บทที่ 15 ลองตบข้าสิ
ฟางเมี่ยวหันไปมองตามเสียงนั้น ก่อนจะพบกับบุรุษวัยกลางคนผู้หนึ่งที่กำลังก้าวเดินเข้ามา ท่าทีของเขาดูเป็นบัณฑิตผู้มีความรู้ นางจำเขาได้ดี เขาคืออาจารย์จาง บิดาของจางเสวี่ยฮุ่ย นามว่าจางหยวน เขาคือผู้ที่มีความสามารถและเคารพนับถือของเหล่าบัณฑิตในเมืองหลวง ผู้คนต่างเรียกเขาว่าท่านอาจารย์จาง
จางลี่อิงลดมือลง ก่อนจะหันไปมองบิดาของตนคราหนึ่ง จางหยวนมองบุตรสาวของตนด้วยแววตาที่ตำหนิอย่างไม่ปิดบัง ก่อนจะหันมาจ้องมองฟางเมี่ยวด้วยแววตาที่ล้ำลึก
"บุตรสาวของข้าเสียมารยาทแล้ว เจ้าคือบุตรสาวตระกูลใดหรือ?"
"คารวะท่านอาจารย์จาง ข้ามีนามว่าฟางเมี่ยว บุตรสาวจวนตระกูลฟางเจ้าค่ะ"
"อ้อ บุตรสาวของท่านเสนาบดีฟางนี่เอง"
จางหยวนยิ้มให้ฟางเมี่ยวเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ย
"ต้องขออภัยแทนบุตรสาวของข้าด้วย นางไม่รู้ความเท่าใดนัก"
"ไม่เป็นอันใดเจ้าค่ะ เดิมทีข้าก็ตั้งใจมาร่วมงานเลี้ยงตามคำเชิญของเสวี่ยเสวี่ยอยู่แล้ว ต้องขออภัยท่านอาจารย์จางเช่นกันที่ไม่สำรวมกิริยา"
"อืม คุณหนูฟางช่างรู้ความไม่น้อยเลย เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน ลี่เอ๋อร์ ตามพ่อมา"
จางลี่อิงหันมาถลึงตามองฟางเมี่ยวคราหนึ่งอย่างไม่พอใจเท่าใดนัก ก่อนจะยอมเดินตามบิดาตนไปอย่างไม่เต็มใจเท่าใดนัก ฟางเมี่ยวคร้านจะสนใจจางลี่อิงอีก จึงหันมาสนทนากับจางเสวี่ยฮุ่ยแทน
ผ่านไปไม่นานนัก ก็มีขันทีจากวังหลวงเดินทางมาที่จวนราชครู บอกว่ามีราชการโองการจากฝ่าบาท จางราชครูและเหล่าฮูหยินรวมถึงคนที่อยู่ในงานเลี้ยงต่างรีบคุกเข่าลงอย่างรวดเร็ว
เนื้อความในราชโองการสร้างความตกใจให้ทุกคนไม่น้อย แต่ก็ไม่เกินความคาดหมายของฟางเมี่ยวไปเท่าใดนัก เนื่องจากราชโองการนี้เป็นราชโองการพระราชทานสมรส ให้จางเสวี่ยฮุ่ยแต่งเข้าจวนอ๋องเป็นพระชายาเอก
จางเสวี่ยฮุ่ยดีใจยิ่งนัก เขาทำตามที่รับปากนางเอาไว้ในงานเลี้ยงจวนตระกูลหลี่จริงๆ แต่ทว่านางทำได้เพียงเก็บงำความดีใจนี้เอาไว้ ใบหน้าจึงมีแต่เพียงความนอบน้อมและกิริยามารยาทงดงาม ขันทีที่รับหน้าที่มาประกาศราชโองการลอบพยักหน้าด้วยความพึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง
แต่ทว่าจางลี่อิงกลับลอบกำมือตนเอาไว้แน่น เดิมทีนางควรจะได้แต่งเป็นพระชายาเอกของชินอ๋อง แต่พี่สาวต่างมารดาของนางผู้นี้กลับได้ตำแหน่งนี้แทนนางไปเสีย น่าเจ็บใจนัก!!!
การกระทำของจางลี่อิงอยู่ในสายตาของฟางเมี่ยวทุกอย่าง นางลอบส่งเสียงเหอะคราหนึ่งอย่างดูแคลน
มีหรือนางจะดูไม่ออก ชาติก่อนยามที่ได้ยินว่าจางเสวี่ยฮุ่ยแต่งกับเย่จิ้นหยางไปแล้ว นางก็มีท่าทีเช่นนี้ ไม่นึกไม่ฝันว่าจะได้มาพบเจอสตรีที่มีนิสัยเหมือนกับนางในกาลก่อนไม่มีผิดเพี้ยน
เรื่องการแต่งงานของจางเสวี่ยฮุ่ยและเย่จิ้นหยางนั้นฟางเมี่ยวไม่ได้ตื่นเต้นอันใดมากนัก ก่อนจะกลับนางได้เอ่ยแสดงความยินดีกับจางเสวี่ยฮุ่ยไม่กี่ประโยค ก่อนจะขอตัวลากลับจวนของตน
บุรุษที่มองตามฟางเมี่ยวต่างพึงพอใจในตัวนาง บางคนถึงกับตั้งใจเอาไว้ว่าหากกลับจวนไปแล้ว จะต้องให้มารดาส่งแม่สื่อไปสู่ขอนางให้จงได้
หลิวจือลอบเบ้ปากคราหนึ่ง นางเองก็ได้รับเทียบเชิญให้มาร่วมงานเลี้ยงในครั้งนี้ด้วย นางเดินตามฟางเมี่ยวมาจนถึงรถม้า ก่อนจะเอ่ย
"เฮ้อ สตรีหน้าไม่อายที่ใดกันที่กล้ามายั่วยวนบุรุษในงานเลี้ยงเช่นนี้"
ฟางเมี่ยวเมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคยก็มีท่าทีเบื่อหน่ายไม่น้อย นางหันไปมองหลิวจือก่อนจะเอ่ย
"เจ้าว่าผู้ใดหรือ?"
หลิวจือแสยะยิ้มมุมปาก
"เจ้าคิดว่าข้าว่าผู้ใดเล่า?"
"ผู้ใดจะรู้เล่า ข้าก็คิดว่าเจ้าว่าตนเองเสียอีก"
"ฟางเมี่ยว!!!"
"เข้ามาสิ หากเจ้ากล้าแตะตัวข้าแม้เพียงนิดข้าจะถีบเจ้าให้ลอยกลับบ้านเก่าเลย"
ฟางเมี่ยวเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉย หลิวจือที่ได้ยินเช่นนั้นจึงจำใจเดินจากไปด้วยท่าทีที่อัดอั้นตันใจเป็นอย่างมาก ฟางเมี่ยวไม่สนใจนางอีก รีบขึ้นรถม้ากลับจวนตนเสีย เมื่อมาถึง นางก็พบกับสาวใช้นางหนึ่งที่กำลังยกกาสุราผ่านนางไป
"ช้าก่อน"
สาวใช้น้อยนางนั้นหยุดชะงักก่อนจะหันมาทำความเคารพฟางเมี่ยว
"คุณหนู"
"มีผู้ใดมาที่จวนหรือ ปกติท่านพ่อไม่ดื่มสุรานี่?"
"เอ่อ เป็นคุณชายจากจวนตระกูลหลี่เจ้าค่ะ โอะ คุณหนู"
"เจ้ามีสิ่งใดไปทำก็ไปเถิด ข้าจะนำกาสุรานี้ไปให้พวกเขาเอง"
"แต่คุณหนูเจ้าคะ..."
"มีสิ่งใดก็ไปทำเถิด"
"เจ้าค่ะ"
ฟางเมี่ยวดึงถาดที่ใส่กาสุรามาถือเอาไว้เอง ก่อนจะเดินมุ่งหน้าไปที่เรือนของฟางเจี๋ยในทันที หากหลี่เยี่ยนเฉินมาที่จวนของนางย่อมจะต้องไปที่เรือนของพี่ชายนางเป็นแน่
เมื่อนางมาถึงก็ได้ยินเสียงบุรุษสองคนสนทนากันอย่างสนิทสนม ในขณะที่นางกำลังก้าวเข้าไปในเรือน บุรุษทั้งสองก็หันมามองนางพร้อมกัน
ฟางเจี๋ยขมวดคิ้วมุ่น ในขณะที่หลี่เยี่ยนเฉินมองนางด้วยแววตาที่วูบไหว
ฟางเมี่ยววางกาสุราในมือลง ก่อนจะเทใส่ถ้วยและส่งให้บุรุษทั้งสอง พลางหันไปส่งยิ้มให้หลี่เยี่ยนเฉิน เขามองถ้วยสุราคราหนึ่งไม่ได้เอ่ยสิ่งใด ด้านฟางเจี๋ยที่เห็นเช่นนั้นจึงเอ่ยถามทันที
"เหตุใดเจ้าจึงยกเข้ามาเล่า สาวใช้ไปที่ใดกันหมด?"
ฟางเมี่ยวยิ้มตาหยี ก่อนจะเอ่ย
"ข้าผ่านมาทางนี้พอดีน่ะเจ้าค่ะ จึงอาสายกมาให้ท่านพี่เอง"
ฟางเจี๋ยหรี่ตามองฟางเมี่ยวคราหนึ่ง ก่อนจะครุ่นคิดในใจ ผ่านทางเช่นนั้นหรือ เรือนของฟางเมี่ยวกับเรือนของเขาห่างกันไม่น้อย นางจะผ่านมาทำสิ่งใดที่เรือนของเขากัน
"หากไม่มีสิ่งใดแล้ว เจ้าก็ไปเถิด พี่มีเรื่องต้องสนทนากับอาเยี่ยนสักหน่อย"
"เจ้าค่ะ"
ฟางเมี่ยวจ้องมองหลี่เยี่ยนเฉินอีกครา เห็นเพียงบุรุษตรงหน้าเอาแต่ดื่มสุรา ไม่สนใจจะมองนางสักนิด ก็รู้สึกน้อยใจเป็นอย่างยิ่ง นางจึงจำใจต้องเดินกลับเรือนอย่างไม่สบอารมณ์เท่าใดนัก
ด้านหลี่เยี่ยนเฉินนั้น เมื่อฟางเมี่ยวเดินกลับเรือนตนไปแล้ว เขาจึงวางถ้วยชาในมือลง ก่อนจะเอ่ย
“อาเจี๋ย เดิมทีเรื่องนี้ข้าไม่อยากจะพูดกับเจ้า เพราะอย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องของข้า แต่ทว่าเพราะข้าเห็นฟางเมี่ยวมาตั้งแต่ยังเด็ก เติบโตมาด้วยกันกับนาง”
ฟางเจี๋ยที่ได้ยินเช่นนั้นจึงมองหลี่เยี่ยนเฉินคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย
“เรื่องใดหรือ?”
“สาวใช้ข้างกายฟางเมี่ยวดูจะไม่ได้เรื่องเท่าใดนัก ตอนที่ข้ากลับมาเมืองหลวง ได้ยินข่าวเล่าลือว่านางติดสุราเล่นการพนัน สาวใช้ของนางนอกจากจะไม่ห้ามปรามแล้ว ยังสนับสนุนนางอีก ข้าเห็นนางมานาน และเห็นแก่ที่นางเป็นน้องสาวของเจ้า ข้าจึงไม่อยากเห็นนางเดินในทางที่ไม่ควร ข้าสงสารท่านลุงและเห็นแก่ที่เจ้าเป็นสหายรักของข้า หวังว่าเจ้าคงไม่โกธรที่ข้าพูดมากไป”
หลี่เยี่ยนเฉินพยายามใช้คำพูดที่ทำให้ฟางเจี๋ยคล้อยตาม เขาเองจำได้ดี สาวใช้ที่ติดตามฟางเมี่ยวนั้นมีนามว่าลู่ชิง ไม่ได้เรื่องเลยแม้แต่น้อย ก่อนหน้านี้หากเขาจะยื่นมือเข้าไปยุ่ง สนาบดีฟางย่อมต้องไม่พอใจเป็นแน่ แต่ยามนี้ฟางเจี๋ยกลับมาแล้ว เขารู้ว่าฟางเจี๋ยค่อนข้างเข้มงวดกับฟางเมี่ยวไม่น้อย คงมีเพียงฟางเจี๋ยที่จะทำได้
เขาถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง แม้ชาตินี้จะไม่อยากเกี่ยวข้องกับนาง แต่ลึกๆ ในใจของเขาก็ไม่อยากมองเห็นนางเดินซ้ำรอยเดิมอีก
มันเป็นความรู้สึกที่ประหลาดไม่น้อย เขาลอบยิ้มเยาะให้ตนเอง ไหนเขาบอกว่าตนเองเก่งนักไม่ใช่หรือ ต้องตัดขาดจากนางได้ แต่ท้ายที่สุดเขาก็หลอกตนเองทั้งสิ้น
ฟางเจี๋ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้าเห็นด้วย เดิมทีเพราะท่านพ่อตามใจฟางเมี่ยวมากเกินไป คนข้างกายนางแต่ละคนจึงไม่ได้เรื่องไม่ได้ความ
เห็นทีเขาคงต้องหาสาวใช้คนใหม่มาเพิ่มให้นางเสียแล้ว
เมื่อคิดได้เช่นนั้น เขาจึงเอ่ยกับหลี่เยี่ยนเฉินอย่างซาบซึ้งใจ
“ข้าไม่โกธรเจ้าหรอก ข้าต้องขอบใจเจ้ามากนะอาเยี่ยน เมี่ยวเอ๋อร์ยามนี้นิสัยดีขึ้นมาบ้างแล้ว แต่ข้าก็ยังกังวลว่าหากยังมีสาวใช้เช่นนั้นคอยรับใช้ข้างกายคงจะไม่ดีเท่าใดนัก”
“อืม”
ด้านฟางเมี่ยวนั้นเมื่อกลับมาถึงเรือน ก็พบกับแม่นมหลิ่วที่กำลังรอนางอยู่ที่หน้าเรือนด้วยความร้อนใจ
"คุณหนู ท่านกลับมาแล้วหรือเจ้าคะ?"
"แม่นมหลิ่ว มีอันใดหรือ?"
"คุณหนู เกิดเรื่องที่ร้านเครื่องประทินโฉมแล้วเจ้าค่ะ"
"เกิดเรื่องใดหรือ?"
"คุณหนูไปดูเองจะดีกว่าเจ้าค่ะ"
ฟางเมี่ยวที่ได้ยินเช่นนั้นก็รีบเร่งไปที่ร้านเครื่องประทินโฉมในทันที ระหว่างทางนางพบกับฟางเจี๋ยและหลี่เยี่ยนเฉินที่กำลังเดินออกมาจากจวนพอดี ฟางเจี๋ยที่เห็นว่าน้องสาวตนมีท่าทีรีบร้อนจึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย"เมี่ยวเอ๋อร์ จะรีบไปที่ใดกัน เจ้าเพิ่งกลับมาจากงานเลี้ยงมิใช่หรือ?""พี่ใหญ่ แม่นมหลิ่วบอกว่าที่ร้านเครื่องประทินโฉมเกิดเรื่อง ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเรื่องใด จึงจะรีบไปดูเสียหน่อย""เกิดเรื่องหรือ เช่นนั้นให้พี่ไปด้วยดีกว่า อาเยี่ยน ข้าคงไม่ได้ไปส่งเจ้าที่จวนแล้ว ข้าขอตัวไปจัดการธุระกับเมี่ยวเอ๋อร์ก่อน""อืม เจ้ารีบไปเถิด"ยามนี้ฟางเมี่ยวไม่มีเวลามาใส่ใจหลี่เยี่ยนเฉินเท่าใดนัก นางจึงเร่งรีบเดินทางไปที่ร้านเครื่องประทินโฉมพร้อมกับฟางเจี๋ยในทันทีเมื่อรถม้าจอดลงที่ด้านหน้าร้าน ฟางเมี่ยวก็รีบก้าวลงมาอย่างรีบร้อน ภาพที่เห็นก็คือ ยามนี้ด้านหน้าร้านของนางมีคนมามุงเต็มไปหมด ผู้ดูแลหลัวก็มีท่าทีกระวนกระวายเป็นอย่างมาก เมื่อเหลือบมาเห็นฟางเมี่ยว นางก็มีท่าทีดีใจราวกับพระโพธิสัตว์มาโปรดอย่างไรอย่างนั้น"คุณหนู"เสียงเรียกของผู้ดูแลหลัว ทำให้ผู้คนที่มุงดูหันมามองฟางเมี่ยวเป็นตาเดียว"เจ้าเองหรือคือเ
"แผนการล้มเหลวขอรับนายท่าน""เก็บกวาดให้เรียบร้อย อย่าให้สาวมาถึงตัวข้า แม้จะเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย แต่ย่อมปล่อยผ่านไปไม่ได้ ไว้ค่อยส่งคนไปสั่งสอนนางใหม่อีกครา""ขอรับนายท่าน"บุรุษชุดดำพยักหน้า ก่อนจะเดินออกจากห้องลับไป เมื่อออกมาจากห้องลับเขาก็หาที่ลับตาคนเปลี่ยนอาภรณ์ของตนออก เป็นชาวเมืองต้าอู๋ทั่วๆ ไป ใช้ชีวิตปะปนแฝงอยู่กับผู้คน ยามนี้ต้องนำเงินมอบให้สองแม่ลูกนั้นตามคำสั่งของนายท่าน และให้พวกนางย้ายไปนอกเมืองเสีย หลีกเลี่ยงที่จะเกิดปัญหามาถึงนายท่านของเขาหลี่เยี่ยนเฉินเพิ่งกลับจากค่ายทหารก็มุ่งหน้าไปที่จวนตระกูลฟางเพื่อพบกับสหายสนิทอีกคนอย่างฟางเจี๋ยในทันที ได้ยินว่าฟางเมี่ยวไปร่วมงานเลี้ยงที่จวนตระกูลจางคงจะไม่อยู่ที่จวน แต่ทว่าเขากลับคาดเดาผิดไปหมด นางกลับมารวดเร็วยิ่งนี่ก็เป็นอีกเรื่องที่อยู่เหนือความคิดของเขา ชาติก่อนฟางเมี่ยวไม่ได้ไปร่วมงานเลี้ยงที่จวนตระกูลจางเลย เพราะนางไม่ชอบใจจางเสวี่ยฮุ่ย แต่ทว่าในชาตินี้นางกลับได้ไปร่วมงานเลี้ยง อีกทั้งยังกลายเป็นสหายของจางเสวี่ยฮุ่ยอีกด้วยเดิมทีเขาก็ไม่ชอบไปงานเลี้ยงตามจวนต่างๆ อยู่แล้วหากไม่จำเป็น ส่วนท่านพ่อนั้นมีงานด่วนต้องสะสาง
ฟางเมี่ยวลุกขึ้นยืนก่อนจะทำความเคารพเขาด้วยใบหน้าที่เรียบเฉยเหมือนเช่นเคย เย่จิ้นหยางที่เห็นเช่นนั้นก็ยิ้ม ก่อนจะเอ่ยทักทายนาง"คุณหนูฟางนี่เอง ข้าก็คิดว่าสตรีที่ใดกันที่อาเยี่ยนพามาที่นี่ด้วย ดีเลยวันนี้เจ้าอยู่พอดี แนะนำอาหารที่อร่อยให้ข้าด้วยเถิด ได้ยินว่าภัตตาคารแห่งนี้เป็นของมารดาเจ้า ที่ตกทอดมาถึงเจ้า อีกทั้งเจ้ายังคิดที่จะขายอาหารในราคาที่จับต้องได้ให้ราษฎรระดับล่างอีกด้วย ช่างมีจิตใจที่ดีงามยิ่งนัก"เย่จิ้นหยางเอ่ยชมฟางเมี่ยวจากใจจริง ฟางเมี่ยวเพียงยิ้มออกมาเล็กน้อยเท่านั้นเหอะ!! ชาติก่อนเขาด่านางราวกับนางไม่ใช่คน นางยังจำได้ดี คืนนั้นที่นางวางยาปลุกกำหนัดเขา และยามรุ่งสางที่เขาตื่นขึ้นมาพบว่าได้กลายเป็นสามีภรรยาที่แท้จริงกับนางไปเสียแล้ว"ฟางเมี่ยว สตรีหน้าไม่อาย แพศยา ต่ำช้า เจ้าวางยาข้าหรือ""ท่านอ๋อง เมี่ยวเอ๋อร์รักพระองค์นะเพคะ""แต่ข้าเกลียดเจ้า เกลียดจนแทบอยากจะอาเจียน ข้าเกลียดเจ้าได้ยินหรือไม่!!! ใครอยู่ข้างนอกเข้ามาลากนางไปขังเอาไว้ที่เรือนเล็กท้ายจวน ห้ามให้อาหารนางจนกว่าข้าจะสั่ง!!!""ท่านอ๋อง!!!"นางถูกเขาสั่งขังในเรือนโกโรโกโส ไม่มีอาหารกิน นางหิวจนปวดแสบท้องไปห
ด้านจางเสวี่ยฮุ่ยในยามนี้นั้น นางกำลังนั่งอ่านตำราอยู่ภายในห้อง ตั้งแต่ได้รับราชโองการให้นางได้แต่งเข้าจวนอ๋อง เหล่าฮูหยินรองและบรรดาอนุของท่านพ่อก็ไม่กล้ามาสร้างความลำบากใจให้นางและท่านแม่อีก เห็นจะมีแต่จางลี่อิงที่แสดงท่าทีไม่พอใจเพียงเท่านั้น แต่ก็ไม่กล้าหาเรื่องนางเท่าแต่ก่อน"คุณหนูเจ้าคะ นายท่านเรียกให้ท่านไปพบที่ห้องตำราเจ้าค่ะ"จางเสวี่ยฮุ่ยละสายตาจากตำราตรงหน้า ก่อนจะพยักหน้าให้หลิงหลิง สาวใช้คนสนิทของนางคราหนึ่ง แล้วจึงมุ่งหน้าไปพบบิดาของตนที่ห้องตำราในทันทีเมื่อมาถึงก็พบว่าท่านพ่อกำลังรอนางอยู่ จางเสวี่ยฮุ่ยทำความเคารพบิดาตนคราหนึ่ง จางหยวนจ้องมองบุตรสาวคนโตด้วยแววตาที่เรียบเฉยก่อนจะเอ่ย"นั่งลงเถิด""เจ้าค่ะ"จางเสวี่ยฮุ่ยยิ้มเล็กน้อย จางหยวนที่เห็นเช่นนั้น จึงเอ่ยกับบุตรสาวตนด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉย"เรื่องที่พ่อสั่งสอนเจ้าเอาไว้ เจ้าจำได้หรือไม่?"จางเสวี่ยฮุ่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็เงยหน้าไปมองบิดาของตนทันที ใบหน้าสวยหวานของนางซีดเผือดขึ้นมา ก่อนจะละล่ำละลักเอ่ย"ท่านพ่อ คือว่า..."เพียะ!!ยังไม่ทันที่นางจะเอ่ยตอบ จางหยวนก็ลุกขึ้นยืนก่อนจะตรงเข้ามาตบนางจนนางเซล้มลงตกจากเก้า
"คุณหนูฟาง วันนี้ข้าแวะมาฟังบทละครที่โรงน้ำชาของเจ้า มิสู้เจ้ามานั่งเป็นเพื่อนข้าดีหรือไม่?""ขออภัยคุณชายมู่หรง ข้าไม่ว่างเจ้าค่ะ ขอตัวก่อน""อย่าเล่นตัวเลยน่า เมื่อไม่กี่เดือนก่อนหน้า เจ้ายังส่งสายตายั่วยวนให้ข้าอยู่เลยนะฟางเมี่ยว""ตอนนั้นข้าตาบอด แต่ตอนนี้ตาข้าสว่างแล้ว"ฟางเมี่ยวกำลังจะเดินจากไป แต่ทว่ามู่หรงฟังกลับยื่นมือมาจับแขนของนางเอาไว้ ฟางเมี่ยวหันไปมองมู่หรงฟังด้วยแววตาที่เย็นเยียบ ก่อนจะเอ่ย"ปล่อยข้านะมู่หรงฟัง""ไม่ปล่อย ฟางเมี่ยวคนงาม พวกเราไปที่โรงพนันกันเถิด ข้าคิดถึงเจ้ายิ่งนัก""มู่หรงฟัง ข้าจะหมดความอดทนกับเจ้าแล้วนะ""ฟางเมี่ยวคนงาม เราไปโรงพนันกันเถิด โอ๊ย!!!"มู่หรงฟังแหกปากร้องด้วยความเจ็บปวด เมื่อถูกฟางเมี่ยวยกขาเตะเข้ามาที่หว่างขาของเขาอย่างเต็มแรง นางยิ้มตาหยี ก่อนจะเอ่ย"อย่ามายุ่งกับข้า!!!"ฟางเมี่ยวปรายตามองมู่หรงฟังคราหนึ่ง ก่อนจะเดินหนีเขาไป นางรำคาญยิ่งนักที่ต้องมาเจอคนเช่นนี้ แต่ทว่ามู่หรงฟังกลับไม่ยอมปล่อยนางไป"ไปกับข้า ฟางเมี่ยวคนงาม เราไปโรงพนันกันเถิด""มู่หรงฟัง!!""ไปเถิด หากวันนี้เจ้าทำเงินได้มากกว่าข้า ข้าจะเลิกยุ่งกับเจ้า ข้าสัญญา"ฟางเมี่
ข่าวที่ฟางเมี่ยวทุบตีมู่หรงฟังแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว นอกจากจะไม่มีคนติฉินนินทาฟางเมี่ยวแล้ว มู่หรงฟังยังถูกผู้คนโจษจันว่าเป็นบุรุษเฮงซวยอีกด้วย ท้ายที่สุดเรื่องนี้ก็จบลงเพียงแค่ทั้งสองฝ่ายยอมความกัน ด้วยเพราะทั้งสองตระกูลต่างก็รู้จักกันมานาน เสนาบดีมู่หรงรู้จักนิสัยบุตรชายของตนดี นอกจากจะไม่เข้าข้างบุตรชายของตนแล้ว ยังส่งของกำนัลมาที่จวนตระกูลฟางเพื่อเป็นการไถ่โทษอีกด้วย ฟางเมี่ยวไม่ได้สนในสิ่งของเหล่านี้มากนัก เพียงเก็บเอาไว้ในห้องเก็บของเพียงเท่านั้นอีกไม่กี่วันก็จะถึงงานมงคลระหว่างเย่จิ้นหยางและจางเสวี่ยฮุ่ยแล้ว ฟางเมี่ยวได้รับเทียบเชิญให้ไปงานแต่งที่จวนอ๋องเช่นเดียวกัน นางสั่งให้คนเตรียมของขวัญเอาไว้ นางจะนำไปมอบให้จางเสวี่ยฮุ่ยในงานแต่งงานหลี่เยี่ยนเฉินในยามนี้นั้นเขากำลังกลับจากค่ายทหารและกำลังมุ่งหน้ามาที่จวนของตน ระหว่างทางเขาครุ่นคิดถึงบุรุษผู้นั้นที่เขาเห็นว่าเป็นนักฆ่าในชาติก่อน เขาส่งคนไปสืบอย่างลับๆ แต่ทว่ากลับไร้วี่แววอย่างไม่น่าเชื่อ แต่เขาก็ยังไม่ยอมละความพยายาม ยังคงให้คนสืบค้นต่อไปเมื่อกลับมาถึงจวนเขาก็พบว่ามีรถม้าจอดอยู่ที่ด้านหน้าจวน เขามองเพียงครู่เดียวก็ร
นางเดินมาได้ครู่หนึ่ง ก็พบกับหลี่เยี่ยนเฉินที่กำลังยืนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ เขาหันมามองเมื่อเห็นว่าเป็นนางดวงตาคมก็ฉายแวววูบไหวครู่หนึ่ง ก่อนจะปรับสีหน้าให้เป็นปกติฟางเมี่ยวยิ้มตาหยี ก่อนจะเดินเข้าไปหาหลี่เยี่ยนเฉิน พลางมองสำรวจเขาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า จนคนถูกมองรู้สึกปะหม่า"ฟางเมี่ยว เจ้าจะมองข้าอีกนานหรือไม่?""ก็เจ้าหล่อนี่ ข้าจึงชอบมอง ไม่ได้หรือ?"หลี่เยี่ยนเฉินหมดคำจะกล่าวแล้ว เขาเถียงนางไปก็เท่านั้น เขาจึงเปลี่ยนมาลอบสังเกตท่าทีของนาง ก็พบว่าในแววตาของนางไม่ได้มีแววเสียใจหรือเศร้าโศกเลยแม้แต่น้อย แม้แต่ความริษยาก็ไม่มีให้เห็นหลี่เยี่ยนเฉินขมวดคิ้วมุ่น เขารู้สึกดีใจอย่างแปลกประหลาดที่เห็นว่าฟางเมี่ยวไม่รู้สึกอันใดกับการแต่งงานของเย่จิ้นหยางและจางเสวี่ยฮุ่ย ไม่ทันรู้ตัวก็พบว่ายามนี้ฟางเมี่ยวยื่นหน้าเข้ามาใกล้เขาเสียแล้ว เขาลนลานคิดจะหนีกลับพบว่าแผ่นหลังของตนยามนี้ชนเข้ากับต้นไม้ใหญ่ไร้หนทางหลีกหนีจากนางเสียแล้วฟางเมี่ยวเอียงคอมองหลี่เยี่ยนเฉิน ก่อนจะเอ่ย"อยากแต่งงานหรือไม่?""ฮะ?"หลี่เยี่ยนเฉินมีท่าทีตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก ยามที่เข้าใกล้ฟางเมี่ยวเขาคล้ายกับสูญเสียการควบคุมอย่
ใช้เวลาเดินทางราวสามชั่วยามขบวนล่าสัตว์ก็เดินทางมาถึงยังที่หมาย ซึ่งเป็นเขาที่ใช้ล่าสัตว์ในทุกๆ ปี เขาแห่งนี้ค่อนข้างอุดมสมบูรณ์และเขียวชอุ่ม เนื่องจากมีฝนตกและอากาศเย็นตลอดทั้งปี บนใบไม้ยังคงมีหยดน้ำค้างเกาะอยู่ให้ได้เห็นประปรายฟางเมี่ยวสั่งให้ลู่ชิงนำสัมภาระและข้าวของมาเก็บที่กระโจมที่พักของตน เมื่อมาถึงนางจึงได้รู้ว่านางพักอยู่ใกล้ๆ กับหลิวจือ ส่วนกระโจมถัดไปเป็นกระโจมของจางลี่อิง น้องสาวของจางเสวี่ยฮุ่ย ด้านจางเสวี่ยฮุ่ยนั้น นางแต่งงานแล้ว อีกทั้งยังเป็นคนของเชื้อพระวงศ์ จึงได้พักที่กระโจมใกล้ๆ กับเชื้อพระวงศ์ซึ่งนับว่าเป็นเครือญาติกันหลิวจือนั้นเบ้ปากให้ฟางเมี่ยวแต่ไม่กล้าทำสิ่งใด ส่วนจางลี่อิงนั้นก็ปรายตามองฟางเมี่ยวด้วยความไม่ชอบใจเช่นเดียวกัน การมาล่าสัตว์ในครานี้ มีคุณหนูในห้องหอไม่น้อยที่ได้มีโอกาสออกมาเปิดหูเปิดตา แต่ทว่านางกลับไม่พบกับสวีเซียวเหยา หรือว่านางจะไม่ได้ร่วมเดินทางมาในครั้งนี้ด้วยฮ่องเต้เย่หมิงหล่างเป็นฮ่องเต้ที่ค่อนข้างมีเมตตา อีกทั้งยังสนับสนุนให้สตรีในแคว้นต้าอู๋ขี่ม้าจับดาบได้อย่างเสรีอีกด้วย นับว่าเป็นฮ่องเต้ที่เห็นแก่ความเท่าเทียมของบุรุษและสตรีอย่างหา
หลายเดือนต่อมา เจียงซูซูมาส่งใบลาให้เสิ่นจื่อหลาง บอกเพียงว่านางต้องติดตามท่านพ่อท่านแม่ไปจัดการธุระที่บ้านเดิมซึ่งอยู่นอกเมืองหลวงเสิ่นจื่อหลางให้นางลาสามวัน และบอกให้นางรีบกลับระหว่างทางที่มุ่งหน้ากลับบ้านเดิมนั้นไม่มีปัญหา จนกระทั่งยามที่นางและครอบครัวกำลังจะเดินทางกลับ กลับมีโจรบุกเข้ามาปล้นชิงครอบครัวของนาง พวกมันจับตัวพวกนางเอาไว้ เจียงซูซูหวาดกลัวไม่น้อย แต่ก็พยายามคิดในแง่ดีเอาไว้นางไม่รู้ว่าพวกมันจับตัวนางมาไว้ที่ใด ได้ยินเพียงพวกมันบอกว่าจะสังหารท่านพ่อท่านแม่ของนางและส่งนางไปขายที่หอนางโลมเจียงซูซูพลันนึกถึงเสิ่นจื่อหลางขึ้นมา จู่ๆ ขอบตาของนางก็ร้อนผ่าว เมื่อนึกขึ้นมาได้ว่านางกับเขาชาตินี้อาจะไม่ได้เจอนางอีก นางสัญญากับเขาเอาไว้แล้วว่าจะกลับไปอยู่เคียงข้างเขาเขาเป็นถึงฮ่องเต้ผู้สูงส่งแต่นางเป็นเพียงขุนนางหญิงต่ำต้อย กลับอาจหาญที่จะไปหลงรักเขาภายใต้ใบหน้าที่แสนเย็นชาของเขามันซ่อนความอบอุ่นเอาไว้ เขาไม่เคยตำหนินาง ไม่เคยลงโทษนาง อีกทั้งยังไม่ถือตัวกับนาง นางชอบทุกอย่างที่เป็นเขา รักทุกอย่างของเขาจู่ๆ เจียงซูซูที่เข้มแข็ง น้อยครั้งนักที่นางจะร้องไห้ แต่ทว่ายามนี้นางกลับ
วันเวลาเช่นนี้ผ่านไปวันแล้ววันเล่าเดือนแล้วเดือนเล่าจนล่วงมาเป็นปี เขาไม่ทันรู้ตัวว่าเปิดรับนางเข้ามาในใจตั้งแต่ยามใด รู้ตัวอีกคราสายตาของเขาก็เอาแต่มองหานางเสียแล้ว“ถวายพระพรฝ่าบาทเพคะ”เสิ่นจื่อหลางที่กำลังนั่งอ่านตำราพลันเงยหน้าขึ้นไปมองโจวกุ้ยเฟยที่กำลังเดินเข้ามาโจวกุ้ยเฟย นามเดิม โจวเย่หลัน นางเป็นหลานสาวของนายท่านโจว เป็นทายาทที่เกิดจากบุตรชายเพียงคนเดียวของโจวชิงเหยา บุตรชายของนายท่านโจวเขารับนางเข้ามาเป็นสนมได้ร่วมสองปีแล้ว นิสัยของนางค่อนข้างอ่อนหวาน เอาอกเอาใจ และมีเมตตาแต่ทว่าเขารู้ดีว่านี่คือเปลือกนอกที่นางแสดงให้เขาดูเพียงเท่านั้นสตรีวังหลังมีผู้ใดบ้างไม่ฝักใฝ่ในอำนาจ หากไม่สนอำนาจเช่นนั้นจะเข้าวังหลวงมาทำไมกัน ไปบวชชีคงเหมาะเสียกว่า!!“โจวกุ้ยเฟย เจ้ามาหาข้ามีเรื่องใดหรือ?”โจวกุ้ยเฟยฉีกยิ้มอ่อนหวาน ก่อนจะเอ่ย“ทูลฝ่าบาท วันนี้หม่อมฉันคิดค้นสูตรอาหารขึ้นมาใหม่ จึงอยากมาชวนพระองค์ไปลองชิมที่ตำหนักเพคะ”“อืม ไว้มีเวลาข้าจะไป”“ฝ่าบาทเพคะ”เสิ่นจื่อหลางที่ได้ยินว่าโจวกุ้ยเฟยเอาแต่เรียกเขา ก็เงยหน้าไปมองนางด้วยแววตาที่เย็นชาจนนางลนลานหวาดกลัวไม่น้อย“เอ่อ หม่อมฉันขอทูล
วังหลวงท้องพระโรงยามนี้เจียงซูซูอยากจะมุดแผ่นดินหนีหรือไม่ก็แทรกตัวเข้าไปหลบในเสาต้นใดต้นหนึ่งยิ่งนักบุรุษที่นางยืนด่าฉอดๆ เมื่อไม่นานมานี้ แท้จริงเขาคือฮ่องเต้ของต้าอู๋พระนามเสิ่นจื่อหลางเจียงซูซูเบะปากทำท่าคล้ายคนจะร้องไห้ เห็นทีตำแหน่งขุนนางหญิงที่นางใฝ่ฝันคงจะจบเห่แล้ว!!!เสิ่นจื่อหลางปรายตามองเจียงซูซูคราหนึ่ง ก่อนจะหันไปมองสตรีอีกสองนางที่สอบได้ลำดับรองลงไป สตรีที่ได้อันดับสองมาจากจวนตระกูลหาน ได้ยินว่านางเก่งกาจด้านการใช้อาวุธ เขาจึงมอบตำแหน่งองค์รักษ์หญิงให้แก่นาง ส่วนสตรีอีกนางมาจากจวนตระกูลสวี ได้ยินว่านางรอบรู้ อีกทั้งยังช่างสังเกต เขาจึงให้นางไปเรียนรู้การทำงานที่ศาลต้าหลี่ ดูว่านางมีความสามารถเหมาะกับตำแหน่งใดในศาลต้าหลี่แล้วค่อยมอบตำแหน่งนั้นให้นางส่วนผู้ที่สอบได้อันดับหนึ่ง เขาตั้งใจที่จะให้นางทำงานอยู่ข้างกายเขา เขาไปที่ใดนางต้องไปตามคอยเป็นหูเป็นตาแทนเขา สามารถเป็นตัวแทนเขาในการทำงานต่างๆ ได้ สตรีมักจะทำงานรอบคอบและละเอียดมากกว่าบุรุษสตรีน้อยสองนางออกไปแล้ว ยามนี้เหลือเพียงเจียงซูซู เสิ่นจื่อหลางโบกมือให้คนอื่นๆ ออกไป ก่อนจะเดินตรงเข้ามาหานาง เจียงซูซูที่เห็นเช
(เรื่องราวเกิดขึ้นหลังขึ้นครองราชย์6ปี)“ฝ่าบาท จะออกไปจริงๆ หรือพ่ะย่ะค่ะ”ขันทีคนสนิทเอ่ยถามเสิ่นจื่อหลางอย่างร้อนรน ได้ยินว่าวันนี้ฝ่าบาทจะออกไปชิมอาหารที่ภัตตาคารโหยวเย่ว์อีกแล้ว“ไม่ต้องตามข้า ข้าเพียงไปพบสหายเท่านั้น”เขาเอ่ยเพียงเท่านั้นก่อนจะปลอมตัวเป็นองค์รักษ์เสื้อแพรออกไปที่นอกวังหลวงยามนี้อาอวี้รั้งตำแหน่งผู้บัญชาการองค์รักษ์เสื้อแพร อีกทั้งยังตงฉิน ทำงานอุทิศตนเพื่อบ้านเมือง มันทำให้เขามองเห็นตนเองเมื่อสมัยก่อนปีนี้เขามีอายุยี่สิบเจ็ดปีแล้ว ครองราชย์มาก็หลายปี แต่ทว่ายังคงไม่มีทายาทสืบทอดวันนี้เขามีนัดกับฟางเมี่ยวที่ภัตตาคารโหยวเย่ว์ นางบอกมีสูตรอาหารแปลกใหม่อยากให้เขาได้ลิ้มลองเมื่อมาถึงเขาก็พบกับหลี่เยี่ยนเฉิน น่าแปลกที่ยามนี้เขากับหลี่เยี่ยนเฉินกลายเป้นสหายสนิทกันไปเสียแล้ว“อาจื่อ เจ้าว่างมากหรือ จึงนัดพวกข้ามาพบ”“แน่นอนสิ ข้าไม่มีสิ่งใดทำ”“เหอะ”“เหอะอันใด รีบสั่งอาหารมาสิ แล้วนี่เมี่ยวเมี่ยวเล่า นางไปที่ใด?”“มาถึงก็เรียกหาภรรยาผู้อื่นเช่นนี้ใช้ได้หรือ กลับไปหาสนมเจ้าสิ!!!”“เจ้าหึงหวงหรือ ช่วยไม่ได้ เมี่ยวเมี่ยวสนิทกับข้านี่เจ้าก็รู้”“อย่าคิดว่าข้าไม่กล้าทุบ
เขาจำได้ดีว่าในปีนั้นเป็นช่วงฤดูร้อน ฮ่องเต้เย่หมิงหล่างมีรับสั่งให้เหล่าขุนนางตามออกไปล่าสัตว์อีกครา หลังจากที่เกิดเหตุการณ์น่ากลัวที่เหล่านักฆ่าลอบสังหาร ก็มีการเพิ่มกำลังการคุ้มกันแน่นหนาขึ้น“วันนี้พี่เยี่ยนช่างรูปงามยิ่งนัก”หลี่เยี่ยนเฉินปรายตามองฟางเมี่ยวคราหนึ่ง ก่อนจะเบือนหน้าหนี นางตามมาเกี้ยวพาเขาอีกแล้วฟางเมี่ยวจ้องมองหลี่เยี่ยนเฉินด้วยท่าทีหยอกเย้า ไม่ได้ใส่ใจท่าทีที่เอือมระอาของเขาเลยแม้แต่น้อย“พี่เยี่ยน”“หยุดเรียกข้าสักที”เขารีบควบม้าหนีนางไปทันที ฟางเมี่ยวไม่ยอมลดละรีบควบม้าตามเขาไปอย่างรวดเร็วแต่ทว่าม้าของนางกลับพยศ มันวิ่งเข้าป่าไม่หยุดจนเกือบจะชนเข้ากับต้นไม้ใหญ่ หลี่เยี่ยนเฉินตื่นตระหนกยิ่ง รีบกระโดดเข้ามาคว้าตัวนางลงจากหลังม้า ก่อนที่คนทั้งสองจะกลิ้งตกลงเขาไปด้วยกันฮ่องเต้เย่หมิงหล่างสั่งให้คนออกตามหาพวกเขาทั้งสองคนแต่กลับไม่พบฟางเมี่ยวขยับกายเล็กน้อย นางรู้สึกปวดไปทั้งตัว แต่ว่าเมื่อได้มองเห็นหลี่เยี่ยนเฉินที่นอนสลบอยู่ ก็ตกใจไม่น้อย บนหน้าผากของเขามีเลือดไหลซึมออกมา คาดว่าอาจจะถูกกิ่งไม้แหลมขูดหน้าผาก ฟางเมี่ยวรีบใช้ผ้าสะอาดที่นางนำติดมาด้วยซับเลือดให้เขา
รัชศกจื่อหลางปีที่ 1ยามนี้เสิ่นจื่อหลางขึ้นเป็นฮ่องเต้ได้หนึ่งปีแล้ว นับแต่ที่เขาขึ้นครองราชย์นั้นนับว่าเป็นช่วงที่รุ่งเรืองไม่น้อย แคว้นต่างๆ ยอมศิโรราบ แคว้นใดคิดเป็นกบฏจะถูกสังหารอย่างไม่ละเว้น ผู้ทำผิดถูกลงโทษไม่เว้นว่าจะเกิดในตระกูลใด เด็กๆ ที่ยากจนได้มีสถานที่เรียน ซึ่งทางราชสำนักเป็นคนต่อตั้งขึ้นสำหรับครอบครัวที่ยากจนสามปีต่อมาอาอวี้ที่มีอายุจะครบสิบห้าปีแล้วสามารถสอบเป็นจอหงวนได้สำเร็จ หลังจากนั้นอีกหลายปี เพราะความสามารถของเขาที่เก่งกาจทั้งบุ๋นและบู๊ จึงได้รับตำแหน่งผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพร ทำงานรับใช้ฝ่าบาทอย่างใกล้ชิดฟางเจี๋ยพี่ชายของนางได้รับตำแหน่งเสนาบดีกรมกลาโหม ส่วนท่านพ่อนั้นก็ออกมาพักผ่อนและเลี้ยงลูกๆ ของฟางเจี๋ยและหลิวจืออยู่ที่จวนส่วนหลี่เยี่ยนเฉินนั้นยามนี้สงครามสงบ ไม่มีสิ่งใดให้ต้องทำ เขาจึงติดตามภรรยาไปค้าขายต่างแคว้นอย่างมีความสุข ทั้งคู่ยังไม่มีบุตรจนหลี่ฮูหยินร้อนใจ สั่งให้ฟางเมี่ยวห้ามออกจากจวนไปทำงาน อยู่ทำลูกกับหลี่เยี่ยนเฉินทุกวันยามที่มีเวลาว่าง ฟางเมี่ยวมักจะไปที่หลุมศพของจางเสวี่ยฮุ่ย บอกเรื่องราวความเป็นไปในแต่ละช่วงเวลาให้นางฟังฟางเมี่ยวเชื
ฟางเมี่ยวเมื่อกลับมาถึงจวนก็พบกับหลี่เยี่ยนเฉินที่กำลังยืนรดน้ำดอกกุหลาบอยู่ ฟางเมี่ยวที่เห็นเช่นนั้นจึงเอ่ยถามเขาทันที“ท่านพี่ เหตุใดจึงทำเอง บ่าวไพร่ไปที่ใดหมดเจ้าคะ?”หลี่เยี่ยนเฉินที่ได้ยินเช่นนั้นก็หันมาส่งยิ้มให้ฟางเมี่ยว ก่อนจะเช็ดมือให้สะอาดแล้วเดินเข้ามาหาฟางเมี่ยว แล้วใช้ผ้าเช็ดหน้าซับเหงื่อให้นางอย่างใส่ใจ“ดอกไม้เหล่านี้เมี่ยวเอ๋อร์ของข้าชอบมากที่สุด ข้าย่อมต้องดูแลเองไม่อาจวางใจให้ผู้อื่นดูแลได้ ไหนมาให้ข้าซับเหงื่อให้ เจ้าเหนื่อยหรือไม่?”“ไม่เหนื่อยเจ้าค่ะ ท่านพี่ข้าพบสวีเซียวเหยา นางสารภาพมาเองว่าเคยส่งคนมาฉุดข้า”ฟางเมี่ยวคล้ายจะลืมตัวว่าตนเอ่ยสิ่งใดออกไป นางไม่คิดจะบอกเรื่องนี้กับหลี่เยี่ยนเฉินเพราะเกรงว่าเขาจะเป็นห่วงและคิดมาก อีกอย่างนางก็ปลอดภัยดีจึงไม่เห็นเป็นเรื่องสำคัญอันใด หลี่เยี่ยนเฉินที่ได้ยินเช่นนั้นก็เอ่ยถามทันที“นี่เจ้าถูกนางส่งคนมาฉุดเช่นนั้นหรือ?”“เอ่อ...”“ตอบมา!!!”“ท่านพี่ เรื่องมันนานมากแล้วเจ้าค่ะ ข้าเองไม่อยากให้ท่านกังวล นับว่าโชคยังดีที่ข้าปลอดภัย สหายเสิ่นไปช่วยข้าเอาไว้ได้ทันเวลา”สหายเสิ่นอีกแล้ว?หลี่เยี่ยนเฉินหรี่ตามองฟางเมี่ยว ก่อนจะมี
รัชศกจิ้นหยางปีที่ 1เย่จิ้นหยางขึ้นครองราชย์เป็นฮ่องเต้พระองค์ใหม่ของแคว้นต้าอู๋ นับตั้งแต่เขาได้สติกลับคืนมาก็ตั้งใจทำเพื่อบ้านเมืองอย่างสุดกำลัง เขากวาดล้างเหล่าขุนนางโลภออกไปจากราชสำนักได้ไม่น้อย อีกทั้งยังลดภาษีให้กับราษฎรอีกด้วย ไม่กี่ปีต่อมาแคว้นต้าอู๋ก็กลับมางดงามและยิ่งใหญ่เช่นเดิมเขานึกถึงคำเตือนของเสิ่นจื่อหลางได้ไม่ลืม อีกทั้งยังชื่นชมเสิ่นจื่อหลางอีกด้วย เขาไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดเสด็จลุงจึงไว้วางใจเสิ่นจื่อหลางถึงเพียงนี้นับตั้งแต่เริ่มแผนการที่ท่านลุงวางไว้ แผนการนั้นจะไม่สำเร็จและแยบยลเลย หากไม่มีขุนนางที่ตงฉินและไว้ใจได้ และยอมทำงานถวายชีวิตเช่นเสิ่นจื่อหลางที่ผ่านมาเสด็จลุงส่งเสิ่นจื่อหลางมาคอยจับตาดูเขาและขุนนางทุกคน สุดท้ายเสด็จลุงไว้วางใจที่จะมอบแผ่นดินนี้ให้กับเขา เขาเองก็จะไม่ทำให้ความไว้วางใจนั้นของเสด็จลุงต้องสูญเปล่ายามนี้ต้าอู๋นับว่าคึกคักไม่น้อยเลย ฟางเมี่ยวกลับมาเปิดกิจการใหม่อีกครา อีกทั้งรายได้ครึ่งหนึ่งของการค้าขาย นางก็จะบริจาคเข้าคลังหลวงเพื่อช่วยราชสำนักทุกเดือน ระยะหลังมานี้กิจการของนางได้ส่งออกไปขายต่างแคว้น นับว่าได้กำไรงามไม่น้อยตั้งแต่แคว้นเห
ฟางเมี่ยวเดินออกจากจวนอ๋องมาพร้อมกับหลิวจือ ยามนี้เย่จิ้นหยางเสียใจอย่างหนัก ไม่ยอมให้ผู้ใดเข้าใกล้ร่างของจางเสวี่ยฮุ่ย เขาเอาแต่กอดร่างไร้ลมหายใจของนางเอาไว้เช่นนั้นไม่ยอมปล่อย ปากก็พร่ำเพ้อว่ายามนี้นางกำลังนอนพักผ่อน ห้ามผู้ใดรบกวนนางฟางเมี่ยวทนมองภาพที่น่าสลดใจเช่นนี้ไม่ไหว นางจึงรีบขอตัวกลับจวนตนทันทีหลิวจือนั้นขอตัวกลับจวนของตนเช่นเดียวกัน เนื่องจากมีเรื่องที่ต้องจัดการ ส่วนฟางเมี่ยวนั้นยามนี้ก็กำลังนั่งรถม้ามุ่งหน้ากลับจวนตระกูลหลี่เช่นเดียวกันเมื่อกลับมาถึงจวน นางก็พบกับหลี่เยี่ยนเฉินที่กำลังนั่งรอนางอยู่ในเรือน เขาได้ยินข่าวที่จางเสวี่ยฮุ่ยจากแล้ว ในใจก็นึกเวทนาไม่น้อย ข่าวการตายของจางเสวี่ยฮุ่ยแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานนักข่าวนี้ก็แพร่สะพัดไปถึงในวังหลวงเมื่อเห็นว่าฟางเมี่ยวกลับมาแล้ว เขาจึงลุกขึ้นเดินเข้าไปหานางทันที ก่อนจะพบว่ายามนี้ใบหน้าของฟางเมี่ยวเปรอะเปื้อนไปด้วยหยดน้ำตา เมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าคือหลี่เยี่ยนเฉิน ฟางเมี่ยวก็โผเข้ากอดเขาทันที ก่อนจะปล่อยโฮออกมาอีกครา“ฮืออ หลี่เยี่ยนเฉิน จางเสวี่ยฮุ่ยตายแล้ว ข้าช่วยนางไม่ได้ ฮือ ข้าช่วยนางไม่ได้ ข้าไม่อยากให้นางตาย