“เหลือเวลาอีกครึ่งชั่วยามก่อนผู้ดูแลจะพาชายงามมาให้ข้าเลือกเพิ่ม คราวนี้ข้าขอเปลี่ยนท่านั่งพวกเจ้าใหม่” สตรีในคราบบุรุษกล่าวก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปใกล้ทั้งสามคน
จางชิงหนี่ว์จัดบุรุษคนหนึ่งให้นอนเอนหลังลงกับพื้น ส่วนบุรุษอีกคนคุกเข่านั่งคร่อมขาข้างหนึ่งของคนที่นอนอยู่ มือใหญ่ของคนที่อยู่ด้านบนวางลงตรงแผ่นอก ส่วนแขนอีกข้างยันพื้นเอาไว้
ชายอีกหนึ่งคนที่เหลือ นางให้นอนคว่ำแล้วซบใบหน้าลงตรงต้นขาที่ไม่มีอาภรณ์ปกปิด มือใหญ่ข้างหนึ่งเอื้อมไปวางลงบนหน้าท้อง
“อู่เจ๋อ ท่าทางเจ้ายังไม่ได้ มานี่ประเดี๋ยวข้าทำให้ดู” นางดันตัวเล็กน้อยเพื่อให้อีกฝ่ายหลบ
“เจ้าต้องทำเช่นนี้ อืม โน้มใบหน้าเข้าไปใกล้เช่นนี้ดีกว่า” นางขึ้นคร่อมขาข้างหนึ่งของชายงามที่นอนอยู่ก่อนจะใช้มือยันพื้นไว้ ส่วนมืออีกข้างที่ว่างแตะลงบนยอดอกบุรุษแล้วโน้มดวงหน้าหวานเข้าใกล้จนเหลือช่องว่างห่างเพียงหนึ่งฝ่ามือ
แกร๊ก เสียงเปิดประตูดังขึ้นก่อนที่ชายในอาภรณ์สีครามจะเดินเข้ามาภายในห้อง นัยน์ตาดำที่มองลอดหน้ากากหนังจับจ้องไปนอกห้องอยู่ตลอดราวกับกำลังหลบซ่อนตัวจากใครอยู่
หนึ่งสตรีสามชายงามต่างจ้องมองผู้บุกรุกเป็นตาเดียวและนิ่งค้างอยู่ในท่านั้น
แต่เมื่อบุรุษที่เข้ามาหันกลับมามอง ตาสบตาแม่นางน้อยยิ่งค้างแข็งอยู่ในท่าเดิม
‘เหตุใดเป็นชายผู้นี้อีกแล้ว’
“...” นัยน์ตาบุรุษแข็งกร้าวขึ้นมาฉับพลันก่อนที่เขาจะก้าวเดินเข้าไปหาทั้งสี่คน มือใหญ่รั้งตัวสตรีเพียงหนึ่งเดียวให้ถอยออกห่างจากบุรุษทั้งสามที่อาภรณ์หลุดลุ่ย เนื่องจากไม่ทันได้ตั้งตัวร่างบอบบางจึงเซถลาเข้าไปซบอกแกร่งอย่างไม่ได้ตั้งใจ
“ขออภัยท่านจอมยุทธ์ผู้แปลกหน้า” จางชิงหนี่ว์กล่าวพร้อมกับรีบถอยห่าง
“ช้าก่อน” เขาบอกแล้วใช้มือใหญ่รั้งเอวคอดให้เข้ามาใกล้ มืออีกข้างบีบคางนางเอาไว้ไม่ให้หันไปมา
“นี่ท่าน! ปล่อยข้านะเจ้าคะ” นางส่งเสียงอู้อี้
“พวกเจ้าสามคนสวมใส่อาภรณ์ให้เรียบร้อย”
“ขอรับ” เมื่อเห็นท่าทางเกรี้ยวกราดและสายตาที่เต็มไปด้วยโทสะ ชายงามทั้งสามคนจึงทราบได้ทันทีว่าบุรุษผู้นี้คงเป็นคนรักไม่ก็สามีของแม่นางน้อยผู้นี้
“รอก่อน พวกท่านค้างอยู่ในท่านั้นแหละ ข้ายังวาดภาพไม่เสร็จ”
“นี่เจ้า!” ดวงตาของเขาวาววับราวกับพ่นไฟออกมาได้
“ปล่อยข้าได้แล้วเจ้าค่ะ”
“...” เมื่อได้ยินว่าสตรีตรงหน้าเพียงมาวาดภาพในสถานที่แห่งนี้ เจ้าของร่างสูงจึงยอมปล่อยนางแต่โดยดี
“นี่ท่านโมโหเรื่องใดมาเจ้าคะ หรือฮูหยินของท่านหนีมาเที่ยวในหอชายงามแห่งนี้จึงได้เกรี้ยวกราดเช่นนี้” นางกล่าวพลางใช้มือลูบบริเวณแก้มที่ถูกบีบเมื่อครู่
“ช่างเปรียบเปรย แล้วเจ้ามาทำอันใดที่นี่ รู้หรือไม่ที่นี่ไม่เหมาะที่คุณหนูในห้องหออย่างเจ้าจะมาเที่ยวเล่นได้”
“ข้ามาวาดภาพไปขายเพื่อหาเงิน ไม่ได้มาเที่ยวเล่น หากไม่เพราะถูกท่านข่มขู่จนไม่กล้าไปลานฝึกยุทธ์ ข้าคงไม่มาที่นี่” นางกล่าวเสียงเบา
เหตุใดเมื่อครู่เขาถึงได้เกรี้ยวกราดถึงเพียงนี้ อย่าบอกนะว่าบุรุษผู้นี้หลงใหลข้าเข้าให้แล้ว แต่มันจะเป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อตั้งแต่ต้นจนจบที่ได้รู้จักกันไม่เคยมีเรื่องราวอันใดน่าประทับใจเลยสักนิด
“จวนเจ้าไม่ได้ขัดสนอันใด อีกทั้งจวนท่านปู่เจ้าก็ร่ำรวย แล้วเจ้าจะมาลำบากวาดภาพหาเงินด้วยเหตุอันใด”
รู้แม้กระทั่งเรื่องราวของคนรอบตัวนาง ฐานะของจวนจาง แต่เอาเถิดนางไม่สงสัยหรอกเพราะเรื่องราวเหล่านี้เพียงแค่เอ่ยถามชาวบ้านร้านตลาดก็ทราบแล้ว
“เงินทอง ความร่ำรวยของผู้อื่นจะเทียบเท่ากับเงินที่หามาด้วยตนเองได้อย่างไรเจ้าคะ”
“แต่การที่คุณหนูอย่างเจ้ามาวาดภาพบุรุษขายเพื่อหาเงินเช่นนี้มันก็ไม่เหมาะสม”
“ไม่เหมาะสมอย่างไรเจ้าคะ ในเมื่อข้าก็ใช้ฝีมือข้าทำงานเพื่อแลกเงินเช่นผู้อื่น”
“เอ่อ...ท่านทั้งสองขอรับ พวกข้าขอนั่งก่อนได้หรือไม่ขอรับ”
“อย่าเพิ่ง ข้าจะรีบวาดเดี๋ยวนี้” นางกล่าวก่อนจะเดินกลับไปนั่งวาดภาพดังเดิม
“เจ้า...” เขาเดินตามตั้งใจจะพูดคุยต่อ
“อย่าเพิ่งเอ่ยวาจารบกวนข้าเจ้าค่ะ” คุณหนูจางกล่าวก่อนจะลงมือวาดภาพต่อ
ใช้เวลาเพียงสองเค่อภาพชายงามทั้งสามคนก็ปรากฏอยู่ตรงหน้านาง
“พวกท่านรีบใส่อาภรณ์เถิดเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวจะเป็นหวัดเอาได้” นางเอ่ยพลางส่งยิ้มให้กับชายงามทั้งสามที่ช่วยให้งานของนางลุล่วงไปได้
“พวกท่านรีบใส่อาภรณ์เถิดเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวจะเป็นหวัดเอาได้” นางเอ่ยพลางส่งยิ้มให้กับชายงามทั้งสามที่ช่วยให้งานของนางลุล่วงไปได้ “...” บุรุษสวมหน้ากากตวัดสายตามองเช่นกัน ทำให้ทั้งสามคนได้แต่ก้มหน้า คุณชายผู้นี้หวงแหนฮูหยินยิ่งนัก... “พวกท่านจะนั่งดื่มกินก่อนก็ได้นะเจ้าคะ ประเดี๋ยวผู้ดูแลนำบุรุษมาให้ข้าเลือกเพิ่ม พวกท่านค่อยไปก็ได้” “นี่เจ้ายังจะเลือกบุรุษมาเพิ่มอีกหรือ” “ข้ายังวาดได้ไม่มาก จึงต้องหาคนเพิ่มอีกเจ้าค่ะ” “ที่นี่เป็นหอชายงา
“เลิกมองช้าเช่นนั้นเลยนะเจ้าคะ ข้าไม่ได้จะเสนอตัวเป็นฮูหยินให้ท่าน แต่ข้ามีสหายเป็นคุณหนูงดงามถึงสองนาง หากท่านสนใจข้าก็ไม่รังเกียจที่เป็นผู้เฒ่าจันทราช่วยผูกด้ายแดงให้” “...” “เงียบเช่นนี้ไม่สนใจสหายของข้าสินะเจ้าคะ” “อืม” “เช่นนั้นเป็นใครดีล่ะ อืม...คุณหนูสวี่ลู่ฟาง สาวงามอันดับหนึ่งก็ไม่ได้ เพราะนางเป็นคนรักของชินอ๋องซื่อจื่ออยู่” กล่าวอ้อมไปอ้อมมาตั้งนาน ได้เวลาเข้าเรื่องเสียที นัยน์ตาดำที่มองลอดผ่านหน้ากากหนังฉายแววกรุ่นโกรธ ทำให้นางยิ่งมั่นใจว่าบุรุษผู้นี้อาจจะเป็นตัวร้ายผู้นั้น แ
6ตัวซวยที่ไม่อยากเข้าใกล้ บนโต๊ะอาหารบุรุษตระกูลจางสามคนต่างคีบอาหารใส่ชามให้นางอย่างเอาใจจนชามข้าวนางพูนใกล้ล้น “ท่านปู่ ท่านลุงและพี่ใหญ่เจ้าขา พวกท่านกินบ้างเถิดเจ้าค่ะ อย่าเอาแต่คีบให้ข้าเลย” “เจ้าตัวเล็กยิ่งนัก ต้องกินให้มากหน่อย” อดีตราชครูของฮ่องเต้และชินอ๋องกล่าว “นั่นสิ เดือนหน้าก็จะปักปิ่นแล้ว ตัวยังเล็กกว่าคุณหนูวัยเดียวกันมากนัก เจ้าต้องกินให้มากๆ หน่อยนะหนี่ว์เอ๋อร์” ท่านลุงที่เป็นราชครูให้กับองค์รัชทายาทและชินอ๋องซื่อจื่อกล่าว “พูดถึงปักปิ่น เจ้าตอบรับเทียบเชิญงานปักปิ่นของคุณหนูเจิ้งแล้วใช่หรือไม่” “เรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ พี่ใหญ่จะไปกับข้าด้วยหรือไม่” “ชิงเทียนต้องไปอยู่แล้ว จะทิ้งเจ้าให้ไปร่วมงานจวนอื่นลำพังได้อย่างไร” เป็นท่านปู่จางจื้อกล่าวตอบ “ท่านปู่ ท่านลุงเจ้าขา ข้ามีเรื่องสงสัยอยากสอบถามพวกท่านสักนิด” “ถามแต่ท่านปู่กับท่านลุงแล้วพี่ล่ะ หรือเจ้าคิดว่าพี่มีความรู้ไม่มากพอ” จางชิงเทียนแสร้งเล่นบทโศกแย่งชิงความรักจากน้องสาว “มีสิเจ้าคะ แต่พี่ใหญ่มีง
“อืม พอได้ยินที่เจ้าเอ่ยในงานจิบชาชมดอกไม้ ข้าก็คิดได้ทันที เหตุใดข้าต้องพยายามมากมายถึงเพียงนั้นเพื่อบุรุษที่ไม่คิดจะไยดีความรู้สึกข้า” “เจ้าคิดได้ข้าก็ดีใจ กล่าวตามตรงข้าก็ได้ยินเรื่องที่องค์รัชทายาทพึงใจคุณหนูสวี่จนทำให้สตรีนางนั้นทะเลาะกับชินอ๋องซื่อจื่อ” “เรื่องที่บุรุษผู้นั้นไปกินข้าวและไปส่งสวี่ลู่ฟางถึงจวนเป็นเรื่องจริง แต่เรื่องที่ชินอ๋องซื่อจื่อเป็นคนรักของนาง ข้าก็ได้ยินผู้คนภายนอกเล่าลือ แต่ทว่าในวังหลวงกลับเงียบไม่มีท่าทีต่อเรื่องนี้ ราวกับว่ามันเป็นเพียงการปล่อยข่าวของใครคนหนึ่ง” ‘ข้าลืมไปได้อย่างไรว่าสหายผู้นี้เป็นถึงบุตรสาวของสหายสนิทของฮองเฮา’ ซึ่งได้รับความรักและความเอ็นดูอย่างล้นเหลือจึงทำให้สามารถเข้าออกวังได้อย่างตามใจตั้งแต่เด็ก แต่แล้
“ข้าเข้าใจแล้ว ข้าจะระวังให้ดี” หากบุรุษผู้นั้นเล่นตุกติกนางก็ไม่คิดไว้ไมตรีอีก อย่าได้คิดเอานางไปเป็นเครื่องมือเพื่อค้ำจุนบัลลังก์ บทสนทนาในวันนั้นก็จบเพียงเท่านี้ แต่นางไม่คิดเลยว่าบุรุษที่สหายบอกว่าไม่ได้เชิญกลับมานั่งโดดเด่นอยู่ในงานปักปิ่นทั้งยังพาตัวซวยอย่างชินอ๋องซื่อจื่อมาด้วย พี่ใหญ่ก็มาไม่ได้โดนฮ่องเต้เรียกตัวเข้าวังด่วน เพราะคิดว่าไม่น่าจะมีเรื่องอันตรายใดในจวนสหายนางจึงยืนยันที่จะมาคนเดียว ส่วนหวังเยว่ฉิง ก็ล้มป่วยกะทันหันจึงไม่สามารถมาร่วมงานได้ ในคราแรกนางจึงต้องนั่งเพียงลำพัง แต่โชคดีที่เปี่ยวเม่ย[1]ของสหายเข้ากับผู้อื่นง่ายนางจึงมีเพื่อนไม่เคว้งคว้างเท่าใดนัก “ขออภัยที่เปิ่นหวางมาร่วมงานโดยไม่ได้แจ้งล่วงหน้า” ‘ไม่ได้แจ้งหรือเขาไม่ได้อยากเชิญกันแน่
“หึ” โกหกทั้งเพ นางเกลียดเขาเพียงเพราะเขาเป็นชินอ๋องซื่อจื่อ “พระองค์จะเชื่อที่หม่อมฉันกล่าวหรือไม่ก็แล้วแต่ หม่อมฉันขอตัวเพคะ” นางจะลุกหนี แต่มือใหญ่ของเขาคว้าข้อมือของนางเอาไว้ก่อนจะดึงรั้ง “เจ้ายังไปไม่ได้” “ชินอ๋องซื่อจื่อ พระองค์จะเอาแต่ใจเช่นนี้ไม่ได้ พระองค์ไม่มีสิทธิ์มาห้ามหม่อมฉัน” ตัวซวยผู้นี้เหตุใดถึงได้หน้าหนาหน้าทน นางแสดงตัวว่าไม่อยากอยู่ใกล้มากถึงเพียงนี้ ก็ยังดื้อรั้น “หึ” กล่าวถึงสิทธิ์หรือ หากตอนนั้นนางไม่เอ่ยปฏิเสธคำของฮ่องเต้และบิดาเขาด้วยท่าทางไร้เดียงสา วันนี้เขาและนางก็คงได้กลายเป็นคู่หมั้น “ปล่อยหม่อมฉันนะเพคะ” ยิ่งนางพยายามแกะมือบุรุษผู้นี้เพียงใด มือน
7อดีตที่ค้างคาของชินอ๋องซื่อจื่อ ย้อนกลับไปเมื่อเก้าปีก่อนตอนนั้นเขาอายุเพียงสิบสองปี ส่วนนางเป็นเจ้าก้อนแป้งอายุห้าขวบปี เขาซึ่งเป็นศิษย์ของท่านราชครูจางเหว่ยสามารถเข้าออกจวนจางได้ราวกับจวนของตนเอง ส่วนหนึ่งก็เพราะชินอ๋องและท่านราชครูจางเป็นสหายกัน จึงย้ายออกจากวังแล้วมาปลูกเรือนอยู่ข้างๆ จวนจาง “พี่ชายท่านเป็นใครหรือเจ้าคะ” “ไปให้พ้น อย่ามายุ่งกับข้า” “รูปก็งามแต่เหตุใดปากถึงได้กล่าววาจาไม่น่าฟัง” สตรีตัวน้อยกล่าวพลางเอานิ้วชี้แตะคางตน ดวงตาที่จับจ้องเขาเต็มไปด้วยความสงสัย ท่าทางน่ารักน่
เนิ่นนานนับเค่อที่เด็กชายแปลกหน้าที่นางไม่รู้จักชื่อนั่งร้องไห้ จนนางเริ่มกลัวเขาจะปวดหัว จึงลุกยืนขึ้นแล้วเข้าไปรั้งศีรษะเขามาพิงตัวนางไว้ก่อนจะโอบกอด “ท่านแม่ของท่าน แท้จริงนางไม่ได้อยากจะทิ้งท่านไปเช่นนี้หรอก แต่เพราะนางเห็นท่านเติบใหญ่เป็นคนที่ดีและน่าภูมิใจ นางจึงหมดห่วง” “ฮือ...” “แม้ว่าตอนนี้นางจะไม่ได้โอบกอดท่านแล้ว แต่นางยังคงอยู่ตรงนี้” เด็กหญิงตัวน้อยชี้ไปที่อกของเขา “ภาพความทรงจำที่ดีงามระหว่างท่านและนางจะไม่มีใครมาลบล้างไปได้ ข้าเชื่อว่านางยังคงมองดูท่านจากที่ตรงโน้น แม้ท่านจะเสียใจแต่ข้าว่านางคงอยากเห็นท่านเติบโตเป็นบุรุษที่องอาจและเก่งกาจ” “ปล่อยข้า
แต่เอาเถิดเห็นแก่เป็นว่าที่พี่ชายพระชายาของตน เขาจึงออกแรงจัดการให้ตามที่อีกฝ่ายต้องการทั้งยังได้ระบายโทสะเจ้าสหายตัวดีที่มักจะเสนอหน้าเข้าใกล้สตรีของเขา ใบหน้าของคุณหนูเจิ้งบึ้งตึงเมื่อถูกบีบบังคับให้กลับจวนพร้อมกับบุรุษไร้ยางอาย ทั้งที่งานเลี้ยงปักปิ่นของสหายยังไม่ทันเสร็จสิ้น “นี่ท่านเลิกยุ่งกับข้าได้หรือไม่” นางเอ่ยขึ้นในขณะที่อยู่บนรถม้าด้วยกันตามลำพัง “ไม่ได้” “เพราะเหตุใด” ที่ผ่านมาแทบไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับนาง พอนางคิดจะปล่อยมือ บุรุษผู้นี้กลับพยายามรั้งและเปลี่ยนสถานะ “หากข้าจะกล่าว
“ข้าเพียงกล่าวกับนางไม่กี่คำ เจ้าไม่เห็นจะต้องทุบไหน้ำส้มเลย” คุณชายหลิวโน้มใบหน้าเข้าไปใกล้เพื่อกระซิบพูดคุยกับสหาย “ไสหัวเจ้าไปให้ไกลจากสตรีของข้า” “ข้าเป็นสหายของเจ้า ทักทายว่าที่ชายาของเจ้าสองสามประโยคทำเป็นหวงไปได้” สหายน่าตายของเขากล่าวก่อนจะถอยห่างแล้วหันไปส่งยิ้มให้นาง “เชิญคุณชายหลิวตามสบายนะเจ้าคะ หากขาดตกบกพร่องอันใดสามารถแจ้งข้าหรือพี่ใหญ่ได้เจ้าค่ะ ข้าต้องขอตัวก่อน” เมื่อเห็นสายตาของจางชิงเทียนที่มองมาทางนี้อยู่บ่อยครั้ง นางจึงคิดจะแยกตัวออกมาทันทีที่ได้โอกาส คล้อยหลังนางได้ไม่นาน บุรุษตระกูลจางก็เดินเข้ามาทักทายหลิวเฟิงเหมียนด้วยท่าทางเป็นกันเองแตกต่างจากตอนสนทนากับชินอ๋องซื่อจื่อลิบลับ&
“จิบชาเสียหน่อยสิ” เสียงทุ้มของบุรุษผู้หนึ่งกล่าวขึ้นพลางทรุดตัวนั่งลงตรงเก้าอี้ข้างตัวนาง “ขอบคุณเจ้าค่ะ” นางรับชาจอกนั้นมาโดยไม่ทันสังเกตว่าเป็นผู้ใดยื่นให้ “เสียใจมากหรือไม่ที่คุณหนูเจิ้งจะหมั้นหมายกับองค์รัชทายาท” “ก็เสียใจอยู่บ้าง อ๊ะ! ชินอ๋องซื่อจื่อ” จางชิงหนี่ว์ที่กำลังจะเอ่ยตอบอีกฝ่ายรีบรั้งสติของตนกลับมา “เจ้ามีใจให้คุณหนูเจิ้งหรืออย่างไรเหตุใดถึงต้องเสียใจเช่นนั้น” แม้น้ำเสียงที่เขากล่าวออกมาจะอ่อนโยนแฝงความเอ็นดู แต่แท้จริงแล้วเพียงแค่คิดว่านางกับสตรีผู้นั้นเป็นหมัวจิ้งมีใจให้กัน ในอกเขาก็รู้สึกเหมือนกำลังถูกไฟโทสะสุมอยู่ “สหายจะต้องแต่งงานไปกับบุรุษที่อีกไม่
สายตาที่จ้องมองนางเต็มไปด้วยความพึงพอใจ ก่อนที่นางจะดึงสายตาตนกลับมาอย่างยอมแพ้ ทำอย่างไรได้นางใจไม่แข็งพอที่เล่นสบตากับบุรุษรูปงาม “ในเมื่อสหายเจ้ามาครบเช่นนี้ ข้าว่าถึงเวลาแล้วที่เราควรบอกกล่าวข่าวดีแก่พวกนาง” “ข่าวดี ข่าวอันใดหรือเข่อชิง” หวังเยว่ฉิงเอ่ยถามสหาย “ข้าไม่รู้ องค์รัชทายาทนี่พระองค์กล่าวอันใดออกมา หม่อมฉันไม่เล่นด้วยนะเพคะ” อย่าได้คิดกล่าวเรื่องไม่ดีต่อหน้าชิงหนี่ว์เด็ดขาด “เรื่องงานหมั้นที่จะเกิดในอีกเจ็ดวันข้างหน้าข้าจะเอามาล้อเล่นได้อย่างไร” “งานหมั้นหรือเจ้าคะ” สีหน้าของคุณหนูเจิ้งบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าตกใจกับเรื่องนี้ไม่น้อย
12ปิ่นไม้ดอกหมู่ตาน งานปักปิ่นของนางถูกจัดขึ้นที่จวนราชครูจางของท่านปู่และท่านลุงตามความต้องการของทั้งสอง แม้ตั้งใจเอาไว้ว่าจะจัดงานเล็กๆ เฉพาะญาติและสหายสนิทดั่งเช่นจวนเจิ้ง แต่พอถึงวันจริงกลับมีผู้คนมากมายที่หวังจะประจบเอาใจจวนราชครูที่บรรดาขุนนางรู้ดีว่าคนตระกูลนี้มีความสำคัญในพระทัยของฮ่องเต้ จึงไม่มีใครกล้ามองข้ามแม้จะไม่ได้รับเทียบเชิญแต่ทว่าหลายคนก็ยังยินดีมาร่วมงานไม่เว้นแม้แต่ชินอ๋องซื่อจื่อ และองค์รัชทายาทที่ติดสอยห้อยตามมากับสหายของนาง พิธีปักปิ่นผ่านไปอย่างเรียบร้อย ปิ่นหลายอันถูกปักอยู่บนผมนางซึ่งนางเข้าใจว่า บุรุษตระกูลจางที่รักและเอ็นดูนางทั้งสามคงตระเตรียมเอาไว้ให้นางคนละชิ้น หลังจากเสร็จสิ้นพิธีการแล้ว คุณหนูจางจึงไปผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ชุดใหม่พร้อมกับเลือกปิ่นปักผมขึ้นมาอันหนึ่งเ
“ดูเหมือนจะมีคนเป็นเดือดเป็นร้อนเพราะข่าวลือเช่นเดียวกับข้า” “ที่ผ่านมาข้าไม่สนใจเพราะข้าไม่ไยดีคู่หมายของตน แต่ตอนนี้มันไม่ได้เป็นเช่นนั้นแล้ว ข้าจึงอยากจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยนางจะได้ไม่เข้าใจข้าผิดอีก” “องค์รัชทายาทเช่นท่านก็มีวันที่เป็นเช่นนี้” “อื้อๆ อื้อๆ” เมื่อได้ยินว่าชายตรงหน้าคือบุรุษสูงศักดิ์ในข่าวลือที่ตนกล่าวถึงหลายครั้ง หญิงวัยกลางคนจึงดิ้นรนเพื่อคาดหวังให้อีกฝ่ายมีใจเมตตาช่วยเหลือ แต่ก็ไม่อาจเอื้อนเอ่ยหรือขยับตัวได้เพราะถูกตรึงให้อยู่นิ่งด้วยฝีมือของบุรุษชุดดำ “ครานี้คงไม่ใช่มีแต่ข้าที่เดือดร้อนเรื่องข่าวลือกระมัง มิเช่นนั้นข้าจะมาเจอชินอ๋องซื่อจื่ออย่างเจ้าที่นี่หรือ”&
“ในเมื่อท่านมองสตรีทะลุปรุโปร่งเช่นนี้ ข้าก็คงไม่มีอันใดจะกล่าว แต่หากอยากให้ข้าเป็นผู้เฒ่าจันทราช่วยสานวาสนาผูกด้ายแดงให้ท่านกับคุณหนูสวี่ ให้รีบบอก ข้ายินดีที่จะให้การช่วยเหลือท่านเต็มที่” “ดูเหมือนเจ้าสนับสนุนคุณหนูสวี่ให้ข้ามากจนเกินงาม เจ้าได้ค่าจ้างจากนางหรือ” “ไม่เจ้าค่ะ ข้าแค่เห็นว่านางเป็นสตรีอันดับหนึ่งเอ่อ...เป็นที่หมายปองของบุรุษทั่วทั้งเมืองหลวง ข้าจึงอยากให้ท่านได้สตรีที่ดีงามเช่นนั้นมาเป็นฮูหยิน” “เจ้าเอาแต่สนับสนุนข้า แล้วเรื่องเจ้ากับชินอ๋องเล่า อยากให้ข้าช่วยผูกด้ายแดงให้หรือไม่” “ไม่ดีกว่าเจ้าค่ะ ข้าไม่ได้พึงใจบุรุษผู้นั้น” “เพราะเหตุใด ข้าได้ยินมาว่าชินอ๋อง
สาเหตุที่จางชิงเทียนยังไม่ยอมรับการจับคู่ของฮ่องเต้ก็เพราะน้องสาว เขาเป็นห่วงกลัวว่าฮูหยินของตนจะมารังแกน้องสาว “เอาล่ะ ประเดี๋ยวพี่ต้องเข้าวังแล้ว ใกล้ปักปิ่นแล้วช่วงนี้เจ้าก็หยุดออกไปเที่ยวเล่นนอกจวนก่อน” “เจ้าค่ะ” เรื่องจัดงานประชันบุรุษรูปงามเอาไว้ค่อยทำเมื่อผ่านพ้นงานปักปิ่นไปก่อนก็แล้วกัน “พี่ไปล่ะ” “เจ้าค่ะ” จางชิงหนี่ว์ลุกขึ้นเพื่อเดินไปส่งพี่ชายที่หน้าประตูจวน เมื่อพี่ชายเข้าวังไปแล้วคุณหนูจางก็หงอยเหงาในทันที นางเลือกไปนั่งเล่นที่ลำธารในสวน ซึ่งสร้างเลียนแบบขึ้นมาตามความชอบของนาง “คนที่ชอ
11จุดจบของข่าวลือที่น่ารังเกียจ ราวกับถูกฟ้าผ่าตั้งแต่เช้าเมื่อรับมื้อเช้ากับพี่ใหญ่เสร็จแล้วนางก็ถูกเรียกให้ไปสนทนาที่ห้องโถง ใบหน้าคมเข้มของพี่ชายฉายแววเคร่งเครียดจนนางไม่กล้าสบตา “เมื่อวานชินอ๋องซื่อจื่อมาส่งเจ้าที่จวนใช่หรือไม่” “คือ...” นางมองซ้ายทีขวาทีอย่างร้อนรน “อย่าได้คิดโกหกพี่ ตอบมาตามความจริง” เบื่อคนรู้ทัน “จริงเจ้าค่ะ แต่มันมีเหตุนะเจ้าคะ” “เหตุอันใด จงกล่าวมา” “คือหลังจากข้าไปเยี่ยมเยว่ฉ