“เจ้าไปนั่งตรงนั้น” โจวอันฉีรั้งชายอาภรณ์นางให้ถอยออกห่างก่อนจะดันตัวให้ไปนั่งข้างนางเอกผู้นั้น ส่วนตัวเองก็นั่งลงระหว่างนางและหลิวเฟิงเหมียนแทน
‘ท่านกำลังโกรธเกรี้ยวว่าที่ฮูหยินของตนหรืออย่างไร’ เอานางมานั่งคั่นกลางเช่นนี้ช่างไม่ดีเอาเสียเลย
“เจ้าอยากกินอันใดบ้าง พี่จะสั่งมาให้” โจวอันฉีหันมาถามสตรีข้างกาย คำเรียกขานที่เป็นกันเองทำให้สายตาของคนตระกูลหลิวมองมาด้วยแววตาสงสัยใคร่รู้ ส่วนนางเอกดอกบัวขาวน่ะหรือแทบจะเข้ามาหักคอนางแล้วกระมัง
“ข้าเอ่อ...กินอันใดก็ได้เจ้าค่ะ” นางหันไปมองสวี่ลู่ฟางครู่หนึ่งก่อนจะตอบออกไปอย่างมีมารยาท
อาหารเลิศรสทั้งหลาย คราวหน้าค่อยเจอกัน นางยอมเสียเงินเองให้จื่อเป่ามาซื้อให้ก็ได้
“อาหารที่สั่งไปมีหลายอย่างพอสมควรอย่างไร รอดูก่อนหรือไม่อันฉี หากไม่ถูกปากคุณหนูจาง ค่อยสั่งใหม่”
“อืม” เขารับคำก่อนจะนั่งนิ่ง
จางชิงหนี่ว์นั่งตัวเกร็งเมื่อรับรู้ได้ถึงแรงอาฆาตจากนางเอกผู้ดีงาม จึงหันไปส่งยิ้มให้แต่อีกฝ่ายทำเพียงยิ้มตอบกลับตามมารยาทเพียงแค่นั้น ช่างเป็นสตรีดอกบัวขาวที่อ่อนโยนเมื่ออยู่ต่อหน้าบุรุษเพียงเท่านั้น
ส่วนข้าตอนนี้น่ะหรือ ได้โปรดปล่อยข้าไปเถิดชินอ๋องซื่อจื่อ เอาข้าเข้ามาคั่นกลางความสัมพันธ์เช่นนี้ ข้าก็ไม่ต่างจากสตรีชาเขียว[1]น่ะสิ
‘ข้าไม่อยากเป็นสตรีชาเขียว’ ใช่แล้วที่นางมานั่งอยู่ตรงนี้ก็เพราะอยากส่งเสริมทั้งสองคน ดังนั้นนางต้องทำให้คู่ยวนยางเข้าใจกันมากขึ้น
เชื่อหรือยังว่านอกจากจะงดงามแล้วชิงหนี่ว์ผู้นี้ยังจิตใจดีงามอีก...
รอเพียงไม่นานความอึดอัดก็เบาบางลงบ้างเล็กน้อยเมื่อเสี่ยวเอ้อร์ยกอาหารมา แต่ละจานน่ากินจนดวงตาเมล็ดซิ่งของสตรีตัวน้อยลุกวาว เรียกสายตาเอ็นดูจากบุรุษที่นั่งอยู่ข้างๆ
‘น่ากินทุกจาน สมแล้วที่ราคาแพงเช่นนั้น’
“คุณหนูจาง เชิญกินได้ อย่าได้เกรงใจ” เพราะกำลังอยากลิ้มชิมรสอาหารเลิศรสอยู่ เมื่อได้ยินคำกล่าวอย่างใจดีของหลิวเฟิงเหมียน นางจึงหันไปส่งยิ้มหวานให้อย่างรู้สึกขอบคุณ
“ขอบคุณเจ้าค่ะ อาหารที่นี่น่ากินทุกอย่างเลยนะเจ้าคะ”
“เป็นคุณหนูตระกูลใหญ่ แต่ทำท่าทางราวกับบ่าวไพร่เวลาได้กินของดีๆ” คำกล่าวของหลิวเมิ่ง ทำให้นางยิ้มเจื่อน
‘ผู้พิทักษ์นางเอก ช่างปากร้ายเสียจริง’
“ขออภัยเจ้าค่ะ ที่ข้าแสดงกิริยาไม่เหมาะสมออกไป”
“เมิ่งเอ๋อร์ เจ้าอย่าได้กล่าวเช่นนั้นเลย คุณหนูจางอาจจะเพิ่งมีโอกาสได้มากินข้าวที่โรงเตี๊ยมแห่งนี้จึงตื่นเต้นเกินไปเพียงเท่านั้น”
“เจ้าเห็นอกเห็นใจผู้อื่นอีกแล้วนะลู่ฟาง”
‘เห็นอกเห็นใจที่ใด มิใช่กำลังตอกย้ำว่าจวนข้ายากจนจึงไม่มีโอกาสได้มากินอาหารในโรงเตี๊ยมหากไม่มีผู้อื่นพามาหรอกหรือ’ แม้ในใจจะค่อนขอด แต่ภายนอกนางก็ได้แต่ยิ้มรับอย่างนอบน้อม
“จะหุบปากหยุดวาจาถากถางผู้อื่นกันได้หรือยัง เปิ่นหวางจะได้กินข้าวอย่างสงบ” คำกล่าวของชินอ๋องซื่อจื่อทำให้สตรีสองคนที่ขอมาร่วมโต๊ะผู้อื่นโดยใช้พี่ชายเป็นข้ออ้างพากันยิ้มเจื่อน
‘ข้าชักจะลังเลแล้วสิ ว่าควรช่วยสานวาสนาให้สวี่ลู่ฟางดีหรือไม่ นิสัยไม่ดีเช่นนั้นสมควรแล้วหรือที่จะได้ดีเหนือผู้อื่น’ นางอยู่ดีๆ ไม่ได้หาเรื่องอันใดใคร แต่สตรีสองคนนี้คนหนึ่งร้องคนหนึ่งรับถากถางนางไม่หยุด
แต่เอาเถิดต่อให้นางไม่ช่วยสานวาสนา อย่างไรทั้งคู่ก็ต้องได้ครองคู่กัน เช่นนั้นหากรีบผลักดัน นางก็จะได้เป็นอิสระเลิกยุ่งเกี่ยวกับบุรุษสตรีคู่นี้เสียที
“หิวก็กินให้มากหน่อย” โจวอันฉีคีบอาหารใส่ชามข้าวให้นาง เพราะมัวแต่ครุ่นคิดจึงไม่ได้เห็นสายตาตกตะลึงของบุรุษและสายตาริษยาจากสตรี
“ขอบคุณเจ้าค่ะ ชินอ๋องซื่อจื่อ”
“สมแล้วที่เป็นสตรีไม่มีบิดามารดาคอยสั่งสอนแม้แต่คำกล่าวกับเชื้อพระวงศ์ก็ใช้ไม่ถูก” หลิวเมิ่งที่ยังคงคับแค้นใจที่โดนท่านราชเลขาธิการจางชิงเทียนปฏิเสธหลายครั้ง จึงคิดนำโทสะมาลงกับแก้วตาดวงใจของบุรุษผู้นั้น
“ข้า...” นางยังไม่ทันได้ตอบกลับ บุรุษที่นั่งอยู่ข้างกายนางก็รีบเอ่ยขึ้นก่อน
“หลิวเฟิงเหมียนตระกูลเจ้าบิดามารดาก็ยังอยู่ใช่หรือไม่ เหตุใดไม่สั่งสอนน้องสาวเจ้าให้มีมารยาทต่อผู้อื่น เอาแต่พ่นวาจาน่ารังเกียจออกมาเช่นนี้ หากวันใดข้าไปเยือนจวนหลิว ข้าคงต้องบอกกล่าวท่านเสนาบดีฝ่ายขวาเสียแล้ว หวังว่าเจ้าจะไม่ถือสา”
“น้องรองหากเจ้ายังกล่าววาจาไม่น่าฟังเช่นนั้น กลับไปข้าคงต้องแจ้งให้ท่านพ่อช่วยว่ากล่าวตักเตือนแล้ว” คำกล่าวของสหายทำให้หลิวเฟิงเหมียนนิ่งไปเหมือนกันก่อนที่เขาจะหันไปต่อว่าน้องสาวต่างมารดาที่เอาแต่เอ่ยถ้อยคำแย่ๆ ออกมา
“ขออภัยเพคะชินอ๋อง” เมื่อโดนต่อว่าถึงบิดามารดา สตรีปากไม่มีหูรูดอย่างหลิวเมิ่งก็หน้าซีดในทันที เพราะไม่คิดว่าบุรุษที่ตนคิดมาโดยตลอดว่าเป็นคนรักของสหายจะต่อว่าตนอย่างไม่ไว้หน้า
“ชินอ๋องซื่อจื่อเพคะ หม่อมฉันต้องขออภัยแทนสหายของหม่อมฉันด้วยนะเพคะ ขอพระองค์อย่าได้ถือโทษโกรธเมิ่งเอ๋อร์ที่ไม่รู้ความเลยเพคะ นางเพียงแต่อยากสร้างความสนิทสนมกับคุณหนูจาง จึงกล่าววาจาหยอกล้อมากเกินไปหน่อย”
‘วาจาหยอกล้อหรือ ช่างแสร้งใสซื่อได้ไร้ที่ติจริงๆ’ ชิงหนี่ว์คิดแต่ไม่กล่าวอันใด ก่อนจะแสร้งทำสีหน้าโศกเศร้าต่อ
[1] สตรีที่ไปยุ่งเกี่ยวกับบุรุษที่มีคนรักหรือคู่หมั้นแล้ว
‘วาจาหยอกล้อหรือ ช่างแสร้งใสซื่อได้ไร้ที่ติจริงๆ’ ชิงหนี่ว์คิดแต่ไม่กล่าวอันใด ก่อนจะแสร้งทำสีหน้าโศกเศร้าต่อ “วาจาหยอกล้อหรือ เช่นนั้นเจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร เป็นแค่บุตรสาวหมอหลวงแต่บังอาจมาเสนอหน้าร่วมโต๊ะกับองค์รัชทายาทและชินอ๋องซื่อจื่ออย่างเปิ่นหวาง สมควรแล้วหรือ หากจะกล่าวว่าโรงเตี๊ยมแห่งนี้ใครมีเงินก็เข้าได้ เช่นนั้นบุตรสาวหมอหลวงอย่างเจ้าและสหายก็ควรจะย้ายไปนั่งโต๊ะอื่น อย่าได้มาขอนั่งร่วมโต๊ะกับพวกเปิ่นหวาง ที่ผ่านมาเปิ่นหวางไว้หน้าคุณหนูหลิวเพราะเห็นว่าเป็นน้องสาวของเฟิงเหมียน แต่ในเมื่อพวกเจ้าไม่ไว้หน้าคุณหนูจางที่เปิ่นหวางและองค์รัชทายาทตั้งใจเชิญมาร่วมโต๊ะ เปิ่นหวางก็ไม่คิดจะไว้หน้าพวกเจ้าอีกเช่นกัน” แม้คนเป็นน้องสาวจะโดนว่ากล่าวแต่หลิวเฟิงเหมียนหาได้สนใจไม่ เพราะกำลังตกตะลึงกับสหายที่นานๆ จะกล่าววาจายืดยาวได้ “ขอประทานอภัยเพคะ ที่ทำให้ชิน
10รักกันจริงหรือแค่ข่าวลือ ในระหว่างที่นางครุ่นคิดไป คีบข้าวเข้าปากไปนั้น จู่ๆ ประตูห้องก็เปิดออกก่อนที่หนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีจะเดินเข้ามาด้านใน “ชิงหนี่ว์ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” เจิ้งเข่อชิงรีบปรี่เข้าใกล้สหายทันที แต่ยังไม่ทันถึงตัวนาง บุรุษที่นั่งอยู่ด้านข้างก็ยกมือขึ้นมากีดกันเสียก่อน “ข้าไม่เป็นอันใด เจ้าเล่าปลอดภัยดีหรือไม่” คำกล่าวของสตรีทั้งสองทำให้บุรุษสูงศักดิ์ทั้งสองมองหน้ากัน คำกล่าวของพวกนางช่างทำให้เขาสองคนกลายเป็นบุรุษกักขฬะอันตราย ถูกมองไม่ดี “ข้าไม่เป็นอันใด ข้าขอนั่งกับเจ้านะ” คุณหนูเจิ้งกล่าวก่อนจะเดินไปยกเก้าอี้แล้วเอามาวางแทรกกลางระ
ใครจะอยากถูกเปรียบเทียบกับคนที่เก่งกว่าเล่า... ด้านชิงหนี่ว์เมื่อได้ยินคำถามเช่นนั้น นางก็เริ่มรู้สึกสงสัย หนังสือไร้ชื่อเล่มสีดำเช่นนั้นหรือ หรือแท้จริงสตรีดอกบัวขาวผู้นี้จะรู้เรื่องเหตุการณ์ต่างๆ จากหนังสือเล่มนั้นจึงสามารถเอาชนะใจบุรุษที่เลิศล้ำและเก่งกาจได้ถึงสามคน “ขอบคุณเจ้าค่ะ สำหรับอาหารเลิศรสมื้อนี้” แม้จะอึดอัดใจมากก็ตาม “หากเจ้าอยากมากินข้าวที่นี่อีกให้บอก พี่จะพามาเอง” ชินอ๋องซื่อจื่อกล่าว “เอ่อ...เจ้าค่ะ” นางปรายตามองสตรีที่นั่งอยู่ข้างๆ เห็นอีกฝ่ายกำมือแน่นราว
“กล่าวถึงเรื่องที่สนทนาค้างไว้เมื่อครู่ ท่านบอกว่าที่องค์รัชทายาทไม่ยอมยกเลิกการหมั้นหมายเพราะพึงใจในสหายข้าหรือเจ้าคะ” เพราะความอยากรู้นางจึงยอมขึ้นรถมากับเจ้าตัวซวยนี่ “พี่คาดเดาว่าเป็นเช่นนั้น” เขากล่าวพลางจ้องมองนางไม่วางตา คำเรียกขานเปลี่ยนไปเมื่ออยู่ด้วยกันตามลำพัง “คาดเดา? ข้าว่าท่านเดาผิดแล้ว สตรีที่องค์รัชทายาทพึงพอใจไม่ใช่สหายข้าหรอกเจ้าค่ะ” ก็แค่อยากเอาชนะคู่หมายของตนเพียงเท่านั้น “เช่นนั้นเจ้าคิดว่าองค์รัชทายาทพึงใจใคร” “คุณหนูสวี่ลู่ฟาง” “เหตุใดถึงคิดว่าเป็นนาง”
“หนี่ว์เอ๋อร์ เจ้าอย่าได้ลืมสิ ว่าสหายของเจ้าในภายหน้านางจะต้องขึ้นเป็นฮองเฮา นางจะมีข่าวลือเสียหายไม่ได้แม้เจ้าจะเป็นสหายที่สนิทสนมกันก็ตามอย่างไรก็ควรรักษาระยะห่าง” “แต่ข้ากับนางบริสุทธิ์ใจต่อกันเหตุใดต้องหวาดกลัวเสียงเล่าลือของผู้อื่นด้วยเจ้าคะ ข้าไม่สนหรอกเจ้าค่ะใครจะเอาข้าไปเล่าลืออย่างไร” ‘หนี่ว์เอ๋อร์ เจ้าบริสุทธิ์ใจ แต่สตรีผู้นั้นไม่ได้บริสุทธิ์ใจเช่นที่เจ้าคิดน่ะสิ’ แม้จะอยากกล่าวไปแต่ชินอ๋องซื่อจื่อก็เลือกที่จะเงียบ “ข่าวลือก็เป็นแค่ข่าวลือ ไม่ใช่เรื่องจริงเสียหน่อย” “แล้วเหตุใดพอเป็นเรื่องพี่ เจ้าถึงเชื่อสนิทใจว่าพี่เป็นคนรักของสตรีผู้นั้น” ‘นี่เขากำลังยอกย้อน
11จุดจบของข่าวลือที่น่ารังเกียจ ราวกับถูกฟ้าผ่าตั้งแต่เช้าเมื่อรับมื้อเช้ากับพี่ใหญ่เสร็จแล้วนางก็ถูกเรียกให้ไปสนทนาที่ห้องโถง ใบหน้าคมเข้มของพี่ชายฉายแววเคร่งเครียดจนนางไม่กล้าสบตา “เมื่อวานชินอ๋องซื่อจื่อมาส่งเจ้าที่จวนใช่หรือไม่” “คือ...” นางมองซ้ายทีขวาทีอย่างร้อนรน “อย่าได้คิดโกหกพี่ ตอบมาตามความจริง” เบื่อคนรู้ทัน “จริงเจ้าค่ะ แต่มันมีเหตุนะเจ้าคะ” “เหตุอันใด จงกล่าวมา” “คือหลังจากข้าไปเยี่ยมเยว่ฉ
สาเหตุที่จางชิงเทียนยังไม่ยอมรับการจับคู่ของฮ่องเต้ก็เพราะน้องสาว เขาเป็นห่วงกลัวว่าฮูหยินของตนจะมารังแกน้องสาว “เอาล่ะ ประเดี๋ยวพี่ต้องเข้าวังแล้ว ใกล้ปักปิ่นแล้วช่วงนี้เจ้าก็หยุดออกไปเที่ยวเล่นนอกจวนก่อน” “เจ้าค่ะ” เรื่องจัดงานประชันบุรุษรูปงามเอาไว้ค่อยทำเมื่อผ่านพ้นงานปักปิ่นไปก่อนก็แล้วกัน “พี่ไปล่ะ” “เจ้าค่ะ” จางชิงหนี่ว์ลุกขึ้นเพื่อเดินไปส่งพี่ชายที่หน้าประตูจวน เมื่อพี่ชายเข้าวังไปแล้วคุณหนูจางก็หงอยเหงาในทันที นางเลือกไปนั่งเล่นที่ลำธารในสวน ซึ่งสร้างเลียนแบบขึ้นมาตามความชอบของนาง “คนที่ชอ
“ในเมื่อท่านมองสตรีทะลุปรุโปร่งเช่นนี้ ข้าก็คงไม่มีอันใดจะกล่าว แต่หากอยากให้ข้าเป็นผู้เฒ่าจันทราช่วยสานวาสนาผูกด้ายแดงให้ท่านกับคุณหนูสวี่ ให้รีบบอก ข้ายินดีที่จะให้การช่วยเหลือท่านเต็มที่” “ดูเหมือนเจ้าสนับสนุนคุณหนูสวี่ให้ข้ามากจนเกินงาม เจ้าได้ค่าจ้างจากนางหรือ” “ไม่เจ้าค่ะ ข้าแค่เห็นว่านางเป็นสตรีอันดับหนึ่งเอ่อ...เป็นที่หมายปองของบุรุษทั่วทั้งเมืองหลวง ข้าจึงอยากให้ท่านได้สตรีที่ดีงามเช่นนั้นมาเป็นฮูหยิน” “เจ้าเอาแต่สนับสนุนข้า แล้วเรื่องเจ้ากับชินอ๋องเล่า อยากให้ข้าช่วยผูกด้ายแดงให้หรือไม่” “ไม่ดีกว่าเจ้าค่ะ ข้าไม่ได้พึงใจบุรุษผู้นั้น” “เพราะเหตุใด ข้าได้ยินมาว่าชินอ๋อง
การแต่งฮูหยินที่เร่งรีบของท่านราชครู มีคนมากมายที่อาจจะสงสัยว่าเหตุใดท่านราชครูจางเหว่ยถึงได้เร่งรีบตบแต่งเถ้าแก่เนี้ยร้านขายภาพวาดซือซือเข้าจวนจาง ทั้งที่ก่อนหน้านี้ก็ไม่มีข่าวลือว่าคบหากัน หรืออาจจะเป็นเพราะได้เห็นบทเรียนจากการเล่าลือเรื่องของคุณหนูสวี่ ที่จู่ๆ คนเหล่านั้นบังเอิญลิ้นขาดกลายเป็นคนพูดไม่ได้ แต่โชคดีหนึ่งในนั้นมีคนเขียนอักษรได้ จึงได้เขียนเตือนคนรอบตัวไม่ให้เล่าลือเรื่องราวเกี่ยวกับเชื้อพระวงศ์หรือตระกูลที่ใกล้ชิดราชวงศ์ สุดท้ายจึงไม่มีใครกล้าเล่าลือหรือสงสัยถึงความเร่งรีบของท่านราชครู “พี่เหว่ย ท่านจะไม่เสียใจทีหลังห
ฮองเฮาพบปะสหาย ภายในจวนท่านราชเลขาฯจาง วุ่นวายไม่น้อยเมื่อมีผู้สูงศักดิ์มาเยือนโดยได้นัดหมายกันล่วงหน้า “ถวายพระพรฝ่าบาท ถวายพระพรฮองเฮาพ่ะย่ะค่ะ” ชินอ๋องที่เพิ่งลงจากรถม้าแสดงความเคารพโอรสสวรรค์และฮองเฮา “ถวายพระพรฝ่าบาท ถวายพระพรฮองเฮาเพคะ” พระชายาสกุลจางที่ลงรถม้ามาภายหลังทำความเคารพอีกฝ่ายเช่นกัน “ตามสบายเถิด พวกเจ้าเป็นสหายของเราใช้คำธรรมดาสามัญเถิด”
“เจ้าโอบอุ้มบุตรชายของเราให้แน่นๆ ส่วนเจ้าพี่จะจับให้แน่นๆ เอง” กล่าวจบเขาก็ใช้วิชาตัวเบาโอบอุ้มพานางและบุตรชายกลับตำหนัก ทันทีที่ถึงตำหนักโจวหลี่หมิงถูกส่งตัวให้ซานจี สาวใช้ประจำตัวคนใหม่ของนางที่ทางพระสวามีหามาให้ แน่นอนว่านางมิใช่สาวใช้ธรรมดา เพราะสตรีผู้นี้คือองครักษ์เงาที่ถูกฝึกมาอย่างหนักเพื่อดูแลดวงใจของท่านอ๋อง “นำไปซื่อจื่อไปมอบให้แม่นมแล้วเจ้าไปพัก ข้าจะดูแลพระชายาเอง” บุรุษที่ชื่นชอบการปรนนิบัติฮูหยินกล่าว “แงๆ” แม้จะดีดดิ้นเพียงใด แต่บุตรชายมีหรือจะต่อต้านบิดาได้ “ท่านพี่ หากลูกไม่อยากไป...” ไม่มีมาร
เรื่องเล่าหลังเป็นพระชายาของชิงหนี่ว์ ดวงตาเมล็ดซิ่งทอดมองผืนดินที่เขียวชอุ่มไปด้วยพืชผัก ที่ดินผืนนี้นางใช้เงินที่ได้จากการวาดภาพขายมาซื้อเก็บไว้ เพื่อสร้างรายได้ให้กับบ่าวรับใช้ผู้ภักดีทั้งสอง ก่อนหน้าที่นางจะแต่งเข้าตำหนักอ๋องไม่นาน นางก็จัดการให้จื่อรั่วและจื่อเป่าที่ความสัมพันธ์คืบหน้าไปอย่างรวดเร็วได้เข้าพิธีกราบไหว้ฟ้าดินกันก่อนจะคืนสัญญาทาสแล้วให้ทั้งสองคนย้ายมาปลูกจวนอยู่บนที่ผืนนี้ “พระชายาท่านนั่งพักดื่มน้ำก่อนเถิดเพคะ รอแดดร่มลมตกค่อยออกไปเดินดูด้านนอก”&
“เช่นนั้นก่อนจะลงโทษน้อง ท่านพี่กินข้าวก่อนดีหรือไม่เจ้าคะ” “มิต้อง” กล่าวจบเขาก็รั้งนางเข้าไปแนบชิด มือใหญ่จับยึดคางเรียวเอาไว้ริมฝีปากร้อนกดลงบนกลีบปากบาง ลิ้นร้อนบุกรุกโพรงปากนางอย่างเอาแต่ใจ ในขณะที่มือช่วยปลดเปลื้องอาภรณ์ให้นางอย่างรวดเร็ว ช่างใจร้อนเสียจริง... ดวงหน้าหวานแดงก่ำด้วยความเขินอาย เมื่อพระสวามีของตนที่เพิ่งถอนจุมพิตเร่าร้อนเมื่อครู่ จับจ้องนางราวกับหมาป่าหิวกระหาย “น้องหญิงของพี่เลิศรสกว่าอาหารใดๆ” กล่าวจบเขาก็ช้อนเรือนร่างเปลือยเปล่าเข้าหลังฉากกั้น ว่ากันว่าฮองเฮาชื่นชอบการแช่น้ำร้อน ภายในตำหนักจึงมีบ่อน้ำร้อนขนาดใหญ่อยู่ติดห้องบรรทม 
ฮ่องเต้ผู้เด็ดขาดกับฮองเฮา (แค่บนเตียง) นัยน์ตาดำของบุรุษสูงศักดิ์จับจ้องใบหน้าของสตรีที่ตนรักอย่างไม่ละสายตา มือใหญ่ช่วยคีบอาหารใส่ชามให้นางอย่างเอาใจ “ท่านพี่กินบ้างเถิดเจ้าค่ะ อย่ามัวแต่คีบให้ข้าเลยเจ้าค่ะ” แม้ยามนี้ทั้งสอ
“เอ่อ...ท่านช่วยพาข้าลงจากหลังม้าได้หรือไม่เจ้าคะ” สิ้นเสียงนาง รอยยิ้มบางปรากฏบนใบหน้าไร้ที่ติแม้จะหล่อเหลาน้อยกว่าชินอ๋องซื่อจื่อ แต่ทว่าก็มีสตรีไม่น้อยที่ชื่นชอบบุรุษผู้นี้ หลังจากที่นางได้ขี่ม้าตัวเดียวกับบุรุษที่สตรีหลายคนหมายปอง นางก็มักจะเจอเขาที่เหลาอาหารหรือโรงเตี๊ยมอยู่บ่อยครั้ง เพราะไม่สบายใจกับสายตาจาบจ้วงของบุรุษในวันนั้นนางจึงไม่กล้าไปที่ร้านบะหมี่เนื้อของท่านป้าผู้นั้นอีก แต่ไม่แน่ใจว่าเป็นเรื่องแปลกหรือไม่ นางมักจะเจอท่านราชเลขาฯจางผู้นั้นอยู่บ่อยครั้ง วันนี้ก็เช่นกัน “ดูเหมือนเจ้าจะชื่นชอบการออกมากินข้าวนอกจวน มิทราบว่าพ่อครัวจวนหวังทำอาหารไม่อร่อยหรือ” เขามานั่งร่วมโต๊ะโดยที่นางไม่ต้องเชิญทุกครา จนกลายเป็นความเคยชิ
“ข้าอิ่มแล้วเจ้าค่ะ ได้โปรดยกเท้าที่เหยียบชายอาภรณ์ข้าด้วยเจ้าค่ะ” “เจ้ารู้หรือไม่ มีขอทานและคนยากจนที่ไม่มีแม้แต่ข้าวจะกิน หากคนพวกนั้นมาเห็นเจ้ากินเหลือเช่นนั้น พวกเขาคงตัดพ้อ พวกเขาไม่มีโอกาสแม้แต่จะได้กินบะหมี่น้ำธรรมดา แต่เจ้าที่เป็นคุณหนูกลับกินทิ้งกินขว้าง กินเพียงคำสองคนไม่ถูกใจก็ทิ้ง จะว่าไปก็น่าสงสารชาวบ้านที่เขาทำปลูกพืชผักและเลี้ยงสัตว์นะ พวกเขาลำบากเพียงใดกว่าจะปลูกพืชผักและเลี้ยงสัตว์มาเพื่อเป็นอาหารให้พวกเราได้กิน...” “พอแล้วเจ้าค่ะ ข้ากินให้หมดก็ได้” คุณหนูหวังกล่าวก่อนจะนั่งลงตามเดิม มือเรียวหยิบตะเกียบมาคีบกินบะหมี่เนื้อที่ตนกินค้างไว้ พร้อมกับบะหมี่เนื้อที่เขาสั่งถูกนำมาให้พอดี มุมปากของเขาหยักยิ้มเมื่อเห็นท่าทางของนาง จางชิงเทียนกินบะหมี่เนื้อไปลอบมองสหายของน้องสาวไป เขาเพิ่งสังเกตว่าคุณหน
“ข้าเห็นเจ้าเดินออกจากโรงเตี๊ยมจึงเดินตามเพียงเท่านั้น” กล่าวจบสายตาของท่านราชเลขาฯ ก็จับจ้องดวงหน้าหวานที่มักจะส่งยิ้มให้เขาอยู่เสมอ แต่ทว่าวันนี้กลับบึ้งตึง “ท่านป้าเจ้าขา วันนี้ข้าต้องไปแล้ว ท่านมาเก็บโต๊ะเถิดเจ้าค่ะ คุณชายพวกนี้จะได้มีโต๊ะนั่งไม่ต้องมายืนจ้องผู้อื่นให้เสียมารยาทเช่นนี้” กล่าวจบนางก็วางเหรียญอีแปะลงบนโต๊ะก่อนจะเดินออกจากร้านไป ตั้งแต่ต้นจนจบนางไม่ทักทายเขาเช่นที่เคยทำ ต้องเป็นเพราะที่เขากล่าววาจาไม่ดีใส่นางในวันนั้นเป็นแน่ “ชิงเทียนเจ้ารู้จักคุณหนูผู้นั้นหรือ” “เจ้าชอบนางหรือ” “ใช่ ข้าอยากเกี้ยวพานาง ในเมืองหลวงนี้จะมีคุณหนูส