10
รักกันจริงหรือแค่ข่าวลือ
ในระหว่างที่นางครุ่นคิดไป คีบข้าวเข้าปากไปนั้น จู่ๆ ประตูห้องก็เปิดออกก่อนที่หนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีจะเดินเข้ามาด้านใน
“ชิงหนี่ว์ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” เจิ้งเข่อชิงรีบปรี่เข้าใกล้สหายทันที แต่ยังไม่ทันถึงตัวนาง บุรุษที่นั่งอยู่ด้านข้างก็ยกมือขึ้นมากีดกันเสียก่อน
“ข้าไม่เป็นอันใด เจ้าเล่าปลอดภัยดีหรือไม่” คำกล่าวของสตรีทั้งสองทำให้บุรุษสูงศักดิ์ทั้งสองมองหน้ากัน
คำกล่าวของพวกนางช่างทำให้เขาสองคนกลายเป็นบุรุษกักขฬะอันตราย ถูกมองไม่ดี
“ข้าไม่เป็นอันใด ข้าขอนั่งกับเจ้านะ” คุณหนูเจิ้งกล่าวก่อนจะเดินไปยกเก้าอี้แล้วเอามาวางแทรกกลางระหว่างนางและชินอ๋องซื่อจื่อ
“ที่ตรงนั้นคับแคบ อย่าไปนั่งเบียดพวกเขาเลย เจ้ามานั่งกับข้าตรงนี้เถิด” กล่าวจบองค์รัชทายาทเดินเข้ามาใกล้ก่อนจะโอบรั้งเอวคู่หมายตนให้ไปนั่งอีกฝั่ง โดยจับให้เจิ้งเข่อชิงนั่งข้างหลิวเมิ่ง ส่วนตนเองนั่งข้างคุณชายหลิว
“ไม่เอา ข้าอยากนั่งข้างสหายตน”
“ชิงเอ๋อร์ เจ้าอย่าได้ดื้อรั้น” นัยน์ตาดำของชายสูงศักดิ์จับจ้องริมฝีปากคู่หมายอย่างมีนัย
‘อย่าบอกนะว่าเมื่อครู่ทั้งสองจุมพิตกัน’ หลักฐานสำคัญที่จะใช้ยืนยันเรื่องนี้ก็คงจะเป็นริมฝีปากของเจิ้งเข่อชิงที่บวมแดงเล็กน้อย
เป็นบุรุษร้ายกาจเอาแต่ใจเสียด้วย พระรองผู้นี้...
“หากไม่อยากโดนเช่นสหาย อย่าได้คิดจับคู่พี่กับสตรีผู้นั้น” เพราะมัวแต่จับจ้องคนที่นั่งอยู่อีกฝั่งจึงไม่ได้เห็นว่าบุรุษที่นั่งอยู่ด้านข้างโน้มใบหน้าไร้ที่ติเข้ามาใกล้แล้วกระซิบที่ข้างหูด้วยเสียงที่ได้ยินกันเพียงสองคน
ลมหายใจที่เป่ารดหูทำให้นางขนลุกเกรียวไปทั้งตัว
เดี๋ยวก่อน! นางเอกของท่านนั่งอยู่ข้างๆ ท่านอย่าเข้าใจผิดไป ข้าไม่อยากได้ชื่อว่าเป็นสตรีชาเขียวแย่งบุรุษของผู้อื่นหรอกนะ
ส่วนองค์รัชทายาทที่เพิ่งพาคู่หมายเข้ามาร่วมโต๊ะ ก็เอาแต่คีบอาหารใส่ชามให้คุณหนูเจิ้งที่หน้าบูดบึ้งอย่างไม่ชอบใจ สายตาฉายแววเอือมระอาชัดเจน
ชินอ๋องก็คีบอาหารเข้าปากคำหนึ่ง จ้องมองนางพลางยิ้มคราหนึ่งทำให้นางแทบไม่รู้รสอาหาร
คุณชายหลิวก็นั่งกินอาหารไปมองคนนั้นคนนี้ทีราวกับกำลังชมงิ้ว ครานี้พอจะเข้าใจแล้วว่าเหตุใดตนโดนสหายมองด้วยสายตากรุ่นโกรธในงานเลี้ยงวันนั้น
ส่วนหลิวเมิ่งก็ได้แต่นั่งเม้มริมฝีปากแน่นไม่กล้ากล่าวอันใด แววตาจ้องมองนางที เข่อชิงทีอย่างรู้สึกอึดอัด
และที่จะไม่กล่าวถึงเลยก็ไม่ได้เห็นจะเป็นท่าทีใกล้หลุดจากบทบาทสตรีดอกบัวขาวของคุณหนูสวี่ ดวงหน้าหวานจ้องมองมาที่นางสลับกับเข่อชิงด้วยสายตาริษยา แม้จะพยายามเก็บซ่อนสีหน้าแต่ทว่าแรงริษยาคงมีมากล้นจึงไม่อาจสะกดกลั้นได้
สวี่ลู่ฟางได้แต่มองบุรุษที่ควรจะเป็นของตนเองด้วยความรู้สึกไม่พอใจ เหตุใดบุรุษที่ควรจะหลงใหลนางจนสามารถทุ่มเททุกอย่างให้ถึงไม่เป็นเช่นนั้น
องค์รัชทายาทมิใช่ควรรักนางจนยอมทำทุกอย่างเพื่อนางหรอกหรือ ส่วนชินอ๋องซื่อจื่อเขาจะเป็นสามีของนาง เขาทั้งรักและหลงใหลนางจนปล่อยให้คู่หมั้นตนเองถูกองค์รัชทายาทแคว้นสือเจ้าที่หลงรักนางเช่นกันสังหาร
หนังสือไร้ชื่อที่นางเคยอ่านมันเป็นเช่นนั้น ในหนังสือเล่มนั้นบอกเล่าเรื่องราวชีวิตของนางและการเป็นสตรีที่มีชะตาดอกท้อ ลงเอยด้วยการได้ครองคู่กับบุรุษที่รูปงามและเก่งกาจ เป็นฮูหยินของเขาแต่เพียงผู้เดียว
เริ่มแรกนางก็ไม่ได้เชื่อเรื่องเหล่านั้นทั้งหมด หากในหนังสือไร้ชื่อเล่มนั้นไม่ได้บอกเล่าเรื่องราวการจับพลัดจับผลูได้เป็นหมอหลวงอย่างบังเอิญของบิดา ซึ่งมันเป็นไปดังที่หนังสือบอกไว้จริงๆ ไหนจะซื่อแซ่ของบุคคลที่อยู่ในหนังสือเล่มนั้นนางก็เพิ่งได้รู้จักคนเหล่านั้นตอนที่บิดาเป็นหมอหลวง เพราะเหตุนี้นางจึงเริ่มด้วยการเข้าหาหลิวเมิ่ง คุณหนูจากจวนเสนาบดีฝ่ายขวาดั่งเช่นที่เคยอ่านมาก
แต่เหตุใดเรื่องราวมันผิดเพี้ยนไปหมด หรือในที่นี้จะมีคนได้อ่านหนังสือไร้ชื่อเฉกเช่นเดียวกับนาง จึงกำลังพยายามฝืนเรื่องราวปรับเปลี่ยนจุดจบของตนเอง
ชินอ๋องซื่อจื่อและองค์รัชทายาทเดิมทีทั้งสองคนนี้ควรจะหลงรักนาง แต่กลับเอาแต่จ้องมองสตรีสองคนนี้ ไม่ผิดแน่ สองคนนี้อาจจะมีโอกาสได้อ่านหนังสือเล่มนั้นเป็นแน่
“คุณหนูจางชอบอ่านหนังสือหรือไม่เจ้าคะ”
“อ่านบ้างเป็นบางครั้งเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นท่านเคยอ่านหนังสือไร้ชื่อเล่มสีดำหรือไม่เจ้าคะ ญาติผู้พี่ของข้าเคยอ่านนางกล่าวว่าเป็นเรื่องราวลึกลับน่าค้นหา”
“มิเคยเจ้าค่ะ หนังสือที่ข้าเคยอ่านส่วนมากเป็นพวกปรัชญาขงจื้อ”
“เช่นนั้นหรือเจ้าคะ” สวี่ลู่ฟางตอบรับพลางเก็บซ่อนสีหน้าคลางแคลงใจ
‘ดูเหมือนข้าจะเข้าใจผิดไปเอง’ หากคนพวกนี้ไม่ได้รู้เรื่องราวในหนังสือแล้ว เหตุใดพวกเขาถึงไม่ตกหลุมรักนางหรือเพราะนางหลีกเลี่ยงไม่ให้ตนถูกกลั่นแกล้งในงานเลี้ยงแล้วเลือกขึ้นแสดงเป็นคนแรกกัน หรือไม่ก็อาจจะเป็นเรื่องที่นางเผลอตัวกล่าวยุยงหลิวเมิ่งไปก่อนหน้า อีกฝ่ายจึงคิดกลั่นแกล้งคุณหนูจากจวนเสนาบดีแม้ปากจะปฏิเสธบอกไม่รู้ว่าเหตุใดถึงมีชื่อสตรีผู้นั้นขึ้นแสดง แต่นางมั่นใจว่าต้องเป็นฝีมือหลิวเมิ่งแน่ ที่ทำให้สตรีผู้นั้นได้แสดงความสามารถที่เก็บงำเอาไว้ออกมา ซึ่งหากในหนังสือบรรยายไว้ว่าเจิ้งเข่อชิงมีความสามารถมากถึงเพียงนั้น นางคงไม่เปิดโอกาสให้คนที่มีความสามารถเหนือบุตรสาวหมอหลวงอย่างนางแสดงความสามารถ
ใครจะอยากถูกเปรียบเทียบกับคนที่เก่งกว่าเล่า...
ใครจะอยากถูกเปรียบเทียบกับคนที่เก่งกว่าเล่า... ด้านชิงหนี่ว์เมื่อได้ยินคำถามเช่นนั้น นางก็เริ่มรู้สึกสงสัย หนังสือไร้ชื่อเล่มสีดำเช่นนั้นหรือ หรือแท้จริงสตรีดอกบัวขาวผู้นี้จะรู้เรื่องเหตุการณ์ต่างๆ จากหนังสือเล่มนั้นจึงสามารถเอาชนะใจบุรุษที่เลิศล้ำและเก่งกาจได้ถึงสามคน “ขอบคุณเจ้าค่ะ สำหรับอาหารเลิศรสมื้อนี้” แม้จะอึดอัดใจมากก็ตาม “หากเจ้าอยากมากินข้าวที่นี่อีกให้บอก พี่จะพามาเอง” ชินอ๋องซื่อจื่อกล่าว “เอ่อ...เจ้าค่ะ” นางปรายตามองสตรีที่นั่งอยู่ข้างๆ เห็นอีกฝ่ายกำมือแน่นราว
“กล่าวถึงเรื่องที่สนทนาค้างไว้เมื่อครู่ ท่านบอกว่าที่องค์รัชทายาทไม่ยอมยกเลิกการหมั้นหมายเพราะพึงใจในสหายข้าหรือเจ้าคะ” เพราะความอยากรู้นางจึงยอมขึ้นรถมากับเจ้าตัวซวยนี่ “พี่คาดเดาว่าเป็นเช่นนั้น” เขากล่าวพลางจ้องมองนางไม่วางตา คำเรียกขานเปลี่ยนไปเมื่ออยู่ด้วยกันตามลำพัง “คาดเดา? ข้าว่าท่านเดาผิดแล้ว สตรีที่องค์รัชทายาทพึงพอใจไม่ใช่สหายข้าหรอกเจ้าค่ะ” ก็แค่อยากเอาชนะคู่หมายของตนเพียงเท่านั้น “เช่นนั้นเจ้าคิดว่าองค์รัชทายาทพึงใจใคร” “คุณหนูสวี่ลู่ฟาง” “เหตุใดถึงคิดว่าเป็นนาง”
“หนี่ว์เอ๋อร์ เจ้าอย่าได้ลืมสิ ว่าสหายของเจ้าในภายหน้านางจะต้องขึ้นเป็นฮองเฮา นางจะมีข่าวลือเสียหายไม่ได้แม้เจ้าจะเป็นสหายที่สนิทสนมกันก็ตามอย่างไรก็ควรรักษาระยะห่าง” “แต่ข้ากับนางบริสุทธิ์ใจต่อกันเหตุใดต้องหวาดกลัวเสียงเล่าลือของผู้อื่นด้วยเจ้าคะ ข้าไม่สนหรอกเจ้าค่ะใครจะเอาข้าไปเล่าลืออย่างไร” ‘หนี่ว์เอ๋อร์ เจ้าบริสุทธิ์ใจ แต่สตรีผู้นั้นไม่ได้บริสุทธิ์ใจเช่นที่เจ้าคิดน่ะสิ’ แม้จะอยากกล่าวไปแต่ชินอ๋องซื่อจื่อก็เลือกที่จะเงียบ “ข่าวลือก็เป็นแค่ข่าวลือ ไม่ใช่เรื่องจริงเสียหน่อย” “แล้วเหตุใดพอเป็นเรื่องพี่ เจ้าถึงเชื่อสนิทใจว่าพี่เป็นคนรักของสตรีผู้นั้น” ‘นี่เขากำลังยอกย้อน
11จุดจบของข่าวลือที่น่ารังเกียจ ราวกับถูกฟ้าผ่าตั้งแต่เช้าเมื่อรับมื้อเช้ากับพี่ใหญ่เสร็จแล้วนางก็ถูกเรียกให้ไปสนทนาที่ห้องโถง ใบหน้าคมเข้มของพี่ชายฉายแววเคร่งเครียดจนนางไม่กล้าสบตา “เมื่อวานชินอ๋องซื่อจื่อมาส่งเจ้าที่จวนใช่หรือไม่” “คือ...” นางมองซ้ายทีขวาทีอย่างร้อนรน “อย่าได้คิดโกหกพี่ ตอบมาตามความจริง” เบื่อคนรู้ทัน “จริงเจ้าค่ะ แต่มันมีเหตุนะเจ้าคะ” “เหตุอันใด จงกล่าวมา” “คือหลังจากข้าไปเยี่ยมเยว่ฉ
สาเหตุที่จางชิงเทียนยังไม่ยอมรับการจับคู่ของฮ่องเต้ก็เพราะน้องสาว เขาเป็นห่วงกลัวว่าฮูหยินของตนจะมารังแกน้องสาว “เอาล่ะ ประเดี๋ยวพี่ต้องเข้าวังแล้ว ใกล้ปักปิ่นแล้วช่วงนี้เจ้าก็หยุดออกไปเที่ยวเล่นนอกจวนก่อน” “เจ้าค่ะ” เรื่องจัดงานประชันบุรุษรูปงามเอาไว้ค่อยทำเมื่อผ่านพ้นงานปักปิ่นไปก่อนก็แล้วกัน “พี่ไปล่ะ” “เจ้าค่ะ” จางชิงหนี่ว์ลุกขึ้นเพื่อเดินไปส่งพี่ชายที่หน้าประตูจวน เมื่อพี่ชายเข้าวังไปแล้วคุณหนูจางก็หงอยเหงาในทันที นางเลือกไปนั่งเล่นที่ลำธารในสวน ซึ่งสร้างเลียนแบบขึ้นมาตามความชอบของนาง “คนที่ชอ
“ในเมื่อท่านมองสตรีทะลุปรุโปร่งเช่นนี้ ข้าก็คงไม่มีอันใดจะกล่าว แต่หากอยากให้ข้าเป็นผู้เฒ่าจันทราช่วยสานวาสนาผูกด้ายแดงให้ท่านกับคุณหนูสวี่ ให้รีบบอก ข้ายินดีที่จะให้การช่วยเหลือท่านเต็มที่” “ดูเหมือนเจ้าสนับสนุนคุณหนูสวี่ให้ข้ามากจนเกินงาม เจ้าได้ค่าจ้างจากนางหรือ” “ไม่เจ้าค่ะ ข้าแค่เห็นว่านางเป็นสตรีอันดับหนึ่งเอ่อ...เป็นที่หมายปองของบุรุษทั่วทั้งเมืองหลวง ข้าจึงอยากให้ท่านได้สตรีที่ดีงามเช่นนั้นมาเป็นฮูหยิน” “เจ้าเอาแต่สนับสนุนข้า แล้วเรื่องเจ้ากับชินอ๋องเล่า อยากให้ข้าช่วยผูกด้ายแดงให้หรือไม่” “ไม่ดีกว่าเจ้าค่ะ ข้าไม่ได้พึงใจบุรุษผู้นั้น” “เพราะเหตุใด ข้าได้ยินมาว่าชินอ๋อง
“ดูเหมือนจะมีคนเป็นเดือดเป็นร้อนเพราะข่าวลือเช่นเดียวกับข้า” “ที่ผ่านมาข้าไม่สนใจเพราะข้าไม่ไยดีคู่หมายของตน แต่ตอนนี้มันไม่ได้เป็นเช่นนั้นแล้ว ข้าจึงอยากจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยนางจะได้ไม่เข้าใจข้าผิดอีก” “องค์รัชทายาทเช่นท่านก็มีวันที่เป็นเช่นนี้” “อื้อๆ อื้อๆ” เมื่อได้ยินว่าชายตรงหน้าคือบุรุษสูงศักดิ์ในข่าวลือที่ตนกล่าวถึงหลายครั้ง หญิงวัยกลางคนจึงดิ้นรนเพื่อคาดหวังให้อีกฝ่ายมีใจเมตตาช่วยเหลือ แต่ก็ไม่อาจเอื้อนเอ่ยหรือขยับตัวได้เพราะถูกตรึงให้อยู่นิ่งด้วยฝีมือของบุรุษชุดดำ “ครานี้คงไม่ใช่มีแต่ข้าที่เดือดร้อนเรื่องข่าวลือกระมัง มิเช่นนั้นข้าจะมาเจอชินอ๋องซื่อจื่ออย่างเจ้าที่นี่หรือ”&
12ปิ่นไม้ดอกหมู่ตาน งานปักปิ่นของนางถูกจัดขึ้นที่จวนราชครูจางของท่านปู่และท่านลุงตามความต้องการของทั้งสอง แม้ตั้งใจเอาไว้ว่าจะจัดงานเล็กๆ เฉพาะญาติและสหายสนิทดั่งเช่นจวนเจิ้ง แต่พอถึงวันจริงกลับมีผู้คนมากมายที่หวังจะประจบเอาใจจวนราชครูที่บรรดาขุนนางรู้ดีว่าคนตระกูลนี้มีความสำคัญในพระทัยของฮ่องเต้ จึงไม่มีใครกล้ามองข้ามแม้จะไม่ได้รับเทียบเชิญแต่ทว่าหลายคนก็ยังยินดีมาร่วมงานไม่เว้นแม้แต่ชินอ๋องซื่อจื่อ และองค์รัชทายาทที่ติดสอยห้อยตามมากับสหายของนาง พิธีปักปิ่นผ่านไปอย่างเรียบร้อย ปิ่นหลายอันถูกปักอยู่บนผมนางซึ่งนางเข้าใจว่า บุรุษตระกูลจางที่รักและเอ็นดูนางทั้งสามคงตระเตรียมเอาไว้ให้นางคนละชิ้น หลังจากเสร็จสิ้นพิธีการแล้ว คุณหนูจางจึงไปผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ชุดใหม่พร้อมกับเลือกปิ่นปักผมขึ้นมาอันหนึ่งเ
แต่เอาเถิดเห็นแก่เป็นว่าที่พี่ชายพระชายาของตน เขาจึงออกแรงจัดการให้ตามที่อีกฝ่ายต้องการทั้งยังได้ระบายโทสะเจ้าสหายตัวดีที่มักจะเสนอหน้าเข้าใกล้สตรีของเขา ใบหน้าของคุณหนูเจิ้งบึ้งตึงเมื่อถูกบีบบังคับให้กลับจวนพร้อมกับบุรุษไร้ยางอาย ทั้งที่งานเลี้ยงปักปิ่นของสหายยังไม่ทันเสร็จสิ้น “นี่ท่านเลิกยุ่งกับข้าได้หรือไม่” นางเอ่ยขึ้นในขณะที่อยู่บนรถม้าด้วยกันตามลำพัง “ไม่ได้” “เพราะเหตุใด” ที่ผ่านมาแทบไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับนาง พอนางคิดจะปล่อยมือ บุรุษผู้นี้กลับพยายามรั้งและเปลี่ยนสถานะ “หากข้าจะกล่าว
“ข้าเพียงกล่าวกับนางไม่กี่คำ เจ้าไม่เห็นจะต้องทุบไหน้ำส้มเลย” คุณชายหลิวโน้มใบหน้าเข้าไปใกล้เพื่อกระซิบพูดคุยกับสหาย “ไสหัวเจ้าไปให้ไกลจากสตรีของข้า” “ข้าเป็นสหายของเจ้า ทักทายว่าที่ชายาของเจ้าสองสามประโยคทำเป็นหวงไปได้” สหายน่าตายของเขากล่าวก่อนจะถอยห่างแล้วหันไปส่งยิ้มให้นาง “เชิญคุณชายหลิวตามสบายนะเจ้าคะ หากขาดตกบกพร่องอันใดสามารถแจ้งข้าหรือพี่ใหญ่ได้เจ้าค่ะ ข้าต้องขอตัวก่อน” เมื่อเห็นสายตาของจางชิงเทียนที่มองมาทางนี้อยู่บ่อยครั้ง นางจึงคิดจะแยกตัวออกมาทันทีที่ได้โอกาส คล้อยหลังนางได้ไม่นาน บุรุษตระกูลจางก็เดินเข้ามาทักทายหลิวเฟิงเหมียนด้วยท่าทางเป็นกันเองแตกต่างจากตอนสนทนากับชินอ๋องซื่อจื่อลิบลับ&
“จิบชาเสียหน่อยสิ” เสียงทุ้มของบุรุษผู้หนึ่งกล่าวขึ้นพลางทรุดตัวนั่งลงตรงเก้าอี้ข้างตัวนาง “ขอบคุณเจ้าค่ะ” นางรับชาจอกนั้นมาโดยไม่ทันสังเกตว่าเป็นผู้ใดยื่นให้ “เสียใจมากหรือไม่ที่คุณหนูเจิ้งจะหมั้นหมายกับองค์รัชทายาท” “ก็เสียใจอยู่บ้าง อ๊ะ! ชินอ๋องซื่อจื่อ” จางชิงหนี่ว์ที่กำลังจะเอ่ยตอบอีกฝ่ายรีบรั้งสติของตนกลับมา “เจ้ามีใจให้คุณหนูเจิ้งหรืออย่างไรเหตุใดถึงต้องเสียใจเช่นนั้น” แม้น้ำเสียงที่เขากล่าวออกมาจะอ่อนโยนแฝงความเอ็นดู แต่แท้จริงแล้วเพียงแค่คิดว่านางกับสตรีผู้นั้นเป็นหมัวจิ้งมีใจให้กัน ในอกเขาก็รู้สึกเหมือนกำลังถูกไฟโทสะสุมอยู่ “สหายจะต้องแต่งงานไปกับบุรุษที่อีกไม่
สายตาที่จ้องมองนางเต็มไปด้วยความพึงพอใจ ก่อนที่นางจะดึงสายตาตนกลับมาอย่างยอมแพ้ ทำอย่างไรได้นางใจไม่แข็งพอที่เล่นสบตากับบุรุษรูปงาม “ในเมื่อสหายเจ้ามาครบเช่นนี้ ข้าว่าถึงเวลาแล้วที่เราควรบอกกล่าวข่าวดีแก่พวกนาง” “ข่าวดี ข่าวอันใดหรือเข่อชิง” หวังเยว่ฉิงเอ่ยถามสหาย “ข้าไม่รู้ องค์รัชทายาทนี่พระองค์กล่าวอันใดออกมา หม่อมฉันไม่เล่นด้วยนะเพคะ” อย่าได้คิดกล่าวเรื่องไม่ดีต่อหน้าชิงหนี่ว์เด็ดขาด “เรื่องงานหมั้นที่จะเกิดในอีกเจ็ดวันข้างหน้าข้าจะเอามาล้อเล่นได้อย่างไร” “งานหมั้นหรือเจ้าคะ” สีหน้าของคุณหนูเจิ้งบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าตกใจกับเรื่องนี้ไม่น้อย
12ปิ่นไม้ดอกหมู่ตาน งานปักปิ่นของนางถูกจัดขึ้นที่จวนราชครูจางของท่านปู่และท่านลุงตามความต้องการของทั้งสอง แม้ตั้งใจเอาไว้ว่าจะจัดงานเล็กๆ เฉพาะญาติและสหายสนิทดั่งเช่นจวนเจิ้ง แต่พอถึงวันจริงกลับมีผู้คนมากมายที่หวังจะประจบเอาใจจวนราชครูที่บรรดาขุนนางรู้ดีว่าคนตระกูลนี้มีความสำคัญในพระทัยของฮ่องเต้ จึงไม่มีใครกล้ามองข้ามแม้จะไม่ได้รับเทียบเชิญแต่ทว่าหลายคนก็ยังยินดีมาร่วมงานไม่เว้นแม้แต่ชินอ๋องซื่อจื่อ และองค์รัชทายาทที่ติดสอยห้อยตามมากับสหายของนาง พิธีปักปิ่นผ่านไปอย่างเรียบร้อย ปิ่นหลายอันถูกปักอยู่บนผมนางซึ่งนางเข้าใจว่า บุรุษตระกูลจางที่รักและเอ็นดูนางทั้งสามคงตระเตรียมเอาไว้ให้นางคนละชิ้น หลังจากเสร็จสิ้นพิธีการแล้ว คุณหนูจางจึงไปผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ชุดใหม่พร้อมกับเลือกปิ่นปักผมขึ้นมาอันหนึ่งเ
“ดูเหมือนจะมีคนเป็นเดือดเป็นร้อนเพราะข่าวลือเช่นเดียวกับข้า” “ที่ผ่านมาข้าไม่สนใจเพราะข้าไม่ไยดีคู่หมายของตน แต่ตอนนี้มันไม่ได้เป็นเช่นนั้นแล้ว ข้าจึงอยากจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยนางจะได้ไม่เข้าใจข้าผิดอีก” “องค์รัชทายาทเช่นท่านก็มีวันที่เป็นเช่นนี้” “อื้อๆ อื้อๆ” เมื่อได้ยินว่าชายตรงหน้าคือบุรุษสูงศักดิ์ในข่าวลือที่ตนกล่าวถึงหลายครั้ง หญิงวัยกลางคนจึงดิ้นรนเพื่อคาดหวังให้อีกฝ่ายมีใจเมตตาช่วยเหลือ แต่ก็ไม่อาจเอื้อนเอ่ยหรือขยับตัวได้เพราะถูกตรึงให้อยู่นิ่งด้วยฝีมือของบุรุษชุดดำ “ครานี้คงไม่ใช่มีแต่ข้าที่เดือดร้อนเรื่องข่าวลือกระมัง มิเช่นนั้นข้าจะมาเจอชินอ๋องซื่อจื่ออย่างเจ้าที่นี่หรือ”&
“ในเมื่อท่านมองสตรีทะลุปรุโปร่งเช่นนี้ ข้าก็คงไม่มีอันใดจะกล่าว แต่หากอยากให้ข้าเป็นผู้เฒ่าจันทราช่วยสานวาสนาผูกด้ายแดงให้ท่านกับคุณหนูสวี่ ให้รีบบอก ข้ายินดีที่จะให้การช่วยเหลือท่านเต็มที่” “ดูเหมือนเจ้าสนับสนุนคุณหนูสวี่ให้ข้ามากจนเกินงาม เจ้าได้ค่าจ้างจากนางหรือ” “ไม่เจ้าค่ะ ข้าแค่เห็นว่านางเป็นสตรีอันดับหนึ่งเอ่อ...เป็นที่หมายปองของบุรุษทั่วทั้งเมืองหลวง ข้าจึงอยากให้ท่านได้สตรีที่ดีงามเช่นนั้นมาเป็นฮูหยิน” “เจ้าเอาแต่สนับสนุนข้า แล้วเรื่องเจ้ากับชินอ๋องเล่า อยากให้ข้าช่วยผูกด้ายแดงให้หรือไม่” “ไม่ดีกว่าเจ้าค่ะ ข้าไม่ได้พึงใจบุรุษผู้นั้น” “เพราะเหตุใด ข้าได้ยินมาว่าชินอ๋อง
สาเหตุที่จางชิงเทียนยังไม่ยอมรับการจับคู่ของฮ่องเต้ก็เพราะน้องสาว เขาเป็นห่วงกลัวว่าฮูหยินของตนจะมารังแกน้องสาว “เอาล่ะ ประเดี๋ยวพี่ต้องเข้าวังแล้ว ใกล้ปักปิ่นแล้วช่วงนี้เจ้าก็หยุดออกไปเที่ยวเล่นนอกจวนก่อน” “เจ้าค่ะ” เรื่องจัดงานประชันบุรุษรูปงามเอาไว้ค่อยทำเมื่อผ่านพ้นงานปักปิ่นไปก่อนก็แล้วกัน “พี่ไปล่ะ” “เจ้าค่ะ” จางชิงหนี่ว์ลุกขึ้นเพื่อเดินไปส่งพี่ชายที่หน้าประตูจวน เมื่อพี่ชายเข้าวังไปแล้วคุณหนูจางก็หงอยเหงาในทันที นางเลือกไปนั่งเล่นที่ลำธารในสวน ซึ่งสร้างเลียนแบบขึ้นมาตามความชอบของนาง “คนที่ชอ
11จุดจบของข่าวลือที่น่ารังเกียจ ราวกับถูกฟ้าผ่าตั้งแต่เช้าเมื่อรับมื้อเช้ากับพี่ใหญ่เสร็จแล้วนางก็ถูกเรียกให้ไปสนทนาที่ห้องโถง ใบหน้าคมเข้มของพี่ชายฉายแววเคร่งเครียดจนนางไม่กล้าสบตา “เมื่อวานชินอ๋องซื่อจื่อมาส่งเจ้าที่จวนใช่หรือไม่” “คือ...” นางมองซ้ายทีขวาทีอย่างร้อนรน “อย่าได้คิดโกหกพี่ ตอบมาตามความจริง” เบื่อคนรู้ทัน “จริงเจ้าค่ะ แต่มันมีเหตุนะเจ้าคะ” “เหตุอันใด จงกล่าวมา” “คือหลังจากข้าไปเยี่ยมเยว่ฉ