1
เกือบไปแล้ว
ผ่านมาเกือบเจ็ดปีแล้วที่พี่ชายผู้นี้ทำหน้าที่เป็นทั้งบิดาและมารดาให้นางเพราะตั้งแต่มารดาตาย บิดาจึงอาสาไปออกรบเกือบสามปีกว่าจะสิ้นลมในสนามรบ และก็เป็นเวลาสิบสี่ปีที่นางได้มาเกิดใหม่ในโลกแห่งนี้ซึ่งตามความเข้าใจของนางมันคือโลกนิยาย
ทั้งยังเป็นหนึ่งในนิยายที่นางได้อ่านก่อนจะตายเพราะเดินข้ามทางม้าลายแล้วถูกรถมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์ไร้จิตสำนึกชนล้มหัวกระแทกฟุตบาทตายอนาถ แม้จะงุนงงอยู่สักเล็กน้อยที่จู่ๆ ก็ได้มาเกิดใหม่ในที่แห่งนี้ แต่ก็คิดเข้าข้างตนเองว่าคงเป็นเพราะก่อนตายเพียงสองวันนางได้บริจาคเงินหนึ่งร้อยหยวนให้กับวัดที่เดินผ่านทุกวัน ด้วยผลบุญนั้นจึงนำพาให้นางได้มาเกิดใหม่โดยไม่ต้องไปเดินเล่นในนรกก่อน
ใช่แล้ว การมาที่โลกแห่งนี้ของนางไม่ได้ทะลุมิติหรือตายแล้วมาเข้าร่างผู้อื่นเช่นนางเอกนิยายที่เคยอ่าน แต่เป็นการที่นางตายจากแล้วเกิดใหม่โดยเริ่มตั้งแต่เป็นทารก ผ่านร้อนผ่านหนาวกว่าจะกลายเป็นแม่นางน้อยวัยใกล้ปักปิ่นผู้นี้
“พี่ใหญ่ข้าขอไปร่วมงานจิบชาชมดอกไม้ที่จวนหลิวมิได้หรือเจ้าคะ” จางชิงหนี่ว์ส่งสายตาออดอ้อนพี่ชาย
“มิได้ งานนี้เป็นงานที่จัดขึ้นเพื่อให้บุรุษและสตรีได้พบปะพูดคุยกัน”
“ข้าก็เป็นสตรีนี่เจ้าคะ เหตุใดข้าถึงไปไม่ได้”
“เพราะเจ้ายังไม่ปักปิ่น สตรีที่เข้าร่วมงานมีแต่สตรีที่พร้อมออกเรือน” จางชิงเทียนพูดจาหว่านล้อมน้องสาวไม่ให้เข้าร่วมงานนี้
“งานนี้ชินอ๋องซื่อจื่อเข้าร่วมด้วยใช่หรือไม่ หัวเด็ดตีนขาดอย่างไร ท่านถึงไม่ยอมให้ข้าไปร่วมงาน”
“เจ้าเห็นพี่เป็นคนเช่นไร”
“ก็เป็นพี่ชายที่หวงน้องสาวมากอย่างไรเจ้าคะ ข้าบอกท่านกี่ครั้งแล้วว่านั่นเป็นเพียงความคิดในวัยเด็ก พอโตมาข้าก็รู้แล้วว่าข้าไม่คู่ควรกับเขา” ใครจะอยากครองคู่กับพระเอกผู้นั้นกันเล่า มิเช่นนั้นนางคงทูลขอฮ่องเต้ที่เอ่ยถามความต้องการของนางเพื่อเป็นการปลอบประโลมที่บิดาตายในสนามรบ
บทบาทเดิมที่นางถูกกำหนดให้เป็นคู่หมั้นพระเอกที่สุดท้ายต้องตายเพราะฝีมือตัวร้ายที่หลงรักนางเอก โดยจัดฉากสังหารนางให้คล้ายกับว่าโดนโจรป่าปล้นรถม้าแล้วถูกฆ่าตาย ช่างเป็นตัวร้ายที่น่ารังเกียจยิ่งสังหารสตรีไร้ทางสู้เพื่อเทิดทูนความรักที่ไม่อาจสมหวังของตน
ส่วนนางเอกผู้นั้นก็เป็นสตรีชาเขียว คนเขามีคู่หมั้นอยู่แล้วก็ยังมาแย่ง แต่ก็เป็นดังที่ใครต่อใครว่า ปรบมือข้างเดียวมันไม่ดังหากชินอ๋องซื่อจื่อผู้นั้นไม่ให้ความร่วมมือ สตรีใดจะมาแย่งไปได้
ตามเนื้อหาเดิมมันควรจะเป็นเช่นนั้น นางควรจะได้หมั้นกับชินอ๋องซื่อจื่อตามความต้องการของท่านปู่ที่อยากให้นางได้มีคู่หมายดีๆ หลังจากที่ต้องสูญเสียบิดาและมารดาในเวลาไล่เลี่ยกัน
แต่เพราะในตอนนั้นนางที่ยังจดจำเรื่องราวที่เคยอ่านมาได้เอ่ยปากปฏิเสธไม่ยอมหมั้นตามที่ท่านปู่ทูลขอฮ่องเต้พร้อมทั้งบอกว่าหากฮ่องเต้อยากมอบรางวัลปลอบประโลมที่ต่อจากนี้จะไม่มีบิดามารดาคอยดูแล นางทูลขอราชโองการให้สามารถเลือกคู่ครองได้เอง และเพราะเป็นคำขอจากปากเด็กน้อยวัยสิบขวบ ฮ่องเต้จึงตอบรับด้วยความเอ็นดู ส่วนพี่ชายที่ตอนนั้นอายุเพียงสิบเจ็ดปีก็ได้เข้าไปช่วยงานในวังหลวงเป็นผู้ช่วยขุนนางเพราะเจ้าตัวกล่าวว่าไม่อยากเป็นแม่ทัพตามรอยบิดาเนื่องจากเป็นห่วงน้องสาว ก่อนจะได้รับตำแหน่งราชเลขาธิการหลังจากสวมกวาน[1]เพียงหนึ่งปี
เพราะกลัวว่ายิ่งเติบโตขึ้นนางก็จะยิ่งหลงลืมเรื่องราวในโลกเก่ารวมทั้งนิยายที่เคยอ่านมาด้วยเหตุนี้ตอนสิบขวบที่นางยังไม่ได้เรียนเขียนอักษรเพราะขี้เกียจโดยบุรุษตระกูลจางต่างก็ตามใจไม่บีบบังคับ แต่จู่ๆ หากเขียนเองได้ก็จะดูแปลกเกินไป จึงได้เอ่ยปากขอพี่ชายให้สอนเขียนคำว่า ‘แต่งชินอ๋อง’ และ ‘ตาย’ เพื่อความแนบเนียนนางจึงต้องขอให้พี่ชายสอนสองคำนี้แยกกัน เป็นเหตุให้ต้องหาข้ออ้าง
แล้วข้ออ้างนั้นก็คือนางเห็นพระเอกผู้นั้นได้ช่วยเด็กน้อยที่กำลังจะถูกรถม้าชนเอาไว้ได้จึงชื่นชอบเลยขอพี่ชายให้ช่วยสอนคำว่า ‘แต่งชินอ๋อง’ ให้ และด้วยเหตุนี้ จางชิงเทียนจึงไม่ใคร่ชอบหน้าชินอ๋องซื่อจื่อผู้นั้นเท่าใด ราวกับกลัวบุรุษผู้นั้นจะมาแย่งน้องสาวที่น่ารักน่าเอ็นดูอย่างนางไป
“เจ้าคิดเช่นนั้น แต่พี่กลัวเจ้าถูกชินอ๋องซื่อจื่อผู้นั้นล่อลวงอีกครา” เพราะบุรุษผู้นั้นนอกจากจะรูปงามแล้วยังเก่งกาจ จนเขาเจอหน้าเมื่อใดก็รู้สึกไม่สบอารมณ์
เขาไม่มีทางยกน้องสาวให้บุรุษน่าตายผู้นั้นหรอก...
[1] สิ่งที่ชนชั้นสูงชาวจีนในสมัยโบราณใช้ครอบรัดมวยผม
เขาไม่มีทางยกน้องสาวให้บุรุษน่าตายผู้นั้นหรอก... “พี่ชายเห็นข้าเป็นสตรีเช่นไรเจ้าคะ ข้าไม่ได้ถูกล่อลวงง่ายดายเช่นนั้น ให้ข้าไปร่วมงานที่จวนหลิวเถิดนะเจ้าคะ” หากนางไปล่อลวงบุรุษอื่นเข้าจวนน่ะก็ไม่แน่ “เจ้าอยากไปจริงๆ หรือ” “ข้าอยากไปจริงๆ เจ้าค่ะ” นางอยากเห็นฉากที่พระเอกนางเอกเจอกันครั้งแรก อยากเห็นภาพที่บรรยายว่า ‘เพียงได้พบหน้าสบตาทุกอย่างรอบตัวก็ราวกับหยุดหมุน’ “เช่นนั้นก็ได้ เจ้าต้องอยู่ข้างๆ ไม่ห่างจากพี่เข้าใจหรือไม่” จุดประสงค์ของงานชมดอกไม้คือต้องการให้บุรุษสตรีได้พบเจอพูดคุยกันหวังสานสัมพันธ์ ซึ่งน้องเล็กยังไม่ถึงเวลาที่ต้องทำเช่นนั้น “เจ้าค่ะ พี่ใหญ่ของข้าน่ารักที่สุด” นางยิ้มดีใจก่อนจะโผเข้าไปกอดพี่ชาย ซึ่งคนเป็นพี่ก็ได้แต่ลูบหัวอย่างอ่อนโยน ปีหน้านางก็คงโผกอดเขาเช่นนี้มิได้แล้ว เพราะคำว่า ‘เหมาะสม’ ในสายตาผู้อื่นเพียงคำเดียว แม้จะเป็นพี่น้องที่รักใคร่กัน แต่หากเติบโตถึงวัยออกเรือนก็จะสนิทสนมกันดังเช่นแต่ก่อนไม่ได้ เรื่องนี้ทำให้คุณชายใหญ่จางไม่ชอบใจอยู่มาก “วันนี้เจ้า
แม้ในจวนของอดีตแม่ทัพประจิมที่ตอนนี้เปลี่ยนเป็นจวนท่านราชเลขาฯ แล้วจะไม่ได้ขัดสนเรื่องเงินทองเพราะยังมีท่านราชครูจางคอยเกื้อหนุน แต่คุณหนูของเขาก็ยังคงตั้งหน้าตั้งตาวาดภาพบุรุษขายเพื่อหาเงิน เนิ่นนานเท่าใดไม่รู้ที่จางชิงหนี่ว์วาดภาพสลับกับลอบมองบุรุษในลานฝึกวรยุทธ์ผ่านพุ่มไม้ แปะ แปะ แรงสะกิดของใครบางคนดึงความสนใจของนาง แต่เพราะคิดว่าคนที่สะกิดคือผู้คุ้มกันของตน นางจึงตอบกลับไปสั้นๆ โดยไม่ได้หันไปมอง “หากรูปนี้เสร็จข้าก็จะกลับแล้ว” แปะ แปะ คนที่อยู่ด้านหลังก็ยังใช้ปลายนิ้วแตะลงบนไหล่นาง&
“ปล่อยข้า” บุรุษสวมหน้ากากกล่าวแล้วพยายามดึงขาออกจากการเกาะกุม มือใหญ่สองข้างดึงรั้งตัวสตรีแปลกหน้าให้ออกห่าง “ข้าเพียงแค่เข้ามาวาดรูปบุรุษเพื่อเอาไปขายหาเงินเลี้ยงชีพเพียงเท่านั้น ข้าไม่ได้มีเจตนาร้ายอันใดเลยนะเจ้าคะ ได้โปรดไว้ชีวิตข้าเถิดเจ้าค่ะ ท่านจะให้ข้าทำอันใดก็ได้ทั้งนั้นขอแค่อย่าได้เอาชีวิตข้าเลย” “ข้าบอกให้ปล่อยขาข้าอย่างไรเล่า” น้ำเสียงของบุรุษสวมหน้ากากเริ่มแสดงออกถึงโทสะ ก่อนที่เขาจะกระชากอย่างแรงทำให้สตรีผู้นั้นกระเด็นไปอีกทาง “โอ๊ย!” เจ็บชะมัด ใช่สิ! ข้ามันไม่ใช่โฉมสะคราญเหมือนนางเอกที่จะมีบุรุษมาพึงใจตั้งแต่แรกเห็น “เจ้า!&rdq
2แรกพบสบตา ในที่สุดก็ถึงวันงานจิบชาชมดอกไม้ของจวนหลิวมีคุณหนูคุณชายมาร่วมงานเป็นจำนวนมาก เนื่องจากผู้นำตระกูลหลิวเป็นถึงเสนาบดีฝ่ายขวาที่มีความสำคัญต่อราชสำนัก และเนื่องจากตระกูลหลิวได้แจ้งถึงจุดประสงค์การจัดงานชัดเจน สตรีวัยออกเรือนที่เข้าร่วมจึงพากันแต่งตัวงดงามอวดโฉมโดยหวังว่าจะมีบุรุษที่เพียบพร้อมด้วยรูปโฉมและชาติตระกูลหมายปองตน “เจ้าอย่ามัวเหม่อมอง ประเดี๋ยวจะพลัดหลงกับพี่” “เจ้าค่ะ” อีกไม่กี่เดือนนางก็จะปักปิ่นแล้ว พี่ใหญ่ก็เป็นห่วงนางเกินไป “เจ้าต้องระวังตัวให้ดี ในงานเลี้ยงเหล่านี้มักจะเกิดเรื่องไม่ดีงาม คุณหนูบางคนพลาดท่าเสียทีศัตรูจนต้องแต่งงานกับบุรุษที่ตนไม่พึงใจมานักต่อนัก&rdquo
‘มิได้ ข้าไม่ควรสบตากับเขา แรงดึงดูดของพระเอกรุนแรงเกินไป ข้าอาจจะพลั้งเผลอเข้าไปในบทบาทเดิม’ “ชิงหนี่ว์ เจ้าฟังข้าอยู่หรือไม่” “ขออภัยเจ้าค่ะ นานๆ ทีข้าจะได้ออกมาร่วมงานเช่นนี้ ข้าจึงพลั้งเผลอมองบุรุษรูปงามนานเกินไปบ้าง” “ข้าชอบเจ้ายิ่ง เรามาเป็นสหายกันเถิด” หวังเยว่ฉิงคว้ามือน้อยมาจับไว้ด้วยความดีใจ สตรีตรงไปตรงมาไม่เสแสร้งในเมืองหลวงช่างหากได้ยากยิ่ง “ข้ายินดีเจ้าค่ะ ท่านล่ะเจ้าคะ อยากเป็นสหายของข้าด้วยหรือไม่” จางชิงหนี่ว์หันไปเอ่ยถามแล้วส่งยิ้มกว้างให้กับนางร้ายที่นั่งเงียบ “อะ...อืม” “เข่อชิงตอบรับแล้ว เช่นนั้นต่อจากนี้เราเป็นสหายกันแล้วนะ” หวังเยว่ฉิงกล่าวอย่างอารมณ์ดี พลางเอามือข้างหนึ่งของนางไปวางลงบนมือของเจิ้งเข่อชิงทำให้เจ้าตัวรีบก้มหน้าลงเพื่อซ่อนสีหน้า ‘เหตุใดสตรีผู้นี้ถึงได้งดงามน่ามองเช่นนี้’ คุณหนูเจิ้งผู้เย่อหยิ่งไม่เข้าใจตนเองว่าเหตุใดถึงใจเต้นแรงยามเห็นรอยยิ้มของสหายคนใหม่ เมื่อปรับเปลี่ยนสีหน้าได้แล้วจึงเงยขึ้นมองคุณหนูจางก่อนจะส่งยิ้มให้อย่างจริงใจ
สตรีตัวน้อยที่กล่าวปฏิเสธข้อเสนอการหมั้นหมายกับชินอ๋องซื่อจื่อพร้อมทั้งปฏิเสธรางวัลทั้งหมดแลกกับราชโองการเลือกคู่ครองด้วยตนเอง ส่วนพี่ชายก็ปฏิเสธรางวัลแลกกับการได้เป็นขุนนางช่วยเหลืองานในวังเพื่อจะได้เป็นเสาหลักให้น้องสาว ซึ่งสุดท้ายจางชิงเทียนก็สามารถพิสูจน์ตนเองถึงความสามารถและได้รับความไว้วางใจจากฮ่องเต้ให้ทำงานอยู่ข้างกาย นั่นเป็นครั้งเดียวที่องค์รัชทายาทเช่นเขาได้เจอสตรีผู้นั้น “เฟยหลง สตรีที่พูดคุยกับคู่หมายเจ้าเป็นคุณหนูจวนใดหรือ เหตุใดข้าไม่เคยเห็นหน้า” “ข้าไม่ทราบ” องค์รัชทายาทกล่าวพลางจ้องมองไปยังว่าที่คู่หมั้นซึ่งตนไม่ได้พึงใจกำลังนั่งพูดคุยกับสตรีที่มีดวงหน้างดงามน่ามอง ก่อนจะชะงักไปเล็กน้อยเมื่อเห็นรอยยิ้มที่ระบายเต็มดวงหน้าหวานของเจิ้งเข่อชิง รู้จักกันมาตั้งนานเขาเพิ่งเคยเห็นนางยิ้มเช่นนี้เป็นครั้งแรก... “ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน อันฉีเจ้ารู้หรือไม่” “หึ” ชินอ๋องซื่อจื่อส่งเสียงสั้นๆ เพียงแค่นั้นก่อนจะยกชาขึ้นจิบ สายตาจับจ้องไปที่กลุ่มสตรีสามคนกำลังพูดคุยกัน ในงานจิบชาชมดอก
“มิเป็นไรเจ้าค่ะ จริงๆ ที่ข้าไม่กินอันใดเลยเพราะพี่ชายของข้ากำชับไว้ว่า บรรดาคุณหนูที่ชอบริษยาผู้อื่นมักจะใช้งานเลี้ยงเช่นนี้สร้างเรื่องอื้อฉาวให้ตนเอง หรือสร้างเรื่องเพื่อทำลายผู้อื่น ข้าควรระวังให้มาก” เพราะกลัวคุณหนูที่นั่งห่างออกไปจะได้ยิน จางชิงหนี่ว์จึงยื่นดวงหน้าหวานเข้าไปใกล้สหายแล้วกระซิบบอกเสียงเบาที่ข้างหู ใบหน้าหวานของคุณหนูเจิ้งเห่อร้อนกับความใกล้ชิดนี้ ความน่ารักสดใสของคุณหนูผู้นี้ทำให้ภาพลักษณ์เย่อหยิ่งของตนพังทลาย นางช่างเหมือนกระต่ายป่าขนปุกปุยที่ตนเคยเลี้ยงไว้เมื่อตอนเป็นเด็ก การได้รู้จักจางชิงหนี่ว์ในวันนี้ทำให้ความนิยมชมชอบของน่ารักที่เจิ้งเข่อชิงเคยลืมเลือนไปถูกรื้อฟื้น ที่ผ่านมาเพราะถูกฝึกฝนให้เป็นว่าที่ฮองเฮา นางจึงไม่อาจแสดงออกถึงความต้องการที่แท้จริงของตนได้ บัดนี้เมื่อตัดสินใจที่จะปล่อยมือนางจึงค้นพบความสุขอีกครั้ง ‘เหตุใดหนี่ว์เอ๋อร์ของข้าถึงได้น่ารักเช่นนี้’ อยากจะรั้งตัวเข้ามากอดสักครา แต่เกรงว่านางจะตื่นตกใจ “ข้าเข้าใจแล้ว แต่การที่เจ้าปล่อยท้องให้หิวเช่นนี้ก็ไม่ดีเท่าใดนัก อย่างไรลองกินขนมนี่ดีหรื
3ความเก่งกาจของสหายคนใหม่ ด้านหลิวเฟิงเหมียนที่หลังจากช่วยกู้หน้าให้สาวงามแล้วกลับมานั่งที่เดิม กำลังจะยกชาขึ้นจิบต้องชะงักเมื่อเห็นสายตาไม่ใคร่พอใจของสหาย “อันฉี หากเจ้าไม่พอใจข้าที่ลุกไปเก็บผ้าคลุมหน้าให้กับคุณหนูสวี่ เหตุใดเจ้าไม่ลุกไปเองเล่า” เพราะได้ยินมาจากน้องสาวว่าคุณหนูสวี่กับชินอ๋องซื่อจื่อมีใจให้กัน จึงคิดว่าสหายเกรงใจองค์รัชทายาทที่ก็มีใจให้คุณหนูสวี่จึงไม่กล้าแสดงออกมากนัก ตนเองก็เลยช่วยรักษามารยาทให้ “ข้ามาคิดดูแล้ว ใบหน้าของเจ้าควรมีรอยตำหนิสักสองสามรอยจริง” “อย่าได้คิดทำเช่นนั้นเชียว” “เช่นนั้นก็ไปทำให้ใบหน้าตนไม่น่ามองซะ” ดวงตาดำของโจวอันฉีฉายแววจริงจังจนสหายขนลุก “หากเจ้าไม่พอใจข้าเรื่องคุณหนูสวี่ เจ้าไม่ต้องห่วงไปหรอกอย่างไรนางก็ยังชื่นชอบเจ้า” “หุบปากซะ” “แค่กล่าวถึงก็ไม่ได้ เจ้ามันขี้หวงเกินไปแล้ว” ‘ต่อไปเป็นการแสดงความสามารถของคุณหนูเจิ้ง จากจวนเสนาบดีฝ่ายซ้าย’ “หากข้าจำไม่ผิดในรายชื่อคุณหนูที่จะขึ้นแสดงไม่มีชื่อของคุณหนูเจิ้งนี่” หลิ
การแต่งฮูหยินที่เร่งรีบของท่านราชครู มีคนมากมายที่อาจจะสงสัยว่าเหตุใดท่านราชครูจางเหว่ยถึงได้เร่งรีบตบแต่งเถ้าแก่เนี้ยร้านขายภาพวาดซือซือเข้าจวนจาง ทั้งที่ก่อนหน้านี้ก็ไม่มีข่าวลือว่าคบหากัน หรืออาจจะเป็นเพราะได้เห็นบทเรียนจากการเล่าลือเรื่องของคุณหนูสวี่ ที่จู่ๆ คนเหล่านั้นบังเอิญลิ้นขาดกลายเป็นคนพูดไม่ได้ แต่โชคดีหนึ่งในนั้นมีคนเขียนอักษรได้ จึงได้เขียนเตือนคนรอบตัวไม่ให้เล่าลือเรื่องราวเกี่ยวกับเชื้อพระวงศ์หรือตระกูลที่ใกล้ชิดราชวงศ์ สุดท้ายจึงไม่มีใครกล้าเล่าลือหรือสงสัยถึงความเร่งรีบของท่านราชครู “พี่เหว่ย ท่านจะไม่เสียใจทีหลังห
ฮองเฮาพบปะสหาย ภายในจวนท่านราชเลขาฯจาง วุ่นวายไม่น้อยเมื่อมีผู้สูงศักดิ์มาเยือนโดยได้นัดหมายกันล่วงหน้า “ถวายพระพรฝ่าบาท ถวายพระพรฮองเฮาพ่ะย่ะค่ะ” ชินอ๋องที่เพิ่งลงจากรถม้าแสดงความเคารพโอรสสวรรค์และฮองเฮา “ถวายพระพรฝ่าบาท ถวายพระพรฮองเฮาเพคะ” พระชายาสกุลจางที่ลงรถม้ามาภายหลังทำความเคารพอีกฝ่ายเช่นกัน “ตามสบายเถิด พวกเจ้าเป็นสหายของเราใช้คำธรรมดาสามัญเถิด”
“เจ้าโอบอุ้มบุตรชายของเราให้แน่นๆ ส่วนเจ้าพี่จะจับให้แน่นๆ เอง” กล่าวจบเขาก็ใช้วิชาตัวเบาโอบอุ้มพานางและบุตรชายกลับตำหนัก ทันทีที่ถึงตำหนักโจวหลี่หมิงถูกส่งตัวให้ซานจี สาวใช้ประจำตัวคนใหม่ของนางที่ทางพระสวามีหามาให้ แน่นอนว่านางมิใช่สาวใช้ธรรมดา เพราะสตรีผู้นี้คือองครักษ์เงาที่ถูกฝึกมาอย่างหนักเพื่อดูแลดวงใจของท่านอ๋อง “นำไปซื่อจื่อไปมอบให้แม่นมแล้วเจ้าไปพัก ข้าจะดูแลพระชายาเอง” บุรุษที่ชื่นชอบการปรนนิบัติฮูหยินกล่าว “แงๆ” แม้จะดีดดิ้นเพียงใด แต่บุตรชายมีหรือจะต่อต้านบิดาได้ “ท่านพี่ หากลูกไม่อยากไป...” ไม่มีมาร
เรื่องเล่าหลังเป็นพระชายาของชิงหนี่ว์ ดวงตาเมล็ดซิ่งทอดมองผืนดินที่เขียวชอุ่มไปด้วยพืชผัก ที่ดินผืนนี้นางใช้เงินที่ได้จากการวาดภาพขายมาซื้อเก็บไว้ เพื่อสร้างรายได้ให้กับบ่าวรับใช้ผู้ภักดีทั้งสอง ก่อนหน้าที่นางจะแต่งเข้าตำหนักอ๋องไม่นาน นางก็จัดการให้จื่อรั่วและจื่อเป่าที่ความสัมพันธ์คืบหน้าไปอย่างรวดเร็วได้เข้าพิธีกราบไหว้ฟ้าดินกันก่อนจะคืนสัญญาทาสแล้วให้ทั้งสองคนย้ายมาปลูกจวนอยู่บนที่ผืนนี้ “พระชายาท่านนั่งพักดื่มน้ำก่อนเถิดเพคะ รอแดดร่มลมตกค่อยออกไปเดินดูด้านนอก”&
“เช่นนั้นก่อนจะลงโทษน้อง ท่านพี่กินข้าวก่อนดีหรือไม่เจ้าคะ” “มิต้อง” กล่าวจบเขาก็รั้งนางเข้าไปแนบชิด มือใหญ่จับยึดคางเรียวเอาไว้ริมฝีปากร้อนกดลงบนกลีบปากบาง ลิ้นร้อนบุกรุกโพรงปากนางอย่างเอาแต่ใจ ในขณะที่มือช่วยปลดเปลื้องอาภรณ์ให้นางอย่างรวดเร็ว ช่างใจร้อนเสียจริง... ดวงหน้าหวานแดงก่ำด้วยความเขินอาย เมื่อพระสวามีของตนที่เพิ่งถอนจุมพิตเร่าร้อนเมื่อครู่ จับจ้องนางราวกับหมาป่าหิวกระหาย “น้องหญิงของพี่เลิศรสกว่าอาหารใดๆ” กล่าวจบเขาก็ช้อนเรือนร่างเปลือยเปล่าเข้าหลังฉากกั้น ว่ากันว่าฮองเฮาชื่นชอบการแช่น้ำร้อน ภายในตำหนักจึงมีบ่อน้ำร้อนขนาดใหญ่อยู่ติดห้องบรรทม 
ฮ่องเต้ผู้เด็ดขาดกับฮองเฮา (แค่บนเตียง) นัยน์ตาดำของบุรุษสูงศักดิ์จับจ้องใบหน้าของสตรีที่ตนรักอย่างไม่ละสายตา มือใหญ่ช่วยคีบอาหารใส่ชามให้นางอย่างเอาใจ “ท่านพี่กินบ้างเถิดเจ้าค่ะ อย่ามัวแต่คีบให้ข้าเลยเจ้าค่ะ” แม้ยามนี้ทั้งสอ
“เอ่อ...ท่านช่วยพาข้าลงจากหลังม้าได้หรือไม่เจ้าคะ” สิ้นเสียงนาง รอยยิ้มบางปรากฏบนใบหน้าไร้ที่ติแม้จะหล่อเหลาน้อยกว่าชินอ๋องซื่อจื่อ แต่ทว่าก็มีสตรีไม่น้อยที่ชื่นชอบบุรุษผู้นี้ หลังจากที่นางได้ขี่ม้าตัวเดียวกับบุรุษที่สตรีหลายคนหมายปอง นางก็มักจะเจอเขาที่เหลาอาหารหรือโรงเตี๊ยมอยู่บ่อยครั้ง เพราะไม่สบายใจกับสายตาจาบจ้วงของบุรุษในวันนั้นนางจึงไม่กล้าไปที่ร้านบะหมี่เนื้อของท่านป้าผู้นั้นอีก แต่ไม่แน่ใจว่าเป็นเรื่องแปลกหรือไม่ นางมักจะเจอท่านราชเลขาฯจางผู้นั้นอยู่บ่อยครั้ง วันนี้ก็เช่นกัน “ดูเหมือนเจ้าจะชื่นชอบการออกมากินข้าวนอกจวน มิทราบว่าพ่อครัวจวนหวังทำอาหารไม่อร่อยหรือ” เขามานั่งร่วมโต๊ะโดยที่นางไม่ต้องเชิญทุกครา จนกลายเป็นความเคยชิ
“ข้าอิ่มแล้วเจ้าค่ะ ได้โปรดยกเท้าที่เหยียบชายอาภรณ์ข้าด้วยเจ้าค่ะ” “เจ้ารู้หรือไม่ มีขอทานและคนยากจนที่ไม่มีแม้แต่ข้าวจะกิน หากคนพวกนั้นมาเห็นเจ้ากินเหลือเช่นนั้น พวกเขาคงตัดพ้อ พวกเขาไม่มีโอกาสแม้แต่จะได้กินบะหมี่น้ำธรรมดา แต่เจ้าที่เป็นคุณหนูกลับกินทิ้งกินขว้าง กินเพียงคำสองคนไม่ถูกใจก็ทิ้ง จะว่าไปก็น่าสงสารชาวบ้านที่เขาทำปลูกพืชผักและเลี้ยงสัตว์นะ พวกเขาลำบากเพียงใดกว่าจะปลูกพืชผักและเลี้ยงสัตว์มาเพื่อเป็นอาหารให้พวกเราได้กิน...” “พอแล้วเจ้าค่ะ ข้ากินให้หมดก็ได้” คุณหนูหวังกล่าวก่อนจะนั่งลงตามเดิม มือเรียวหยิบตะเกียบมาคีบกินบะหมี่เนื้อที่ตนกินค้างไว้ พร้อมกับบะหมี่เนื้อที่เขาสั่งถูกนำมาให้พอดี มุมปากของเขาหยักยิ้มเมื่อเห็นท่าทางของนาง จางชิงเทียนกินบะหมี่เนื้อไปลอบมองสหายของน้องสาวไป เขาเพิ่งสังเกตว่าคุณหน
“ข้าเห็นเจ้าเดินออกจากโรงเตี๊ยมจึงเดินตามเพียงเท่านั้น” กล่าวจบสายตาของท่านราชเลขาฯ ก็จับจ้องดวงหน้าหวานที่มักจะส่งยิ้มให้เขาอยู่เสมอ แต่ทว่าวันนี้กลับบึ้งตึง “ท่านป้าเจ้าขา วันนี้ข้าต้องไปแล้ว ท่านมาเก็บโต๊ะเถิดเจ้าค่ะ คุณชายพวกนี้จะได้มีโต๊ะนั่งไม่ต้องมายืนจ้องผู้อื่นให้เสียมารยาทเช่นนี้” กล่าวจบนางก็วางเหรียญอีแปะลงบนโต๊ะก่อนจะเดินออกจากร้านไป ตั้งแต่ต้นจนจบนางไม่ทักทายเขาเช่นที่เคยทำ ต้องเป็นเพราะที่เขากล่าววาจาไม่ดีใส่นางในวันนั้นเป็นแน่ “ชิงเทียนเจ้ารู้จักคุณหนูผู้นั้นหรือ” “เจ้าชอบนางหรือ” “ใช่ ข้าอยากเกี้ยวพานาง ในเมืองหลวงนี้จะมีคุณหนูส