7
อดีตที่ค้างคาของชินอ๋องซื่อจื่อ
ย้อนกลับไปเมื่อเก้าปีก่อนตอนนั้นเขาอายุเพียงสิบสองปี ส่วนนางเป็นเจ้าก้อนแป้งอายุห้าขวบปี เขาซึ่งเป็นศิษย์ของท่านราชครูจางเหว่ยสามารถเข้าออกจวนจางได้ราวกับจวนของตนเอง ส่วนหนึ่งก็เพราะชินอ๋องและท่านราชครูจางเป็นสหายกัน จึงย้ายออกจากวังแล้วมาปลูกเรือนอยู่ข้างๆ จวนจาง
“พี่ชายท่านเป็นใครหรือเจ้าคะ”
“ไปให้พ้น อย่ามายุ่งกับข้า”
“รูปก็งามแต่เหตุใดปากถึงได้กล่าววาจาไม่น่าฟัง” สตรีตัวน้อยกล่าวพลางเอานิ้วชี้แตะคางตน ดวงตาที่จับจ้องเขาเต็มไปด้วยความสงสัย
ท่าทางน่ารักน่าเอ็นดูนั่นทำให้เขาอ่อนลงและยอมพูดคุยกับนาง นั่นคือจุดเริ่มต้นที่เราสองคนได้พบกัน เขาสนทนาและมาเล่นเป็นเพื่อนเด็กน้อยอยู่หลายครั้งโดยที่ไม่รู้จักกันแม้แต่ชื่อแซ่
เนิ่นนานเกือบเจ็ดวันกว่าเขาจะทราบว่าแท้จริงเจ้าก้อนแป้งน่าเอ็นดู คือสตรีที่บุรุษตระกูลจางทุกคนหวงแหนดุจแก้วตาดวงใจ และวันนั้นมันก็มาพร้อมกับความสงสัยที่ทำให้เขาคาใจมาจนถึงทุกวันนี้
“แฮ่กๆ เหนื่อยชะมัด เมื่อใดขาข้าจะยาวเช่นผู้อื่น” เสียงของเด็กน้อยผู้หนึ่งดังขึ้น
“ฮึก...ฮึก” เขาพยายามกลั้นสะอื้นเพราะไม่อยากแสดงให้เด็กน้อยวัยห้าขวบได้เห็นด้านที่อ่อนแอ
“นั่นเสียงผี หรือไม่”
“ผะ ผีบุรุษ” สตรีตัวน้อยร้องออกมาเสียงตะกุกตะกัก ใจหล่นไปอยู่ตาตุ่ม อยากวิ่งหนีใจแทบขาด แต่สองเท้าไม่ยอมขยับ
“ข้าไม่ใช่ผี เจ้าจำพี่ชายผู้นี้ไม่ได้แล้วหรือ” เด็กชายวัยสิบสองกล่าวหลังจากเช็ดคราบน้ำตาบนหน้าเรียบร้อยแล้ว
“ท่านเพิ่งตายใหม่สินะ คงยังไม่รู้ตัว ไว้ข้าจะทำบุญทำทานไปให้ ท่านอย่าได้มาหลอกมาหลอนข้าเลย” เด็กน้อยใช้สองมือปิดตาด้วยความกลัว ร่างเล็กสั่นเทา ไม่มีสติมากพอจะรับรู้ในสิ่งที่เขากล่าว
“เจ้าเด็กโง่เง่า ข้าคือพี่ชายรูปงามของเจ้า ไม่ได้เจอกันสองวัน เจ้าลืมข้าแล้วหรือ” เขากล่าวพลางดึงมือนางที่ยกขึ้นมาปิดตาออก
“พี่ชาย ท่านอย่าได้หลอกข้าเช่นนี้สิเจ้าคะ ข้ากลัว” นางกล่าวพลางโผเข้าไปกอดบุรุษตรงหน้า
ก็มารยาไปเช่นนั้นแหละจะได้ดูเป็นเด็กน่าเอ็นดู แท้จริงนางจะกลัวไปทำไมผี ในเมื่อตนเองก็ตายเป็นผีก่อนจะมาเกิดเป็นจางชิงหนี่ว์
ที่พิเศษกว่าผู้อื่นหน่อยก็คือนางจำเรื่องราวในชาติก่อนของตนได้จึงรู้ดีว่าที่แห่งนี้เป็นเพียงนิยายเรื่องหนึ่งที่ตนเคยอ่าน
“...” เขายืนนิ่งไม่ขยับ
“แล้วท่านเป็นอันใด เหตุใดถึงได้มานั่งร้องไห้คนเดียวที่นี่เจ้าคะ” นางเอ่ยถามด้วยท่าทางไร้เดียงสา ดวงตาที่จับจ้องเขาฉายแววสงสัยใคร่รู้
“ข้าไม่ได้ร้องไห้ เจ้าได้ยินผิดแล้ว ข้าเพียงแค่กำลังเสียใจ”
“พี่ชายท่านเสียใจเรื่องอันใดเจ้าคะ ท่านสามารถกล่าวกับข้าได้”
“มารดาข้าตายแล้ว”
อ๋อ...เข้าใจแล้วมารดาจากลา บุตรชายถึงได้มานั่งร้องไห้เงียบๆ อยู่ในที่ลับตาคน เด็กชายผู้นี้คงมาจากตระกูลใหญ่สินะ บุรุษยุคนี้มักจะถูกสั่งสอนไม่ให้ร้องไห้ แต่ก็นะไม่ว่าจะบุรุษหรือสตรี เมื่อเสียใจก็ควรจะหลั่งน้ำตาบ้าง จะได้ปลดปล่อยความโศกเศร้าที่อยู่ภายในจิตใจ
“แม่ท่านหรือเจ้าคะ ข้าเสียใจด้วย”
“อืม”
“เช่นนั้นหากท่านอยากร้องไห้ก็ร้องเถิดเจ้าค่ะ ข้าจะอยู่เป็นเพื่อนท่านเอง”
“ข้าบอกแล้วอย่างไร ว่าข้าไม่ได้ร้องไห้ เป็นบุรุษห้ามหลั่งน้ำตาง่ายๆ ไม่ใช่หรือ”
ยังไม่ยอมรับอีกทั้งๆ ที่น้ำตาแทบจะไหลรินออกมาจากดวงตาแล้ว
“ท่านอย่าไปฟังพวกคนตัวโตกล่าวให้มาก หากดีใจก็หัวเราะออกมา หากเสียใจก็ร้องไห้ แต่ท่านต้องร้องไห้แค่ตอนอยู่กับข้าเท่านั้นนะเจ้าคะ”
“เพราะเหตุใด” คนตัวโตที่นางกล่าวคงหมายถึงพวกผู้ใหญ่
“เพราะข้าจะเก็บเรื่องนี้เป็นความลับให้ ไม่บอกใคร เมื่อเราเสียใจหากไม่ร้องไห้ออกมาน้ำตาจะท่วมอยู่ด้านในจนโศกเศร้าทำอันใดก็ไม่ได้นะเจ้าคะ และข้าก็คิดว่าท่านแม่ของท่านคงไม่อยากให้ท่านเก็บความโศกเศร้านี้ไว้กับตัวหรอกเจ้าค่ะ ดังนั้นท่านต้องปลดปล่อยมันออกมาทางน้ำตา”
“เป็นเช่นนั้นหรือ” กล่าวจบน้ำตาของเด็กชายวัยสิบสองก็เริ่มไหลรินอีกครั้ง
“เจ้าค่ะ ร้องออกมาเถิดเจ้าค่ะ ข้าจะไม่ล้อท่าน” แม่ตายทั้งคน ใครบ้างไม่อยากร้องไห้
“ฮึก เจ้าจะไม่บอกใครจริงๆ นะ”
“อืม ข้าสัญญา” สตรีตัวน้อยกล่าวและชูนิ้วก้อยให้ ก่อนจะจับมือเขามาแล้วใช้นิ้วก้อยของเขามาเกี่ยวกับของนาง
“ขอบคุณ” กล่าวจบเขาก็ร้องไห้ออกมาด้วยความโศกเศร้าเสียใจ
เนิ่นนานนับเค่อที่เด็กชายแปลกหน้าที่นางไม่รู้จักชื่อนั่งร้องไห้ จนนางเริ่มกลัวเขาจะปวดหัว จึงลุกยืนขึ้นแล้วเข้าไปรั้งศีรษะเขามาพิงตัวนางไว้ก่อนจะโอบกอด
เนิ่นนานนับเค่อที่เด็กชายแปลกหน้าที่นางไม่รู้จักชื่อนั่งร้องไห้ จนนางเริ่มกลัวเขาจะปวดหัว จึงลุกยืนขึ้นแล้วเข้าไปรั้งศีรษะเขามาพิงตัวนางไว้ก่อนจะโอบกอด “ท่านแม่ของท่าน แท้จริงนางไม่ได้อยากจะทิ้งท่านไปเช่นนี้หรอก แต่เพราะนางเห็นท่านเติบใหญ่เป็นคนที่ดีและน่าภูมิใจ นางจึงหมดห่วง” “ฮือ...” “แม้ว่าตอนนี้นางจะไม่ได้โอบกอดท่านแล้ว แต่นางยังคงอยู่ตรงนี้” เด็กหญิงตัวน้อยชี้ไปที่อกของเขา “ภาพความทรงจำที่ดีงามระหว่างท่านและนางจะไม่มีใครมาลบล้างไปได้ ข้าเชื่อว่านางยังคงมองดูท่านจากที่ตรงโน้น แม้ท่านจะเสียใจแต่ข้าว่านางคงอยากเห็นท่านเติบโตเป็นบุรุษที่องอาจและเก่งกาจ” “ปล่อยข้า
เรื่องราวเกี่ยวกับนางจึงค่อยๆ เลือนหายไปจากความทรงจำของเขาจนกระทั่งได้เจอกันอีกครั้งในวันนั้น... ด้านองค์รัชทายาทที่สวมรอยเดินตามสาวใช้คนสนิทของคุณหนูเจิ้งแทน กว่าเสี่ยวยาจะรู้ตัวก็พาบุรุษที่คุณหนูไม่อยากพบเจอมาหาถึงหน้าเรือนนอน “องค์...” สาวใช้ยังกล่าวไม่ทันจบก็ถูกปิดปากด้วยมือของบุรุษผู้หนึ่งก่อนที่ผู้สูงศักดิ์จะพยักหน้าส่งสัญญาณให้คนของตนพาตัวออกไป ก๊อก ก๊อก เสียงเคาะประตูจากผู้ที่ยืนอยู่หน้าห้อง ทำให้เจิ้งเข่อชิงรีบสาวเท้าก้าวมาที่ประตูก่อนจะเปิดออกด้วยสีหน้ายินดี รอยยิ้มของนางค้างแข็งไปชั่วขณะเมื่อเห็นว่าคนที่อยู่หน้าห้องหาใช่สตรีที่ตนรอคอย ดวงหน้าหวานแปรเปลี่ยนเป็นบึ้งตึงไร้รอยยิ้ม
“เรื่องถอนหมั้น...” เจิ้งเข่อชิงกำลังจะกล่าวถึงเรื่องราวที่เขามีสตรีที่พึงใจ แต่เขากลับเอ่ยแทรกขึ้นอย่างเสียมารยาท “ก่อนที่จะกล่าวเรื่องนั้น ขอให้ข้าได้อธิบายเรื่องที่ชาวบ้านพวกนั้นเล่าลือก่อนได้หรือไม่” “เจ้าค่ะ” นางตอบรับพลางรอดูว่าบุรุษผู้นี้จะปั้นเรื่องอันใดขึ้นมาหลอกนางอีก “แท้จริงเรื่องราวไม่มีอันใดเลย วันนั้นข้าแค่ออกไปหาอาหารเลิศรสกินที่โรงเตี๊ยมเหอหยวนกับหลิวเฟิงเหมียน แต่บังเอิญไปเจอน้องสาวของเขาและสหายที่ชื่อสวี่ลู่ฟาง จึงได้ร่วมโต๊ะ ก่อนกลับคุณหนูเมิ่งร่ำร้องให้พี่ชายพาไปซื้อเครื่องประดับ แต่สหายของนางต้องรีบกลับจวน นางจึงขอร้องให้ข้าไปส่งสตรีผู้นั้นที่จวนสวี่ เรื่องราวมีเพียงแค่นี้” เขาก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าเหตุใดชาวบ้านถึงได้เล่าลือไปไกลถึงเพียงนั้น&nbs
8บุรุษเอาแต่ใจ จางชิงหนี่ว์ขยับตัวเล็กน้อยอย่างรู้สึกอึดอัด เมื่อบุรุษที่นั่งอยู่ข้างๆ เท้าคางจ้องมองนางด้วยแววตายากจะคาดเดา “ชินอ๋อง เอ่อ...พี่อันฉีเจ้าคะ ข้าว่าท่านควรปล่อยข้อมือข้าได้แล้ว” จับธรรมดาสามัญนางคงไม่ว่าอันใด หากแต่เขาขยับนิ้วราวกับกำลังลูบไล้ข้อมือนาง ‘บุรุษผู้นี้แท้จริงเป็นคนวิปริตผิดแผก ชอบกินเต้าหู้สตรีหรือนี่’ นางควรจะสงสารสวี่ลู่ฟางดีหรือไม่ “ขออภัยพี่ลืม” เขากล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉยก่อนจะยอมปล่อยข้อมือนางแต่โดยดี หลังจากสัมผัสผิวนุ่มเนียนของนางจนพอใจ ข้อมือยังนุ่มน่าลูบไล้เช่นนี้ แล้วแก้มพองๆ นั่นจะน่าบีบน่าจุมพิตสักเพียงใด “ข้าคงต้องขอตัวกลับจวนแล้วเจ้าค่ะ หากท่านอยากนั่งรอองค์รัชทายาทต่อก็เชิญตามสบายนะเจ้าคะ” “...” เมื่อเห็นตัวซวยที่ตนไม่อยากอยู่ใกล้ นิ่งเงียบ นางจึงลุกขึ้นแล้วเดินกลับไปที่โถงงานเลี้ยงเพื่อบอกลาเจ้าของจวน มางานเลี้ยงจวนเขาอย่างไรก็ควรจะมีมารยาทจะไปจะมาต้องบอกกล่าวไม่ให้เสียชื่อวงศ์ตระกูล ไม่รู้ว่าเจิ้งเข่อชิงจะเป็นอย่างไรบ้าง องค์รัชทายาทผ
“นี่ท่าน ลอบเข้าจวนข้าอีกแล้วนะเจ้าคะ” ตั้งแต่เขาให้ความร่วมมือรีบพานางกลับจวน นางรู้สึกได้ว่าแท้จริงเขาไม่ได้น่ากลัวดังเช่นที่เจอกันในวันแรก พรึ่บ บุรุษในอาภรณ์สีดำกระโดดลงจากต้นไม้ สองเท้าแตะพื้นอย่างสวยงาม “วันนี้เจ้าแต่งตัวงดงามถึงเพียงนี้ ไปเที่ยวเล่นที่ใดมา” “ข้าไปงานปักปิ่นของสหายมาเจ้าค่ะ” “สหายเจ้าก็ปักปิ่นแล้ว เจ้าเล่าเมื่อใดจะปักปิ่น” “อีกไม่นานเจ้าค่ะ” “ข้ามาร่วมงานได้หรือไม่” “ขออภัยที่ข้าต้องปฏิเสธ” หากเขามา นางจะให้คำอธิบาย
‘ข้าจะรอดู’ คนที่คิดเข้าข้างตนเองไปไกลกล่าวพลางซ่อนรอยยิ้มไว้ในสีหน้าอย่างแนบเนียน “เรื่องที่เจ้าต้องการปรึกษาข้ามีเพียงเรื่องเกี้ยวบุรุษ?” “มีอีกหนึ่งเรื่องเจ้าค่ะ” “กล่าวมา...” “หากวันหนึ่งท่านพึงใจสตรีผู้หนึ่งเข้า แล้วข้าไปทำให้คนรักของท่านไม่ถูกใจ ท่านจะสังหารข้าตามที่นางต้องการหรือไม่” “เหตุใดข้าต้องสังหารเจ้าเพื่อนางด้วย” มันคือคำถามอันใดกัน เขาไม่เข้าใจ “ตอบข้ามาสิเจ้าคะ ว่าท่านจะสังหารข้า ตามคำขอของสตรีที่ท่านรักหรือไม่”&n
“มาจากเขา แต่ข้าให้ท่านพ่อส่งคืนไปแล้ว เหตุใดมันถึงมาอยู่บนหัวข้า” เจิ้งเข่อชิงครุ่นคิดก่อนที่นัยน์ตาหงส์จะเบิกกว้างอีกครั้ง ต้องเป็นตอนนั้นแน่ๆ ที่เขาช่วยประคองไม่ให้นางตกจากเก้าอี้ตอนนั้นนางรู้สึกตึงๆ บนหัว แต่ก็ไม่ได้คิดอันใดเพราะคิดว่าปิ่นที่ปักอยู่หลายอันอาจจะไปชนโดนเขา ‘น่าชังนักโจวเฟยหลง’ นางปฏิเสธอย่างชัดเจนก็ยังดื้อดึงที่จะมอบให้ “เช่นนั้นเราจะทำอย่างไรดีเจ้าคะ” “เก็บไว้ในหีบ หากถึงเวลาข้าจะส่งคืนเขาด้วยตนเอง” หากหมดพันธะต่อกันนางจะรีบส่งคืนให้เร็วที่สุด ไม่กี่วันต่อมาคุณหนูเจิ้งก็มาเยือนจวนจางเพื่อชักชวนให้นางไปเยี่ยมหวังเยว่ฉิงท
9สตรีชาเขียว “ช่างเสียมารยาทจริงๆ ที่เข้าห้องผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต” คุณหนูเจิ้งกล่าวตำหนิแต่ก็ยังไม่ยอมผละออกห่างจากนาง “เข่อชิง เจ้าคิดว่าตนกำลังทำอันใดอยู่” คำกล่าวของบุรุษสูงศักดิ์ทำให้นางรู้สึกงุนงงแล้ว มาโรงเตี๊ยมที่มีอาหารเลิศรส หากไม่มากินข้าวจะให้มาทำอันใดอีก เอ่อ...ข้าลืมไปองค์รัชทายาทผู้นี้นอกจากเรื่องการบริหารบ้านเมืองแล้ว เรื่องอื่นเขาไม่ฉลาดเอาเสียเลย มิเช่นนั้นคงไม่ถูกสตรีดอกบัวขาวล่อลวงเอาไปเป็นทาสรักหรอก “องค์รัชทายาท พระองค์ได้โปรดกลับห้องของพระองค์ไปเถิดเพคะ อย่าได้มายุ่งเกี่ยวกับหม่อมฉันและสหาย” นอกจากจะเอ่ยวาจาแล้ว สหายของนางยังส่งสายตาตำหนิคู่หมาย
แม้จะรู้ว่าความรู้สึกที่แท้จริงของตนเป็นเช่นไร นางก็คิดจะเก็บงำเอาไว้ เพราะคิดว่าคนที่นางพึงใจนั้นไม่มีค่ามากพอที่จะเอาความสุขทั้งชีวิตไปแลกมา นางไม่อยากกลายเป็นสตรีร้ายกาจต้องการเศษเสี้ยวความเมตตาจากเขาที่เพียงแค่เขาปรายตาหันมามองก็หัวใจเต้นระรัวไปหลายวัน “เข่อชิง เจ้าไม่รักข้าแล้วก็ไม่เป็นไร ขอแค่อย่าปิดกั้นข้าจะได้หรือไม่ ให้ข้าได้พิสูจน์ตนเองได้หรือไม่” สีหน้าอ้อนวอนของเขาทำให้นางใจเต้นระรัว “ท่านทำถึงเช่นนี้เพื่ออันใด มันไม่ดีต่อตัวท่านเองเลยแม้แต่น้อย” “เพราะข้ารักเจ้า รักมากกว่าทุกสิ่ง ข้ายินยอมที่จะแลกทุกสิ่งเพื่อมีเจ้าเคียงข้าง เรื่องราวในกาลก่อนที่ข้าเคยทำร้ายจิตใจเจ้า เคยทำให้เจ้าลำบากทั้งที่ตั้งใจก็ดี ไม่ตั้งใจก็ดี ข้าขอโทษ ให้โอกาสข้าได้หรือไม่” กล่าวจบบุรุษสูงศักดิ์ก็คุกเข่าลงกับพื้น ยอมละทิ้งซึ่งศักด
“นี่คิดจะโกงตั้งแต่อาหญิงเจ้ายังไม่ได้เริ่มจัดงานเลยหรือ” “องครักษ์ของข้าก็หน้าตาดีไม่น้อย อย่างไรท่านก็ได้กำไร” “กล่าวเช่นนี้เจ้ารู้รายละเอียดของการประกวดหรือไม่” หลานชายนางคงยังไม่ทราบว่าการประชันบุรุษรูปงามที่คุณหนูจางกล่าวถึงคือการให้บุรุษที่เข้าร่วมประชันถอดอาภรณ์ด้านบน หรือเรียกง่ายๆ ว่าเปลือยอก “รู้แล้วอย่างไร ไม่รู้แล้วอย่างไร” องครักษ์มีหน้าที่ต้องทำตามคำสั่งของเขา มิอาจขัดขืนได้ “เช่นนั้นก็ตามใจเจ้า บุรุษที่เข้าร่วมแข่งขัน ขอที่รูปงามหน่อยก็แล้วกัน” “ได้ขอรับ ท่านอาหญิงดูดีใจมากนะขอรับที่จะได้เป็นป้าสะใภ้ของนาง” 
“คือข้ากลับไปคิดดูว่าหากเถ้าแก่หอชายงามไม่ยินยอมให้เรานำชายงามเหล่านั้นมาประชันแข่งขัน ข้าจึงคิดว่าหรือเราจะมองหาบัณฑิตรูปงามแต่ทว่ายากจนมาแข่งขันแทน หากใครได้อันดับหนึ่งเราก็ตอบแทนด้วยการมอบตำลึงให้จำนวนหนึ่งพร้อมกับภาพวาดของปรมาจารย์ลู่ซือ ที่ชื่อความดีใจ” “ภาพวาดปรมาจารย์ลู่ซือหรือ ความดีใจวาดเสร็จแล้วหรือ” “แท้จริงเสร็จนานแล้วเจ้าค่ะ เพียงแต่ภาพความอาวรณ์เพิ่งปล่อยขายไปเมื่อสองปีก่อน ข้าจึงอยากให้ทิ้งระยะห่างสักนิด” “แต่ภาพวาดของปรมาจารย์ลู่ซือนั้น พี่ว่ามันสูงค่าเกินกว่าจะนำมามอบให้เป็นรางวัลของผู้ชนะ” “พวกบัณฑิตนั้นถือศักดิ์ศรีเป็นสำคัญหากรางวัลของผู้ชนะไม่สูงค่าพอ เกรงว่าจะไม่มีใครยอมเข้าแข่งขัน”&n
“ดีขึ้นหรือไม่เจ้าคะ มองเห็นข้าชัดหรือไม่” สตรีที่มีใบหน้าเต็มไปด้วยฝุ่นผงถ่านดูมอมแมม โบกมือไปมาตรงหน้าพลางจับจ้องเขาด้วยแววตาห่วงใย “...” “แย่แล้ว หรือเขาจะมองไม่เห็นข้าจึงไม่ตอบอันใด ไม่ได้การแล้วต้องรีบตามหมอ” จางชิงหนี่ว์เริ่มร้อนรนเมื่อเห็นการตอบสนองของอีกฝ่ายไม่ค่อยน่าไว้ใจ “ช้าก่อน ข้ามองเห็นเจ้าแล้ว” “เห็นแล้วเหตุใดไม่ตอบข้า ทำเอาข้าใจคอไม่ดี” “ข้านึกว่าเสี่ยวมาวตกโคลน จึงตกใจชั่วครู่” “หน้าข้าเป
14 เงื่อนไขการเป็นพระชายา ช่างเป็นโชคดีของนางจริงๆ พี่ใหญ่ได้รับราชโองการให้เป็นตัวแทนฮ่องเต้ กำกับดูแลกรมพิธีการที่เป็นผู้จัดพิธีหมั้นหมายขององค์รัชทายาท รวมทั้งเตรียมงานอภิเษกสมรสที่จะเกิดขึ้นในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า จางชิงเทียนจึงต้องออกจากจวนตั้งแต่เช้าตรู่และกลับจวนกลางดึก นางจึงรอดพ้นจา
บุรุษในอาภรณ์สีดำลายพยัคฆ์ปักทองอุ้มนางมาที่รถม้าที่มีตราสัญลักษณ์จวนชินอ๋อง เขาวางนางลงก่อนจะทรุดตัวนั่งใกล้มากจนแนบชิด “พี่อันฉีเจ้าขา รถม้าจวนอ๋องกว้างไม่น้อย อย่างไรท่านขยับออกไปหน่อยได้หรือไม่” ที่ก็ตั้งกว้างจะมานั่งเบียดนางด้วยเหตุใด “เจ้าช่างดื้อรั้น พี่บอกแล้วไม่ใช่หรือว่าอย่ายัดเยียดพี่ให้สตรีอื่น” “ข้าไม่ได้ทำเช่นนั้นนะเจ้าคะ ข้ารีบกลับจวนจริงๆ” “ข้าไม่ได้ทำเช่นนั้นนะเจ้าคะ ข้ารีบกลับจวนจริงๆ” “ได้ยินมาว่าเจ้าชอบกินขนมกุ้ยฮวาหรือ” “เจ้าค่ะ” เขาคงเคยได้ยินที่นางกล่าวกับสหายในงา
ไม่ๆ อย่าให้ความอยากรู้อยากเห็นอยู่เหนือสิ่งใด เมื่อคิดได้เช่นนั้นคุณหนูจางจึงเดินไปทางที่ทั้งสองคนกำลังยืนอยู่ ดวงหน้าหวานก้มลงเล็กน้อยเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายสังเกตเห็น โชคดีอีกอย่างคือตอนนี้นางยังปกปิดใบหน้าครึ่งล่างด้วยผ้าที่ให้จื่อเป่าไปหาซื้อมาให้ก่อนหน้านี้ ‘ให้หม่อมฉันยืนรอด้วยนะเพคะ’ น้ำเสียงที่เอื้อนเอ่ยช่างอ่อนหวานพาให้จิตใจบุรุษเคลิบเคลิ้ม แต่เพราะกำลังรีบร้อนนางจึงไม่ทันได้ยินหรอกว่าอีกฝ่ายตอบกลับเช่นไร เนื่องจากเอาแต่ครุ่นคิดนางจึงไม่ทันได้รู้ตัวว่าสาวใช้ของตนเดินนำหน้าไปไกลแล้ว ‘อาภรณ์ข้าเกี่ยวอันใดหรือไม่’ เหตุใดนางถึงรู้สึกตึงๆ บริเวณแขนเสื้อ “คารวะคุณหนูจางเจ้าค่ะ” เสียงอ่อนหวานของสตรีดึงความสนใจของนางจนนางต้องหันกลับไปมอง
“ลืมทักไปเลยว่าได้ปิ่นไม้จากที่ใดมา ช่างงดงามและประณีตจริงๆ” “ดอกหมู่ตานเป็นดอกไม้ที่พระชายาของชินอ๋องชื่นชอบ สุดท้ายจึงกลายเป็นดอกไม้ประจำพระองค์ไปโดยปริยาย” “เจ้าจะบอกว่าปิ่นนั่นเป็นของพระชายาชินอ๋อง เช่นนั้นก็หมายความว่าชินอ๋องซื่อจื่อได้หมายตาชิงหนี่ว์ตัวน้อยของข้าไว้นะสิ” “กล่าวออกมาได้เต็มปากเต็มคำ ดูท่านอาหญิงจะรักและเอ็นดูนางมาก” บุรุษไร้ยางอายที่เมื่อสักครู่ซ่อนตัวอยู่หลังร้านทำสีหน้ายุ่งเหยิง เหตุใดแพรพรรณล้ำค่าที่ตนได้รับมอบหมายจากมารดาให้นำมามอบให้ท่านอาหญิง กลับกลายเป็นอาภรณ์มอบให้สตรีไร้หัวนอนปลายเท้าผู้นั้น นอกจากใบหน้าที่งดงามเขาก็ไม่เห็นว่ามีอันใดที่จะทำให้อาหญิงเอ็นดูอีกฝ่ายได้&nb
13 ว่าด้วยเรื่องขนมกุ้ยฮวา ในวันนี้นางได้นัดหมายกับพี่ใหญ่ว่าจะออกไปซื้อของใช้ที่ตลาดด้วยกัน แต่เพราะฮ่องเต้มีเรื่องสำคัญจึงเรียกตัวเข้าวังเป็นการเร่งด่วน นางจึงออกมาเดินตลาดกับจื่อรั่วและจื่อเป่า ร้านขายภาพวาดซือซือเป็นร้านที่ติดต