี้ ข้าว่าถึงเวลาแล้วที่เราควรบอกกล่าวข่าวดีแก่พวกนาง” “ข่าวดี ข่าวอันใดหรือเข่อชิง” หวังเยว่ฉิงเอ่ยถามสหาย “ข้าไม่รู้ องค์รัชทายาทนี่พระองค์กล่าวอันใดออกมา หม่อมฉันไม่เล่นด้วยนะเพคะ” อย่าได้คิดกล่าวเรื่องไม่ดีต่อหน้าชิงหนี่ว์เด็ดขาด “เรื่องงานหมั้นที่จะเกิดในอีกเจ็ดวันข้างหน้าข้าจะเอามาล้อเล่นได้อย่างไร” “งานหมั้นหรือเจ้าคะ” สีหน้าของคุณหนูเจิ้งบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าตกใจกับเรื่องนี้ไม่น้อย
12ปิ่นไม้ดอกหมู่ตาน งานปักปิ่นของนางถูกจัดขึ้นที่จวนราชครูจางของท่านปู่และท่านลุงตามความต้องการของทั้งสอง แม้ตั้งใจเอาไว้ว่าจะจัดงานเล็กๆ เฉพาะญาติและสหายสนิทดั่งเช่นจวนเจิ้ง แต่พอถึงวันจริงกลับมีผู้คนมากมายที่หวังจะประจบเอาใจจวนราชครูที่บรรดาขุนนางรู้ดีว่าคนตระกูลนี้มีความสำคัญในพระทัยของฮ่องเต้ จึงไม่มีใครกล้ามองข้ามแม้จะไม่ได้รับเทียบเชิญแต่ทว่าหลายคนก็ยังยินดีมาร่วมงานไม่เว้นแม้แต่ชินอ๋องซื่อจื่อ และองค์รัชทายาทที่ติดสอยห้อยตามมากับสหายของนาง พิธีปักปิ่นผ่านไปอย่างเรียบร้อย ปิ่นหลายอันถูกปักอยู่บนผมนางซึ่งนางเข้าใจว่า บุรุษตระกูลจางที่รักและเอ็นดูนางทั้งสามคงตระเตรียมเอาไว้ให้นางคนละชิ้น หลังจากเสร็จสิ้นพิธีการแล้ว คุณหนูจางจึงไปผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ชุดใหม่พร้อมกับเลือกปิ่นปักผมขึ้นมาอันหนึ่งเ