“นี่เจ้า! กล่าววาจาเช่นนี้ตั้งใจบีบบังคับนางหรือ” เจิ้งเข่อชิงรีบลุกขึ้นมายืนอยู่ข้างสหายคนใหม่ที่น่าเอ็นดู
“คุณหนูเจิ้งท่านกล่าววาจาว่าร้ายเมิ่งเอ๋อร์เช่นนี้ไม่ดีเลยนะเจ้าคะ” สวี่ลู่ฟาง หญิงงามอันดับหนึ่งของเมืองหลวงก็ลุกขึ้นยืนบ้าง
“ข้าน่ะหรือกล่าวว่าร้ายนาง หากคุณหนูคุณชายในที่นี้ไม่โง่เง่าก็คงจะมองเห็นและได้ยินชัดเจนว่าเป็นคุณชายหลิวและคุณหนูหลิวต่างหากที่พยายามจะลากชิงหนี่ว์ซึ่งกำลังบาดเจ็บที่มือให้ออกไปแสดงความสามารถ” เมื่อเห็นคุณหนูเจิ้งกล่าวเช่นนั้นนางจึงรีบเอ่ยวาจาต่อทันที
“ขออภัยเจ้าค่ะ ที่ข้ามิอาจฝืนร่างกายทำการแสดงให้ทุกคนได้ชื่นชม แต่หากคุณชายหลิวและคุณหนูหลิวยืนยันอยากจะฟัง ข้าก็คงต้องทำร้ายตนเองด้วยการใช้มือที่บาดเจ็บนี้เล่นพิณแล้ว”
“เอาล่ะ คุณหนูจางบาดเจ็บเช่นนี้ เฟิงเหมียนเจ้าคงมิคิดจะให้นางต้องฝืนร่างกายแสดงความสามารถหรอกนะ” องค์รัชทายาทยื่นบันไดให้สหายได้ลง
“มิได้ๆ ข้าหลิวเฟิงเหมียนต้องขออภัยคุณหนูจางด้วยที่ไม่รู้เรื่องการบาดเจ็บของเจ้า เป็นข้าที่อยากให้ทุกคนได้รู้จักเจ้ามากเกินไป แต่อย่างน้อยวันนี้ข้าก็ได้ประจักษ์ด้วยตนเองแล้วว่าคุณหนูจางชิงหนี่ว์งดงามมากเพียงใด สมแล้วที่ท่านราชเลขาธิการจางจะหวงแหนน้องสาว” คำกล่าวของหลิวเฟิงเหมียนทำให้ใครบางคนคิ้วกระตุกไปพร้อมกับเท้าที่อยากจะยื่นออกไปเพื่อถีบคนกล่าววาจาไม่เข้าหู
“ขอบคุณคุณชายหลิวและคุณหนูหลิวเช่นกันที่วันนี้ทำให้ข้าได้ทราบว่าการพาน้องสาวมาร่วมงานเลี้ยงนั้นช่างไม่ปลอดภัยกับนางเสียจริง เพราะนอกจากจะมีการอิจฉาริษยาหวังกลั่นแกล้งกันในหมู่สตรีแล้ว ยังมีบุรุษที่หวังจะเชยชมโดยที่สตรีไม่เต็มใจ ต้องขอบคุณจวนหลิวแล้วที่ทำให้ข้าและน้องสาวได้ประจักษ์เรื่องราวเหล่านี้” คำกล่าวของราชเลขาธิการจางทำให้คนตระกูลหลิวแทบกระอักเลือด
แม้จางชิงเทียนดูเป็นคนเรียบง่าย สุภาพ อ่อนโยน แต่เมื่อชายผู้นี้ต้องออกหน้าปกป้องน้องสาว ก็สามารถทำให้คนที่คิด ไม่ดีกับแก้วตาดวงใจของเขาเจ็บแสบไม่น้อย
“เอาล่ะๆ ในเมื่อเป็นเรื่องเข้าใจผิดกัน ก็ให้มันจบเพียงเท่านี้เถิด วันนี้เจ้าอยากให้ทุกคนได้มาจิบชาชมดอกไม้ทำความรู้จักกันไม่ใช่หรือ” ยิ่งองค์รัชทายาทพยายามช่วยเหลือสหาย ยิ่งทำให้สตรีผู้หนึ่งลอบมองด้วยสายตาเย้ยหยัน
“ใช่ๆ ข้าต้องขออภัยท่านราชเลขาธิการจางและคุณหนูจางที่ทำให้พวกท่านรู้สึกไม่ดี”
“มิเป็นไรเจ้าค่ะ” มีเพียงคุณหนูจางที่ตอบรับ ส่วนราชเลขาธิการจางมองคนกล่าวด้วยสายตานิ่งเฉย
“เชิญพวกท่านจิบชาชมดอกไม้กันตามสบายเลยนะขอรับ” สิ้นเสียงคุณชายจางคุณหนูคุณชายหลายคนก็ลุกขึ้นแล้วแยกย้ายกันไปสนทนากับคนที่ตนต้องการ
“ชิงหนี่ว์เรากลับจวนกันเถิด” จางชิงเทียนก้าวเท้าเดินไปหาน้องสาว
“พี่ใหญ่เจ้าขา ข้าขออยู่ต่ออีกหนึ่งเค่อได้หรือไม่เจ้าคะ ข้าอยากสนทนากับสหายอีกสักนิด”
“สหายเจ้าหรือใครกัน”
“นั่นอย่างไรเจ้าคะ” น้องน้อยชี้ไปที่คุณหนูสองคนที่กำลังเดินเข้ามาใกล้
“คนตระกูลหลิวนิสัยย่ำแย่ไม่เปลี่ยนเลยจริงๆ” หวังเยว่ฉิงบ่น หากวันนี้ไม่เพราะท่านพ่อท่านแม่ขอให้นางมา นางก็คงไม่คิดจะมาร่วมงานที่จวนนี้
“เจ้าอย่าได้สนใจคนพวกนั้นเลยนะชิงหนี่ว์” คุณหนูเจิ้งเอ่ยทันทีที่เดินถึงตัวนาง
“พี่ใหญ่เจ้าขา นี่คือสหายใหม่ของข้าเจ้าค่ะ คุณหนูหวังเยว่ฉิง และคุณหนูเจิ้งเข่อชิง เจ้าค่ะ”
“คารวะท่านราชเลขาธิการจางเจ้าค่ะ” เพราะเป็นขุนนางมีตำแหน่งและศักดิ์สูงกว่า คุณหนูทั้งสองจึงแสดงความเคารพ
“อืม เมื่อครู่นี้ข้าต้องขอบคุณคุณหนูเจิ้งด้วยที่พยายามช่วยชิงหนี่ว์”
“มิเป็นไรเจ้าค่ะ เราเป็นสหายกันแล้ว มีเรื่องอันใดข้าย่อมต้องยื่นมือช่วยเหลือ” เจิ้งเข่อชิงตอบรับด้วยท่าทีนอบน้อมแต่ทว่าสง่างาม ทำให้ดวงหน้าของบุรุษอย่างจางชิงเทียนเผยรอยยิ้มจางๆ
‘สมแล้วล่ะที่ฮ่องเต้หวังจะให้นางนั่งในตำแหน่งฮองเฮา’
“เจ้ามีสหายแล้วเช่นนั้นพี่ขอไปพูดคุยกับสหายก่อน อีกหนึ่งเค่อพี่จะมารับเจ้ากลับจวน อย่าลืมระวังตัวด้วยล่ะ”
“เจ้าค่ะ” เมื่อน้องสาวรับคำ พี่ใหญ่ก็หันไปส่งยิ้มให้กับสหายทั้งสองคนของนาง
“กรี๊ด...ได้เห็นท่านราชเลขาฯ จางยิ้มเช่นนี้ถือเป็นบุญตายิ่ง ต้องขอบคุณสหายอย่างเจ้าแล้วชิงหนี่ว์” จะไม่ให้ดีใจได้อย่างไรในเมื่อรอยยิ้มนั้นหาใช่รอยยิ้มเสแสร้งดั่งเช่นยามปกติ
“ท่านราชเลขาฯ จางหวงแหนน้องสาวยิ่งข้าได้ประจักษ์ด้วยตาตนเองก็วันนี้” เจิ้งเข่อชิงกล่าว
“ท่านราชเลขาฯ จางหวงแหนน้องสาวยิ่งข้าได้ประจักษ์ด้วยตาตนเองก็วันนี้” เจิ้งเข่อชิงกล่าว “อย่ามัวแต่เยินยอพี่ชายข้าเลย เราไปนั่งคุยกันตรงนั้นดีหรือไม่ ข้าอยากชมดอกไม้” แม้จะพลาดไม่ได้ดูฉากตกหลุมรักของพระเอกนางเอก อย่างน้อยได้ชมดอกไม้ให้รื่นหูรื่นตาบ้างก็ยังดี “เจ้านี่นะ ชมดอกไม้น่ะแค่กล่าวเอาไว้ให้ดูดี จุดประสงค์แท้จริงคือให้มาชมบุรุษ” หวังเยว่ฉิงกล่าว สตรีทั้งสามคนสนทนากันพลางเดินไปที่สวนดอกไม้ โดยไม่รู้ว่ามีสายตามากมายจับจ้อง “ไม่รู้ว่าคุณหนูจางจะโกรธเคืองข้าหรือไม่ ข้าต้องไปขอโทษนางเป็นการส่วนตัวอีกครั้ง...” หลิวเฟิงเหมียนยังกล่าวไม่ทันจบก็ต้องเดินสะดุดกับอะไรบางอย่างจนเซไปเกาะองค์รัชทายาท&nb
4บุรุษสวมหน้ากากกับท่าทางแปลกๆ ของเขา (1) ด้านชินอ๋องซื่อจื่อที่เดินแยกตัวออกไป เดินไปหยุดนิ่งที่ใต้ต้นเหมยนัยน์ตาดำฉายแววล้ำลึกเมื่อจับจ้องไปยังจุดหนึ่ง ‘มีใครอยู่แถวนี้ไหมเจ้าคะ ข้าหกล้มเท้าบาดเจ็บ’ เสียงอ่อนหวานของสตรีนางหนึ่งดังขึ้น ‘ช่วยข้าด้วยเจ้าค่ะ ข้าเจ็บเท้า ลุกไม่ขึ้น’ พอเห็นอะไรบางอย่างที่ดูขัดสายตา จึงใช้กำลังภายในเล็กน้อยดีดผลเหอเถาออกไป ‘ช่วยข้าด้วย คุณชายที่ยืนอยู่ตรงนั้น’ “...” โจวอันฉีไม่ตอบก่อนจะเดินออกจากจุดที่ยืนเมื่อครู่ไปทางต้นเสียง “เป็นชินอ๋องซื่อจื่อเองหรือเพคะ หม่อมฉันต้องขอประทานอภัยที่ต้องรบกวนพระองค์” ดวงตารื้นน้ำตาฉายแววเจ็บปวดทอประกายความหวังเมื่อเห็นบุรุษเลิศล้ำกำลังเดินมาหาตน “...” บุรุษรูปงามไม่กล่าวอันใด ฝีเท้ายังคงก้าวเดินอย่างมั่นคง “หม่อมฉันพลาดพลั้งหกล้มจนเจ็บเท้า ต้องรบกวนท่านอ๋องแล้วเพคะ” โฉมงามอันดับหนึ่งกล่าวพลางกรีดนิ้วเช็ดน้ำตาที่ไม่มีจริงตรงหางตา ท่าทางอ่อนแอน่าปกป้องของสตรีที่มีดวงหน้างดงามทำให้บุรุษอยากปกป้อง ในช่วงที
“มันก็เป็นได้แค่เรื่องสมมติ เพราะสตรีอย่างไรก็กลายเป็นบุรุษไม่ได้” เสียงทุ้มของบุรุษที่แทรกเข้ามาในบทสนทนาทำให้ทั้งสามคนหันไปมอง “คารวะชินอ๋องซื่อจื่อ” คุณหนูทั้งสามแสดงความเคารพตามมารยาทแต่ในใจกลับคิดต่างกันออกไป ‘จู่ๆ ชินอ๋องเดินเข้ามาพูดคุยกับพวกข้าเช่นนี้ ช่างเป็นเรื่องที่แปลกประหลาด’ มันคือสิ่งที่หวังเยว่ฉิงคิด ‘บุรุษผู้นี้กำลังเอ่ยวาจาดักคอข้าอยู่ใช่หรือไม่’ คุณหนูเจิ้งคิด ‘เจ้าพระเอกตัวซวย อย่ามาใกล้ข้านะ ถอยไปให้ห่างๆ ข้า นางเอกของเจ้าอยู่ทางโน้น’ จางชิงหนี่ว์คิดพลางก้มหน้าซ่อนสายตาไม่ใคร่จะชอบใจเอาไว้ “ตามสบาย เปิ่นหวางไม่ได้ตั้งใจจะมารบกวนพวกเจ้า เพียงแค่เห็นว่าคุณหนู
“แต่บ่าวอยากให้คุณหนูได้พักผ่อนนี่เจ้าคะ คุณหนูเอาแต่วาดภาพบุรุษขาย จนบางครั้งตอนกลางวันก็ไม่ยอมหยุดพักเพื่อกินข้าว” หากไม่ติดว่าตอนเช้าและเย็นต้องกินข้าวพร้อมคุณชายใหญ่ คุณหนูของนางก็คงไม่สนใจที่จะหยุดพักเป็นแน่ “ช่วงนี้ราคาภาพวาดกำลังดี มีคุณหนูต้องการมากมาย ข้าจึงต้องเร่งมือ” สุดท้ายสาวใช้คนสนิทก็ไม่อาจห้ามคุณหนูของตนได้อีกจึงได้แต่นั่งพัดและรินน้ำชาให้อย่างเงียบๆ จางชิงหนี่ว์วาดภาพได้ตามจำนวนที่ต้องการจึงยอมหยุดพักแล้วไปเดินเล่นระหว่างรอภาพวาดแห้ง ส่วนจื่อรั่วก็ปล่อยให้เก็บอุปกรณ์วาดภาพไป “เริ่มหิวแล้วสิ แต่หากกินข้าวตอนนี้ แล้วพี่ใหญ่กลับมาข้าก็จะไม่หิวน่ะสิ” และเมื่อใดที่นางกินข้าวน้อยก็มักจะทำให้พี่ใหญ่ไม่สบายใ
“ช่างเถิดหากได้เจอกันอีกครั้งค่อยหาวิธีพิสูจน์” คุณหนูจางบอกกับตัวเองก่อนจะเดินกลับเรือนของตนเพื่ออาบน้ำเปลี่ยนอาภรณ์รอพี่ใหญ่กลับจวน ภาพวาดที่นางวาดโดยใช้เรือนร่างของจื่อเป่าเป็นต้นแบบถูกเถ้าแก่เนี้ยร้านขายภาพวาดรับซื้อเอาไว้หมด พร้อมทั้งสั่งเพิ่มอีกหลายๆ ภาพเท่าที่นางจะวาดไหว “มือก็หายแล้ว แต่จะไปหาบุรุษจากที่ใดมาวาดภาพเล่า” ลานฝึกยุทธ์ก็ไปไม่ได้ นางไม่กล้าเอาชีวิตน้อยๆ ของตนเองไปเสี่ยงอีก “คุณหนู ท่านอย่าออกไปวาดภาพบุรุษอีกเลยนะเจ้าคะ” คราวที่แล้วก็ได้บาดแผลมาจนต้องช่วยกันหาข้ออ้างโกหกคุณชายใหญ่ “ไม่ได้! ข้าต้องไป มือข้าหายแล้วเจ้าไม่ต้องห่วง” แม้จะรู้ว่าจวนตนไม่ได้ขัด
5บุรุษสวมหน้ากากกับท่าทางแปลกๆ ของเขา (2) คุณหนูจางที่ตอนนี้อยู่ในคราบบุรุษเดินตามผู้ดูแลไปที่ห้องส่วนตัว “คุณชายรอข้าน้อยเพียงครู่เดียว ข้าน้อยจะไปพาเหล่าบุรุษมาให้ท่านเลือกขอรับ” “อืม” นางตอบรับพลางโยนตำลึงสีเงินก้อนใหญ่ให้ผู้ดูแล ซึ่งชายวัยกลางคนรับมาแล้วยิ้มอย่างอารมณ์ดีก่อนจะหายออกไปทางประตู ผ่านไปไม่ถึงชั่วจิบชาผู้ดูแลกลับมาพร้อมกับบุรุษจำนวนเจ็ดคนเพื่อให้นางเลือกสรร “คุณชายสามารถเลือกคนที่คุณชายต้องการได้เลยขอรับ”&nb
“เหลือเวลาอีกครึ่งชั่วยามก่อนผู้ดูแลจะพาชายงามมาให้ข้าเลือกเพิ่ม คราวนี้ข้าขอเปลี่ยนท่านั่งพวกเจ้าใหม่” สตรีในคราบบุรุษกล่าวก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปใกล้ทั้งสามคน จางชิงหนี่ว์จัดบุรุษคนหนึ่งให้นอนเอนหลังลงกับพื้น ส่วนบุรุษอีกคนคุกเข่านั่งคร่อมขาข้างหนึ่งของคนที่นอนอยู่ มือใหญ่ของคนที่อยู่ด้านบนวางลงตรงแผ่นอก ส่วนแขนอีกข้างยันพื้นเอาไว้ ชายอีกหนึ่งคนที่เหลือ นางให้นอนคว่ำแล้วซบใบหน้าลงตรงต้นขาที่ไม่มีอาภรณ์ปกปิด มือใหญ่ข้างหนึ่งเอื้อมไปวางลงบนหน้าท้อง “อู่เจ๋อ ท่าทางเจ้ายังไม่ได้ มานี่ประเดี๋ยวข้าทำให้ดู” นางดันตัวเล็กน้อยเพื่อให้อีกฝ่ายหลบ “เจ้าต้องทำเช่นนี้ อืม โน้มใบหน้าเข้าไปใกล้เช่นนี้ดีกว่า” นางขึ้นคร่อมขาข้างหนึ่งของชายงามที่นอนอยู่ก่อนจะใช้ม
“พวกท่านรีบใส่อาภรณ์เถิดเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวจะเป็นหวัดเอาได้” นางเอ่ยพลางส่งยิ้มให้กับชายงามทั้งสามที่ช่วยให้งานของนางลุล่วงไปได้ “...” บุรุษสวมหน้ากากตวัดสายตามองเช่นกัน ทำให้ทั้งสามคนได้แต่ก้มหน้า คุณชายผู้นี้หวงแหนฮูหยินยิ่งนัก... “พวกท่านจะนั่งดื่มกินก่อนก็ได้นะเจ้าคะ ประเดี๋ยวผู้ดูแลนำบุรุษมาให้ข้าเลือกเพิ่ม พวกท่านค่อยไปก็ได้” “นี่เจ้ายังจะเลือกบุรุษมาเพิ่มอีกหรือ” “ข้ายังวาดได้ไม่มาก จึงต้องหาคนเพิ่มอีกเจ้าค่ะ” “ที่นี่เป็นหอชายงา
การแต่งฮูหยินที่เร่งรีบของท่านราชครู มีคนมากมายที่อาจจะสงสัยว่าเหตุใดท่านราชครูจางเหว่ยถึงได้เร่งรีบตบแต่งเถ้าแก่เนี้ยร้านขายภาพวาดซือซือเข้าจวนจาง ทั้งที่ก่อนหน้านี้ก็ไม่มีข่าวลือว่าคบหากัน หรืออาจจะเป็นเพราะได้เห็นบทเรียนจากการเล่าลือเรื่องของคุณหนูสวี่ ที่จู่ๆ คนเหล่านั้นบังเอิญลิ้นขาดกลายเป็นคนพูดไม่ได้ แต่โชคดีหนึ่งในนั้นมีคนเขียนอักษรได้ จึงได้เขียนเตือนคนรอบตัวไม่ให้เล่าลือเรื่องราวเกี่ยวกับเชื้อพระวงศ์หรือตระกูลที่ใกล้ชิดราชวงศ์ สุดท้ายจึงไม่มีใครกล้าเล่าลือหรือสงสัยถึงความเร่งรีบของท่านราชครู “พี่เหว่ย ท่านจะไม่เสียใจทีหลังห
ฮองเฮาพบปะสหาย ภายในจวนท่านราชเลขาฯจาง วุ่นวายไม่น้อยเมื่อมีผู้สูงศักดิ์มาเยือนโดยได้นัดหมายกันล่วงหน้า “ถวายพระพรฝ่าบาท ถวายพระพรฮองเฮาพ่ะย่ะค่ะ” ชินอ๋องที่เพิ่งลงจากรถม้าแสดงความเคารพโอรสสวรรค์และฮองเฮา “ถวายพระพรฝ่าบาท ถวายพระพรฮองเฮาเพคะ” พระชายาสกุลจางที่ลงรถม้ามาภายหลังทำความเคารพอีกฝ่ายเช่นกัน “ตามสบายเถิด พวกเจ้าเป็นสหายของเราใช้คำธรรมดาสามัญเถิด”
“เจ้าโอบอุ้มบุตรชายของเราให้แน่นๆ ส่วนเจ้าพี่จะจับให้แน่นๆ เอง” กล่าวจบเขาก็ใช้วิชาตัวเบาโอบอุ้มพานางและบุตรชายกลับตำหนัก ทันทีที่ถึงตำหนักโจวหลี่หมิงถูกส่งตัวให้ซานจี สาวใช้ประจำตัวคนใหม่ของนางที่ทางพระสวามีหามาให้ แน่นอนว่านางมิใช่สาวใช้ธรรมดา เพราะสตรีผู้นี้คือองครักษ์เงาที่ถูกฝึกมาอย่างหนักเพื่อดูแลดวงใจของท่านอ๋อง “นำไปซื่อจื่อไปมอบให้แม่นมแล้วเจ้าไปพัก ข้าจะดูแลพระชายาเอง” บุรุษที่ชื่นชอบการปรนนิบัติฮูหยินกล่าว “แงๆ” แม้จะดีดดิ้นเพียงใด แต่บุตรชายมีหรือจะต่อต้านบิดาได้ “ท่านพี่ หากลูกไม่อยากไป...” ไม่มีมาร
เรื่องเล่าหลังเป็นพระชายาของชิงหนี่ว์ ดวงตาเมล็ดซิ่งทอดมองผืนดินที่เขียวชอุ่มไปด้วยพืชผัก ที่ดินผืนนี้นางใช้เงินที่ได้จากการวาดภาพขายมาซื้อเก็บไว้ เพื่อสร้างรายได้ให้กับบ่าวรับใช้ผู้ภักดีทั้งสอง ก่อนหน้าที่นางจะแต่งเข้าตำหนักอ๋องไม่นาน นางก็จัดการให้จื่อรั่วและจื่อเป่าที่ความสัมพันธ์คืบหน้าไปอย่างรวดเร็วได้เข้าพิธีกราบไหว้ฟ้าดินกันก่อนจะคืนสัญญาทาสแล้วให้ทั้งสองคนย้ายมาปลูกจวนอยู่บนที่ผืนนี้ “พระชายาท่านนั่งพักดื่มน้ำก่อนเถิดเพคะ รอแดดร่มลมตกค่อยออกไปเดินดูด้านนอก”&
“เช่นนั้นก่อนจะลงโทษน้อง ท่านพี่กินข้าวก่อนดีหรือไม่เจ้าคะ” “มิต้อง” กล่าวจบเขาก็รั้งนางเข้าไปแนบชิด มือใหญ่จับยึดคางเรียวเอาไว้ริมฝีปากร้อนกดลงบนกลีบปากบาง ลิ้นร้อนบุกรุกโพรงปากนางอย่างเอาแต่ใจ ในขณะที่มือช่วยปลดเปลื้องอาภรณ์ให้นางอย่างรวดเร็ว ช่างใจร้อนเสียจริง... ดวงหน้าหวานแดงก่ำด้วยความเขินอาย เมื่อพระสวามีของตนที่เพิ่งถอนจุมพิตเร่าร้อนเมื่อครู่ จับจ้องนางราวกับหมาป่าหิวกระหาย “น้องหญิงของพี่เลิศรสกว่าอาหารใดๆ” กล่าวจบเขาก็ช้อนเรือนร่างเปลือยเปล่าเข้าหลังฉากกั้น ว่ากันว่าฮองเฮาชื่นชอบการแช่น้ำร้อน ภายในตำหนักจึงมีบ่อน้ำร้อนขนาดใหญ่อยู่ติดห้องบรรทม 
ฮ่องเต้ผู้เด็ดขาดกับฮองเฮา (แค่บนเตียง) นัยน์ตาดำของบุรุษสูงศักดิ์จับจ้องใบหน้าของสตรีที่ตนรักอย่างไม่ละสายตา มือใหญ่ช่วยคีบอาหารใส่ชามให้นางอย่างเอาใจ “ท่านพี่กินบ้างเถิดเจ้าค่ะ อย่ามัวแต่คีบให้ข้าเลยเจ้าค่ะ” แม้ยามนี้ทั้งสอ
“เอ่อ...ท่านช่วยพาข้าลงจากหลังม้าได้หรือไม่เจ้าคะ” สิ้นเสียงนาง รอยยิ้มบางปรากฏบนใบหน้าไร้ที่ติแม้จะหล่อเหลาน้อยกว่าชินอ๋องซื่อจื่อ แต่ทว่าก็มีสตรีไม่น้อยที่ชื่นชอบบุรุษผู้นี้ หลังจากที่นางได้ขี่ม้าตัวเดียวกับบุรุษที่สตรีหลายคนหมายปอง นางก็มักจะเจอเขาที่เหลาอาหารหรือโรงเตี๊ยมอยู่บ่อยครั้ง เพราะไม่สบายใจกับสายตาจาบจ้วงของบุรุษในวันนั้นนางจึงไม่กล้าไปที่ร้านบะหมี่เนื้อของท่านป้าผู้นั้นอีก แต่ไม่แน่ใจว่าเป็นเรื่องแปลกหรือไม่ นางมักจะเจอท่านราชเลขาฯจางผู้นั้นอยู่บ่อยครั้ง วันนี้ก็เช่นกัน “ดูเหมือนเจ้าจะชื่นชอบการออกมากินข้าวนอกจวน มิทราบว่าพ่อครัวจวนหวังทำอาหารไม่อร่อยหรือ” เขามานั่งร่วมโต๊ะโดยที่นางไม่ต้องเชิญทุกครา จนกลายเป็นความเคยชิ
“ข้าอิ่มแล้วเจ้าค่ะ ได้โปรดยกเท้าที่เหยียบชายอาภรณ์ข้าด้วยเจ้าค่ะ” “เจ้ารู้หรือไม่ มีขอทานและคนยากจนที่ไม่มีแม้แต่ข้าวจะกิน หากคนพวกนั้นมาเห็นเจ้ากินเหลือเช่นนั้น พวกเขาคงตัดพ้อ พวกเขาไม่มีโอกาสแม้แต่จะได้กินบะหมี่น้ำธรรมดา แต่เจ้าที่เป็นคุณหนูกลับกินทิ้งกินขว้าง กินเพียงคำสองคนไม่ถูกใจก็ทิ้ง จะว่าไปก็น่าสงสารชาวบ้านที่เขาทำปลูกพืชผักและเลี้ยงสัตว์นะ พวกเขาลำบากเพียงใดกว่าจะปลูกพืชผักและเลี้ยงสัตว์มาเพื่อเป็นอาหารให้พวกเราได้กิน...” “พอแล้วเจ้าค่ะ ข้ากินให้หมดก็ได้” คุณหนูหวังกล่าวก่อนจะนั่งลงตามเดิม มือเรียวหยิบตะเกียบมาคีบกินบะหมี่เนื้อที่ตนกินค้างไว้ พร้อมกับบะหมี่เนื้อที่เขาสั่งถูกนำมาให้พอดี มุมปากของเขาหยักยิ้มเมื่อเห็นท่าทางของนาง จางชิงเทียนกินบะหมี่เนื้อไปลอบมองสหายของน้องสาวไป เขาเพิ่งสังเกตว่าคุณหน
“ข้าเห็นเจ้าเดินออกจากโรงเตี๊ยมจึงเดินตามเพียงเท่านั้น” กล่าวจบสายตาของท่านราชเลขาฯ ก็จับจ้องดวงหน้าหวานที่มักจะส่งยิ้มให้เขาอยู่เสมอ แต่ทว่าวันนี้กลับบึ้งตึง “ท่านป้าเจ้าขา วันนี้ข้าต้องไปแล้ว ท่านมาเก็บโต๊ะเถิดเจ้าค่ะ คุณชายพวกนี้จะได้มีโต๊ะนั่งไม่ต้องมายืนจ้องผู้อื่นให้เสียมารยาทเช่นนี้” กล่าวจบนางก็วางเหรียญอีแปะลงบนโต๊ะก่อนจะเดินออกจากร้านไป ตั้งแต่ต้นจนจบนางไม่ทักทายเขาเช่นที่เคยทำ ต้องเป็นเพราะที่เขากล่าววาจาไม่ดีใส่นางในวันนั้นเป็นแน่ “ชิงเทียนเจ้ารู้จักคุณหนูผู้นั้นหรือ” “เจ้าชอบนางหรือ” “ใช่ ข้าอยากเกี้ยวพานาง ในเมืองหลวงนี้จะมีคุณหนูส