“เรื่องถอนหมั้น...” เจิ้งเข่อชิงกำลังจะกล่าวถึงเรื่องราวที่เขามีสตรีที่พึงใจ แต่เขากลับเอ่ยแทรกขึ้นอย่างเสียมารยาท
“ก่อนที่จะกล่าวเรื่องนั้น ขอให้ข้าได้อธิบายเรื่องที่ชาวบ้านพวกนั้นเล่าลือก่อนได้หรือไม่”
“เจ้าค่ะ” นางตอบรับพลางรอดูว่าบุรุษผู้นี้จะปั้นเรื่องอันใดขึ้นมาหลอกนางอีก
“แท้จริงเรื่องราวไม่มีอันใดเลย วันนั้นข้าแค่ออกไปหาอาหารเลิศรสกินที่โรงเตี๊ยมเหอหยวนกับหลิวเฟิงเหมียน แต่บังเอิญไปเจอน้องสาวของเขาและสหายที่ชื่อสวี่ลู่ฟาง จึงได้ร่วมโต๊ะ ก่อนกลับคุณหนูเมิ่งร่ำร้องให้พี่ชายพาไปซื้อเครื่องประดับ แต่สหายของนางต้องรีบกลับจวน นางจึงขอร้องให้ข้าไปส่งสตรีผู้นั้นที่จวนสวี่ เรื่องราวมีเพียงแค่นี้” เขาก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าเหตุใดชาวบ้านถึงได้เล่าลือไปไกลถึงเพียงนั้น
“...” เจิ้งเข่อชิงทำหน้าเอือมระอาพลางหยิบใบไม้ที่ปลิวตกบนโต๊ะมาฉีกเล่น อยากบอกอันใดก็กล่าวไปเถิด
“เจ้าไม่เชื่อที่ข้ากล่าว?”
‘ข้าไม่แคะหูระหว่างฟังท่านก็ดีแค่ไหนแล้ว’ วาจาบุรุษเลื่อนลอย นางไม่คิดสนใจ หากเปลี่ยนบุรุษผู้นี้เป็นชิงหนี่ว์คงดีไม่น้อย
“ข้ากับสวี่ลู่ฟางไม่ได้เป็นดังเช่นที่ชาวบ้านเล่าลือจริงๆ ข้าอาจจะเคยเจอนางบ้างเมื่อครั้งไปจวนตระกูลหลิว แต่ก็ไม่ได้สนิทสนมดั่งเช่นที่เจ้าเข้าใจ”
“เจ้าค่ะ” นางรับคำส่งๆ ไป บุรุษผู้นี้หากสตรีดอกบัวขาวผู้นั้นอยากได้ก็เชิญรีบเอาตัวไป นางจะได้ไปสร้างสัมพันธ์อันดีกับชิงหนี่ว์
เพียงคิดถึงรอยยิ้มของคุณหนูจาง เจิ้งเข่อชิงก็รู้สึกสบายใจและอุ่นใจ ดวงหน้าหวานจึงอ่อนลงพร้อมกับมุมปากที่ยกยิ้มเล็กน้อย
ตึกตักๆ หัวใจดวงน้อยของบุรุษผู้สูงศักดิ์สั่นไหวเมื่อเห็นรอยยิ้มเช่นนั้น ตั้งแต่ได้รับเลือกให้เป็นคู่หมายของเขา รอยยิ้มเช่นนี้ของนางก็เลือนหายไปเหลือเพียงรอยยิ้มมารยาทที่เขามองว่ามันเสแสร้งมาโดยตลอด เพราะเหตุนี้ที่ผ่านมาเขาจึงไม่ค่อยชื่นชอบคู่หมายของตนเอง
พอคิดมาถึงตรงนี้ หรือแท้จริงเขามีส่วนทำให้นางแปรเปลี่ยนเป็นเช่นนั้น
“ท่านกล่าวจบแล้วใช่หรือไม่”
“อะ...อืม” เพราะถูกสอนมาตั้งแต่เด็กให้เก็บสีหน้าไม่ให้เผยความรู้สึกออกไป เขาจึงทำมันได้อย่างไร้ที่ติ
“เช่นนั้นข้าจะได้กล่าวบ้าง”
“อืม” มุมปากหยักยกยิ้ม นัยน์ตาดำจับจ้องดวงหน้าหวานเพื่อรอฟังในสิ่งที่นางจะเอื้อนเอ่ย
“เรื่องที่ข้าต้องการให้ท่านยกเลิกการหมั้นหมายนั้น เป็นความต้องการของข้าจริงๆ ข้ามิได้กล่าวออกมาเพราะน้อยใจหรือเพื่อประชดประชันท่าน แต่เป็นเรื่องที่ข้าไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนแล้วว่าตัวข้าไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นพระชายาของท่าน ข้าจึงอยากเปิดโอกาสให้ท่านได้เสนอนามสตรีที่ท่านพึงใจกับฮ่องเต้” หากไม่มีคู่หมายอย่างนางแล้ว ต่อจากนี้เขาจะทำอันใดย่อมเป็นอิสระ
“เมื่อครู่ข้าบอกเจ้าแล้วไม่ใช่หรือว่า เรื่องของข้ากับคุณหนูสวี่ลู่ฟางเป็นเช่นไร”
“ข้าหมายถึงสตรีที่ท่านพึงใจจริงๆ ซึ่งท่านอาจจะได้เจอแล้วหรือได้เจอต่อจากนี้”
“หากข้าบอกว่าข้าพึงใจเจ้าล่ะ” นัยน์ตาลุ่มลึกที่จ้องมองทำให้นางขนลุก
บรรดาองค์ชายช่างแสดงสีหน้าเสแสร้งได้เก่งยิ่ง...
“ท่านอย่าล้อข้าเล่นเลยเจ้าค่ะ”
“...”
“ส่วนเรื่องที่จวนเจิ้งจะสนับสนุนท่าน ทุกอย่างยังคงเดิม ขอเพียงท่านยอมเอ่ยปากกับฮ่องเต้เพื่อยืนยันการยกเลิกการหมั้นหมายพวกนี้”
“ข้าบอกเจ้าแล้วไม่ใช่หรือ ว่าการหมั้นหมายของเราเพิ่งถูกกำหนด” เขาจะทำให้มันถูกกำหนดหลังจากกลับวังนี่แหละ
“ท่านล้อข้าเล่นอีกแล้ว” หากมีกำหนดออกมา บิดาต้องรีบวิ่งหน้าตาตื่นมาแจ้งนางแล้วสิ
“ข้าไม่ได้ล้อเล่น ฮองเฮาเอ็นดูเจ้ามากมายถึงเพียงนั้น เจ้าคิดว่านางจะยินยอมให้เจ้าถอนหมั้นหรือ” ยิ่งเห็นนางดิ้นรนอยากถอยห่าง เขายิ่งอยากจะเอาชนะ หลังกลับวังเขาจะรีบไปทูลขอฮ่องเต้ให้รีบออกประกาศวันหมั้น
“หากเราสองคนช่วยกันกล่าว ข้าว่าพระนางต้องไม่คิดฝืนใจ”
“เจ้าเอาแต่กล่าวเหตุผลที่ดูดีมากมายเพื่อจะถอนหมั้น แต่เหตุใดไม่กล่าวเหตุผลที่แท้จริงออกมาเล่า”
“เหตุผลที่ข้ากล่าวไปทั้งหมด คือความต้องการของข้าจริงๆ”
“ความต้องการของเจ้าหรือ น่าขันนัก มิใช่ว่าที่เจ้าอยากถอนหมั้นกับข้า เพราะแท้จริงแล้วเจ้าเป็นหมัวจิ้ง[1] ทั้งยังหมายปองคุณหนูจาง เจ้าคิดหรือว่าหากคุณหนูจางทราบเรื่องนี้นางจะยังยินดีคบหาเป็นสหายกับเจ้า”
“ข้าจะเป็นอันใดก็เรื่องของข้า ท่านอย่าได้คิดไปยุ่งเกี่ยวกับนาง” น้ำเสียงนางเข้มขึ้นเล็กน้อย นัยน์ตาหงส์ตวัดมองผู้สูงศักดิ์อย่างลืมตัว
“ข้าไม่ได้อยากยุ่งเกี่ยวกับคุณหนูจางอยู่แล้ว แต่หากเจ้าคิดไม่ซื่อหมายปองคุณหนูจาง ข้าคิดว่าบุรุษผู้หนึ่งคงไม่ยอมอยู่เฉย”
“บุรุษผู้นั้นเป็นใคร” นางจะได้กีดกันให้ออกห่างจากสตรีน่าเอ็นดูอย่างชิงหนี่ว์ของนาง
“เอาไว้ข้าอารมณ์ดีเมื่อใดจะบอก”
“กล่าวเช่นนี้ แท้จริงแล้วก็คงเป็นเรื่องโกหก”
“ข้าเตือนเจ้าแล้ว อย่าได้คิดแย่งชิงคุณหนูจางกับบุรุษผู้นั้น”
“ท่านควรจัดการเรื่องของตนเอง อย่าได้มายุ่งเกี่ยวเรื่องของข้าเลยเจ้าค่ะ วันนี้ข้าไม่มีอันใดจะกล่าวแล้ว หากองค์รัชทายาทอยากเสด็จกลับวังบูรพาก็เชิญเถิดเพคะ”
“แม้เจ้าจะอยากถอนหมั้นจากข้าเพียงใด แต่ตอนนี้เราสองคนยังมีพันธะต่อกันอยู่ หากคิดจะเกี้ยวพาคุณหนูจางโปรดอย่ากระทำสิ่งใดเกินงาม” บุรุษในอาภรณ์สูงค่าลุกขึ้นก่อนจะโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้เพื่อเอ่ยประโยคท้ายที่ข้างหูนาง
ลมหายใจของเขาที่เป่ารดหูทำให้นางรีบถอยห่างจนเกือบจะตกเก้าอี้ หากไม่ได้เขาช่วยโอบรั้งเอาไว้
“นั่งให้ดีๆ” คู่หมายน่าชังผู้นี้ยังคงกล่าวที่ข้างหูนาง ลมหายใจเขาที่เป่าโดนหูทำให้นางขนลุกขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
“ขอบพระทัยเพคะ” นางกล่าวพลางเบี่ยงตัวหลบ ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วก้าวถอยออกไปให้ห่างเขาที่สุด
‘ตัวอันตรายผู้นี้บังอาจมากินเต้าหู้นาง’ นัยน์ตาหงส์มีประกายไม่พอใจพาดผ่านก่อนจะเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว
“เอาเถิดวันนี้ข้าไม่รบกวนเจ้าแล้ว งานปักปิ่นวันนี้เจ้าคงตื่นเช้า อย่างไรหากกินอันใดเรียบร้อยแล้วก็รีบพักผ่อนเถิด” องค์รัชทายาทหนุ่มกล่าว มุมปากหยักยกยิ้มอย่างมีเลศนัย
“น้อมส่งองค์รัชทายาทเพคะ” คุณหนูเจิ้งกล่าวจบก็หมุนตัวเดินจากไป ทิ้งให้โจวเฟยหลงมองตามด้วยแววตาล้ำลึก คราแรกก็ว่าจะกลับแล้ว แต่พอได้ยินนางออกปากไล่เช่นนี้เขาเปลี่ยนใจแล้ว
‘ในเมื่อทราบแล้วว่าสิ่งใดสำคัญ หากข้าไม่รีบไขว่คว้าข้าก็คงกลายเป็นบุรุษโง่งมในสายตาเจ้า’
[1] สตรีมีใจชื่นชอบและรักกับสตรี
8บุรุษเอาแต่ใจ จางชิงหนี่ว์ขยับตัวเล็กน้อยอย่างรู้สึกอึดอัด เมื่อบุรุษที่นั่งอยู่ข้างๆ เท้าคางจ้องมองนางด้วยแววตายากจะคาดเดา “ชินอ๋อง เอ่อ...พี่อันฉีเจ้าคะ ข้าว่าท่านควรปล่อยข้อมือข้าได้แล้ว” จับธรรมดาสามัญนางคงไม่ว่าอันใด หากแต่เขาขยับนิ้วราวกับกำลังลูบไล้ข้อมือนาง ‘บุรุษผู้นี้แท้จริงเป็นคนวิปริตผิดแผก ชอบกินเต้าหู้สตรีหรือนี่’ นางควรจะสงสารสวี่ลู่ฟางดีหรือไม่ “ขออภัยพี่ลืม” เขากล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉยก่อนจะยอมปล่อยข้อมือนางแต่โดยดี หลังจากสัมผัสผิวนุ่มเนียนของนางจนพอใจ ข้อมือยังนุ่มน่าลูบไล้เช่นนี้ แล้วแก้มพองๆ นั่นจะน่าบีบน่าจุมพิตสักเพียงใด “ข้าคงต้องขอตัวกลับจวนแล้วเจ้าค่ะ หากท่านอยากนั่งรอองค์รัชทายาทต่อก็เชิญตามสบายนะเจ้าคะ” “...” เมื่อเห็นตัวซวยที่ตนไม่อยากอยู่ใกล้ นิ่งเงียบ นางจึงลุกขึ้นแล้วเดินกลับไปที่โถงงานเลี้ยงเพื่อบอกลาเจ้าของจวน มางานเลี้ยงจวนเขาอย่างไรก็ควรจะมีมารยาทจะไปจะมาต้องบอกกล่าวไม่ให้เสียชื่อวงศ์ตระกูล ไม่รู้ว่าเจิ้งเข่อชิงจะเป็นอย่างไรบ้าง องค์รัชทายาทผ
“นี่ท่าน ลอบเข้าจวนข้าอีกแล้วนะเจ้าคะ” ตั้งแต่เขาให้ความร่วมมือรีบพานางกลับจวน นางรู้สึกได้ว่าแท้จริงเขาไม่ได้น่ากลัวดังเช่นที่เจอกันในวันแรก พรึ่บ บุรุษในอาภรณ์สีดำกระโดดลงจากต้นไม้ สองเท้าแตะพื้นอย่างสวยงาม “วันนี้เจ้าแต่งตัวงดงามถึงเพียงนี้ ไปเที่ยวเล่นที่ใดมา” “ข้าไปงานปักปิ่นของสหายมาเจ้าค่ะ” “สหายเจ้าก็ปักปิ่นแล้ว เจ้าเล่าเมื่อใดจะปักปิ่น” “อีกไม่นานเจ้าค่ะ” “ข้ามาร่วมงานได้หรือไม่” “ขออภัยที่ข้าต้องปฏิเสธ” หากเขามา นางจะให้คำอธิบาย
‘ข้าจะรอดู’ คนที่คิดเข้าข้างตนเองไปไกลกล่าวพลางซ่อนรอยยิ้มไว้ในสีหน้าอย่างแนบเนียน “เรื่องที่เจ้าต้องการปรึกษาข้ามีเพียงเรื่องเกี้ยวบุรุษ?” “มีอีกหนึ่งเรื่องเจ้าค่ะ” “กล่าวมา...” “หากวันหนึ่งท่านพึงใจสตรีผู้หนึ่งเข้า แล้วข้าไปทำให้คนรักของท่านไม่ถูกใจ ท่านจะสังหารข้าตามที่นางต้องการหรือไม่” “เหตุใดข้าต้องสังหารเจ้าเพื่อนางด้วย” มันคือคำถามอันใดกัน เขาไม่เข้าใจ “ตอบข้ามาสิเจ้าคะ ว่าท่านจะสังหารข้า ตามคำขอของสตรีที่ท่านรักหรือไม่”&n
“มาจากเขา แต่ข้าให้ท่านพ่อส่งคืนไปแล้ว เหตุใดมันถึงมาอยู่บนหัวข้า” เจิ้งเข่อชิงครุ่นคิดก่อนที่นัยน์ตาหงส์จะเบิกกว้างอีกครั้ง ต้องเป็นตอนนั้นแน่ๆ ที่เขาช่วยประคองไม่ให้นางตกจากเก้าอี้ตอนนั้นนางรู้สึกตึงๆ บนหัว แต่ก็ไม่ได้คิดอันใดเพราะคิดว่าปิ่นที่ปักอยู่หลายอันอาจจะไปชนโดนเขา ‘น่าชังนักโจวเฟยหลง’ นางปฏิเสธอย่างชัดเจนก็ยังดื้อดึงที่จะมอบให้ “เช่นนั้นเราจะทำอย่างไรดีเจ้าคะ” “เก็บไว้ในหีบ หากถึงเวลาข้าจะส่งคืนเขาด้วยตนเอง” หากหมดพันธะต่อกันนางจะรีบส่งคืนให้เร็วที่สุด ไม่กี่วันต่อมาคุณหนูเจิ้งก็มาเยือนจวนจางเพื่อชักชวนให้นางไปเยี่ยมหวังเยว่ฉิงท
9สตรีชาเขียว “ช่างเสียมารยาทจริงๆ ที่เข้าห้องผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต” คุณหนูเจิ้งกล่าวตำหนิแต่ก็ยังไม่ยอมผละออกห่างจากนาง “เข่อชิง เจ้าคิดว่าตนกำลังทำอันใดอยู่” คำกล่าวของบุรุษสูงศักดิ์ทำให้นางรู้สึกงุนงงแล้ว มาโรงเตี๊ยมที่มีอาหารเลิศรส หากไม่มากินข้าวจะให้มาทำอันใดอีก เอ่อ...ข้าลืมไปองค์รัชทายาทผู้นี้นอกจากเรื่องการบริหารบ้านเมืองแล้ว เรื่องอื่นเขาไม่ฉลาดเอาเสียเลย มิเช่นนั้นคงไม่ถูกสตรีดอกบัวขาวล่อลวงเอาไปเป็นทาสรักหรอก “องค์รัชทายาท พระองค์ได้โปรดกลับห้องของพระองค์ไปเถิดเพคะ อย่าได้มายุ่งเกี่ยวกับหม่อมฉันและสหาย” นอกจากจะเอ่ยวาจาแล้ว สหายของนางยังส่งสายตาตำหนิคู่หมาย
“ข้าไม่ได้คิดอันใดกับคุณหนูสวี่จริงๆ เจ้าอย่าได้คิดยัดเยียดข้าให้ผู้อื่น” แม้อยากจะเร่งรัดให้เกิดงานหมั้นหมาย แต่ทว่าฮ่องเต้และฮองเฮากลับไม่ยินยอม ทั้งสองพระองค์ต้องการให้เขาจัดการตนเองให้ปราศจากข่าวลือเสียก่อน ซึ่งเขาก็คงต้องรีบลงมือทำ มิเช่นนั้นสตรีผู้นี้ก็คงเข้าใจผิดไม่เลิก ใครกันบังอาจปล่อยข่าวลือน่ารังเกียจพวกนั้น เขาไม่เคยรักใคร่ไยดีสวี่ลู่ฟางแม้แต่น้อย เหตุใดเรื่องราวถึงใดถูกเล่าลือไปเช่นนั้น “ปากก็กล่าววาจาหลอกลวง แต่ท่านคงลืมไปแล้วว่าผู้อื่นไม่ได้ตามืดบอดถึงจะมองไม่เห็นว่าท่านนัดเจอและไปไหนมาไหนกับนางอยู่บ่อยครั้ง หากท่านพึงใจนางก็ควรรีบยกเลิกการหมั้นหมายกับข้า” นางจะได้ไปหาวิธีทำให้ตนเองได้อยู่กับสตรีที่ตนพึงใจเช่นกัน หากสตรีผู้นั้นเป็นชิงหนี่ว์นา
“เจ้าไปนั่งตรงนั้น” โจวอันฉีรั้งชายอาภรณ์นางให้ถอยออกห่างก่อนจะดันตัวให้ไปนั่งข้างนางเอกผู้นั้น ส่วนตัวเองก็นั่งลงระหว่างนางและหลิวเฟิงเหมียนแทน ‘ท่านกำลังโกรธเกรี้ยวว่าที่ฮูหยินของตนหรืออย่างไร’ เอานางมานั่งคั่นกลางเช่นนี้ช่างไม่ดีเอาเสียเลย “เจ้าอยากกินอันใดบ้าง พี่จะสั่งมาให้” โจวอันฉีหันมาถามสตรีข้างกาย คำเรียกขานที่เป็นกันเองทำให้สายตาของคนตระกูลหลิวมองมาด้วยแววตาสงสัยใคร่รู้ ส่วนนางเอกดอกบัวขาวน่ะหรือแทบจะเข้ามาหักคอนางแล้วกระมัง “ข้าเอ่อ...กินอันใดก็ได้เจ้าค่ะ” นางหันไปมองสวี่ลู่ฟางครู่หนึ่งก่อนจะตอบออกไปอย่างมีมารยาท อาหารเลิศรสทั้งหลาย คราวหน้าค่อยเจอกัน นางยอมเสียเงินเองให้จื่อเป่ามาซื้อให้ก็ได้
‘วาจาหยอกล้อหรือ ช่างแสร้งใสซื่อได้ไร้ที่ติจริงๆ’ ชิงหนี่ว์คิดแต่ไม่กล่าวอันใด ก่อนจะแสร้งทำสีหน้าโศกเศร้าต่อ “วาจาหยอกล้อหรือ เช่นนั้นเจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร เป็นแค่บุตรสาวหมอหลวงแต่บังอาจมาเสนอหน้าร่วมโต๊ะกับองค์รัชทายาทและชินอ๋องซื่อจื่ออย่างเปิ่นหวาง สมควรแล้วหรือ หากจะกล่าวว่าโรงเตี๊ยมแห่งนี้ใครมีเงินก็เข้าได้ เช่นนั้นบุตรสาวหมอหลวงอย่างเจ้าและสหายก็ควรจะย้ายไปนั่งโต๊ะอื่น อย่าได้มาขอนั่งร่วมโต๊ะกับพวกเปิ่นหวาง ที่ผ่านมาเปิ่นหวางไว้หน้าคุณหนูหลิวเพราะเห็นว่าเป็นน้องสาวของเฟิงเหมียน แต่ในเมื่อพวกเจ้าไม่ไว้หน้าคุณหนูจางที่เปิ่นหวางและองค์รัชทายาทตั้งใจเชิญมาร่วมโต๊ะ เปิ่นหวางก็ไม่คิดจะไว้หน้าพวกเจ้าอีกเช่นกัน” แม้คนเป็นน้องสาวจะโดนว่ากล่าวแต่หลิวเฟิงเหมียนหาได้สนใจไม่ เพราะกำลังตกตะลึงกับสหายที่นานๆ จะกล่าววาจายืดยาวได้ “ขอประทานอภัยเพคะ ที่ทำให้ชิน
แม้จะรู้ว่าความรู้สึกที่แท้จริงของตนเป็นเช่นไร นางก็คิดจะเก็บงำเอาไว้ เพราะคิดว่าคนที่นางพึงใจนั้นไม่มีค่ามากพอที่จะเอาความสุขทั้งชีวิตไปแลกมา นางไม่อยากกลายเป็นสตรีร้ายกาจต้องการเศษเสี้ยวความเมตตาจากเขาที่เพียงแค่เขาปรายตาหันมามองก็หัวใจเต้นระรัวไปหลายวัน “เข่อชิง เจ้าไม่รักข้าแล้วก็ไม่เป็นไร ขอแค่อย่าปิดกั้นข้าจะได้หรือไม่ ให้ข้าได้พิสูจน์ตนเองได้หรือไม่” สีหน้าอ้อนวอนของเขาทำให้นางใจเต้นระรัว “ท่านทำถึงเช่นนี้เพื่ออันใด มันไม่ดีต่อตัวท่านเองเลยแม้แต่น้อย” “เพราะข้ารักเจ้า รักมากกว่าทุกสิ่ง ข้ายินยอมที่จะแลกทุกสิ่งเพื่อมีเจ้าเคียงข้าง เรื่องราวในกาลก่อนที่ข้าเคยทำร้ายจิตใจเจ้า เคยทำให้เจ้าลำบากทั้งที่ตั้งใจก็ดี ไม่ตั้งใจก็ดี ข้าขอโทษ ให้โอกาสข้าได้หรือไม่” กล่าวจบบุรุษสูงศักดิ์ก็คุกเข่าลงกับพื้น ยอมละทิ้งซึ่งศักด
“นี่คิดจะโกงตั้งแต่อาหญิงเจ้ายังไม่ได้เริ่มจัดงานเลยหรือ” “องครักษ์ของข้าก็หน้าตาดีไม่น้อย อย่างไรท่านก็ได้กำไร” “กล่าวเช่นนี้เจ้ารู้รายละเอียดของการประกวดหรือไม่” หลานชายนางคงยังไม่ทราบว่าการประชันบุรุษรูปงามที่คุณหนูจางกล่าวถึงคือการให้บุรุษที่เข้าร่วมประชันถอดอาภรณ์ด้านบน หรือเรียกง่ายๆ ว่าเปลือยอก “รู้แล้วอย่างไร ไม่รู้แล้วอย่างไร” องครักษ์มีหน้าที่ต้องทำตามคำสั่งของเขา มิอาจขัดขืนได้ “เช่นนั้นก็ตามใจเจ้า บุรุษที่เข้าร่วมแข่งขัน ขอที่รูปงามหน่อยก็แล้วกัน” “ได้ขอรับ ท่านอาหญิงดูดีใจมากนะขอรับที่จะได้เป็นป้าสะใภ้ของนาง” 
“คือข้ากลับไปคิดดูว่าหากเถ้าแก่หอชายงามไม่ยินยอมให้เรานำชายงามเหล่านั้นมาประชันแข่งขัน ข้าจึงคิดว่าหรือเราจะมองหาบัณฑิตรูปงามแต่ทว่ายากจนมาแข่งขันแทน หากใครได้อันดับหนึ่งเราก็ตอบแทนด้วยการมอบตำลึงให้จำนวนหนึ่งพร้อมกับภาพวาดของปรมาจารย์ลู่ซือ ที่ชื่อความดีใจ” “ภาพวาดปรมาจารย์ลู่ซือหรือ ความดีใจวาดเสร็จแล้วหรือ” “แท้จริงเสร็จนานแล้วเจ้าค่ะ เพียงแต่ภาพความอาวรณ์เพิ่งปล่อยขายไปเมื่อสองปีก่อน ข้าจึงอยากให้ทิ้งระยะห่างสักนิด” “แต่ภาพวาดของปรมาจารย์ลู่ซือนั้น พี่ว่ามันสูงค่าเกินกว่าจะนำมามอบให้เป็นรางวัลของผู้ชนะ” “พวกบัณฑิตนั้นถือศักดิ์ศรีเป็นสำคัญหากรางวัลของผู้ชนะไม่สูงค่าพอ เกรงว่าจะไม่มีใครยอมเข้าแข่งขัน”&n
“ดีขึ้นหรือไม่เจ้าคะ มองเห็นข้าชัดหรือไม่” สตรีที่มีใบหน้าเต็มไปด้วยฝุ่นผงถ่านดูมอมแมม โบกมือไปมาตรงหน้าพลางจับจ้องเขาด้วยแววตาห่วงใย “...” “แย่แล้ว หรือเขาจะมองไม่เห็นข้าจึงไม่ตอบอันใด ไม่ได้การแล้วต้องรีบตามหมอ” จางชิงหนี่ว์เริ่มร้อนรนเมื่อเห็นการตอบสนองของอีกฝ่ายไม่ค่อยน่าไว้ใจ “ช้าก่อน ข้ามองเห็นเจ้าแล้ว” “เห็นแล้วเหตุใดไม่ตอบข้า ทำเอาข้าใจคอไม่ดี” “ข้านึกว่าเสี่ยวมาวตกโคลน จึงตกใจชั่วครู่” “หน้าข้าเป
14 เงื่อนไขการเป็นพระชายา ช่างเป็นโชคดีของนางจริงๆ พี่ใหญ่ได้รับราชโองการให้เป็นตัวแทนฮ่องเต้ กำกับดูแลกรมพิธีการที่เป็นผู้จัดพิธีหมั้นหมายขององค์รัชทายาท รวมทั้งเตรียมงานอภิเษกสมรสที่จะเกิดขึ้นในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า จางชิงเทียนจึงต้องออกจากจวนตั้งแต่เช้าตรู่และกลับจวนกลางดึก นางจึงรอดพ้นจา
บุรุษในอาภรณ์สีดำลายพยัคฆ์ปักทองอุ้มนางมาที่รถม้าที่มีตราสัญลักษณ์จวนชินอ๋อง เขาวางนางลงก่อนจะทรุดตัวนั่งใกล้มากจนแนบชิด “พี่อันฉีเจ้าขา รถม้าจวนอ๋องกว้างไม่น้อย อย่างไรท่านขยับออกไปหน่อยได้หรือไม่” ที่ก็ตั้งกว้างจะมานั่งเบียดนางด้วยเหตุใด “เจ้าช่างดื้อรั้น พี่บอกแล้วไม่ใช่หรือว่าอย่ายัดเยียดพี่ให้สตรีอื่น” “ข้าไม่ได้ทำเช่นนั้นนะเจ้าคะ ข้ารีบกลับจวนจริงๆ” “ข้าไม่ได้ทำเช่นนั้นนะเจ้าคะ ข้ารีบกลับจวนจริงๆ” “ได้ยินมาว่าเจ้าชอบกินขนมกุ้ยฮวาหรือ” “เจ้าค่ะ” เขาคงเคยได้ยินที่นางกล่าวกับสหายในงา
ไม่ๆ อย่าให้ความอยากรู้อยากเห็นอยู่เหนือสิ่งใด เมื่อคิดได้เช่นนั้นคุณหนูจางจึงเดินไปทางที่ทั้งสองคนกำลังยืนอยู่ ดวงหน้าหวานก้มลงเล็กน้อยเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายสังเกตเห็น โชคดีอีกอย่างคือตอนนี้นางยังปกปิดใบหน้าครึ่งล่างด้วยผ้าที่ให้จื่อเป่าไปหาซื้อมาให้ก่อนหน้านี้ ‘ให้หม่อมฉันยืนรอด้วยนะเพคะ’ น้ำเสียงที่เอื้อนเอ่ยช่างอ่อนหวานพาให้จิตใจบุรุษเคลิบเคลิ้ม แต่เพราะกำลังรีบร้อนนางจึงไม่ทันได้ยินหรอกว่าอีกฝ่ายตอบกลับเช่นไร เนื่องจากเอาแต่ครุ่นคิดนางจึงไม่ทันได้รู้ตัวว่าสาวใช้ของตนเดินนำหน้าไปไกลแล้ว ‘อาภรณ์ข้าเกี่ยวอันใดหรือไม่’ เหตุใดนางถึงรู้สึกตึงๆ บริเวณแขนเสื้อ “คารวะคุณหนูจางเจ้าค่ะ” เสียงอ่อนหวานของสตรีดึงความสนใจของนางจนนางต้องหันกลับไปมอง
“ลืมทักไปเลยว่าได้ปิ่นไม้จากที่ใดมา ช่างงดงามและประณีตจริงๆ” “ดอกหมู่ตานเป็นดอกไม้ที่พระชายาของชินอ๋องชื่นชอบ สุดท้ายจึงกลายเป็นดอกไม้ประจำพระองค์ไปโดยปริยาย” “เจ้าจะบอกว่าปิ่นนั่นเป็นของพระชายาชินอ๋อง เช่นนั้นก็หมายความว่าชินอ๋องซื่อจื่อได้หมายตาชิงหนี่ว์ตัวน้อยของข้าไว้นะสิ” “กล่าวออกมาได้เต็มปากเต็มคำ ดูท่านอาหญิงจะรักและเอ็นดูนางมาก” บุรุษไร้ยางอายที่เมื่อสักครู่ซ่อนตัวอยู่หลังร้านทำสีหน้ายุ่งเหยิง เหตุใดแพรพรรณล้ำค่าที่ตนได้รับมอบหมายจากมารดาให้นำมามอบให้ท่านอาหญิง กลับกลายเป็นอาภรณ์มอบให้สตรีไร้หัวนอนปลายเท้าผู้นั้น นอกจากใบหน้าที่งดงามเขาก็ไม่เห็นว่ามีอันใดที่จะทำให้อาหญิงเอ็นดูอีกฝ่ายได้&nb
13 ว่าด้วยเรื่องขนมกุ้ยฮวา ในวันนี้นางได้นัดหมายกับพี่ใหญ่ว่าจะออกไปซื้อของใช้ที่ตลาดด้วยกัน แต่เพราะฮ่องเต้มีเรื่องสำคัญจึงเรียกตัวเข้าวังเป็นการเร่งด่วน นางจึงออกมาเดินตลาดกับจื่อรั่วและจื่อเป่า ร้านขายภาพวาดซือซือเป็นร้านที่ติดต