3
ความเก่งกาจของสหายคนใหม่
ด้านหลิวเฟิงเหมียนที่หลังจากช่วยกู้หน้าให้สาวงามแล้วกลับมานั่งที่เดิม กำลังจะยกชาขึ้นจิบต้องชะงักเมื่อเห็นสายตาไม่ใคร่พอใจของสหาย
“อันฉี หากเจ้าไม่พอใจข้าที่ลุกไปเก็บผ้าคลุมหน้าให้กับคุณหนูสวี่ เหตุใดเจ้าไม่ลุกไปเองเล่า” เพราะได้ยินมาจากน้องสาวว่าคุณหนูสวี่กับชินอ๋องซื่อจื่อมีใจให้กัน จึงคิดว่าสหายเกรงใจองค์รัชทายาทที่ก็มีใจให้คุณหนูสวี่จึงไม่กล้าแสดงออกมากนัก ตนเองก็เลยช่วยรักษามารยาทให้
“ข้ามาคิดดูแล้ว ใบหน้าของเจ้าควรมีรอยตำหนิสักสองสามรอยจริง”
“อย่าได้คิดทำเช่นนั้นเชียว”
“เช่นนั้นก็ไปทำให้ใบหน้าตนไม่น่ามองซะ” ดวงตาดำของโจวอันฉีฉายแววจริงจังจนสหายขนลุก
“หากเจ้าไม่พอใจข้าเรื่องคุณหนูสวี่ เจ้าไม่ต้องห่วงไปหรอกอย่างไรนางก็ยังชื่นชอบเจ้า”
“หุบปากซะ”
“แค่กล่าวถึงก็ไม่ได้ เจ้ามันขี้หวงเกินไปแล้ว”
‘ต่อไปเป็นการแสดงความสามารถของคุณหนูเจิ้ง จากจวนเสนาบดีฝ่ายซ้าย’
“หากข้าจำไม่ผิดในรายชื่อคุณหนูที่จะขึ้นแสดงไม่มีชื่อของคุณหนูเจิ้งนี่” หลิวเฟิงเหมียนงุนงง เพราะคนจัดการเรื่องนี้คือน้องสาวของเขาที่ไม่ใคร่จะชอบหน้าคุณหนูจวนเสนาบดีฝ่ายซ้าย ดังเช่นบิดาที่ก็ไม่ชอบเสนาบดีฝ่ายซ้าย แล้วนางจะขึ้นแสดงได้อย่างไร
“หึ” ชินอ๋องซื่อจื่อปรายตามองโจวเฟยหลงครู่หนึ่งก่อนเค้นเสียงจากลำคอ
“ข้าเบื่อหน่ายเจ้าจริงๆ อันฉี” คุณชายหลิวได้แต่ถอดถอนใจกับความปากหนักของสหาย
ทางฝั่งสตรีก็งุนงงไม่น้อยที่จู่ๆ สตรีที่ตนไม่ชอบหน้าถูกประกาศเรียกให้ขึ้นแสดงต่อจากโฉมงามอันดับหนึ่งของเมืองหลวง
“เจ้าใส่ชื่อนางไปด้วยหรือเมิ่งเอ๋อร์” สวี่ลู่ฟางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน
“ไม่นะ ในรายชื่อที่ข้าเขียนไม่มีรายชื่อของนาง”
“หากเจ้าไม่ได้ใส่แล้วใครกันที่เพิ่มชื่อนางลงไป”
“ข้าก็อยากทราบเช่นกัน ลู่ฟางเจ้าไม่โกรธข้าใช่หรือไม่ที่จู่ๆ เข่อชิงได้ขึ้นแสดงความสามารถ” หลิวเมิ่งที่เป็นสหายและรับรู้มาตลอดว่าคุณหนูแห่งจวนเสนาบดีฝ่ายซ้ายไม่ใคร่ชอบหน้าสหายตนถึงขั้นปล่อยข่าวว่าสหายตนลอบเจอองค์รัชทายาทหวังทำลายชื่อเสียง ไหนจะส่งคนมากลั่นแกล้งอีกมากมาย
“ข้าจะกล้าโกรธเจ้าได้อย่างไร แค่เจ้ายอมใส่ชื่อให้ข้าได้แสดงเป็นคนแรก ข้าก็ขอบคุณมากแล้ว”
“เจ้าช่างจิตใจดี ขอบคุณนะที่ไม่โกรธข้า”
“อืม” สวี่ลู่ฟางตอบรับด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนสมกับสมญานาม โฉมสะคราญอันดับหนึ่งของเมืองหลวง
ในขณะที่สหายรักทั้งสองคนกำลังสนทนากัน คุณหนูอีกคนก็กำลังต่อว่าคนที่กลั่นแกล้งสหายตนหวังให้อับอาย
“กัดไม่ปล่อยเลยจริงๆ หลิวเมิ่ง” หวังเยว่ฉิงกล่าวพลางมองไปที่คุณหนูเจ้าของจวนด้วยสายตาไม่พอใจ เพราะรู้ดีว่าสหายของตนไม่มีทางไปลงชื่อเพื่อแสดงความสามารถแน่นอน
“ช่างเถิด ในเมื่อพวกนางอยากประจักษ์ด้วยตาตนเอง ข้าก็จะทำให้พวกอ่อนหัดได้เห็น ชิงหนี่ว์เจ้าดูข้าให้ดีๆ นะ”
“อื้ม...ข้าจะคอยมองเจ้าอยู่ตลอด ใช้ความสามารถตอกกลับสตรีพวกนั้นให้หน้าหงายไปเลย” รู้จักความสามารถของว่าที่ฮองเฮาผู้นี้น้อยไปเสียแล้ว เจิ้งเข่อชิงเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่มีหรือจะเก่งกาจน้อยไปกว่าบุตรสาวหมอชาวบ้านที่บังเอิญโชคดีรักษาพระสนมหาย จึงได้เป็นหมอหลวงอยู่ในวังหลวง
นางร้ายนิสัยดีส่งยิ้มให้นางก่อนจะเดินออกไปด้านหน้าเพื่อแสดงความสามารถให้คนที่คิดกลั่นแกล้งนางได้เห็น
“ชิงหนี่ว์เจ้าเป็นตัวนำโชคของข้าจริงๆ”
“ตัวนำโชค? ข้าหรือ” คุณหนูจางมีสีหน้างุนงง
“เพราะความน่ารักน่าเอ็นดูของเจ้า เข่อชิงถึงได้ยิ้มออก เจ้ารู้หรือไม่ตั้งแต่ได้รู้ว่าตนต้องหมั้นหมายกับองค์รัชทายาท เข่อชิงไม่เคยยิ้มเช่นวันนี้อีกเลย วันๆ นางเอาแต่ฝึกฝนการเป็นฮองเฮาไม่หยุดพัก”
“แล้วเข่อชิงมีใจให้องค์รัชทายาทหรือไม่”
“มีหรือไม่ บิดามารดาไม่สนใจหรอก ทุกคนสนใจแต่ความเหมาะสม ในความโชคร้ายของเจ้ายังมีความโชคดีอยู่เพราะอย่างน้อยเจ้าก็ไม่ต้องโดนบังคับให้หมั้นหมายหรือแต่งกับบุรุษคนไหน” เมื่อไม่มีบิดามารดาก็ไม่ต้องโดนบังคับ
“แล้วเรื่องที่ถูกเล่าลือของคุณหนูสวี่นั่นเป็นเรื่องจริงหรือไม่”
“เพราะเป็นเรื่องจริง เข่อชิงจึงไม่ชอบสตรีดอกบัวขาว”
“อืม...เป็นสตรีดอกบัวขาวจริงๆ นั่นแหละ” นางยิ้มก่อนจะหันไปมองสหายคนใหม่ที่กำลังจะเริ่มบรรเลงเพลง
ตึง...เมื่อเสียงเริ่มดังขึ้นทุกคนต่างแปลกใจกับท่วงท่าการบรรเลงเพลงของคุณหนูเจิ้งผู้มาจากตระกูลใหญ่ เพลงที่เลือกเป็นเพลงที่บอกเรื่องราวของสตรีผู้หนึ่งที่เบื่อหน่ายกับความรักจึงอยากปล่อยวางแล้วท่องออกไปในโลกกว้าง
แม้ที่ผ่านมาคุณหนูเจิ้งจะเย่อหยิ่งและมีข่าวลือว่าร้ายกาจแต่บุรุษทั้งหลายที่กำลังจับจ้องอยู่ก็ไม่อาจจะปฏิเสธความงดงามเย้ายวนของนางได้ หากเปรียบคุณหนูสวี่ลู่ฟางเป็นดอกโบตั๋น[1]ที่งดงามเพียบพร้อม คุณหนูเจิ้งเข่อชิงคงจะเปรียบดังดอกเหมยกุ้ย[2] ที่สวยงามกลิ่นหอมและเย้ายวนน่าสัมผัสแต่ทว่ามีหนามแหลมคมคอยปกป้อง ต่างจากดอกโบตั๋นที่สามารถชื่นชมและเข้าถึงง่าย
ท่าทางสง่างามไร้ที่ติของคุณหนูแห่งจวนเสนาบดีฝ่ายซ้าย และสายตาบุรุษที่จับจ้องนางด้วยความชื่นชมทำให้สตรีนางหนึ่งจิกเล็บลงบนฝ่ามือใต้อาภรณ์อย่างแรงเพื่อข่มโทสะตน
ยิ่งนัยน์ตาหงส์ของสตรีผู้นั้นมองเห็นบุรุษที่นั่งในตำแหน่งเหนือกว่าผู้อื่นจ้องมองไปที่ว่าที่คู่หมั้นด้วยสายตาล้ำลึก ยิ่งทำให้นางไม่พอใจ
[1] ดอกพีโอนี (Peony)
[2] ดอกกุหลาบ
ยิ่งนัยน์ตาหงส์ของสตรีผู้นั้นมองเห็นบุรุษที่นั่งในตำแหน่งเหนือกว่าผู้อื่นจ้องมองไปที่ว่าที่คู่หมั้นด้วยสายตาล้ำลึก ยิ่งทำให้นางไม่พอใจ แปะๆ ทันทีที่การบรรเลงจบลง เสียงปรบมือก็ดังกึกก้องคุณหนูคุณชายต่างพร้อมใจกันปรบมือให้กับการแสดงความสามารถของคุณหนูเจิ้งผู้ที่ถูกเล่าลือว่าร้ายกาจ “ขอบคุณทุกท่านเจ้าค่ะที่ให้โอกาสข้าได้แสดงความสามารถ” เจิ้งเข่อชิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม เพราะเป็นรอยยิ้มที่แผ่ไปถึงดวงตาบ่งบอกถึงความสุข ทำให้บุรุษที่จ้องมองต่างเคลิบเคลิ้ม ในขณะที่สตรีต่างตกตะลึงไปกับความงามของคุณหนูผู้เย่อหยิ่ง ‘คุณหนูเจิ้งยิ้มเช่นนี้งดงามกว่าสตรีอันดับหนึ่งอย่างคุณหนูสวี่เสียอีก’ คุณหนูผู้หนึ่งกล่าว ‘ข้าเห็นด้วยกับเจ้า ไหนจะชาติตระกูล กิริยามารยาทเช่นคุณหนูตระกูลใหญ่ นางช่างเหมาะสมกับตำแหน่งฮองเฮา’ ‘นั่นสิ หากนางลงแข่งขันชิงตำแหน่งสตรีอันดับหนึ่งของเมืองหลวง ข้าว่าคุณหนูเจิ้งต้องได้ตำแหน่งเป็นแน่’ เมื่อได้ยินบรรดาคุณหนูต่างพูดคุยถึงเจิ้งเข่อชิงในทางที่ดี มุมปากของสตรีตัวน้อยจึงยกยิ้มก่อนจะจิบชาอย่างอารมณ์ดี
“นี่เจ้า! กล่าววาจาเช่นนี้ตั้งใจบีบบังคับนางหรือ” เจิ้งเข่อชิงรีบลุกขึ้นมายืนอยู่ข้างสหายคนใหม่ที่น่าเอ็นดู “คุณหนูเจิ้งท่านกล่าววาจาว่าร้ายเมิ่งเอ๋อร์เช่นนี้ไม่ดีเลยนะเจ้าคะ” สวี่ลู่ฟาง หญิงงามอันดับหนึ่งของเมืองหลวงก็ลุกขึ้นยืนบ้าง “ข้าน่ะหรือกล่าวว่าร้ายนาง หากคุณหนูคุณชายในที่นี้ไม่โง่เง่าก็คงจะมองเห็นและได้ยินชัดเจนว่าเป็นคุณชายหลิวและคุณหนูหลิวต่างหากที่พยายามจะลากชิงหนี่ว์ซึ่งกำลังบาดเจ็บที่มือให้ออกไปแสดงความสามารถ” เมื่อเห็นคุณหนูเจิ้งกล่าวเช่นนั้นนางจึงรีบเอ่ยวาจาต่อทันที “ขออภัยเจ้าค่ะ ที่ข้ามิอาจฝืนร่างกายทำการแสดงให้ทุกคนได้ชื่นชม แต่หากคุณชายหลิวและคุณหนูหลิวยืนยันอยากจะฟัง ข้าก็คงต้องทำร้ายตนเองด้วยการใช้มือที่บาดเจ็บนี้เล่นพิณแล้ว” “เอาล่ะ คุณหนูจางบาดเจ็บเช่นนี้ เฟิงเหมียนเจ้าคงมิคิดจะให้นางต้องฝืนร่างกายแสดงความสามารถหรอกนะ” องค์รัชทายาทยื่นบันไดให้สหายได้ลง “มิได้ๆ ข้าหลิวเฟิงเหมียนต้องขออภัยคุณหนูจางด้วยที่ไม่รู้เรื่องการบาดเจ็บของเจ้า เป็นข้าที่อยากให้ทุกคนได้รู้จักเจ้ามากเกินไป แต่อย่างน้อยวัน
“ท่านราชเลขาฯ จางหวงแหนน้องสาวยิ่งข้าได้ประจักษ์ด้วยตาตนเองก็วันนี้” เจิ้งเข่อชิงกล่าว “อย่ามัวแต่เยินยอพี่ชายข้าเลย เราไปนั่งคุยกันตรงนั้นดีหรือไม่ ข้าอยากชมดอกไม้” แม้จะพลาดไม่ได้ดูฉากตกหลุมรักของพระเอกนางเอก อย่างน้อยได้ชมดอกไม้ให้รื่นหูรื่นตาบ้างก็ยังดี “เจ้านี่นะ ชมดอกไม้น่ะแค่กล่าวเอาไว้ให้ดูดี จุดประสงค์แท้จริงคือให้มาชมบุรุษ” หวังเยว่ฉิงกล่าว สตรีทั้งสามคนสนทนากันพลางเดินไปที่สวนดอกไม้ โดยไม่รู้ว่ามีสายตามากมายจับจ้อง “ไม่รู้ว่าคุณหนูจางจะโกรธเคืองข้าหรือไม่ ข้าต้องไปขอโทษนางเป็นการส่วนตัวอีกครั้ง...” หลิวเฟิงเหมียนยังกล่าวไม่ทันจบก็ต้องเดินสะดุดกับอะไรบางอย่างจนเซไปเกาะองค์รัชทายาท&nb
4บุรุษสวมหน้ากากกับท่าทางแปลกๆ ของเขา (1) ด้านชินอ๋องซื่อจื่อที่เดินแยกตัวออกไป เดินไปหยุดนิ่งที่ใต้ต้นเหมยนัยน์ตาดำฉายแววล้ำลึกเมื่อจับจ้องไปยังจุดหนึ่ง ‘มีใครอยู่แถวนี้ไหมเจ้าคะ ข้าหกล้มเท้าบาดเจ็บ’ เสียงอ่อนหวานของสตรีนางหนึ่งดังขึ้น ‘ช่วยข้าด้วยเจ้าค่ะ ข้าเจ็บเท้า ลุกไม่ขึ้น’ พอเห็นอะไรบางอย่างที่ดูขัดสายตา จึงใช้กำลังภายในเล็กน้อยดีดผลเหอเถาออกไป ‘ช่วยข้าด้วย คุณชายที่ยืนอยู่ตรงนั้น’ “...” โจวอันฉีไม่ตอบก่อนจะเดินออกจากจุดที่ยืนเมื่อครู่ไปทางต้นเสียง “เป็นชินอ๋องซื่อจื่อเองหรือเพคะ หม่อมฉันต้องขอประทานอภัยที่ต้องรบกวนพระองค์” ดวงตารื้นน้ำตาฉายแววเจ็บปวดทอประกายความหวังเมื่อเห็นบุรุษเลิศล้ำกำลังเดินมาหาตน “...” บุรุษรูปงามไม่กล่าวอันใด ฝีเท้ายังคงก้าวเดินอย่างมั่นคง “หม่อมฉันพลาดพลั้งหกล้มจนเจ็บเท้า ต้องรบกวนท่านอ๋องแล้วเพคะ” โฉมงามอันดับหนึ่งกล่าวพลางกรีดนิ้วเช็ดน้ำตาที่ไม่มีจริงตรงหางตา ท่าทางอ่อนแอน่าปกป้องของสตรีที่มีดวงหน้างดงามทำให้บุรุษอยากปกป้อง ในช่วงที
“มันก็เป็นได้แค่เรื่องสมมติ เพราะสตรีอย่างไรก็กลายเป็นบุรุษไม่ได้” เสียงทุ้มของบุรุษที่แทรกเข้ามาในบทสนทนาทำให้ทั้งสามคนหันไปมอง “คารวะชินอ๋องซื่อจื่อ” คุณหนูทั้งสามแสดงความเคารพตามมารยาทแต่ในใจกลับคิดต่างกันออกไป ‘จู่ๆ ชินอ๋องเดินเข้ามาพูดคุยกับพวกข้าเช่นนี้ ช่างเป็นเรื่องที่แปลกประหลาด’ มันคือสิ่งที่หวังเยว่ฉิงคิด ‘บุรุษผู้นี้กำลังเอ่ยวาจาดักคอข้าอยู่ใช่หรือไม่’ คุณหนูเจิ้งคิด ‘เจ้าพระเอกตัวซวย อย่ามาใกล้ข้านะ ถอยไปให้ห่างๆ ข้า นางเอกของเจ้าอยู่ทางโน้น’ จางชิงหนี่ว์คิดพลางก้มหน้าซ่อนสายตาไม่ใคร่จะชอบใจเอาไว้ “ตามสบาย เปิ่นหวางไม่ได้ตั้งใจจะมารบกวนพวกเจ้า เพียงแค่เห็นว่าคุณหนู
“แต่บ่าวอยากให้คุณหนูได้พักผ่อนนี่เจ้าคะ คุณหนูเอาแต่วาดภาพบุรุษขาย จนบางครั้งตอนกลางวันก็ไม่ยอมหยุดพักเพื่อกินข้าว” หากไม่ติดว่าตอนเช้าและเย็นต้องกินข้าวพร้อมคุณชายใหญ่ คุณหนูของนางก็คงไม่สนใจที่จะหยุดพักเป็นแน่ “ช่วงนี้ราคาภาพวาดกำลังดี มีคุณหนูต้องการมากมาย ข้าจึงต้องเร่งมือ” สุดท้ายสาวใช้คนสนิทก็ไม่อาจห้ามคุณหนูของตนได้อีกจึงได้แต่นั่งพัดและรินน้ำชาให้อย่างเงียบๆ จางชิงหนี่ว์วาดภาพได้ตามจำนวนที่ต้องการจึงยอมหยุดพักแล้วไปเดินเล่นระหว่างรอภาพวาดแห้ง ส่วนจื่อรั่วก็ปล่อยให้เก็บอุปกรณ์วาดภาพไป “เริ่มหิวแล้วสิ แต่หากกินข้าวตอนนี้ แล้วพี่ใหญ่กลับมาข้าก็จะไม่หิวน่ะสิ” และเมื่อใดที่นางกินข้าวน้อยก็มักจะทำให้พี่ใหญ่ไม่สบายใ
“ช่างเถิดหากได้เจอกันอีกครั้งค่อยหาวิธีพิสูจน์” คุณหนูจางบอกกับตัวเองก่อนจะเดินกลับเรือนของตนเพื่ออาบน้ำเปลี่ยนอาภรณ์รอพี่ใหญ่กลับจวน ภาพวาดที่นางวาดโดยใช้เรือนร่างของจื่อเป่าเป็นต้นแบบถูกเถ้าแก่เนี้ยร้านขายภาพวาดรับซื้อเอาไว้หมด พร้อมทั้งสั่งเพิ่มอีกหลายๆ ภาพเท่าที่นางจะวาดไหว “มือก็หายแล้ว แต่จะไปหาบุรุษจากที่ใดมาวาดภาพเล่า” ลานฝึกยุทธ์ก็ไปไม่ได้ นางไม่กล้าเอาชีวิตน้อยๆ ของตนเองไปเสี่ยงอีก “คุณหนู ท่านอย่าออกไปวาดภาพบุรุษอีกเลยนะเจ้าคะ” คราวที่แล้วก็ได้บาดแผลมาจนต้องช่วยกันหาข้ออ้างโกหกคุณชายใหญ่ “ไม่ได้! ข้าต้องไป มือข้าหายแล้วเจ้าไม่ต้องห่วง” แม้จะรู้ว่าจวนตนไม่ได้ขัด
5บุรุษสวมหน้ากากกับท่าทางแปลกๆ ของเขา (2) คุณหนูจางที่ตอนนี้อยู่ในคราบบุรุษเดินตามผู้ดูแลไปที่ห้องส่วนตัว “คุณชายรอข้าน้อยเพียงครู่เดียว ข้าน้อยจะไปพาเหล่าบุรุษมาให้ท่านเลือกขอรับ” “อืม” นางตอบรับพลางโยนตำลึงสีเงินก้อนใหญ่ให้ผู้ดูแล ซึ่งชายวัยกลางคนรับมาแล้วยิ้มอย่างอารมณ์ดีก่อนจะหายออกไปทางประตู ผ่านไปไม่ถึงชั่วจิบชาผู้ดูแลกลับมาพร้อมกับบุรุษจำนวนเจ็ดคนเพื่อให้นางเลือกสรร “คุณชายสามารถเลือกคนที่คุณชายต้องการได้เลยขอรับ”&nb
การแต่งฮูหยินที่เร่งรีบของท่านราชครู มีคนมากมายที่อาจจะสงสัยว่าเหตุใดท่านราชครูจางเหว่ยถึงได้เร่งรีบตบแต่งเถ้าแก่เนี้ยร้านขายภาพวาดซือซือเข้าจวนจาง ทั้งที่ก่อนหน้านี้ก็ไม่มีข่าวลือว่าคบหากัน หรืออาจจะเป็นเพราะได้เห็นบทเรียนจากการเล่าลือเรื่องของคุณหนูสวี่ ที่จู่ๆ คนเหล่านั้นบังเอิญลิ้นขาดกลายเป็นคนพูดไม่ได้ แต่โชคดีหนึ่งในนั้นมีคนเขียนอักษรได้ จึงได้เขียนเตือนคนรอบตัวไม่ให้เล่าลือเรื่องราวเกี่ยวกับเชื้อพระวงศ์หรือตระกูลที่ใกล้ชิดราชวงศ์ สุดท้ายจึงไม่มีใครกล้าเล่าลือหรือสงสัยถึงความเร่งรีบของท่านราชครู “พี่เหว่ย ท่านจะไม่เสียใจทีหลังห
ฮองเฮาพบปะสหาย ภายในจวนท่านราชเลขาฯจาง วุ่นวายไม่น้อยเมื่อมีผู้สูงศักดิ์มาเยือนโดยได้นัดหมายกันล่วงหน้า “ถวายพระพรฝ่าบาท ถวายพระพรฮองเฮาพ่ะย่ะค่ะ” ชินอ๋องที่เพิ่งลงจากรถม้าแสดงความเคารพโอรสสวรรค์และฮองเฮา “ถวายพระพรฝ่าบาท ถวายพระพรฮองเฮาเพคะ” พระชายาสกุลจางที่ลงรถม้ามาภายหลังทำความเคารพอีกฝ่ายเช่นกัน “ตามสบายเถิด พวกเจ้าเป็นสหายของเราใช้คำธรรมดาสามัญเถิด”
“เจ้าโอบอุ้มบุตรชายของเราให้แน่นๆ ส่วนเจ้าพี่จะจับให้แน่นๆ เอง” กล่าวจบเขาก็ใช้วิชาตัวเบาโอบอุ้มพานางและบุตรชายกลับตำหนัก ทันทีที่ถึงตำหนักโจวหลี่หมิงถูกส่งตัวให้ซานจี สาวใช้ประจำตัวคนใหม่ของนางที่ทางพระสวามีหามาให้ แน่นอนว่านางมิใช่สาวใช้ธรรมดา เพราะสตรีผู้นี้คือองครักษ์เงาที่ถูกฝึกมาอย่างหนักเพื่อดูแลดวงใจของท่านอ๋อง “นำไปซื่อจื่อไปมอบให้แม่นมแล้วเจ้าไปพัก ข้าจะดูแลพระชายาเอง” บุรุษที่ชื่นชอบการปรนนิบัติฮูหยินกล่าว “แงๆ” แม้จะดีดดิ้นเพียงใด แต่บุตรชายมีหรือจะต่อต้านบิดาได้ “ท่านพี่ หากลูกไม่อยากไป...” ไม่มีมาร
เรื่องเล่าหลังเป็นพระชายาของชิงหนี่ว์ ดวงตาเมล็ดซิ่งทอดมองผืนดินที่เขียวชอุ่มไปด้วยพืชผัก ที่ดินผืนนี้นางใช้เงินที่ได้จากการวาดภาพขายมาซื้อเก็บไว้ เพื่อสร้างรายได้ให้กับบ่าวรับใช้ผู้ภักดีทั้งสอง ก่อนหน้าที่นางจะแต่งเข้าตำหนักอ๋องไม่นาน นางก็จัดการให้จื่อรั่วและจื่อเป่าที่ความสัมพันธ์คืบหน้าไปอย่างรวดเร็วได้เข้าพิธีกราบไหว้ฟ้าดินกันก่อนจะคืนสัญญาทาสแล้วให้ทั้งสองคนย้ายมาปลูกจวนอยู่บนที่ผืนนี้ “พระชายาท่านนั่งพักดื่มน้ำก่อนเถิดเพคะ รอแดดร่มลมตกค่อยออกไปเดินดูด้านนอก”&
“เช่นนั้นก่อนจะลงโทษน้อง ท่านพี่กินข้าวก่อนดีหรือไม่เจ้าคะ” “มิต้อง” กล่าวจบเขาก็รั้งนางเข้าไปแนบชิด มือใหญ่จับยึดคางเรียวเอาไว้ริมฝีปากร้อนกดลงบนกลีบปากบาง ลิ้นร้อนบุกรุกโพรงปากนางอย่างเอาแต่ใจ ในขณะที่มือช่วยปลดเปลื้องอาภรณ์ให้นางอย่างรวดเร็ว ช่างใจร้อนเสียจริง... ดวงหน้าหวานแดงก่ำด้วยความเขินอาย เมื่อพระสวามีของตนที่เพิ่งถอนจุมพิตเร่าร้อนเมื่อครู่ จับจ้องนางราวกับหมาป่าหิวกระหาย “น้องหญิงของพี่เลิศรสกว่าอาหารใดๆ” กล่าวจบเขาก็ช้อนเรือนร่างเปลือยเปล่าเข้าหลังฉากกั้น ว่ากันว่าฮองเฮาชื่นชอบการแช่น้ำร้อน ภายในตำหนักจึงมีบ่อน้ำร้อนขนาดใหญ่อยู่ติดห้องบรรทม 
ฮ่องเต้ผู้เด็ดขาดกับฮองเฮา (แค่บนเตียง) นัยน์ตาดำของบุรุษสูงศักดิ์จับจ้องใบหน้าของสตรีที่ตนรักอย่างไม่ละสายตา มือใหญ่ช่วยคีบอาหารใส่ชามให้นางอย่างเอาใจ “ท่านพี่กินบ้างเถิดเจ้าค่ะ อย่ามัวแต่คีบให้ข้าเลยเจ้าค่ะ” แม้ยามนี้ทั้งสอ
“เอ่อ...ท่านช่วยพาข้าลงจากหลังม้าได้หรือไม่เจ้าคะ” สิ้นเสียงนาง รอยยิ้มบางปรากฏบนใบหน้าไร้ที่ติแม้จะหล่อเหลาน้อยกว่าชินอ๋องซื่อจื่อ แต่ทว่าก็มีสตรีไม่น้อยที่ชื่นชอบบุรุษผู้นี้ หลังจากที่นางได้ขี่ม้าตัวเดียวกับบุรุษที่สตรีหลายคนหมายปอง นางก็มักจะเจอเขาที่เหลาอาหารหรือโรงเตี๊ยมอยู่บ่อยครั้ง เพราะไม่สบายใจกับสายตาจาบจ้วงของบุรุษในวันนั้นนางจึงไม่กล้าไปที่ร้านบะหมี่เนื้อของท่านป้าผู้นั้นอีก แต่ไม่แน่ใจว่าเป็นเรื่องแปลกหรือไม่ นางมักจะเจอท่านราชเลขาฯจางผู้นั้นอยู่บ่อยครั้ง วันนี้ก็เช่นกัน “ดูเหมือนเจ้าจะชื่นชอบการออกมากินข้าวนอกจวน มิทราบว่าพ่อครัวจวนหวังทำอาหารไม่อร่อยหรือ” เขามานั่งร่วมโต๊ะโดยที่นางไม่ต้องเชิญทุกครา จนกลายเป็นความเคยชิ
“ข้าอิ่มแล้วเจ้าค่ะ ได้โปรดยกเท้าที่เหยียบชายอาภรณ์ข้าด้วยเจ้าค่ะ” “เจ้ารู้หรือไม่ มีขอทานและคนยากจนที่ไม่มีแม้แต่ข้าวจะกิน หากคนพวกนั้นมาเห็นเจ้ากินเหลือเช่นนั้น พวกเขาคงตัดพ้อ พวกเขาไม่มีโอกาสแม้แต่จะได้กินบะหมี่น้ำธรรมดา แต่เจ้าที่เป็นคุณหนูกลับกินทิ้งกินขว้าง กินเพียงคำสองคนไม่ถูกใจก็ทิ้ง จะว่าไปก็น่าสงสารชาวบ้านที่เขาทำปลูกพืชผักและเลี้ยงสัตว์นะ พวกเขาลำบากเพียงใดกว่าจะปลูกพืชผักและเลี้ยงสัตว์มาเพื่อเป็นอาหารให้พวกเราได้กิน...” “พอแล้วเจ้าค่ะ ข้ากินให้หมดก็ได้” คุณหนูหวังกล่าวก่อนจะนั่งลงตามเดิม มือเรียวหยิบตะเกียบมาคีบกินบะหมี่เนื้อที่ตนกินค้างไว้ พร้อมกับบะหมี่เนื้อที่เขาสั่งถูกนำมาให้พอดี มุมปากของเขาหยักยิ้มเมื่อเห็นท่าทางของนาง จางชิงเทียนกินบะหมี่เนื้อไปลอบมองสหายของน้องสาวไป เขาเพิ่งสังเกตว่าคุณหน
“ข้าเห็นเจ้าเดินออกจากโรงเตี๊ยมจึงเดินตามเพียงเท่านั้น” กล่าวจบสายตาของท่านราชเลขาฯ ก็จับจ้องดวงหน้าหวานที่มักจะส่งยิ้มให้เขาอยู่เสมอ แต่ทว่าวันนี้กลับบึ้งตึง “ท่านป้าเจ้าขา วันนี้ข้าต้องไปแล้ว ท่านมาเก็บโต๊ะเถิดเจ้าค่ะ คุณชายพวกนี้จะได้มีโต๊ะนั่งไม่ต้องมายืนจ้องผู้อื่นให้เสียมารยาทเช่นนี้” กล่าวจบนางก็วางเหรียญอีแปะลงบนโต๊ะก่อนจะเดินออกจากร้านไป ตั้งแต่ต้นจนจบนางไม่ทักทายเขาเช่นที่เคยทำ ต้องเป็นเพราะที่เขากล่าววาจาไม่ดีใส่นางในวันนั้นเป็นแน่ “ชิงเทียนเจ้ารู้จักคุณหนูผู้นั้นหรือ” “เจ้าชอบนางหรือ” “ใช่ ข้าอยากเกี้ยวพานาง ในเมืองหลวงนี้จะมีคุณหนูส