บทที่ 10 บรรยากาศแปลกไป
"ถวายพระพรท่านอ๋องเพคะ"
จางเสวี่ยฮุ่ยลุกขึ้นทำความเคารพเย่จิ้นหยางอย่างนอบน้อมและเขินอาย ฟางเมี่ยวที่หาทางปลีกกายออกไปไม่ได้ จึงทำได้เพียงลุกขึ้นยืนทำความเคารพเขาเช่นเดียวกัน
ให้ตายสิ!! กระโดดถีบแทนได้หรือไม่
เย่จิ้นหยางละสายตาจากจางเสวี่ยฮุ่ย ก่อนจะจ้องมองมาที่ฟางเมี่ยวคราหนึ่ง ฟางเมี่ยวมีสีหน้าเรียบเฉยไม่ยินดียินร้าย ทำให้เย่จิ้นหยางขมวดคิ้วมุ่นก่อนจะเอ่ยถาม
"แม่นาง ข้ารู้สึกว่าเจ้าไม่ชอบใจข้าเท่าใดนัก"
ฟางเมี่ยวที่ได้ยินเช่นนั้นจึงหันมาจ้องมองเย่จิ้นหยางคราหนึ่ง ก่อนจะยิ้มออกมา แต่ทว่ารอยยิ้มของนางดูเย็นชาไม่น้อย
"ท่านอ๋องทรงคิดมากไปแล้วเพคะ หม่อมฉันไม่เคยพบเจอท่านอ๋องมาก่อน จะไม่ชอบใจพระองค์เรื่องใดกัน"
"นั่นสินะ ข้าคงคิดมากไป ว่าแต่เจ้าคงจะเป็นสหายของเสวี่ยเอ๋อร์สินะ"
เย่จิ้นหยางเอ่ยถามนาง ก่อนจะหันไปส่งยิ้มหวานให้จางเสวี่ยฮุ่ย ฟางเมี่ยวไม่ตอบเพียงพยักหน้าเล็กน้อยเท่านั้น
คนบัดซบเช่นนี้ นางไม่อาจทำใจรักษากฎระเบียบใดกับเขาได้ แม้ยามนี้นางจะบอกตนเองเสมอว่าไม่ให้แค้นเคืองเขาในเรื่องเก่าก่อน แต่นางกลับรู้สึกว่าตนขัดหูขัดตาเขาไม่น้อย นี่แปลว่านางยังแค้นเขาใช่หรือไม่ ให้ตายสิ!!!
การได้เจอเขาเช่นนี้ทำให้นางอยากจะระเบิดโทสะเหลือเกิน!!!
"อาจิ้น"
"อาเยี่ยน เจ้ามาแล้วหรือ"
ฟางเมี่ยวหันไปมองหลี่เยี่ยนเฉินที่เดินเข้ามาด้วยความตื่นเต้น หลี่เยี่ยนเฉินปรายตามองนางคราหนึ่ง ก่อนจะหันไปพยักหน้าให้จางเสวี่ยฮุ่ย แล้วหันไปเอ่ยกับเย่จิ้นหยาง
"ข้าก็คิดว่าเจ้าไปอยู่ที่ใด ที่แท้มาพบคุณหนูจางนี่เอง"
"ข้าจะไปที่ใดได้เล่า"
หลี่เยี่ยนเฉินยิ้มออกมาเล็กน้อย ยามนี้อยู่กันตามลำพังไม่ได้มีขุนนางรายล้อม ย่อมสนทนากันเฉกเช่นสามัญชนทั่วไปอย่างสนิทสนม
เย่จิ้นหยางหันมามองจางเสวี่ยฮุ่ยอีกครา ก่อนจะเอ่ย
"เสวี่ยเอ๋อร์ ข้ามีเรื่องอยากจะสนทนากับเจ้า แม่นาง ข้าขอยืมตัวสหายเจ้าสักครู่...เอ่อ เจ้ามีนามว่าอันใดหรือ?"
"นางชื่อฟางเมี่ยวเพคะท่านอ๋อง"
จางเสวี่ยฮุ่ยเอ่ยตอบขึ้นมาแทนฟางเมี่ยว ฟางเมี่ยวไม่ได้เอ่ยสิ่งใด ในใจรู้สึกเบื่อหน่ายไม่น้อย
รีบๆ ไสหัวไปเถิด!!
"ฟางเมี่ยว บุตรสาวท่านเสนาบดีกรมกลาโหมน่ะหรือ บิดาเจ้าทำงานได้เที่ยงตรงยิ่งนัก"
"ขอบพระทัยเพคะ"
"เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน เสวี่ยเอ๋อร์ เราไปกันเถิด"
"เพคะท่านอ๋อง"
จางเสวี่ยฮุ่ยหันมาส่งยิ้มให้ฟางเมี่ยวอย่างรู้สึกผิดที่ทิ้งสหายไปดื้อๆ แต่ฟางเมี่ยวเพียงพยักหน้าให้นางเล็กน้อยเท่านั้น
ยามนี้จึงเหลือเพียงหลี่เยี่ยนเฉินและฟางเมี่ยวเพียงสองคนเท่านั้น หลี่เยี่ยนเฉินมีท่าทางประหม่าไม่น้อย ฟางเมี่ยวเองก็วางมือเท้าไม่ถูกเช่นเดียวกัน
เป็นหลี่เยี่ยนเฉินที่ตัดสินใจหันหลังจะเดินจากไปเสียก่อน แต่ทว่ากลับต้องหยุดฝีเท้าเมื่อได้ยินฟางเมี่ยวร้องเรียกเอาไว้
"พี่เยี่ยน ช้าก่อนเจ้าค่ะ"
หลี่เยี่ยนเฉินขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะหันไปมองฟางเมี่ยวในทันที
เมื่อครู่นางเรียกเขาว่าอะไรนะ!!!
พี่เยี่ยนอย่างนั้นหรือ!!!
หูเขาพิการแล้วใช่หรือไม่?
"เมื่อครู่เจ้าเรียกข้าว่าอย่างไรนะ?"
"พี่เยี่ยน พี่เยี่ยนของข้า"
ของข้าด้วย!!!
หลี่เยี่ยนเฉินตื่นตระหนกจนวางท่าทีไม่ถูกแล้ว ฟางเมี่ยวเองก็รู้สึกว่าเขาแปลกไปเช่นกัน แต่ก็ไม่รู้ว่าแปลกตรงที่ใด
คล้ายว่ายามนี้เขาต้องสารภาพรักกับนางไม่ใช่หรือ
"เอ่อ"
"มีสิ่งใดหรือคุณหนูฟาง หากไม่มีข้าขอตัวก่อน"
คุณหนูฟาง!!! นี่มันเรื่องใดกัน ฟ้าดินกลับหัวหรือ? เหตุใดเขาจึงวางท่าทีห่างเหินกับนางเช่นนี้เล่า
ท่าทีเก้ๆ กังๆ ของคนทั้งสองทำให้บรรยากาศกระอักกระอ่วนไม่น้อย ฟางเมี่ยวทนไม่ไหวจึงเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นมาเสียก่อน
"หลี่เยี่ยนเฉิน!!! เจ้าจะกลับเมืองหลวงแต่ไม่คิดที่จะส่งจดหมายแจ้งข้าสักฉบับยังไม่พอ เมื่อได้พบกันแล้วเจ้ายังไม่มีเรื่องที่จะเอ่ยกับข้าอีกหรือ? แล้วท่าทางเย็นชานั่นด้วย หมายความว่าอย่างไรกัน"
หลี่เยี่ยนเฉินขมวดคิ้วมุ่น ใบหน้างงงวยอย่างเห็นได้ชัด ก่อนจะนึกเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้
หรือว่านางรอเขาบอกเรื่องนั้น เรื่องที่เขาบอกชอบนาง
หรือนางรู้ว่าเขาจะเอ่ยสิ่งใด จะเป็นไปได้อย่างไรกัน!!
หลี่เยี่ยนเฉินพิจารณามองฟางเมี่ยวอย่างละเอียดอีกครา ก็ไม่พบว่านางผิดแปลกที่ตรงใดเลยแม้แต่น้อย เมื่อคิดได้เช่นนั้นเขาจึงเอ่ยกับนางอย่างขอไปที
"คุณหนูฟาง ข้าไม่มีสิ่งใดจะเอ่ยกับเจ้า"
เขาไม่มีทางบอกชอบนางอีกเด็ดขาด!!!
"เดี๋ยวสิ!! ไม่มีจริงๆ หรือ เจ้าลองนึกดีๆ"
"ไม่มี อีกอย่าง สถานที่ตรงนี้ค่อนข้างห่างไกลผู้คน เจ้าเป็นสตรีที่ยังไม่ได้ออกเรือน ส่วนข้าเป็นบุรุษที่ยังไม่แต่งภรรยา เราสองยามนี้เติบโตแล้วมิควรชิดใกล้กัน"
ฟางเมี่ยวยกมือขึ้นเกาศีรษะตน ใบหน้าสวยหวานมีท่าทีงงงันเป็นอย่างมาก
เป็นไปได้อย่างไรกัน!! นางไม่เข้าใจ หรือว่าระหว่างที่ออกรบเขาฆ่าคนตายไปมากจนสมองมีปัญหา?
หลี่เยี่ยนเฉินไม่สนใจฟางเมี่ยวอีก เขาจึงเดินหันหลังจากไป ฟางเมี่ยวไม่รอช้านางรีบเดินตามเขาไปทันที แต่เพราะรีบเกินไปนางจึงสะดุดล้มจนหน้าคะมำกับพื้น หลี่เยี่ยนเฉินหันมาเห็นภาพตรงหน้า เขาตกใจไม่น้อย ก่อนความตกใจนั้นจะแปรเปลี่ยนเป็นความขบขันในทันที
ให้ตายเถิด!!! เขาอยากตะโกนหัวเราะใส่หน้านางจริงๆ เขาลงไปนอนหัวเราะได้หรือไม่?
ฟางเมี่ยวเบ้หน้าด้วยความเจ็บปวด โชคดีที่ตรงนี้เป็นเพียงพื้นหญ้า ใบหน้านางจึงไม่ได้รับบาดเจ็บอันใดมากนัก นางเงยหน้าไปมองหลี่เยี่ยนเฉินคราหนึ่ง นอกจากเขาจะไม่ช่วยนางแล้ว ท่าทีที่คล้ายกลั้นหัวเราะนั่นมันคือสิ่งใดกัน!!
ฟางเมี่ยวไม่ถือสาหลี่เยี่ยนเฉิน นางรีบหยัดกายลุกขึ้นยืน ก่อนจะปัดเศษใบไม้และเศษดินบนเสื้อผ้าของนางออก แล้วจึงเดินตรงไปหาหลี่เยี่ยนเฉิน
ไม่ได้การ!!! นางจะเอานิสัยเดิมมาใช้ไม่ได้ นางต้องอ่อนโยนกับเขาสิ
"พี่เยี่ยน ข้าขอถามท่านอีกครา ท่านไม่มีสิ่งใดจะเอ่ยกับข้าจริงๆ หรือ?"
หลี่เยี่ยนเฉินถอนหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่ายก่อนจะเอ่ยตอบ
"ฟางเมี่ยว เจ้าต้องการให้ข้าเอ่ยสิ่งใดหรือ?"
"เอ่อ..."
ฟางเมี่ยวมีท่าทีอึกอัก จะให้นางเอ่ยเช่นไรเล่า นางเอ่ยได้หรือ หากนางเอ่ยถามไปหลี่เยี่ยนเฉินจะสงสัยในตัวนางหรือไม่
เมื่อคิดได้เช่นนั้นนางจึงทำหน้ามุ่ย ก่อนจะเอ่ย
"ช่างมันเถิด"
"เช่นนั้นข้าขอตัว"
"เดี๋ยวสิ"
"มีอันใดอีก"
"ข้าเจ็บข้อเท้ายิ่งนัก เดินไม่ไหวเลย"
หลี่เยี่ยนเฉินหรี่ตามองฟางเมี่ยวคราหนึ่ง ก่อนจะส่งเสียงเหอะออกมา
เห็นอยู่ชัดๆ ว่านางยืนได้ แต่ยังมีหน้ามาบอกว่าข้อเท้าบาดเจ็บ นิสัยชอบยั่วยวนบุรุษของนางมันคงฝังลึกเข้าไปในกระดูกของนางแล้วเป็นแน่ จึงแก้ไม่หาย!!!
ไปหลอกเด็กสามขวบเถิด!!!
"แต่เจ้ายืนได้นี่"
"ยืนได้ แต่เดินไม่ไหวนี่เจ้าคะ"
"เช่นนั้นก็คลานไปเถิด"
"พี่เยี่ยน เดี๋ยวสิ!!! หลี่เยี่ยนเฉิน!!!"
หลี่เยี่ยนเฉินหันหลังเดินจากไปทันที ทิ้งให้ฟางเมี่ยวยืนอยู่เพียงลำพัง นางรู้สึกเสียหน้าไม่น้อย แต่ในใจหนึ่งนางก็แอบสงสัยในท่าทีของหลี่เยี่ยนเฉินที่มีต่อนาง ท่าทีที่ไม่สนิทสนมและห่างเหินนั่นมันคือสิ่งใดกัน
หรือว่าเขามีคนรักระหว่างอยู่ที่ชายแดนอย่างนั้นหรือ ย่อมเป็นไปไม่ได้
นางจะต้องหาสาเหตุที่เขามีท่าทีเช่นนี้กับนางให้จงได้
บทที่ 11 พบสหายเก่าฟางเมี่ยวเดินกลับเข้ามาในงานเลี้ยง นางรู้สึกแปลกใจไม่น้อยที่ในชาตินี้หลี่เยี่ยนเฉินดูแปลกไปหรือว่าเขาจะย้อนอดีตกลับมาเช่นเดียวกันกับนางจะเป็นไปได้เช่นไรกัน เขาก็ดูปกติดี ไม่ได้มีท่าทีว่าจำเรื่องราวในชาติก่อนได้เลยนี่!!!ช่างเถิด ยิ่งคิดยิ่งปวดหัว นางค่อยหาทางอีกคราก็ยังไม่สาย"คุณหนูฟาง ได้ยินชื่อเสียงมานาน ได้พบที่งานเลี้ยงวันนี้ช่างดูงดงามสมคำร่ำลือยิ่งนัก"ฟางเมี่ยวหันไปมองบุุรุษที่เดินเข้ามาทักทายนางคราหนึ่ง นางจำเขาได้ คนผู้นี้มีนามว่ามู่หรงฟังในชาติที่แล้วเขาตามตื๊อนางอย่างเอาเป็นเอาตาย คอยส่งของมีค่ามาให้นาง อีกทั้งยังสอนให้นางเล่นการพนันอีกด้วย ยามที่เสียพนันเขาก็เป็นคนแนะนำให้นางไปขโมยเงินมาจากสินเดิมของท่านแม่ นางยามนั้นไร้เดียงสาโง่งมทำตามเขาอย่างไม่คิดหน้าคิดหลัง เพียงเพราะต้องการตอบสนองความสนุกของตนเองเพียงเท่านั้นยามนี้นางได้กลับมาเจอเขาอีกครา เป็นช่วงเวลาที่นางยังไม่ทันได้ติดการพนันอย่างบ้าคลั่ง ทุกอย่างเพียงกำลังเริ่มต้นขึ้นเท่านั้นเมื่อคิดได้เช่นนั้น ฟางเมี่ยวจึงยิ้มให้มู่หรงฟังเล็กน้อย"รู้จักข้าด้วยหรือเจ้าคะ?"มู่หรงฟังหัวเราะอย่างอารมณ์ดี
บทที่ 12 กิจการของฟางเมี่ยวหลายวันต่อมาฟางเมี่ยวก็ไปที่ภัตตาคารเพื่อเลือกพ่อครัวคนใหม่ นางเลือกมาได้สองคนที่มีฝีมือค่อนข้างดีเยี่ยม อีกทั้งระยะนี้นางยังจะต้องศึกษาสมุนไพรและเครื่องหอมที่ท่านแม่เคยบันทึกเอาไว้ มันไม่ง่ายเลย นางลองทำตามสูตรที่เขียนเอาไว้แต่ก็ยังไม่สำเร็จ แต่นางก็ไม่ละความพยายาม จนกระทั่งนางสามารถปรุงยาขี้ผึ้งดอกบัวออกมาได้ตามที่หวังเอาไว้ยาทาตลับนี้มีดอกบัวและใบบัวเป็นวัตถุดิบหลัก ต้องเด็ดดอกบัวสดตัดรากอ่อนมาสองท่อนนำมาตากแห้งบดเป็นผงร่อนผ่านกระชอน ผสมน้ำใส่ลงในหม้อดินเผา อบไล่ด้วยไฟแรงสลับไฟอ่อนสองวัน นำออกมาทิ้งให้เย็นแล้วบดเป็นผง ใช้กระชอนร่อน สุดท้ายนำไปผสมกับแป้งฝุ่น ลองเอามาทาข้อมือดูถ้าไม่มีผลข้างเคียงก็ใช้ได้ ผงดอกบัวรากบัวใช้บรรเทาการอาการปวด ลดบวม ลดฟกช้ำ ในส่วนผสมยังมีชะเอมแก้อักเสบและสะระแหน่ที่เย็นทำให้ลดอาการบวมแดง สามารถใช้ทาที่ใบหน้าหรือว่าตรงที่ระบมฟกช้ำได้เป็นอย่างดีอีกทั้งนางยังทำยาสระผมออกมาได้อีกด้วย ส่วนผสมของมันมีเพียง ดอกจำปีตูม ดอกกุหลาบอย่างละห้าเฉียน สนแผง ใบหม่อน เปลือกรากโบตั๋น อย่างละสี่เฉียน แล้วจึงใส่น้ำชาค้างคืนลงไปต้มเพื่อสกัดน้ำมันส
บทที่ 13 ปรับปรุงกิจการฟางเมี่ยวที่รีบเดินหนีมาจากศาลาเมื่อมาถึงที่ลับตาคน นางจึงรีบให้ลู่ชิงนำชาที่ตนนำติดมาด้วยเทใส่ถ้วย ก่อนจะกระดกหมดถ้วยในคราเดียวขนมเกือบติดคอตายแล้วไหมล่ะ!! เย่จิ้นหยางนี่มีดวงพิฆาตกับข้าจริงๆ!!"คุณหนู เหตุใดท่านจึงไม่แบ่งขนมให้ท่านอ๋องลองชิมเล่าเจ้าคะ บ่าวว่าท่านอ๋องรูปงามสูงศักดิ์ เหมาะสมกับคุณหนูมากกว่าคุณชายหลี่...""หุบปาก!! ก่อนที่ข้าจะยกกาชาฟาดหน้าเจ้า""คุณหนู!!"เมื่อไม่มีสิ่งใดให้ต้องทำต่อแล้ว ฟางเมี่ยวจึงไปแจ้งบิดาของตนว่านางจะกลับจวนแล้ว ก่อนจะรีบขึ้นรถม้ามุ่งหน้าออกจากค่ายทหารในทันทีแต่ก่อนยามที่นางติดตามท่านพ่อมาที่นี่เป็นเพราะถูกบังคับ ท่านพ่ออยากให้นางได้มาพบกับหลี่เยี่ยนเฉิน นางจึงจำได้ว่าเขามักจะชอบอยู่ที่ลานขี่ม้า ด้านท่านพ่อเอง เมื่อมาตรวจตราทุกอย่างและจัดการเอกสารเสร็จเรียบร้อยก็จะรีบเข้าวังหลวงทันทีฟางเมี่ยวครุ่นคิดบางอย่างขึ้นมาได้ นางจึงหันไปเอ่ยกับคนขับรถม้าทันที"ไปที่ภัตตาคารโหยวเย่ว์""ขอรับคุณหนู"ภัตตาคารโหยวเย่ว์ฟางเมี่ยวเดินลงมาจากรถม้า ก่อนจะมองป้ายหน้าร้านด้วยแววตาที่เรียบเฉยคราหนึ่ง แล้วจึงเดินเข้าไปด้านในที่นี่คือภัตตาค
บทที่ 14 งานเลี้ยงตระกูลจางระยะนี้ต้าอู๋ค่อนข้างสงบสุขไม่น้อย แม้ว่ากองทัพของเหลียงไท่จะบุกประชิดชายแดน แต่ทว่ากองกำลังของต้าอู๋ก็ยังคงแข็งแกร่งรับมือกับศัตรูได้อย่างไม่เกรงกลัววันนี้ฟางเมี่ยวตื่นนอนสายยิ่งนัก หลังจากล้างหน้าและรับสำรับยามเช้าเสร็จแล้ว นางจึงเดินออกมารับลมที่นอกเรือน ก่อนจะสังเกตเห็นว่าวันนี้ในจวนค่อนข้างวุ่นวายไม่น้อย"ลู่ชิง เหตุใดจวนจึงดูคึกคักยิ่งนักเล่า?""คุณหนู ยามนี้คุณชายใหญ่กลับมาถึงจวนแล้วเจ้าค่ะ"ฟางเมี่ยวที่ได้ยินเช่นนั้นก็พลันนึกเรื่องราวบางอย่างขึ้นมาได้ในชาติก่อน ระยะเวลานี้ฟางเจี๋ยพี่ชายของนางกำลังกลับมาจากสำนักศึกษาบนเขา เขากับนางเป็นพี่น้องร่วมมารดาเดียวกัน ฟางเจี๋ยอายุเท่าๆ กับหลี่เยี่ยนเฉิน เรียกได้ว่าเป็นสหายสนิทกันก็ไม่ผิดนักพี่ชายผู้นี้รักการเรียน อีกทั้งยังมีนิสัยเข้มงวด นางจำได้เขาสอนนางคัดอักษร หากนางเขียนผิดเขาก็จะตีมือนางหนึ่งครั้ง นางเองต่อต้านและเกลียดพี่ชายผู้นี้เป็นอย่างมาก เขาคอยขัดขวางทางรักของนางสารพัด เอาแต่พูดกรอกหูนางว่าสักวันนางจะต้องพบจุดจบที่น่าอนาถหากยังดื้อรั้นที่จะแต่งเข้าจวนอ๋องนางยิ้มออกมาเล็กน้อย พี่ชายนางพูดไม่ผิด
บทที่ 15 ลองตบข้าสิฟางเมี่ยวหันไปมองตามเสียงนั้น ก่อนจะพบกับบุรุษวัยกลางคนผู้หนึ่งที่กำลังก้าวเดินเข้ามา ท่าทีของเขาดูเป็นบัณฑิตผู้มีความรู้ นางจำเขาได้ดี เขาคืออาจารย์จาง บิดาของจางเสวี่ยฮุ่ย นามว่าจางหยวน เขาคือผู้ที่มีความสามารถและเคารพนับถือของเหล่าบัณฑิตในเมืองหลวง ผู้คนต่างเรียกเขาว่าท่านอาจารย์จางจางลี่อิงลดมือลง ก่อนจะหันไปมองบิดาของตนคราหนึ่ง จางหยวนมองบุตรสาวของตนด้วยแววตาที่ตำหนิอย่างไม่ปิดบัง ก่อนจะหันมาจ้องมองฟางเมี่ยวด้วยแววตาที่ล้ำลึก"บุตรสาวของข้าเสียมารยาทแล้ว เจ้าคือบุตรสาวตระกูลใดหรือ?""คารวะท่านอาจารย์จาง ข้ามีนามว่าฟางเมี่ยว บุตรสาวจวนตระกูลฟางเจ้าค่ะ""อ้อ บุตรสาวของท่านเสนาบดีฟางนี่เอง"จางหยวนยิ้มให้ฟางเมี่ยวเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ย"ต้องขออภัยแทนบุตรสาวของข้าด้วย นางไม่รู้ความเท่าใดนัก""ไม่เป็นอันใดเจ้าค่ะ เดิมทีข้าก็ตั้งใจมาร่วมงานเลี้ยงตามคำเชิญของเสวี่ยเสวี่ยอยู่แล้ว ต้องขออภัยท่านอาจารย์จางเช่นกันที่ไม่สำรวมกิริยา""อืม คุณหนูฟางช่างรู้ความไม่น้อยเลย เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน ลี่เอ๋อร์ ตามพ่อมา"จางลี่อิงหันมาถลึงตามองฟางเมี่ยวคราหนึ่งอย่างไม่พอใจเท่าใดนัก ก่อน
ฟางเมี่ยวที่ได้ยินเช่นนั้นก็รีบเร่งไปที่ร้านเครื่องประทินโฉมในทันที ระหว่างทางนางพบกับฟางเจี๋ยและหลี่เยี่ยนเฉินที่กำลังเดินออกมาจากจวนพอดี ฟางเจี๋ยที่เห็นว่าน้องสาวตนมีท่าทีรีบร้อนจึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย"เมี่ยวเอ๋อร์ จะรีบไปที่ใดกัน เจ้าเพิ่งกลับมาจากงานเลี้ยงมิใช่หรือ?""พี่ใหญ่ แม่นมหลิ่วบอกว่าที่ร้านเครื่องประทินโฉมเกิดเรื่อง ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเรื่องใด จึงจะรีบไปดูเสียหน่อย""เกิดเรื่องหรือ เช่นนั้นให้พี่ไปด้วยดีกว่า อาเยี่ยน ข้าคงไม่ได้ไปส่งเจ้าที่จวนแล้ว ข้าขอตัวไปจัดการธุระกับเมี่ยวเอ๋อร์ก่อน""อืม เจ้ารีบไปเถิด"ยามนี้ฟางเมี่ยวไม่มีเวลามาใส่ใจหลี่เยี่ยนเฉินเท่าใดนัก นางจึงเร่งรีบเดินทางไปที่ร้านเครื่องประทินโฉมพร้อมกับฟางเจี๋ยในทันทีเมื่อรถม้าจอดลงที่ด้านหน้าร้าน ฟางเมี่ยวก็รีบก้าวลงมาอย่างรีบร้อน ภาพที่เห็นก็คือ ยามนี้ด้านหน้าร้านของนางมีคนมามุงเต็มไปหมด ผู้ดูแลหลัวก็มีท่าทีกระวนกระวายเป็นอย่างมาก เมื่อเหลือบมาเห็นฟางเมี่ยว นางก็มีท่าทีดีใจราวกับพระโพธิสัตว์มาโปรดอย่างไรอย่างนั้น"คุณหนู"เสียงเรียกของผู้ดูแลหลัว ทำให้ผู้คนที่มุงดูหันมามองฟางเมี่ยวเป็นตาเดียว"เจ้าเองหรือคือเ
"แผนการล้มเหลวขอรับนายท่าน""เก็บกวาดให้เรียบร้อย อย่าให้สาวมาถึงตัวข้า แม้จะเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย แต่ย่อมปล่อยผ่านไปไม่ได้ ไว้ค่อยส่งคนไปสั่งสอนนางใหม่อีกครา""ขอรับนายท่าน"บุรุษชุดดำพยักหน้า ก่อนจะเดินออกจากห้องลับไป เมื่อออกมาจากห้องลับเขาก็หาที่ลับตาคนเปลี่ยนอาภรณ์ของตนออก เป็นชาวเมืองต้าอู๋ทั่วๆ ไป ใช้ชีวิตปะปนแฝงอยู่กับผู้คน ยามนี้ต้องนำเงินมอบให้สองแม่ลูกนั้นตามคำสั่งของนายท่าน และให้พวกนางย้ายไปนอกเมืองเสีย หลีกเลี่ยงที่จะเกิดปัญหามาถึงนายท่านของเขาหลี่เยี่ยนเฉินเพิ่งกลับจากค่ายทหารก็มุ่งหน้าไปที่จวนตระกูลฟางเพื่อพบกับสหายสนิทอีกคนอย่างฟางเจี๋ยในทันที ได้ยินว่าฟางเมี่ยวไปร่วมงานเลี้ยงที่จวนตระกูลจางคงจะไม่อยู่ที่จวน แต่ทว่าเขากลับคาดเดาผิดไปหมด นางกลับมารวดเร็วยิ่งนี่ก็เป็นอีกเรื่องที่อยู่เหนือความคิดของเขา ชาติก่อนฟางเมี่ยวไม่ได้ไปร่วมงานเลี้ยงที่จวนตระกูลจางเลย เพราะนางไม่ชอบใจจางเสวี่ยฮุ่ย แต่ทว่าในชาตินี้นางกลับได้ไปร่วมงานเลี้ยง อีกทั้งยังกลายเป็นสหายของจางเสวี่ยฮุ่ยอีกด้วยเดิมทีเขาก็ไม่ชอบไปงานเลี้ยงตามจวนต่างๆ อยู่แล้วหากไม่จำเป็น ส่วนท่านพ่อนั้นมีงานด่วนต้องสะสาง
ฟางเมี่ยวลุกขึ้นยืนก่อนจะทำความเคารพเขาด้วยใบหน้าที่เรียบเฉยเหมือนเช่นเคย เย่จิ้นหยางที่เห็นเช่นนั้นก็ยิ้ม ก่อนจะเอ่ยทักทายนาง"คุณหนูฟางนี่เอง ข้าก็คิดว่าสตรีที่ใดกันที่อาเยี่ยนพามาที่นี่ด้วย ดีเลยวันนี้เจ้าอยู่พอดี แนะนำอาหารที่อร่อยให้ข้าด้วยเถิด ได้ยินว่าภัตตาคารแห่งนี้เป็นของมารดาเจ้า ที่ตกทอดมาถึงเจ้า อีกทั้งเจ้ายังคิดที่จะขายอาหารในราคาที่จับต้องได้ให้ราษฎรระดับล่างอีกด้วย ช่างมีจิตใจที่ดีงามยิ่งนัก"เย่จิ้นหยางเอ่ยชมฟางเมี่ยวจากใจจริง ฟางเมี่ยวเพียงยิ้มออกมาเล็กน้อยเท่านั้นเหอะ!! ชาติก่อนเขาด่านางราวกับนางไม่ใช่คน นางยังจำได้ดี คืนนั้นที่นางวางยาปลุกกำหนัดเขา และยามรุ่งสางที่เขาตื่นขึ้นมาพบว่าได้กลายเป็นสามีภรรยาที่แท้จริงกับนางไปเสียแล้ว"ฟางเมี่ยว สตรีหน้าไม่อาย แพศยา ต่ำช้า เจ้าวางยาข้าหรือ""ท่านอ๋อง เมี่ยวเอ๋อร์รักพระองค์นะเพคะ""แต่ข้าเกลียดเจ้า เกลียดจนแทบอยากจะอาเจียน ข้าเกลียดเจ้าได้ยินหรือไม่!!! ใครอยู่ข้างนอกเข้ามาลากนางไปขังเอาไว้ที่เรือนเล็กท้ายจวน ห้ามให้อาหารนางจนกว่าข้าจะสั่ง!!!""ท่านอ๋อง!!!"นางถูกเขาสั่งขังในเรือนโกโรโกโส ไม่มีอาหารกิน นางหิวจนปวดแสบท้องไปห
หลายเดือนต่อมา เจียงซูซูมาส่งใบลาให้เสิ่นจื่อหลาง บอกเพียงว่านางต้องติดตามท่านพ่อท่านแม่ไปจัดการธุระที่บ้านเดิมซึ่งอยู่นอกเมืองหลวงเสิ่นจื่อหลางให้นางลาสามวัน และบอกให้นางรีบกลับระหว่างทางที่มุ่งหน้ากลับบ้านเดิมนั้นไม่มีปัญหา จนกระทั่งยามที่นางและครอบครัวกำลังจะเดินทางกลับ กลับมีโจรบุกเข้ามาปล้นชิงครอบครัวของนาง พวกมันจับตัวพวกนางเอาไว้ เจียงซูซูหวาดกลัวไม่น้อย แต่ก็พยายามคิดในแง่ดีเอาไว้นางไม่รู้ว่าพวกมันจับตัวนางมาไว้ที่ใด ได้ยินเพียงพวกมันบอกว่าจะสังหารท่านพ่อท่านแม่ของนางและส่งนางไปขายที่หอนางโลมเจียงซูซูพลันนึกถึงเสิ่นจื่อหลางขึ้นมา จู่ๆ ขอบตาของนางก็ร้อนผ่าว เมื่อนึกขึ้นมาได้ว่านางกับเขาชาตินี้อาจะไม่ได้เจอนางอีก นางสัญญากับเขาเอาไว้แล้วว่าจะกลับไปอยู่เคียงข้างเขาเขาเป็นถึงฮ่องเต้ผู้สูงส่งแต่นางเป็นเพียงขุนนางหญิงต่ำต้อย กลับอาจหาญที่จะไปหลงรักเขาภายใต้ใบหน้าที่แสนเย็นชาของเขามันซ่อนความอบอุ่นเอาไว้ เขาไม่เคยตำหนินาง ไม่เคยลงโทษนาง อีกทั้งยังไม่ถือตัวกับนาง นางชอบทุกอย่างที่เป็นเขา รักทุกอย่างของเขาจู่ๆ เจียงซูซูที่เข้มแข็ง น้อยครั้งนักที่นางจะร้องไห้ แต่ทว่ายามนี้นางกลับ
วันเวลาเช่นนี้ผ่านไปวันแล้ววันเล่าเดือนแล้วเดือนเล่าจนล่วงมาเป็นปี เขาไม่ทันรู้ตัวว่าเปิดรับนางเข้ามาในใจตั้งแต่ยามใด รู้ตัวอีกคราสายตาของเขาก็เอาแต่มองหานางเสียแล้ว“ถวายพระพรฝ่าบาทเพคะ”เสิ่นจื่อหลางที่กำลังนั่งอ่านตำราพลันเงยหน้าขึ้นไปมองโจวกุ้ยเฟยที่กำลังเดินเข้ามาโจวกุ้ยเฟย นามเดิม โจวเย่หลัน นางเป็นหลานสาวของนายท่านโจว เป็นทายาทที่เกิดจากบุตรชายเพียงคนเดียวของโจวชิงเหยา บุตรชายของนายท่านโจวเขารับนางเข้ามาเป็นสนมได้ร่วมสองปีแล้ว นิสัยของนางค่อนข้างอ่อนหวาน เอาอกเอาใจ และมีเมตตาแต่ทว่าเขารู้ดีว่านี่คือเปลือกนอกที่นางแสดงให้เขาดูเพียงเท่านั้นสตรีวังหลังมีผู้ใดบ้างไม่ฝักใฝ่ในอำนาจ หากไม่สนอำนาจเช่นนั้นจะเข้าวังหลวงมาทำไมกัน ไปบวชชีคงเหมาะเสียกว่า!!“โจวกุ้ยเฟย เจ้ามาหาข้ามีเรื่องใดหรือ?”โจวกุ้ยเฟยฉีกยิ้มอ่อนหวาน ก่อนจะเอ่ย“ทูลฝ่าบาท วันนี้หม่อมฉันคิดค้นสูตรอาหารขึ้นมาใหม่ จึงอยากมาชวนพระองค์ไปลองชิมที่ตำหนักเพคะ”“อืม ไว้มีเวลาข้าจะไป”“ฝ่าบาทเพคะ”เสิ่นจื่อหลางที่ได้ยินว่าโจวกุ้ยเฟยเอาแต่เรียกเขา ก็เงยหน้าไปมองนางด้วยแววตาที่เย็นชาจนนางลนลานหวาดกลัวไม่น้อย“เอ่อ หม่อมฉันขอทูล
วังหลวงท้องพระโรงยามนี้เจียงซูซูอยากจะมุดแผ่นดินหนีหรือไม่ก็แทรกตัวเข้าไปหลบในเสาต้นใดต้นหนึ่งยิ่งนักบุรุษที่นางยืนด่าฉอดๆ เมื่อไม่นานมานี้ แท้จริงเขาคือฮ่องเต้ของต้าอู๋พระนามเสิ่นจื่อหลางเจียงซูซูเบะปากทำท่าคล้ายคนจะร้องไห้ เห็นทีตำแหน่งขุนนางหญิงที่นางใฝ่ฝันคงจะจบเห่แล้ว!!!เสิ่นจื่อหลางปรายตามองเจียงซูซูคราหนึ่ง ก่อนจะหันไปมองสตรีอีกสองนางที่สอบได้ลำดับรองลงไป สตรีที่ได้อันดับสองมาจากจวนตระกูลหาน ได้ยินว่านางเก่งกาจด้านการใช้อาวุธ เขาจึงมอบตำแหน่งองค์รักษ์หญิงให้แก่นาง ส่วนสตรีอีกนางมาจากจวนตระกูลสวี ได้ยินว่านางรอบรู้ อีกทั้งยังช่างสังเกต เขาจึงให้นางไปเรียนรู้การทำงานที่ศาลต้าหลี่ ดูว่านางมีความสามารถเหมาะกับตำแหน่งใดในศาลต้าหลี่แล้วค่อยมอบตำแหน่งนั้นให้นางส่วนผู้ที่สอบได้อันดับหนึ่ง เขาตั้งใจที่จะให้นางทำงานอยู่ข้างกายเขา เขาไปที่ใดนางต้องไปตามคอยเป็นหูเป็นตาแทนเขา สามารถเป็นตัวแทนเขาในการทำงานต่างๆ ได้ สตรีมักจะทำงานรอบคอบและละเอียดมากกว่าบุรุษสตรีน้อยสองนางออกไปแล้ว ยามนี้เหลือเพียงเจียงซูซู เสิ่นจื่อหลางโบกมือให้คนอื่นๆ ออกไป ก่อนจะเดินตรงเข้ามาหานาง เจียงซูซูที่เห็นเช
(เรื่องราวเกิดขึ้นหลังขึ้นครองราชย์6ปี)“ฝ่าบาท จะออกไปจริงๆ หรือพ่ะย่ะค่ะ”ขันทีคนสนิทเอ่ยถามเสิ่นจื่อหลางอย่างร้อนรน ได้ยินว่าวันนี้ฝ่าบาทจะออกไปชิมอาหารที่ภัตตาคารโหยวเย่ว์อีกแล้ว“ไม่ต้องตามข้า ข้าเพียงไปพบสหายเท่านั้น”เขาเอ่ยเพียงเท่านั้นก่อนจะปลอมตัวเป็นองค์รักษ์เสื้อแพรออกไปที่นอกวังหลวงยามนี้อาอวี้รั้งตำแหน่งผู้บัญชาการองค์รักษ์เสื้อแพร อีกทั้งยังตงฉิน ทำงานอุทิศตนเพื่อบ้านเมือง มันทำให้เขามองเห็นตนเองเมื่อสมัยก่อนปีนี้เขามีอายุยี่สิบเจ็ดปีแล้ว ครองราชย์มาก็หลายปี แต่ทว่ายังคงไม่มีทายาทสืบทอดวันนี้เขามีนัดกับฟางเมี่ยวที่ภัตตาคารโหยวเย่ว์ นางบอกมีสูตรอาหารแปลกใหม่อยากให้เขาได้ลิ้มลองเมื่อมาถึงเขาก็พบกับหลี่เยี่ยนเฉิน น่าแปลกที่ยามนี้เขากับหลี่เยี่ยนเฉินกลายเป้นสหายสนิทกันไปเสียแล้ว“อาจื่อ เจ้าว่างมากหรือ จึงนัดพวกข้ามาพบ”“แน่นอนสิ ข้าไม่มีสิ่งใดทำ”“เหอะ”“เหอะอันใด รีบสั่งอาหารมาสิ แล้วนี่เมี่ยวเมี่ยวเล่า นางไปที่ใด?”“มาถึงก็เรียกหาภรรยาผู้อื่นเช่นนี้ใช้ได้หรือ กลับไปหาสนมเจ้าสิ!!!”“เจ้าหึงหวงหรือ ช่วยไม่ได้ เมี่ยวเมี่ยวสนิทกับข้านี่เจ้าก็รู้”“อย่าคิดว่าข้าไม่กล้าทุบ
เขาจำได้ดีว่าในปีนั้นเป็นช่วงฤดูร้อน ฮ่องเต้เย่หมิงหล่างมีรับสั่งให้เหล่าขุนนางตามออกไปล่าสัตว์อีกครา หลังจากที่เกิดเหตุการณ์น่ากลัวที่เหล่านักฆ่าลอบสังหาร ก็มีการเพิ่มกำลังการคุ้มกันแน่นหนาขึ้น“วันนี้พี่เยี่ยนช่างรูปงามยิ่งนัก”หลี่เยี่ยนเฉินปรายตามองฟางเมี่ยวคราหนึ่ง ก่อนจะเบือนหน้าหนี นางตามมาเกี้ยวพาเขาอีกแล้วฟางเมี่ยวจ้องมองหลี่เยี่ยนเฉินด้วยท่าทีหยอกเย้า ไม่ได้ใส่ใจท่าทีที่เอือมระอาของเขาเลยแม้แต่น้อย“พี่เยี่ยน”“หยุดเรียกข้าสักที”เขารีบควบม้าหนีนางไปทันที ฟางเมี่ยวไม่ยอมลดละรีบควบม้าตามเขาไปอย่างรวดเร็วแต่ทว่าม้าของนางกลับพยศ มันวิ่งเข้าป่าไม่หยุดจนเกือบจะชนเข้ากับต้นไม้ใหญ่ หลี่เยี่ยนเฉินตื่นตระหนกยิ่ง รีบกระโดดเข้ามาคว้าตัวนางลงจากหลังม้า ก่อนที่คนทั้งสองจะกลิ้งตกลงเขาไปด้วยกันฮ่องเต้เย่หมิงหล่างสั่งให้คนออกตามหาพวกเขาทั้งสองคนแต่กลับไม่พบฟางเมี่ยวขยับกายเล็กน้อย นางรู้สึกปวดไปทั้งตัว แต่ว่าเมื่อได้มองเห็นหลี่เยี่ยนเฉินที่นอนสลบอยู่ ก็ตกใจไม่น้อย บนหน้าผากของเขามีเลือดไหลซึมออกมา คาดว่าอาจจะถูกกิ่งไม้แหลมขูดหน้าผาก ฟางเมี่ยวรีบใช้ผ้าสะอาดที่นางนำติดมาด้วยซับเลือดให้เขา
รัชศกจื่อหลางปีที่ 1ยามนี้เสิ่นจื่อหลางขึ้นเป็นฮ่องเต้ได้หนึ่งปีแล้ว นับแต่ที่เขาขึ้นครองราชย์นั้นนับว่าเป็นช่วงที่รุ่งเรืองไม่น้อย แคว้นต่างๆ ยอมศิโรราบ แคว้นใดคิดเป็นกบฏจะถูกสังหารอย่างไม่ละเว้น ผู้ทำผิดถูกลงโทษไม่เว้นว่าจะเกิดในตระกูลใด เด็กๆ ที่ยากจนได้มีสถานที่เรียน ซึ่งทางราชสำนักเป็นคนต่อตั้งขึ้นสำหรับครอบครัวที่ยากจนสามปีต่อมาอาอวี้ที่มีอายุจะครบสิบห้าปีแล้วสามารถสอบเป็นจอหงวนได้สำเร็จ หลังจากนั้นอีกหลายปี เพราะความสามารถของเขาที่เก่งกาจทั้งบุ๋นและบู๊ จึงได้รับตำแหน่งผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพร ทำงานรับใช้ฝ่าบาทอย่างใกล้ชิดฟางเจี๋ยพี่ชายของนางได้รับตำแหน่งเสนาบดีกรมกลาโหม ส่วนท่านพ่อนั้นก็ออกมาพักผ่อนและเลี้ยงลูกๆ ของฟางเจี๋ยและหลิวจืออยู่ที่จวนส่วนหลี่เยี่ยนเฉินนั้นยามนี้สงครามสงบ ไม่มีสิ่งใดให้ต้องทำ เขาจึงติดตามภรรยาไปค้าขายต่างแคว้นอย่างมีความสุข ทั้งคู่ยังไม่มีบุตรจนหลี่ฮูหยินร้อนใจ สั่งให้ฟางเมี่ยวห้ามออกจากจวนไปทำงาน อยู่ทำลูกกับหลี่เยี่ยนเฉินทุกวันยามที่มีเวลาว่าง ฟางเมี่ยวมักจะไปที่หลุมศพของจางเสวี่ยฮุ่ย บอกเรื่องราวความเป็นไปในแต่ละช่วงเวลาให้นางฟังฟางเมี่ยวเชื
ฟางเมี่ยวเมื่อกลับมาถึงจวนก็พบกับหลี่เยี่ยนเฉินที่กำลังยืนรดน้ำดอกกุหลาบอยู่ ฟางเมี่ยวที่เห็นเช่นนั้นจึงเอ่ยถามเขาทันที“ท่านพี่ เหตุใดจึงทำเอง บ่าวไพร่ไปที่ใดหมดเจ้าคะ?”หลี่เยี่ยนเฉินที่ได้ยินเช่นนั้นก็หันมาส่งยิ้มให้ฟางเมี่ยว ก่อนจะเช็ดมือให้สะอาดแล้วเดินเข้ามาหาฟางเมี่ยว แล้วใช้ผ้าเช็ดหน้าซับเหงื่อให้นางอย่างใส่ใจ“ดอกไม้เหล่านี้เมี่ยวเอ๋อร์ของข้าชอบมากที่สุด ข้าย่อมต้องดูแลเองไม่อาจวางใจให้ผู้อื่นดูแลได้ ไหนมาให้ข้าซับเหงื่อให้ เจ้าเหนื่อยหรือไม่?”“ไม่เหนื่อยเจ้าค่ะ ท่านพี่ข้าพบสวีเซียวเหยา นางสารภาพมาเองว่าเคยส่งคนมาฉุดข้า”ฟางเมี่ยวคล้ายจะลืมตัวว่าตนเอ่ยสิ่งใดออกไป นางไม่คิดจะบอกเรื่องนี้กับหลี่เยี่ยนเฉินเพราะเกรงว่าเขาจะเป็นห่วงและคิดมาก อีกอย่างนางก็ปลอดภัยดีจึงไม่เห็นเป็นเรื่องสำคัญอันใด หลี่เยี่ยนเฉินที่ได้ยินเช่นนั้นก็เอ่ยถามทันที“นี่เจ้าถูกนางส่งคนมาฉุดเช่นนั้นหรือ?”“เอ่อ...”“ตอบมา!!!”“ท่านพี่ เรื่องมันนานมากแล้วเจ้าค่ะ ข้าเองไม่อยากให้ท่านกังวล นับว่าโชคยังดีที่ข้าปลอดภัย สหายเสิ่นไปช่วยข้าเอาไว้ได้ทันเวลา”สหายเสิ่นอีกแล้ว?หลี่เยี่ยนเฉินหรี่ตามองฟางเมี่ยว ก่อนจะมี
รัชศกจิ้นหยางปีที่ 1เย่จิ้นหยางขึ้นครองราชย์เป็นฮ่องเต้พระองค์ใหม่ของแคว้นต้าอู๋ นับตั้งแต่เขาได้สติกลับคืนมาก็ตั้งใจทำเพื่อบ้านเมืองอย่างสุดกำลัง เขากวาดล้างเหล่าขุนนางโลภออกไปจากราชสำนักได้ไม่น้อย อีกทั้งยังลดภาษีให้กับราษฎรอีกด้วย ไม่กี่ปีต่อมาแคว้นต้าอู๋ก็กลับมางดงามและยิ่งใหญ่เช่นเดิมเขานึกถึงคำเตือนของเสิ่นจื่อหลางได้ไม่ลืม อีกทั้งยังชื่นชมเสิ่นจื่อหลางอีกด้วย เขาไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดเสด็จลุงจึงไว้วางใจเสิ่นจื่อหลางถึงเพียงนี้นับตั้งแต่เริ่มแผนการที่ท่านลุงวางไว้ แผนการนั้นจะไม่สำเร็จและแยบยลเลย หากไม่มีขุนนางที่ตงฉินและไว้ใจได้ และยอมทำงานถวายชีวิตเช่นเสิ่นจื่อหลางที่ผ่านมาเสด็จลุงส่งเสิ่นจื่อหลางมาคอยจับตาดูเขาและขุนนางทุกคน สุดท้ายเสด็จลุงไว้วางใจที่จะมอบแผ่นดินนี้ให้กับเขา เขาเองก็จะไม่ทำให้ความไว้วางใจนั้นของเสด็จลุงต้องสูญเปล่ายามนี้ต้าอู๋นับว่าคึกคักไม่น้อยเลย ฟางเมี่ยวกลับมาเปิดกิจการใหม่อีกครา อีกทั้งรายได้ครึ่งหนึ่งของการค้าขาย นางก็จะบริจาคเข้าคลังหลวงเพื่อช่วยราชสำนักทุกเดือน ระยะหลังมานี้กิจการของนางได้ส่งออกไปขายต่างแคว้น นับว่าได้กำไรงามไม่น้อยตั้งแต่แคว้นเห
ฟางเมี่ยวเดินออกจากจวนอ๋องมาพร้อมกับหลิวจือ ยามนี้เย่จิ้นหยางเสียใจอย่างหนัก ไม่ยอมให้ผู้ใดเข้าใกล้ร่างของจางเสวี่ยฮุ่ย เขาเอาแต่กอดร่างไร้ลมหายใจของนางเอาไว้เช่นนั้นไม่ยอมปล่อย ปากก็พร่ำเพ้อว่ายามนี้นางกำลังนอนพักผ่อน ห้ามผู้ใดรบกวนนางฟางเมี่ยวทนมองภาพที่น่าสลดใจเช่นนี้ไม่ไหว นางจึงรีบขอตัวกลับจวนตนทันทีหลิวจือนั้นขอตัวกลับจวนของตนเช่นเดียวกัน เนื่องจากมีเรื่องที่ต้องจัดการ ส่วนฟางเมี่ยวนั้นยามนี้ก็กำลังนั่งรถม้ามุ่งหน้ากลับจวนตระกูลหลี่เช่นเดียวกันเมื่อกลับมาถึงจวน นางก็พบกับหลี่เยี่ยนเฉินที่กำลังนั่งรอนางอยู่ในเรือน เขาได้ยินข่าวที่จางเสวี่ยฮุ่ยจากแล้ว ในใจก็นึกเวทนาไม่น้อย ข่าวการตายของจางเสวี่ยฮุ่ยแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานนักข่าวนี้ก็แพร่สะพัดไปถึงในวังหลวงเมื่อเห็นว่าฟางเมี่ยวกลับมาแล้ว เขาจึงลุกขึ้นเดินเข้าไปหานางทันที ก่อนจะพบว่ายามนี้ใบหน้าของฟางเมี่ยวเปรอะเปื้อนไปด้วยหยดน้ำตา เมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าคือหลี่เยี่ยนเฉิน ฟางเมี่ยวก็โผเข้ากอดเขาทันที ก่อนจะปล่อยโฮออกมาอีกครา“ฮืออ หลี่เยี่ยนเฉิน จางเสวี่ยฮุ่ยตายแล้ว ข้าช่วยนางไม่ได้ ฮือ ข้าช่วยนางไม่ได้ ข้าไม่อยากให้นางตาย