“กล่าวถึงเรื่องที่สนทนาค้างไว้เมื่อครู่ ท่านบอกว่าที่องค์รัชทายาทไม่ยอมยกเลิกการหมั้นหมายเพราะพึงใจในสหายข้าหรือเจ้าคะ” เพราะความอยากรู้นางจึงยอมขึ้นรถมากับเจ้าตัวซวยนี่
“พี่คาดเดาว่าเป็นเช่นนั้น” เขากล่าวพลางจ้องมองนางไม่วางตา คำเรียกขานเปลี่ยนไปเมื่ออยู่ด้วยกันตามลำพัง
“คาดเดา? ข้าว่าท่านเดาผิดแล้ว สตรีที่องค์รัชทายาทพึงพอใจไม่ใช่สหายข้าหรอกเจ้าค่ะ” ก็แค่อยากเอาชนะคู่หมายของตนเพียงเท่านั้น
“เช่นนั้นเจ้าคิดว่าองค์รัชทายาทพึงใจใคร”
“คุณหนูสวี่ลู่ฟาง”
“เหตุใดถึงคิดว่าเป็นนาง”
“ชาวบ้านเล่าลือกันให้สนุกปากว่าองค์รัชทายาทมีใจให้นาง”
“มันก็แค่เรื่องเล่าลือ เชื่อพี่เถิด เฟยหลงน่ะลุ่มหลงสหายเจ้าจนถอนตัวไม่ขึ้นแล้ว”
“เป็นเช่นนั้นก็ดีแล้วเจ้าค่ะ” จะได้ไม่ผิดใจกับท่านอย่างไรเล่า
“...” นัยน์ตาดำที่จับจ้องนางฉายแววอ่อนโยนจนนางไม่กล้าสบตาเขายามสนทนา เสน่ห์ของบุรุษรูปงามน่ากลัวเกินไปแล้ว ข้าต้องระวังตัวไม่ให้ตกหลุมพราง
“ข้าเพิ่งได้เห็นใบหน้าของคุณหนูสวี่ชัดๆ ก็วันนี้ นางงดงามมากความสามารถสมกับเป็นสตรีอันดับหนึ่งของเมืองหลวงจริงๆ นะเจ้าคะ”
“...”
“ข้าได้ยินมาว่านางสนทนาด้วยแล้วสนุก ยามยกยิ้มงดงามราวกับนางเซียนจำแลงกาย ทั้งยังจิตใจดี มีเมตตา เหมาะสมกับท่านราวกับกิ่งทองใบหยก”
“...”
ไม่ปฏิเสธเช่นนี้หมายความว่าทั้งสองเป็นคนรักกันจริงๆ หรือ
“หากนางทำอันใดให้ท่านไม่พอใจ ท่านอภัยให้นางเถิดเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวนางน้อยใจแล้วเปลี่ยนใจไปหาบุรุษอื่นท่านจะชอกช้ำใจเสียเปล่านะเจ้าคะ สตรีเพียบพร้อมมีแต่บุรุษอยากเกี้ยวพา” ในความหมายของนางคือรีบๆ กลับไปคืนดีกันซะ อย่าได้เอานางมาคั่นกลางเพื่อประชดคนรักเลย นางกลัวตนเองไม่ได้ตายดี
“เจ้ากล่าวจบหรือยัง”
“จบแล้วเจ้าค่ะ ขออภัยหากข้าล่วงล้ำเรื่องของท่านมากไป ข้าเพียงแต่ไม่อยากให้หมางเมินสตรีงดงามนานเกินไป”
“ในสายตาพี่ สตรีที่นั่งอยู่ตรงหน้าพี่ในตอนนี้งดงามเหนือใคร แล้วพี่ก็ไม่ได้พึงใจคุณหนูสวี่ผู้นั้น เจ้าไปเอามาจากที่ใดว่าพี่พึงใจนาง”
“ชาวบ้านเขาเล่าลือกันทั่วเมืองหลวงว่าท่านโกรธเกรี้ยวที่องค์รัชทายาทไปส่งคุณหนูสวี่ที่จวน ในงานจิบน้ำชาชมดอกไม้ที่จวนหลิวท่านจึงมึนตึงใส่โฉมงามอันดับหนึ่งของเมืองหลวง”
“เหลวไหลทั้งเพ น่าจับคนพวกนี้มาตัดลิ้นทิ้งให้หมด พี่จะกล่าวให้เจ้าฟังอีกครั้ง พี่ไม่ได้พึงใจสตรีผู้นั้น ไม่เคยเกี้ยวพาใดๆ ทั้งสิ้น”
“แต่ข่าวลือพวกนั้น...”
“ข่าวลืออาจจะถูกปล่อยออกมาจากใครบางคน” หรือไม่ก็เป็นสตรีผู้นั้นที่จงใจทำเช่นนี้
“เช่นนั้นท่านกับนาง...”
“ไม่ได้เป็นอันใดกัน หากกล่าวว่าพี่สนทนากับสตรีผู้ใดมากที่สุดในแคว้น สตรีผู้นั้นคงจะเป็นเจ้า”
‘นี่มันเรื่องอันใดกัน’ สรุปแล้วเรื่องความรักอันแสนงดงามระหว่างบุตรสาวหมอหลวงกับบุรุษสูงศักดิ์อย่างชินอ๋องซื่อจื่อก็เป็นเรื่องเล่าลือที่ไร้ความจริง
แล้วทั้งสองคนจะตกหลุมรักกันเมื่อใด นั่นคือสิ่งที่นางต้องจับตาดูต่อไป
“กระจ่างชัดแจ้งแล้วใช่หรือไม่”
“เจ้าค่ะ” นางก้มหน้าลงเล็กน้อยเมื่อสบตาเข้ากับสายตาคมกล้าที่ฉายแววล้ำลึก
“เช่นนั้นก็ถึงคราวที่พี่จะตักเตือนเจ้าบ้างแล้ว”
“ตักเตือนข้า? เรื่องอันใดหรือเจ้าคะ”
“เจ้าควรรักษาระยะห่างกับคุณหนูเจิ้ง อย่าได้ใกล้ชิดสนิทสนมกันเกินงาม”
“ข้าใกล้ชิดสนิทสนมนางอย่างไรเจ้าคะ”
“จับมือ จุมพิตมือ โอบกอด ห้ามทำเช่นนั้นกับสหายเด็ดขาด มิเช่นนั้นผู้อื่นจะเอาไปเล่าลือกันว่าเจ้าสองคนเป็น หมัวจิ้ง”
“ที่ท่านกล่าวมามันเป็นเพียงการหยอกเย้าระหว่างสหายนะเจ้าคะ” มันเป็นเรื่องธรรมดาสามัญไม่ใช่หรือ ที่สหายสนิทกันมากๆ จะทำเช่นนั้น ในโลกเดิมที่นางเคยอยู่การกระทำเช่นนี้ต่อสหายเป็นเรื่องธรรมดาสามัญมิได้แปลกประหลาดอันใด
“หนี่ว์เอ๋อร์ เจ้าอย่าได้ลืมสิ ว่าสหายของเจ้าในภายหน้านางจะต้องขึ้นเป็นฮองเฮา นางจะมีข่าวลือเสียหายไม่ได้แม้เจ้าจะเป็นสหายที่สนิทสนมกันก็ตามอย่างไรก็ควรรักษาระยะห่าง”
“หนี่ว์เอ๋อร์ เจ้าอย่าได้ลืมสิ ว่าสหายของเจ้าในภายหน้านางจะต้องขึ้นเป็นฮองเฮา นางจะมีข่าวลือเสียหายไม่ได้แม้เจ้าจะเป็นสหายที่สนิทสนมกันก็ตามอย่างไรก็ควรรักษาระยะห่าง” “แต่ข้ากับนางบริสุทธิ์ใจต่อกันเหตุใดต้องหวาดกลัวเสียงเล่าลือของผู้อื่นด้วยเจ้าคะ ข้าไม่สนหรอกเจ้าค่ะใครจะเอาข้าไปเล่าลืออย่างไร” ‘หนี่ว์เอ๋อร์ เจ้าบริสุทธิ์ใจ แต่สตรีผู้นั้นไม่ได้บริสุทธิ์ใจเช่นที่เจ้าคิดน่ะสิ’ แม้จะอยากกล่าวไปแต่ชินอ๋องซื่อจื่อก็เลือกที่จะเงียบ “ข่าวลือก็เป็นแค่ข่าวลือ ไม่ใช่เรื่องจริงเสียหน่อย” “แล้วเหตุใดพอเป็นเรื่องพี่ เจ้าถึงเชื่อสนิทใจว่าพี่เป็นคนรักของสตรีผู้นั้น” ‘นี่เขากำลังยอกย้อน
11จุดจบของข่าวลือที่น่ารังเกียจ ราวกับถูกฟ้าผ่าตั้งแต่เช้าเมื่อรับมื้อเช้ากับพี่ใหญ่เสร็จแล้วนางก็ถูกเรียกให้ไปสนทนาที่ห้องโถง ใบหน้าคมเข้มของพี่ชายฉายแววเคร่งเครียดจนนางไม่กล้าสบตา “เมื่อวานชินอ๋องซื่อจื่อมาส่งเจ้าที่จวนใช่หรือไม่” “คือ...” นางมองซ้ายทีขวาทีอย่างร้อนรน “อย่าได้คิดโกหกพี่ ตอบมาตามความจริง” เบื่อคนรู้ทัน “จริงเจ้าค่ะ แต่มันมีเหตุนะเจ้าคะ” “เหตุอันใด จงกล่าวมา” “คือหลังจากข้าไปเยี่ยมเยว่ฉ
สาเหตุที่จางชิงเทียนยังไม่ยอมรับการจับคู่ของฮ่องเต้ก็เพราะน้องสาว เขาเป็นห่วงกลัวว่าฮูหยินของตนจะมารังแกน้องสาว “เอาล่ะ ประเดี๋ยวพี่ต้องเข้าวังแล้ว ใกล้ปักปิ่นแล้วช่วงนี้เจ้าก็หยุดออกไปเที่ยวเล่นนอกจวนก่อน” “เจ้าค่ะ” เรื่องจัดงานประชันบุรุษรูปงามเอาไว้ค่อยทำเมื่อผ่านพ้นงานปักปิ่นไปก่อนก็แล้วกัน “พี่ไปล่ะ” “เจ้าค่ะ” จางชิงหนี่ว์ลุกขึ้นเพื่อเดินไปส่งพี่ชายที่หน้าประตูจวน เมื่อพี่ชายเข้าวังไปแล้วคุณหนูจางก็หงอยเหงาในทันที นางเลือกไปนั่งเล่นที่ลำธารในสวน ซึ่งสร้างเลียนแบบขึ้นมาตามความชอบของนาง “คนที่ชอ
“ในเมื่อท่านมองสตรีทะลุปรุโปร่งเช่นนี้ ข้าก็คงไม่มีอันใดจะกล่าว แต่หากอยากให้ข้าเป็นผู้เฒ่าจันทราช่วยสานวาสนาผูกด้ายแดงให้ท่านกับคุณหนูสวี่ ให้รีบบอก ข้ายินดีที่จะให้การช่วยเหลือท่านเต็มที่” “ดูเหมือนเจ้าสนับสนุนคุณหนูสวี่ให้ข้ามากจนเกินงาม เจ้าได้ค่าจ้างจากนางหรือ” “ไม่เจ้าค่ะ ข้าแค่เห็นว่านางเป็นสตรีอันดับหนึ่งเอ่อ...เป็นที่หมายปองของบุรุษทั่วทั้งเมืองหลวง ข้าจึงอยากให้ท่านได้สตรีที่ดีงามเช่นนั้นมาเป็นฮูหยิน” “เจ้าเอาแต่สนับสนุนข้า แล้วเรื่องเจ้ากับชินอ๋องเล่า อยากให้ข้าช่วยผูกด้ายแดงให้หรือไม่” “ไม่ดีกว่าเจ้าค่ะ ข้าไม่ได้พึงใจบุรุษผู้นั้น” “เพราะเหตุใด ข้าได้ยินมาว่าชินอ๋อง
“ดูเหมือนจะมีคนเป็นเดือดเป็นร้อนเพราะข่าวลือเช่นเดียวกับข้า” “ที่ผ่านมาข้าไม่สนใจเพราะข้าไม่ไยดีคู่หมายของตน แต่ตอนนี้มันไม่ได้เป็นเช่นนั้นแล้ว ข้าจึงอยากจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยนางจะได้ไม่เข้าใจข้าผิดอีก” “องค์รัชทายาทเช่นท่านก็มีวันที่เป็นเช่นนี้” “อื้อๆ อื้อๆ” เมื่อได้ยินว่าชายตรงหน้าคือบุรุษสูงศักดิ์ในข่าวลือที่ตนกล่าวถึงหลายครั้ง หญิงวัยกลางคนจึงดิ้นรนเพื่อคาดหวังให้อีกฝ่ายมีใจเมตตาช่วยเหลือ แต่ก็ไม่อาจเอื้อนเอ่ยหรือขยับตัวได้เพราะถูกตรึงให้อยู่นิ่งด้วยฝีมือของบุรุษชุดดำ “ครานี้คงไม่ใช่มีแต่ข้าที่เดือดร้อนเรื่องข่าวลือกระมัง มิเช่นนั้นข้าจะมาเจอชินอ๋องซื่อจื่ออย่างเจ้าที่นี่หรือ”&
12ปิ่นไม้ดอกหมู่ตาน งานปักปิ่นของนางถูกจัดขึ้นที่จวนราชครูจางของท่านปู่และท่านลุงตามความต้องการของทั้งสอง แม้ตั้งใจเอาไว้ว่าจะจัดงานเล็กๆ เฉพาะญาติและสหายสนิทดั่งเช่นจวนเจิ้ง แต่พอถึงวันจริงกลับมีผู้คนมากมายที่หวังจะประจบเอาใจจวนราชครูที่บรรดาขุนนางรู้ดีว่าคนตระกูลนี้มีความสำคัญในพระทัยของฮ่องเต้ จึงไม่มีใครกล้ามองข้ามแม้จะไม่ได้รับเทียบเชิญแต่ทว่าหลายคนก็ยังยินดีมาร่วมงานไม่เว้นแม้แต่ชินอ๋องซื่อจื่อ และองค์รัชทายาทที่ติดสอยห้อยตามมากับสหายของนาง พิธีปักปิ่นผ่านไปอย่างเรียบร้อย ปิ่นหลายอันถูกปักอยู่บนผมนางซึ่งนางเข้าใจว่า บุรุษตระกูลจางที่รักและเอ็นดูนางทั้งสามคงตระเตรียมเอาไว้ให้นางคนละชิ้น หลังจากเสร็จสิ้นพิธีการแล้ว คุณหนูจางจึงไปผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ชุดใหม่พร้อมกับเลือกปิ่นปักผมขึ้นมาอันหนึ่งเ
สายตาที่จ้องมองนางเต็มไปด้วยความพึงพอใจ ก่อนที่นางจะดึงสายตาตนกลับมาอย่างยอมแพ้ ทำอย่างไรได้นางใจไม่แข็งพอที่เล่นสบตากับบุรุษรูปงาม “ในเมื่อสหายเจ้ามาครบเช่นนี้ ข้าว่าถึงเวลาแล้วที่เราควรบอกกล่าวข่าวดีแก่พวกนาง” “ข่าวดี ข่าวอันใดหรือเข่อชิง” หวังเยว่ฉิงเอ่ยถามสหาย “ข้าไม่รู้ องค์รัชทายาทนี่พระองค์กล่าวอันใดออกมา หม่อมฉันไม่เล่นด้วยนะเพคะ” อย่าได้คิดกล่าวเรื่องไม่ดีต่อหน้าชิงหนี่ว์เด็ดขาด “เรื่องงานหมั้นที่จะเกิดในอีกเจ็ดวันข้างหน้าข้าจะเอามาล้อเล่นได้อย่างไร” “งานหมั้นหรือเจ้าคะ” สีหน้าของคุณหนูเจิ้งบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าตกใจกับเรื่องนี้ไม่น้อย
“จิบชาเสียหน่อยสิ” เสียงทุ้มของบุรุษผู้หนึ่งกล่าวขึ้นพลางทรุดตัวนั่งลงตรงเก้าอี้ข้างตัวนาง “ขอบคุณเจ้าค่ะ” นางรับชาจอกนั้นมาโดยไม่ทันสังเกตว่าเป็นผู้ใดยื่นให้ “เสียใจมากหรือไม่ที่คุณหนูเจิ้งจะหมั้นหมายกับองค์รัชทายาท” “ก็เสียใจอยู่บ้าง อ๊ะ! ชินอ๋องซื่อจื่อ” จางชิงหนี่ว์ที่กำลังจะเอ่ยตอบอีกฝ่ายรีบรั้งสติของตนกลับมา “เจ้ามีใจให้คุณหนูเจิ้งหรืออย่างไรเหตุใดถึงต้องเสียใจเช่นนั้น” แม้น้ำเสียงที่เขากล่าวออกมาจะอ่อนโยนแฝงความเอ็นดู แต่แท้จริงแล้วเพียงแค่คิดว่านางกับสตรีผู้นั้นเป็นหมัวจิ้งมีใจให้กัน ในอกเขาก็รู้สึกเหมือนกำลังถูกไฟโทสะสุมอยู่ “สหายจะต้องแต่งงานไปกับบุรุษที่อีกไม่
การแต่งฮูหยินที่เร่งรีบของท่านราชครู มีคนมากมายที่อาจจะสงสัยว่าเหตุใดท่านราชครูจางเหว่ยถึงได้เร่งรีบตบแต่งเถ้าแก่เนี้ยร้านขายภาพวาดซือซือเข้าจวนจาง ทั้งที่ก่อนหน้านี้ก็ไม่มีข่าวลือว่าคบหากัน หรืออาจจะเป็นเพราะได้เห็นบทเรียนจากการเล่าลือเรื่องของคุณหนูสวี่ ที่จู่ๆ คนเหล่านั้นบังเอิญลิ้นขาดกลายเป็นคนพูดไม่ได้ แต่โชคดีหนึ่งในนั้นมีคนเขียนอักษรได้ จึงได้เขียนเตือนคนรอบตัวไม่ให้เล่าลือเรื่องราวเกี่ยวกับเชื้อพระวงศ์หรือตระกูลที่ใกล้ชิดราชวงศ์ สุดท้ายจึงไม่มีใครกล้าเล่าลือหรือสงสัยถึงความเร่งรีบของท่านราชครู “พี่เหว่ย ท่านจะไม่เสียใจทีหลังห
ฮองเฮาพบปะสหาย ภายในจวนท่านราชเลขาฯจาง วุ่นวายไม่น้อยเมื่อมีผู้สูงศักดิ์มาเยือนโดยได้นัดหมายกันล่วงหน้า “ถวายพระพรฝ่าบาท ถวายพระพรฮองเฮาพ่ะย่ะค่ะ” ชินอ๋องที่เพิ่งลงจากรถม้าแสดงความเคารพโอรสสวรรค์และฮองเฮา “ถวายพระพรฝ่าบาท ถวายพระพรฮองเฮาเพคะ” พระชายาสกุลจางที่ลงรถม้ามาภายหลังทำความเคารพอีกฝ่ายเช่นกัน “ตามสบายเถิด พวกเจ้าเป็นสหายของเราใช้คำธรรมดาสามัญเถิด”
“เจ้าโอบอุ้มบุตรชายของเราให้แน่นๆ ส่วนเจ้าพี่จะจับให้แน่นๆ เอง” กล่าวจบเขาก็ใช้วิชาตัวเบาโอบอุ้มพานางและบุตรชายกลับตำหนัก ทันทีที่ถึงตำหนักโจวหลี่หมิงถูกส่งตัวให้ซานจี สาวใช้ประจำตัวคนใหม่ของนางที่ทางพระสวามีหามาให้ แน่นอนว่านางมิใช่สาวใช้ธรรมดา เพราะสตรีผู้นี้คือองครักษ์เงาที่ถูกฝึกมาอย่างหนักเพื่อดูแลดวงใจของท่านอ๋อง “นำไปซื่อจื่อไปมอบให้แม่นมแล้วเจ้าไปพัก ข้าจะดูแลพระชายาเอง” บุรุษที่ชื่นชอบการปรนนิบัติฮูหยินกล่าว “แงๆ” แม้จะดีดดิ้นเพียงใด แต่บุตรชายมีหรือจะต่อต้านบิดาได้ “ท่านพี่ หากลูกไม่อยากไป...” ไม่มีมาร
เรื่องเล่าหลังเป็นพระชายาของชิงหนี่ว์ ดวงตาเมล็ดซิ่งทอดมองผืนดินที่เขียวชอุ่มไปด้วยพืชผัก ที่ดินผืนนี้นางใช้เงินที่ได้จากการวาดภาพขายมาซื้อเก็บไว้ เพื่อสร้างรายได้ให้กับบ่าวรับใช้ผู้ภักดีทั้งสอง ก่อนหน้าที่นางจะแต่งเข้าตำหนักอ๋องไม่นาน นางก็จัดการให้จื่อรั่วและจื่อเป่าที่ความสัมพันธ์คืบหน้าไปอย่างรวดเร็วได้เข้าพิธีกราบไหว้ฟ้าดินกันก่อนจะคืนสัญญาทาสแล้วให้ทั้งสองคนย้ายมาปลูกจวนอยู่บนที่ผืนนี้ “พระชายาท่านนั่งพักดื่มน้ำก่อนเถิดเพคะ รอแดดร่มลมตกค่อยออกไปเดินดูด้านนอก”&
“เช่นนั้นก่อนจะลงโทษน้อง ท่านพี่กินข้าวก่อนดีหรือไม่เจ้าคะ” “มิต้อง” กล่าวจบเขาก็รั้งนางเข้าไปแนบชิด มือใหญ่จับยึดคางเรียวเอาไว้ริมฝีปากร้อนกดลงบนกลีบปากบาง ลิ้นร้อนบุกรุกโพรงปากนางอย่างเอาแต่ใจ ในขณะที่มือช่วยปลดเปลื้องอาภรณ์ให้นางอย่างรวดเร็ว ช่างใจร้อนเสียจริง... ดวงหน้าหวานแดงก่ำด้วยความเขินอาย เมื่อพระสวามีของตนที่เพิ่งถอนจุมพิตเร่าร้อนเมื่อครู่ จับจ้องนางราวกับหมาป่าหิวกระหาย “น้องหญิงของพี่เลิศรสกว่าอาหารใดๆ” กล่าวจบเขาก็ช้อนเรือนร่างเปลือยเปล่าเข้าหลังฉากกั้น ว่ากันว่าฮองเฮาชื่นชอบการแช่น้ำร้อน ภายในตำหนักจึงมีบ่อน้ำร้อนขนาดใหญ่อยู่ติดห้องบรรทม 
ฮ่องเต้ผู้เด็ดขาดกับฮองเฮา (แค่บนเตียง) นัยน์ตาดำของบุรุษสูงศักดิ์จับจ้องใบหน้าของสตรีที่ตนรักอย่างไม่ละสายตา มือใหญ่ช่วยคีบอาหารใส่ชามให้นางอย่างเอาใจ “ท่านพี่กินบ้างเถิดเจ้าค่ะ อย่ามัวแต่คีบให้ข้าเลยเจ้าค่ะ” แม้ยามนี้ทั้งสอ
“เอ่อ...ท่านช่วยพาข้าลงจากหลังม้าได้หรือไม่เจ้าคะ” สิ้นเสียงนาง รอยยิ้มบางปรากฏบนใบหน้าไร้ที่ติแม้จะหล่อเหลาน้อยกว่าชินอ๋องซื่อจื่อ แต่ทว่าก็มีสตรีไม่น้อยที่ชื่นชอบบุรุษผู้นี้ หลังจากที่นางได้ขี่ม้าตัวเดียวกับบุรุษที่สตรีหลายคนหมายปอง นางก็มักจะเจอเขาที่เหลาอาหารหรือโรงเตี๊ยมอยู่บ่อยครั้ง เพราะไม่สบายใจกับสายตาจาบจ้วงของบุรุษในวันนั้นนางจึงไม่กล้าไปที่ร้านบะหมี่เนื้อของท่านป้าผู้นั้นอีก แต่ไม่แน่ใจว่าเป็นเรื่องแปลกหรือไม่ นางมักจะเจอท่านราชเลขาฯจางผู้นั้นอยู่บ่อยครั้ง วันนี้ก็เช่นกัน “ดูเหมือนเจ้าจะชื่นชอบการออกมากินข้าวนอกจวน มิทราบว่าพ่อครัวจวนหวังทำอาหารไม่อร่อยหรือ” เขามานั่งร่วมโต๊ะโดยที่นางไม่ต้องเชิญทุกครา จนกลายเป็นความเคยชิ
“ข้าอิ่มแล้วเจ้าค่ะ ได้โปรดยกเท้าที่เหยียบชายอาภรณ์ข้าด้วยเจ้าค่ะ” “เจ้ารู้หรือไม่ มีขอทานและคนยากจนที่ไม่มีแม้แต่ข้าวจะกิน หากคนพวกนั้นมาเห็นเจ้ากินเหลือเช่นนั้น พวกเขาคงตัดพ้อ พวกเขาไม่มีโอกาสแม้แต่จะได้กินบะหมี่น้ำธรรมดา แต่เจ้าที่เป็นคุณหนูกลับกินทิ้งกินขว้าง กินเพียงคำสองคนไม่ถูกใจก็ทิ้ง จะว่าไปก็น่าสงสารชาวบ้านที่เขาทำปลูกพืชผักและเลี้ยงสัตว์นะ พวกเขาลำบากเพียงใดกว่าจะปลูกพืชผักและเลี้ยงสัตว์มาเพื่อเป็นอาหารให้พวกเราได้กิน...” “พอแล้วเจ้าค่ะ ข้ากินให้หมดก็ได้” คุณหนูหวังกล่าวก่อนจะนั่งลงตามเดิม มือเรียวหยิบตะเกียบมาคีบกินบะหมี่เนื้อที่ตนกินค้างไว้ พร้อมกับบะหมี่เนื้อที่เขาสั่งถูกนำมาให้พอดี มุมปากของเขาหยักยิ้มเมื่อเห็นท่าทางของนาง จางชิงเทียนกินบะหมี่เนื้อไปลอบมองสหายของน้องสาวไป เขาเพิ่งสังเกตว่าคุณหน
“ข้าเห็นเจ้าเดินออกจากโรงเตี๊ยมจึงเดินตามเพียงเท่านั้น” กล่าวจบสายตาของท่านราชเลขาฯ ก็จับจ้องดวงหน้าหวานที่มักจะส่งยิ้มให้เขาอยู่เสมอ แต่ทว่าวันนี้กลับบึ้งตึง “ท่านป้าเจ้าขา วันนี้ข้าต้องไปแล้ว ท่านมาเก็บโต๊ะเถิดเจ้าค่ะ คุณชายพวกนี้จะได้มีโต๊ะนั่งไม่ต้องมายืนจ้องผู้อื่นให้เสียมารยาทเช่นนี้” กล่าวจบนางก็วางเหรียญอีแปะลงบนโต๊ะก่อนจะเดินออกจากร้านไป ตั้งแต่ต้นจนจบนางไม่ทักทายเขาเช่นที่เคยทำ ต้องเป็นเพราะที่เขากล่าววาจาไม่ดีใส่นางในวันนั้นเป็นแน่ “ชิงเทียนเจ้ารู้จักคุณหนูผู้นั้นหรือ” “เจ้าชอบนางหรือ” “ใช่ ข้าอยากเกี้ยวพานาง ในเมืองหลวงนี้จะมีคุณหนูส