“หนี่ว์เอ๋อร์ เจ้าอย่าได้ลืมสิ ว่าสหายของเจ้าในภายหน้านางจะต้องขึ้นเป็นฮองเฮา นางจะมีข่าวลือเสียหายไม่ได้แม้เจ้าจะเป็นสหายที่สนิทสนมกันก็ตามอย่างไรก็ควรรักษาระยะห่าง”
“แต่ข้ากับนางบริสุทธิ์ใจต่อกันเหตุใดต้องหวาดกลัวเสียงเล่าลือของผู้อื่นด้วยเจ้าคะ ข้าไม่สนหรอกเจ้าค่ะใครจะเอาข้าไปเล่าลืออย่างไร”
‘หนี่ว์เอ๋อร์ เจ้าบริสุทธิ์ใจ แต่สตรีผู้นั้นไม่ได้บริสุทธิ์ใจเช่นที่เจ้าคิดน่ะสิ’ แม้จะอยากกล่าวไปแต่ชินอ๋องซื่อจื่อก็เลือกที่จะเงียบ
“ข่าวลือก็เป็นแค่ข่าวลือ ไม่ใช่เรื่องจริงเสียหน่อย”
“แล้วเหตุใดพอเป็นเรื่องพี่ เจ้าถึงเชื่อสนิทใจว่าพี่เป็นคนรักของสตรีผู้นั้น”
‘นี่เขากำลังยอกย้อนข้า’
“เจ้าก็เห็นแล้วไม่ใช่หรือว่าคำเล่าลือทำให้เจ้ามองพี่ผิดไปมากเช่นไร แล้วคราวนี้เจ้าจะยังดื้อรั้นไม่สนใจข่าวลือเรื่องเจ้ากับสหายเรื่องที่เป็นหมัวจิ้งอยู่หรือไม่”
‘ต่อล้อต่อเถียงเก่งเหลือเกินบุรุษผู้นี้’ นางค่อนขอดอยู่ในใจก่อนจะรู้สึกประหลาดใจขึ้นมา
เมื่อใดกันนะที่นางกับตัวซวยผู้นี้สนทนากันได้อย่างลื่นไหลเช่นนี้ คล้ายกับความอยากหลีกหนีลดลงหลังจากได้พูดคุยรู้จักกันมากขึ้น
หลังจากจบบทสนทนาไม่นาน รถม้าจวนชินอ๋องก็หยุดวิ่งพร้อมกับเสียงบอกกล่าวว่าถึงจวนจางแล้ว คุณหนูจางจึงลุกขึ้นเพื่อจะลงจากรถม้าแต่กลับถูกฉุดรั้งข้อมือจากบุรุษรูปงาม เนื่องจากไม่ทันตั้งตัวร่างบอบบางจึงเซถลาไปตามแรงดึงเข้าหาอกแกร่งอย่างตั้งใจ
มุมปากหยักยกยิ้มเล็กน้อยเมื่อได้กลิ่นหอมจากกายนุ่มนิ่ม นัยน์ตาดำวาววับเปล่งประกาย ใบหน้าหล่อไร้ที่ติก้มลงเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยปากที่ข้างหูสตรีตัวน้อยที่ทำท่าจะดิ้นรนไม่อยู่นิ่ง
“ท่านคิดจะทำอันใด ปล่อยข้านะเจ้าคะ” ชินอ๋องซื่อจื่อผู้ถ้อยทีถ้อยอาศัยคนเมื่อครู่หายไปไหนเสียแล้ว
“เจ้าดิ้นเช่นนี้ ทำให้รถม้าโยกไหวไปมาช่างชวนให้คนที่ผ่านไปมาคิดไม่ดีเอาเสียเลย” เขากล่าว ปลายจมูกและริมฝีปากเฉียดผ่านดวงหน้าหวานไปมายามนางดิ้น
“ท่าน! ก็ปล่อยข้าสิเจ้าคะ” นางหยุดดิ้นก่อนจะเงยหน้าขึ้นจ้องมองเขาด้วยสายตาวาววับด้วยโทสะ
“สนทนากันนานสองนาน เจ้าเข้าใจแล้วใช่หรือไม่ว่าข่าวลือพวกนั้นเป็นแค่เรื่องเหลวไหล พี่ไม่ได้พึงใจสตรีคนใดทั้งนั้น”
“เจ้าค่ะ” อะไรกันอยากพูดเรื่องนี้เองหรอกหรือ
"เช่นนั้นต่อจากนี้พี่หวังว่าจะไม่ได้ยินหรือเห็นเจ้าทำตัวเป็นผู้เฒ่าจันทราพยายามผูกด้ายแดงให้พี่กับคุณหนูสวี่หรือสตรีอื่น” ใบหน้าไร้ที่ติเคลื่อนเข้ามาใกล้มากขึ้นจนปลายจมูกเขาสัมผัสกับแก้มเนียน เสียงกระซิบและลมหายใจที่เป่ารดหูนางนอกจากจะทำให้นางขนลุกแล้ว ยังทำให้ดวงหน้าหวานแดงก่ำลามไปจนถึงใบหู
‘เขาพึงใจข้าหรืออย่างไร เหตุใดถึงกินเต้าหู้ข้ามากเช่นนี้’ แต่จะเป็นเช่นนั้นไปได้อย่างไรในเมื่อนางเพิ่งได้เจอเขาเพียงไม่กี่ครั้ง ก่อนหน้านี้ก็หลบเลี่ยงมาโดยตลอดไม่เคยใกล้ชิด แล้วจะเอาอันใดมาพึงใจนาง
“ว่าอย่างไร เข้าใจที่พี่บอกหรือไม่”
“ขะ เข้าใจเจ้าค่ะ”
“แล้วเรื่องที่พี่เตือนเจ้าว่าต่อจากนี้ให้รักษาระยะห่างจากคุณหนูเจิ้งเล่า”
“เข้าใจเจ้าค่ะ” เรื่องแรกนั้นเข้าใจชัดเจน แต่เรื่องหลังนางขอรับปากส่งๆ ไปได้หรือไม่ เพราะความสนิทสนมระหว่างสหายมันไม่ได้เสียหายอันใดนี่ หรือว่าแท้จริงแล้วเป็นองค์รัชทายาทหวงแหนคู่หมาย จนแม้แต่สตรีก็ไม่อยากให้ใกล้
จะเป็นบุรุษคลั่งรักมากเกินไปหรือไม่...
“ช่วงนี้ใกล้ปักปิ่นแล้วอย่าได้ออกไปเที่ยวเล่นซุกซนที่ไหน”
“เจ้าค่ะ” สั่งนางยิ่งกว่าพี่ใหญ่
“เช่นนั้นเอาไว้เจอกัน” กล่าวจบเขาก็คลายอ้อมกอดด้วยความเสียดาย
“ข้าลาล่ะเจ้าค่ะ” สตรีตัวน้อยรีบร้อนลงจากรถม้าไปทันทีที่เขาปล่อยมือ นางรีบสาวเท้าเดินเข้าจวนอย่างรวดเร็วและไม่คิดหันกลับไปมองตัวซวย ที่ต่อจากนี้นางจะเรียกเขาว่าตัวอันตรายแทน
อันตรายต่อนางไม่พอยังอันตรายต่อหัวใจนางด้วย หลีกหนีมาตั้งหลายปี จะให้สูญเปล่าภายในวันเดียวไม่ได้
“แมวป่าดื้อรั้นอย่างเจ้า น่าจับไปวิ่งเล่นในตำหนักอ๋องเสียจริง” รอยยิ้มกว้างปรากฏบนใบหน้าไร้ที่ติ บุรุษรูปงามทอดสายตาอ่อนโยนมองตามสตรีตัวน้อยที่รีบวิ่งเข้าจวนอย่างไม่คิดรักษากิริยา หรือเขาอาจจะเปิดเผยมากเกินไปนางถึงได้ดูตื่นตกใจเช่นนั้น
11จุดจบของข่าวลือที่น่ารังเกียจ ราวกับถูกฟ้าผ่าตั้งแต่เช้าเมื่อรับมื้อเช้ากับพี่ใหญ่เสร็จแล้วนางก็ถูกเรียกให้ไปสนทนาที่ห้องโถง ใบหน้าคมเข้มของพี่ชายฉายแววเคร่งเครียดจนนางไม่กล้าสบตา “เมื่อวานชินอ๋องซื่อจื่อมาส่งเจ้าที่จวนใช่หรือไม่” “คือ...” นางมองซ้ายทีขวาทีอย่างร้อนรน “อย่าได้คิดโกหกพี่ ตอบมาตามความจริง” เบื่อคนรู้ทัน “จริงเจ้าค่ะ แต่มันมีเหตุนะเจ้าคะ” “เหตุอันใด จงกล่าวมา” “คือหลังจากข้าไปเยี่ยมเยว่ฉ
สาเหตุที่จางชิงเทียนยังไม่ยอมรับการจับคู่ของฮ่องเต้ก็เพราะน้องสาว เขาเป็นห่วงกลัวว่าฮูหยินของตนจะมารังแกน้องสาว “เอาล่ะ ประเดี๋ยวพี่ต้องเข้าวังแล้ว ใกล้ปักปิ่นแล้วช่วงนี้เจ้าก็หยุดออกไปเที่ยวเล่นนอกจวนก่อน” “เจ้าค่ะ” เรื่องจัดงานประชันบุรุษรูปงามเอาไว้ค่อยทำเมื่อผ่านพ้นงานปักปิ่นไปก่อนก็แล้วกัน “พี่ไปล่ะ” “เจ้าค่ะ” จางชิงหนี่ว์ลุกขึ้นเพื่อเดินไปส่งพี่ชายที่หน้าประตูจวน เมื่อพี่ชายเข้าวังไปแล้วคุณหนูจางก็หงอยเหงาในทันที นางเลือกไปนั่งเล่นที่ลำธารในสวน ซึ่งสร้างเลียนแบบขึ้นมาตามความชอบของนาง “คนที่ชอ
“ในเมื่อท่านมองสตรีทะลุปรุโปร่งเช่นนี้ ข้าก็คงไม่มีอันใดจะกล่าว แต่หากอยากให้ข้าเป็นผู้เฒ่าจันทราช่วยสานวาสนาผูกด้ายแดงให้ท่านกับคุณหนูสวี่ ให้รีบบอก ข้ายินดีที่จะให้การช่วยเหลือท่านเต็มที่” “ดูเหมือนเจ้าสนับสนุนคุณหนูสวี่ให้ข้ามากจนเกินงาม เจ้าได้ค่าจ้างจากนางหรือ” “ไม่เจ้าค่ะ ข้าแค่เห็นว่านางเป็นสตรีอันดับหนึ่งเอ่อ...เป็นที่หมายปองของบุรุษทั่วทั้งเมืองหลวง ข้าจึงอยากให้ท่านได้สตรีที่ดีงามเช่นนั้นมาเป็นฮูหยิน” “เจ้าเอาแต่สนับสนุนข้า แล้วเรื่องเจ้ากับชินอ๋องเล่า อยากให้ข้าช่วยผูกด้ายแดงให้หรือไม่” “ไม่ดีกว่าเจ้าค่ะ ข้าไม่ได้พึงใจบุรุษผู้นั้น” “เพราะเหตุใด ข้าได้ยินมาว่าชินอ๋อง
“ดูเหมือนจะมีคนเป็นเดือดเป็นร้อนเพราะข่าวลือเช่นเดียวกับข้า” “ที่ผ่านมาข้าไม่สนใจเพราะข้าไม่ไยดีคู่หมายของตน แต่ตอนนี้มันไม่ได้เป็นเช่นนั้นแล้ว ข้าจึงอยากจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยนางจะได้ไม่เข้าใจข้าผิดอีก” “องค์รัชทายาทเช่นท่านก็มีวันที่เป็นเช่นนี้” “อื้อๆ อื้อๆ” เมื่อได้ยินว่าชายตรงหน้าคือบุรุษสูงศักดิ์ในข่าวลือที่ตนกล่าวถึงหลายครั้ง หญิงวัยกลางคนจึงดิ้นรนเพื่อคาดหวังให้อีกฝ่ายมีใจเมตตาช่วยเหลือ แต่ก็ไม่อาจเอื้อนเอ่ยหรือขยับตัวได้เพราะถูกตรึงให้อยู่นิ่งด้วยฝีมือของบุรุษชุดดำ “ครานี้คงไม่ใช่มีแต่ข้าที่เดือดร้อนเรื่องข่าวลือกระมัง มิเช่นนั้นข้าจะมาเจอชินอ๋องซื่อจื่ออย่างเจ้าที่นี่หรือ”&
12ปิ่นไม้ดอกหมู่ตาน งานปักปิ่นของนางถูกจัดขึ้นที่จวนราชครูจางของท่านปู่และท่านลุงตามความต้องการของทั้งสอง แม้ตั้งใจเอาไว้ว่าจะจัดงานเล็กๆ เฉพาะญาติและสหายสนิทดั่งเช่นจวนเจิ้ง แต่พอถึงวันจริงกลับมีผู้คนมากมายที่หวังจะประจบเอาใจจวนราชครูที่บรรดาขุนนางรู้ดีว่าคนตระกูลนี้มีความสำคัญในพระทัยของฮ่องเต้ จึงไม่มีใครกล้ามองข้ามแม้จะไม่ได้รับเทียบเชิญแต่ทว่าหลายคนก็ยังยินดีมาร่วมงานไม่เว้นแม้แต่ชินอ๋องซื่อจื่อ และองค์รัชทายาทที่ติดสอยห้อยตามมากับสหายของนาง พิธีปักปิ่นผ่านไปอย่างเรียบร้อย ปิ่นหลายอันถูกปักอยู่บนผมนางซึ่งนางเข้าใจว่า บุรุษตระกูลจางที่รักและเอ็นดูนางทั้งสามคงตระเตรียมเอาไว้ให้นางคนละชิ้น หลังจากเสร็จสิ้นพิธีการแล้ว คุณหนูจางจึงไปผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ชุดใหม่พร้อมกับเลือกปิ่นปักผมขึ้นมาอันหนึ่งเ
สายตาที่จ้องมองนางเต็มไปด้วยความพึงพอใจ ก่อนที่นางจะดึงสายตาตนกลับมาอย่างยอมแพ้ ทำอย่างไรได้นางใจไม่แข็งพอที่เล่นสบตากับบุรุษรูปงาม “ในเมื่อสหายเจ้ามาครบเช่นนี้ ข้าว่าถึงเวลาแล้วที่เราควรบอกกล่าวข่าวดีแก่พวกนาง” “ข่าวดี ข่าวอันใดหรือเข่อชิง” หวังเยว่ฉิงเอ่ยถามสหาย “ข้าไม่รู้ องค์รัชทายาทนี่พระองค์กล่าวอันใดออกมา หม่อมฉันไม่เล่นด้วยนะเพคะ” อย่าได้คิดกล่าวเรื่องไม่ดีต่อหน้าชิงหนี่ว์เด็ดขาด “เรื่องงานหมั้นที่จะเกิดในอีกเจ็ดวันข้างหน้าข้าจะเอามาล้อเล่นได้อย่างไร” “งานหมั้นหรือเจ้าคะ” สีหน้าของคุณหนูเจิ้งบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าตกใจกับเรื่องนี้ไม่น้อย
“จิบชาเสียหน่อยสิ” เสียงทุ้มของบุรุษผู้หนึ่งกล่าวขึ้นพลางทรุดตัวนั่งลงตรงเก้าอี้ข้างตัวนาง “ขอบคุณเจ้าค่ะ” นางรับชาจอกนั้นมาโดยไม่ทันสังเกตว่าเป็นผู้ใดยื่นให้ “เสียใจมากหรือไม่ที่คุณหนูเจิ้งจะหมั้นหมายกับองค์รัชทายาท” “ก็เสียใจอยู่บ้าง อ๊ะ! ชินอ๋องซื่อจื่อ” จางชิงหนี่ว์ที่กำลังจะเอ่ยตอบอีกฝ่ายรีบรั้งสติของตนกลับมา “เจ้ามีใจให้คุณหนูเจิ้งหรืออย่างไรเหตุใดถึงต้องเสียใจเช่นนั้น” แม้น้ำเสียงที่เขากล่าวออกมาจะอ่อนโยนแฝงความเอ็นดู แต่แท้จริงแล้วเพียงแค่คิดว่านางกับสตรีผู้นั้นเป็นหมัวจิ้งมีใจให้กัน ในอกเขาก็รู้สึกเหมือนกำลังถูกไฟโทสะสุมอยู่ “สหายจะต้องแต่งงานไปกับบุรุษที่อีกไม่
“ข้าเพียงกล่าวกับนางไม่กี่คำ เจ้าไม่เห็นจะต้องทุบไหน้ำส้มเลย” คุณชายหลิวโน้มใบหน้าเข้าไปใกล้เพื่อกระซิบพูดคุยกับสหาย “ไสหัวเจ้าไปให้ไกลจากสตรีของข้า” “ข้าเป็นสหายของเจ้า ทักทายว่าที่ชายาของเจ้าสองสามประโยคทำเป็นหวงไปได้” สหายน่าตายของเขากล่าวก่อนจะถอยห่างแล้วหันไปส่งยิ้มให้นาง “เชิญคุณชายหลิวตามสบายนะเจ้าคะ หากขาดตกบกพร่องอันใดสามารถแจ้งข้าหรือพี่ใหญ่ได้เจ้าค่ะ ข้าต้องขอตัวก่อน” เมื่อเห็นสายตาของจางชิงเทียนที่มองมาทางนี้อยู่บ่อยครั้ง นางจึงคิดจะแยกตัวออกมาทันทีที่ได้โอกาส คล้อยหลังนางได้ไม่นาน บุรุษตระกูลจางก็เดินเข้ามาทักทายหลิวเฟิงเหมียนด้วยท่าทางเป็นกันเองแตกต่างจากตอนสนทนากับชินอ๋องซื่อจื่อลิบลับ&
แต่เอาเถิดเห็นแก่เป็นว่าที่พี่ชายพระชายาของตน เขาจึงออกแรงจัดการให้ตามที่อีกฝ่ายต้องการทั้งยังได้ระบายโทสะเจ้าสหายตัวดีที่มักจะเสนอหน้าเข้าใกล้สตรีของเขา ใบหน้าของคุณหนูเจิ้งบึ้งตึงเมื่อถูกบีบบังคับให้กลับจวนพร้อมกับบุรุษไร้ยางอาย ทั้งที่งานเลี้ยงปักปิ่นของสหายยังไม่ทันเสร็จสิ้น “นี่ท่านเลิกยุ่งกับข้าได้หรือไม่” นางเอ่ยขึ้นในขณะที่อยู่บนรถม้าด้วยกันตามลำพัง “ไม่ได้” “เพราะเหตุใด” ที่ผ่านมาแทบไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับนาง พอนางคิดจะปล่อยมือ บุรุษผู้นี้กลับพยายามรั้งและเปลี่ยนสถานะ “หากข้าจะกล่าว
“ข้าเพียงกล่าวกับนางไม่กี่คำ เจ้าไม่เห็นจะต้องทุบไหน้ำส้มเลย” คุณชายหลิวโน้มใบหน้าเข้าไปใกล้เพื่อกระซิบพูดคุยกับสหาย “ไสหัวเจ้าไปให้ไกลจากสตรีของข้า” “ข้าเป็นสหายของเจ้า ทักทายว่าที่ชายาของเจ้าสองสามประโยคทำเป็นหวงไปได้” สหายน่าตายของเขากล่าวก่อนจะถอยห่างแล้วหันไปส่งยิ้มให้นาง “เชิญคุณชายหลิวตามสบายนะเจ้าคะ หากขาดตกบกพร่องอันใดสามารถแจ้งข้าหรือพี่ใหญ่ได้เจ้าค่ะ ข้าต้องขอตัวก่อน” เมื่อเห็นสายตาของจางชิงเทียนที่มองมาทางนี้อยู่บ่อยครั้ง นางจึงคิดจะแยกตัวออกมาทันทีที่ได้โอกาส คล้อยหลังนางได้ไม่นาน บุรุษตระกูลจางก็เดินเข้ามาทักทายหลิวเฟิงเหมียนด้วยท่าทางเป็นกันเองแตกต่างจากตอนสนทนากับชินอ๋องซื่อจื่อลิบลับ&
“จิบชาเสียหน่อยสิ” เสียงทุ้มของบุรุษผู้หนึ่งกล่าวขึ้นพลางทรุดตัวนั่งลงตรงเก้าอี้ข้างตัวนาง “ขอบคุณเจ้าค่ะ” นางรับชาจอกนั้นมาโดยไม่ทันสังเกตว่าเป็นผู้ใดยื่นให้ “เสียใจมากหรือไม่ที่คุณหนูเจิ้งจะหมั้นหมายกับองค์รัชทายาท” “ก็เสียใจอยู่บ้าง อ๊ะ! ชินอ๋องซื่อจื่อ” จางชิงหนี่ว์ที่กำลังจะเอ่ยตอบอีกฝ่ายรีบรั้งสติของตนกลับมา “เจ้ามีใจให้คุณหนูเจิ้งหรืออย่างไรเหตุใดถึงต้องเสียใจเช่นนั้น” แม้น้ำเสียงที่เขากล่าวออกมาจะอ่อนโยนแฝงความเอ็นดู แต่แท้จริงแล้วเพียงแค่คิดว่านางกับสตรีผู้นั้นเป็นหมัวจิ้งมีใจให้กัน ในอกเขาก็รู้สึกเหมือนกำลังถูกไฟโทสะสุมอยู่ “สหายจะต้องแต่งงานไปกับบุรุษที่อีกไม่
สายตาที่จ้องมองนางเต็มไปด้วยความพึงพอใจ ก่อนที่นางจะดึงสายตาตนกลับมาอย่างยอมแพ้ ทำอย่างไรได้นางใจไม่แข็งพอที่เล่นสบตากับบุรุษรูปงาม “ในเมื่อสหายเจ้ามาครบเช่นนี้ ข้าว่าถึงเวลาแล้วที่เราควรบอกกล่าวข่าวดีแก่พวกนาง” “ข่าวดี ข่าวอันใดหรือเข่อชิง” หวังเยว่ฉิงเอ่ยถามสหาย “ข้าไม่รู้ องค์รัชทายาทนี่พระองค์กล่าวอันใดออกมา หม่อมฉันไม่เล่นด้วยนะเพคะ” อย่าได้คิดกล่าวเรื่องไม่ดีต่อหน้าชิงหนี่ว์เด็ดขาด “เรื่องงานหมั้นที่จะเกิดในอีกเจ็ดวันข้างหน้าข้าจะเอามาล้อเล่นได้อย่างไร” “งานหมั้นหรือเจ้าคะ” สีหน้าของคุณหนูเจิ้งบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าตกใจกับเรื่องนี้ไม่น้อย
12ปิ่นไม้ดอกหมู่ตาน งานปักปิ่นของนางถูกจัดขึ้นที่จวนราชครูจางของท่านปู่และท่านลุงตามความต้องการของทั้งสอง แม้ตั้งใจเอาไว้ว่าจะจัดงานเล็กๆ เฉพาะญาติและสหายสนิทดั่งเช่นจวนเจิ้ง แต่พอถึงวันจริงกลับมีผู้คนมากมายที่หวังจะประจบเอาใจจวนราชครูที่บรรดาขุนนางรู้ดีว่าคนตระกูลนี้มีความสำคัญในพระทัยของฮ่องเต้ จึงไม่มีใครกล้ามองข้ามแม้จะไม่ได้รับเทียบเชิญแต่ทว่าหลายคนก็ยังยินดีมาร่วมงานไม่เว้นแม้แต่ชินอ๋องซื่อจื่อ และองค์รัชทายาทที่ติดสอยห้อยตามมากับสหายของนาง พิธีปักปิ่นผ่านไปอย่างเรียบร้อย ปิ่นหลายอันถูกปักอยู่บนผมนางซึ่งนางเข้าใจว่า บุรุษตระกูลจางที่รักและเอ็นดูนางทั้งสามคงตระเตรียมเอาไว้ให้นางคนละชิ้น หลังจากเสร็จสิ้นพิธีการแล้ว คุณหนูจางจึงไปผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ชุดใหม่พร้อมกับเลือกปิ่นปักผมขึ้นมาอันหนึ่งเ
“ดูเหมือนจะมีคนเป็นเดือดเป็นร้อนเพราะข่าวลือเช่นเดียวกับข้า” “ที่ผ่านมาข้าไม่สนใจเพราะข้าไม่ไยดีคู่หมายของตน แต่ตอนนี้มันไม่ได้เป็นเช่นนั้นแล้ว ข้าจึงอยากจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยนางจะได้ไม่เข้าใจข้าผิดอีก” “องค์รัชทายาทเช่นท่านก็มีวันที่เป็นเช่นนี้” “อื้อๆ อื้อๆ” เมื่อได้ยินว่าชายตรงหน้าคือบุรุษสูงศักดิ์ในข่าวลือที่ตนกล่าวถึงหลายครั้ง หญิงวัยกลางคนจึงดิ้นรนเพื่อคาดหวังให้อีกฝ่ายมีใจเมตตาช่วยเหลือ แต่ก็ไม่อาจเอื้อนเอ่ยหรือขยับตัวได้เพราะถูกตรึงให้อยู่นิ่งด้วยฝีมือของบุรุษชุดดำ “ครานี้คงไม่ใช่มีแต่ข้าที่เดือดร้อนเรื่องข่าวลือกระมัง มิเช่นนั้นข้าจะมาเจอชินอ๋องซื่อจื่ออย่างเจ้าที่นี่หรือ”&
“ในเมื่อท่านมองสตรีทะลุปรุโปร่งเช่นนี้ ข้าก็คงไม่มีอันใดจะกล่าว แต่หากอยากให้ข้าเป็นผู้เฒ่าจันทราช่วยสานวาสนาผูกด้ายแดงให้ท่านกับคุณหนูสวี่ ให้รีบบอก ข้ายินดีที่จะให้การช่วยเหลือท่านเต็มที่” “ดูเหมือนเจ้าสนับสนุนคุณหนูสวี่ให้ข้ามากจนเกินงาม เจ้าได้ค่าจ้างจากนางหรือ” “ไม่เจ้าค่ะ ข้าแค่เห็นว่านางเป็นสตรีอันดับหนึ่งเอ่อ...เป็นที่หมายปองของบุรุษทั่วทั้งเมืองหลวง ข้าจึงอยากให้ท่านได้สตรีที่ดีงามเช่นนั้นมาเป็นฮูหยิน” “เจ้าเอาแต่สนับสนุนข้า แล้วเรื่องเจ้ากับชินอ๋องเล่า อยากให้ข้าช่วยผูกด้ายแดงให้หรือไม่” “ไม่ดีกว่าเจ้าค่ะ ข้าไม่ได้พึงใจบุรุษผู้นั้น” “เพราะเหตุใด ข้าได้ยินมาว่าชินอ๋อง
สาเหตุที่จางชิงเทียนยังไม่ยอมรับการจับคู่ของฮ่องเต้ก็เพราะน้องสาว เขาเป็นห่วงกลัวว่าฮูหยินของตนจะมารังแกน้องสาว “เอาล่ะ ประเดี๋ยวพี่ต้องเข้าวังแล้ว ใกล้ปักปิ่นแล้วช่วงนี้เจ้าก็หยุดออกไปเที่ยวเล่นนอกจวนก่อน” “เจ้าค่ะ” เรื่องจัดงานประชันบุรุษรูปงามเอาไว้ค่อยทำเมื่อผ่านพ้นงานปักปิ่นไปก่อนก็แล้วกัน “พี่ไปล่ะ” “เจ้าค่ะ” จางชิงหนี่ว์ลุกขึ้นเพื่อเดินไปส่งพี่ชายที่หน้าประตูจวน เมื่อพี่ชายเข้าวังไปแล้วคุณหนูจางก็หงอยเหงาในทันที นางเลือกไปนั่งเล่นที่ลำธารในสวน ซึ่งสร้างเลียนแบบขึ้นมาตามความชอบของนาง “คนที่ชอ
11จุดจบของข่าวลือที่น่ารังเกียจ ราวกับถูกฟ้าผ่าตั้งแต่เช้าเมื่อรับมื้อเช้ากับพี่ใหญ่เสร็จแล้วนางก็ถูกเรียกให้ไปสนทนาที่ห้องโถง ใบหน้าคมเข้มของพี่ชายฉายแววเคร่งเครียดจนนางไม่กล้าสบตา “เมื่อวานชินอ๋องซื่อจื่อมาส่งเจ้าที่จวนใช่หรือไม่” “คือ...” นางมองซ้ายทีขวาทีอย่างร้อนรน “อย่าได้คิดโกหกพี่ ตอบมาตามความจริง” เบื่อคนรู้ทัน “จริงเจ้าค่ะ แต่มันมีเหตุนะเจ้าคะ” “เหตุอันใด จงกล่าวมา” “คือหลังจากข้าไปเยี่ยมเยว่ฉ