บทที่ 13 ปรับปรุงกิจการ
ฟางเมี่ยวที่รีบเดินหนีมาจากศาลาเมื่อมาถึงที่ลับตาคน นางจึงรีบให้ลู่ชิงนำชาที่ตนนำติดมาด้วยเทใส่ถ้วย ก่อนจะกระดกหมดถ้วยในคราเดียว
ขนมเกือบติดคอตายแล้วไหมล่ะ!! เย่จิ้นหยางนี่มีดวงพิฆาตกับข้าจริงๆ!!
"คุณหนู เหตุใดท่านจึงไม่แบ่งขนมให้ท่านอ๋องลองชิมเล่าเจ้าคะ บ่าวว่าท่านอ๋องรูปงามสูงศักดิ์ เหมาะสมกับคุณหนูมากกว่าคุณชายหลี่..."
"หุบปาก!! ก่อนที่ข้าจะยกกาชาฟาดหน้าเจ้า"
"คุณหนู!!"
เมื่อไม่มีสิ่งใดให้ต้องทำต่อแล้ว ฟางเมี่ยวจึงไปแจ้งบิดาของตนว่านางจะกลับจวนแล้ว ก่อนจะรีบขึ้นรถม้ามุ่งหน้าออกจากค่ายทหารในทันที
แต่ก่อนยามที่นางติดตามท่านพ่อมาที่นี่เป็นเพราะถูกบังคับ ท่านพ่ออยากให้นางได้มาพบกับหลี่เยี่ยนเฉิน นางจึงจำได้ว่าเขามักจะชอบอยู่ที่ลานขี่ม้า ด้านท่านพ่อเอง เมื่อมาตรวจตราทุกอย่างและจัดการเอกสารเสร็จเรียบร้อยก็จะรีบเข้าวังหลวงทันที
ฟางเมี่ยวครุ่นคิดบางอย่างขึ้นมาได้ นางจึงหันไปเอ่ยกับคนขับรถม้าทันที
"ไปที่ภัตตาคารโหยวเย่ว์"
"ขอรับคุณหนู"
ภัตตาคารโหยวเย่ว์
ฟางเมี่ยวเดินลงมาจากรถม้า ก่อนจะมองป้ายหน้าร้านด้วยแววตาที่เรียบเฉยคราหนึ่ง แล้วจึงเดินเข้าไปด้านใน
ที่นี่คือภัตตาคารโหยวเย่ว์ ภัตตาคารที่เป็นกิจการอีกที่หนึ่งของท่านแม่ ซึ่งท่านตาเป็นคนสร้างมันขึ้นมา ยามนี้คนดูแลเปลี่ยนเป็นคนเก่าแก่ที่แม่นมหลิ่วพากลับมา นางเพียงสั่งการลงไปแต่ไม่ได้มาดูเสียที ความทรงจำของที่นี่สำหรับนางแล้วช่างเลือนรางไม่น้อย
นางจำได้ว่าเพราะอยากเอาใจเย่จิ้นหยาง นางจึงมาบังคับให้พ่อครัวที่นี่สอนการทำอาหารให้นาง ไม่มีผู้ใดรู้ว่าพรสวรรค์ที่นางมีในตัวนั่นคือการกินและการปรุงอาหาร
"คุณหนู ท่านมาได้อย่างไรขอรับ รีบนำชามาต้อนรับคุณหนูเร็วเข้า"
เสียงของชายชราเอ่ยขึ้นมาเมื่อเห็นว่าฟางเมี่ยวก้าวเข้ามาด้านในภัตตาคาร ฟางเมี่ยวหันไปยิ้มให้เขาเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ย
"ลุงเจินไม่ต้องวุ่นวายหรอกเจ้าค่ะ ท่านไปดูแลลูกค้าเถิด ที่ข้ามาวันนี้ก็เพราะอยากจะมาพบพ่อครัวคนใหม่ที่เพิ่งรับมาเท่านั้น"
"อ้อ เชิญคุณหนูขอรับ"
"ช้าก่อน ลุงเจิน ป้ายหน้าร้านช่วยเปลี่ยนใหม่ด้วย ให้ทำแบบงดงามประณีต อันเดิมมันเก่ามากแล้ว ด้านหน้าก็ควรนำดอกไม้ประจำฤดูกาลมาปลูก หน้าร้านให้นำโคมไฟมาแขวนเพิ่มความสวยงาม"
"ขอรับคุณหนู"
"เรื่องตั๋วเงินไปเบิกที่แม่นมหลิ่วได้ ข้าจัดเตรียมไว้ให้แล้ว"
ฟางเมี่ยวเอ่ยเพียงเท่านั้นก่อนจะเดินตรงไปยังห้องครัวทันที
ลุงเจินเป็นคนเก่าคนแก่ที่ติดตามท่านแม่มาจากบ้านของท่านตา ลุงเจินดูแลภัตตาคารโหยวเย่ว์มาตั้งแต่สมัยท่านตายังมีชีวิตอยู่ แต่เพราะอนุซางมารับหน้าที่ดูแลต่อจึงไล่คนของท่านแม่ออกและนำคนของตนเองเข้ามาแทน ลุงเจินจึงถูกย้ายออกไปก่อนหน้านี้
เมื่อมาถึงห้องครัว ก็พบว่ายามนี้พ่อครัวสองคนที่นางเพิ่งรับมากำลังวุ่นวายกับการเตรียมวัตถุดิบ เดิมทีนางได้ให้พ่อครัวทำอาหารและส่งไปที่จวนให้นางลองชิมแล้ว นับว่ารสชาติดีเยี่ยมเลย
ลู่ชิงที่เดินตามมาด้วย เมื่อเห็นว่าพ่อครัวและคนครัวมองฟางเมี่ยวตาไม่กะพริบ จึงเอ่ยขึ้นมาทันที
"นี่คือคุณหนูเจ้านายของพวกเจ้า ทำความเคารพสิ!!!"
ฟางเมี่ยวหันไปถลึงตามองลู่ชิงคราหนึ่ง ก่อนจะหันไปเอ่ย
"ไม่ต้องหรอก พวกเจ้าทำงานไปเถิด ข้าเพียงอยากมาดูเท่านั้น"
พ่อครัวและคนครัวจึงพยักหน้าเล็กน้อย ฟางเมี่ยวจึงพยักหน้าให้ลู่ชิงนำสมุดบันทึกไปส่งให้พ่อครัวที่ยืนอยู่
"นี่คือสิ่งใดหรือขอรับคุณหนู?"
"ตำราอาหาร เปิดดูสิ ข้าอยากให้พวกเจ้าเพิ่มอาหารเหล่านี้ลงไปในรายการอาหารของเรา"
"ขอรับ"
พ่อครัวเปิดบันทึกอาหารเหล่านั้นขึ้นมาดูทันที
เคาหยก
นำผักกาดดองมาหั่นเป็นชิ้นบางๆ แล้วนำหมูสามชั้นไปต้มจนสุก จากนั้นนำมีดจิ้มลงไปบนเนื้อให้ทั่ว ก่อนจะนำไปอบ เป็นเวลาครึ่งชั่วยาม เสร็จแล้วก็นำไปทอดในน้ำมันด้วยไฟอ่อนๆ เป็นเวลาสองเค่อ แล้วนำมาพักไว้ค่อยลงไปทอดต่อด้วยไฟแรง จนมีสีเหลืองทองกรอบอร่อย ต่อมาก็นำพวกเครื่องเทศต่างๆ มาผัดให้เกิดกลิ่นหอม หลังจากนั้นนำหมูที่เตรียมไว้ไปวางในกระทะเครื่องเทศ เทน้ำลงไป แล้วทำการตุ๋นต่อเลย จบด้วยการเตรียมน้ำจิ้มเป็นสิ่งสุดท้าย
วุ้นน้ำดอกชบา นำกลีบดอกชบามาบดละเอียด ผสมกับน้ำแตงโม ละลายวุ้นประกอบอาหารให้เข้ากัน เติมน้ำผึ้งสองช้อนชาทิ้งไส้ให้เย็น แล้วแช่ไว้กับก้อนน้ำแข็งหนึ่งวัน มันจะใสเด้งดูน่ากิน
น้ำแกงขาหมู
นำขาหมูไปล้างให้สะอาด หั่นเป็นชิ้น นำน้ำต้มใส่หม้อแล้วเอาขาหมูลงไปต้ม ก่อนจะล้างน้ำอีกครั้งแล้วนำขาหมูที่ล้างเสร็จใส่ลงในหม้อตุ๋น ใส่น้ำต้มไฟแรงจนเดือด ตักฟองออก เติมขิง โป๊ยกั๊ก และถั่วเหลือง แช่น้ำเอาไว้ จากนั้นก็ตุ๋นไฟอ่อนอีกหนึ่งชั่วยามจนเสร็จ
เต้าหู้ผัดพริก
ผัดในกระทะใบใหญ่ เริ่มต้นด้วย ใส่น้ำมัน จากนั้นใส่พริกสับช้อนใหญ่ แล้วจึงใส่เนื้อวัวสับ ผัดให้สุกแห้ง จากนั้นเติมเต้าซี่ จากนั้นจึงใส่เต้าหู้หั่นชิ้น เติมน้ำเล็กน้อย คนให้เข้ากัน สุดท้ายใส่ฮวาเจียวป่น
ผักตุ๋นหม้อใหญ่
ใส่มันฝรั่ง ผักกาดขาว เต้าหู้ เห็ดหอมตากแห้ง ผักดอง เนื้อหมู เนื้อวัวและเครื่องในหมูลงไป เมื่อต้มจนได้ที่ก็ตักใส่ชามอ่างใบใหญ่ได้ถึงสามชาม
พ่อครัวเงยหน้ามามองฟางเมี่ยวคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย
"คุณหนู นี่เป็นอาหารที่ชาวบ้านธรรมดาทั่วไปกินกัน แต่ทว่าภัตตาคารเรามีแต่ผู้สูงศักดิ์มาเท่านั้นนะขอรับ"
ฟางเมี่ยวยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนจะยื่นสมุดรายการค่าอาหารให้พ่อครัวอีกครา
"ข้าจะปรับปรุงภัตตาคารโหยวเย่ว์ใหม่ ไม่ใช่รับเพียงแค่ลูกค้าที่มาจากตระกูลสูงศักดิ์ แต่ทว่าข้าอยากให้ชาวบ้านทั่วไปสามารถจับต้องได้ เราจะแบ่งเมนูอาหารเป็นสองแบบ แบบแรกสำหรับชาวบ้านทั่วไป แบบที่สองคือสำหรับผู้สูงศักดิ์ ราคาอาหารและวัตถุดิบย่อมแตกต่างกัน ข้าจะส่งคนมาคอยตรวจตราเพื่อป้องกันความวุ่นวาย ต้าอู๋ในยามนี้ไม่ได้แบ่งแยกชนชั้นเฉกเช่นแต่ก่อนแล้ว"
"หากให้ชาวบ้านทั่วไปมานั่งกินที่ร้าน ผู้สูงศักดิ์คงจะ..."
"อาหารสำหรับชาวบ้านทั่วไปเราจะเปิดขายแค่ช่วงเช้าเท่านั้น กำหนดเพียงวันละสองชั่วยาม หมดก็คือหมดทันทีไม่มีเพิ่ม วันอื่นสามารถมาซื้อได้ ส่วนผู้สูงศักดิ์ ก็สามารถมานั่งกินที่ภัตตาคารของเราได้เช่นเดิม ข้าไม่อยากให้ผู้คนมองว่าภัตตาคารโหยวเย่ว์รับเพียงผู้สูงศักดิ์ แต่ข้าอยากให้ชาวบ้านธรรมดาจับต้องได้ แม้เงินพวกเขาจะน้อยนิด แต่ก็เป็นเงินมิใช่หรือ พวกเจ้าก็อย่าเลือกปฏิบัตินักเลย พ่อครัวมีสองคน คนหนึ่งอยู่ที่นี่ทำอาหารให้ลูกค้าประจำ อีกคนก็ไปทำหน้าที่ขายอาหารให้ลูกค้าด้านนอก ข้าจะหาคนมาทำร้านขนาดเล็กข้างๆ ภัตตาคารโหยว์เย่ว์ เดิมทีที่ตรงนั้นก็ว่างเปล่า เอามาทำประโยชน์ย่อมดีกว่า"
พ่อครัวสองคนพยักหน้าเล็กน้อย คิดว่าวิธีนี้ก็ไม่เลว ฟางเมี่ยวไม่ได้เอ่ยสิ่งใดอีก นางจึงเดินออกมาที่ห้องครัว ลุงเจินที่เห็นเช่นนั้นจึงรีบยกถ้วยชาให้นางทันที ฟางเมี่ยวรับมาดื่มอีกครา ก่อนจะเอ่ย
"ลุงเจิน นับแต่นี้ภัตตาคารของเราจะมีการขายอาหารให้ทั้งขุนนางและชาวบ้าน รายละเอียดเพิ่มเติมข้าจะให้ป้าหลิ่วแจ้งท่านให้เข้าใจ อีกเดี๋ยวพวกท่านก็ตกลงแบ่งหน้าที่กัน ท่านเป็นผู้ดูแล ต้องจัดการให้ดี"
"คุณหนูโปรดวางใจขอรับ บ่าวจะทำอย่างสุดความสามารถ"
"อืม ข้าจะขึ้นไปดูชั้นสองเสียหน่อย"
ฟางเมี่ยวก้าวเดินขึ้นไปชั้นสอง หลังจากเห็นว่าไม่มีสิ่งใดให้ต้องกังวล จึงหันมาเอ่ยกับลุงเจินอีกครา
"ลุงเจิน ยามนี้ข้ามีความคิดว่าสามารถให้ลูกค้าส่งคนมาสั่งอาหารได้และเราจะไปส่งเพื่อเพิ่มความสะดวกให้พวกเขา แต่ต้องเพิ่มราคาขึ้น ท่านลองไปสอบถามความเห็นจากลูกค้าแล้วลงบันทึกมาให้ข้า ว่าพวกเขาเห็นด้วยมากน้อยเพียงใด"
"ขอรับ"
"อีกเดี๋ยวทำอาหารสักชุดส่งไปให้ที่จวนข้าด้วยล่ะ ข้าอยากกลับไปกินที่จวน"
ฟางเมี่ยวเอ่ยเพียงเท่านั้น ก่อนจะเดินออกมาที่หน้าภัตตาคารเพื่อจะมุ่งหน้าไปที่รถม้า แต่ทว่านางกลับได้พบกับเด็กชายผู้นั้นที่นางแบ่งขนมให้คราก่อน ดูแล้วเขาน่าจะไม่ได้ลำบากเท่าแต่ก่อนแล้ว
เด็กชายกำลังซื้อผัก แต่ทว่ากลับรู้สึกได้ว่าตนถูกจ้องมองจึงหันมา ก่อนจะพบกับฟางเมี่ยว แล้วจึงจำได้ว่านางเคยแบ่งขนมและมอบเงินให้เขาพาท่านแม่ไปหาหมอ เขายิ้มเต็มใบหน้าก่อนจะเดินเข้ามาหาฟางเมี่ยวทันที
“พี่สาว”
ฟางเมี่ยวยิ้มเช่นกัน ก่อนจะเอ่ยถาม
“มารดาเจ้าเป็นเช่นไรบ้าง”
“เพราะได้ความช่วยเหลือจากพี่สาว ท่านแม่ข้ายามนี้หายดีแล้วขอรับ”
“เสื้อผ้าที่เจ้าสวมใส่เข้าท่าดีนี่”
“เอ่อ เพราะเงินที่พี่สาวให้ไปเหลือน่ะขอรับ ข้าเลยเอาไปซื้อมาใส่ ข้าซื้อให้ท่านแม่และน้องสาวด้วยนะขอรับ”
เด็กชายเอ่ยอย่างเขินอาย รู้สึกหวาดเกรงไม่น้อย เขากลัวว่าฟางเมี่ยวจะหาว่าเขาไม่รู้จักเจียมตน แต่สตรีตรงหน้ากลับพยักหน้าให้เขาพร้อมกับยิ้มตาหยี
“ดียิ่งนัก ว่าแต่เจ้ามาทำอันใดที่ตลาดหรือ แล้วนั่นซื้อสิ่งใดตั้งมากมาย”
“เอ่อ ท่านแม่ข้าอยากกินเนื้อหมูขอรับ แต่ว่าเงินไม่พอ ข้าจึงได้เศษเนื้อหมูมาเพียงน้อยนิดกับผักกาดขาวมาขอรับ”
“มากับข้า”
“เอ”
“มาเถิดน่า”
ฟางเมี่ยวยื่นมือไปจับแขนเด็กชายผู้นั้นอย่างไม่รังเกียจ พร้อมกับพาเขาเดินเข้ามาที่ห้องครัว นางหยิบเนื้อหมูชิ้นใหญ่ให้เขาสองชิ้น กระดูกหมูอีกหลายชิ้น รวมทั้งผักสดอีกหลายชนิด เด็กชายจ้องมองด้วยความงงงัน ก่อนจะเอ่ย
“พี่สาว ข้าไม่มีเงินจ่ายหรอกนะขอรับ”
“ใครว่าให้เจ้าจ่ายเงิน ข้าให้เจ้าเลยต่างหาก จำไว้นะครั้งหน้าหากแม่เจ้าอยากกินเนื้ออีก ให้มาหาลุงเจิน เขาจะมอบเนื้อให้เจ้า เจ้าอยากได้เท่าใดก็นำไปเท่านั้น ไม่ต้องเกรงใจข้า”
เด็กชายดวงตาแดงก่ำ เขากำลังจะคุกเข่าให้ฟางเมี่ยวแต่นางกลับรั้งตัวเขาไว้
“พี่สาว เหตุใดท่านจึงดีกับข้าเช่นนี้เล่า”
ฟางเมี่ยวยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนจะเอ่ย
“เจ้าชื่ออะไรนะ พบกันมาตั้งสองครั้งข้ายังไม่รู้จักชื่อเจ้าเลย”
“อาอวี้ขอรับ”
“อาอวี้ เจ้าจำไว้นะ คนเราน่ะไม่อาจมีชีวิตยืนยาวได้ อีกทั้งไม่อาจรู้ได้ว่าเราจะตายเมื่อใด ที่ข้าทำดีกับเจ้าเพราะข้าอยากทำ ไม่มีเหตุผล ข้าทำแล้วสุขใจ ข้าไม่รู้ว่าข้าจะตายเมื่อใด ข้าจึงเร่งทำความดีเอาไว้ เผื่อถึงวันที่ข้าตาย ข้าจะได้ตายอย่างไม่ทรมาน”
อาอวี้จ้องมองฟางเมี่ยว ก่อนจะเอ่ย
“พี่สาวจิตใจดี ท่านไม่มีวันตายอย่างทรมาน ข้าสัญญาว่าข้าจะต้องตอบแทนพี่สาวให้ได้”
“แค่เจ้าใช้ชีวิตให้ดีก็เป็นการตอบแทนข้าแล้ว เจ้ารีบกลับบ้านไปเถิด มารดากับน้องสาวเจ้าคงรออยู่”
“ขอรับ”
ฟางเมี่ยวมองดูอาอวี้ที่เดินจากไปก่อนจะยิ้มออกมา
ความดีมันก็ไม่ได้ทำยากเท่าใด หากนางอยากจะทำ
จวนตระกูลหลี่
ยามนี้หลี่ฮูหยินกำลังจ้องมองยาทาขี้ผึ้งดอกบัวและแชมพูสระผมที่ฟางเมี่ยวส่งมาให้ ก่อนจะเอ่ยถามสาวใช้ของตน
"ได้ยินว่านี่เป็นสินค้าออกใหม่จากร้านเครื่องประทินโฉมของตระกูลฟางหรือ?"
"เจ้าค่ะฮูหยิน ได้ยินคนเล่าลือกันว่าคุณหนูฟางเพิ่มสมุนไพรผสมเข้าไปในสินค้าตัวเดิม จึงมีกลิ่นหอมมากขึ้นเจ้าค่ะ นางสั่งให้คนนำมามอบให้ฮูหยินลองใช้เจ้าค่ะ"
หลี่ฮูหยินขมวดคิ้วมุ่น หลายวันมานี้นางสั่งให้คนติดตามดูฟางเมี่ยว ผลที่ออกมาก็คือนอกจากฟางเมี่ยวจะไม่ได้ไปที่โรงพนันและโรงสุราแล้ว นางยังเข้าออกกิจการตนแทบทุกวัน บางคราก็ติดตามบิดาไปด้วย ส่วนมากนางจะใช้เวลาอยู่ที่จวนเสียส่วนใหญ่
หรือว่าข่าวลือพวกนั้นจะเป็นเรื่องเหลวไหล
นางจ้องมองเครื่องประทินผิวตรงหน้า ก่อนจะพยักหน้าเล็กน้อย
หากฟางเมี่ยวดีเช่นนี้ได้ตลอดไป นางเองก็ไม่คัดค้านเรื่องที่จะรับนางเป็นลูกสะใภ้
บทที่ 14 งานเลี้ยงตระกูลจางระยะนี้ต้าอู๋ค่อนข้างสงบสุขไม่น้อย แม้ว่ากองทัพของเหลียงไท่จะบุกประชิดชายแดน แต่ทว่ากองกำลังของต้าอู๋ก็ยังคงแข็งแกร่งรับมือกับศัตรูได้อย่างไม่เกรงกลัววันนี้ฟางเมี่ยวตื่นนอนสายยิ่งนัก หลังจากล้างหน้าและรับสำรับยามเช้าเสร็จแล้ว นางจึงเดินออกมารับลมที่นอกเรือน ก่อนจะสังเกตเห็นว่าวันนี้ในจวนค่อนข้างวุ่นวายไม่น้อย"ลู่ชิง เหตุใดจวนจึงดูคึกคักยิ่งนักเล่า?""คุณหนู ยามนี้คุณชายใหญ่กลับมาถึงจวนแล้วเจ้าค่ะ"ฟางเมี่ยวที่ได้ยินเช่นนั้นก็พลันนึกเรื่องราวบางอย่างขึ้นมาได้ในชาติก่อน ระยะเวลานี้ฟางเจี๋ยพี่ชายของนางกำลังกลับมาจากสำนักศึกษาบนเขา เขากับนางเป็นพี่น้องร่วมมารดาเดียวกัน ฟางเจี๋ยอายุเท่าๆ กับหลี่เยี่ยนเฉิน เรียกได้ว่าเป็นสหายสนิทกันก็ไม่ผิดนักพี่ชายผู้นี้รักการเรียน อีกทั้งยังมีนิสัยเข้มงวด นางจำได้เขาสอนนางคัดอักษร หากนางเขียนผิดเขาก็จะตีมือนางหนึ่งครั้ง นางเองต่อต้านและเกลียดพี่ชายผู้นี้เป็นอย่างมาก เขาคอยขัดขวางทางรักของนางสารพัด เอาแต่พูดกรอกหูนางว่าสักวันนางจะต้องพบจุดจบที่น่าอนาถหากยังดื้อรั้นที่จะแต่งเข้าจวนอ๋องนางยิ้มออกมาเล็กน้อย พี่ชายนางพูดไม่ผิด
บทที่ 15 ลองตบข้าสิฟางเมี่ยวหันไปมองตามเสียงนั้น ก่อนจะพบกับบุรุษวัยกลางคนผู้หนึ่งที่กำลังก้าวเดินเข้ามา ท่าทีของเขาดูเป็นบัณฑิตผู้มีความรู้ นางจำเขาได้ดี เขาคืออาจารย์จาง บิดาของจางเสวี่ยฮุ่ย นามว่าจางหยวน เขาคือผู้ที่มีความสามารถและเคารพนับถือของเหล่าบัณฑิตในเมืองหลวง ผู้คนต่างเรียกเขาว่าท่านอาจารย์จางจางลี่อิงลดมือลง ก่อนจะหันไปมองบิดาของตนคราหนึ่ง จางหยวนมองบุตรสาวของตนด้วยแววตาที่ตำหนิอย่างไม่ปิดบัง ก่อนจะหันมาจ้องมองฟางเมี่ยวด้วยแววตาที่ล้ำลึก"บุตรสาวของข้าเสียมารยาทแล้ว เจ้าคือบุตรสาวตระกูลใดหรือ?""คารวะท่านอาจารย์จาง ข้ามีนามว่าฟางเมี่ยว บุตรสาวจวนตระกูลฟางเจ้าค่ะ""อ้อ บุตรสาวของท่านเสนาบดีฟางนี่เอง"จางหยวนยิ้มให้ฟางเมี่ยวเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ย"ต้องขออภัยแทนบุตรสาวของข้าด้วย นางไม่รู้ความเท่าใดนัก""ไม่เป็นอันใดเจ้าค่ะ เดิมทีข้าก็ตั้งใจมาร่วมงานเลี้ยงตามคำเชิญของเสวี่ยเสวี่ยอยู่แล้ว ต้องขออภัยท่านอาจารย์จางเช่นกันที่ไม่สำรวมกิริยา""อืม คุณหนูฟางช่างรู้ความไม่น้อยเลย เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน ลี่เอ๋อร์ ตามพ่อมา"จางลี่อิงหันมาถลึงตามองฟางเมี่ยวคราหนึ่งอย่างไม่พอใจเท่าใดนัก ก่อน
ฟางเมี่ยวที่ได้ยินเช่นนั้นก็รีบเร่งไปที่ร้านเครื่องประทินโฉมในทันที ระหว่างทางนางพบกับฟางเจี๋ยและหลี่เยี่ยนเฉินที่กำลังเดินออกมาจากจวนพอดี ฟางเจี๋ยที่เห็นว่าน้องสาวตนมีท่าทีรีบร้อนจึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย"เมี่ยวเอ๋อร์ จะรีบไปที่ใดกัน เจ้าเพิ่งกลับมาจากงานเลี้ยงมิใช่หรือ?""พี่ใหญ่ แม่นมหลิ่วบอกว่าที่ร้านเครื่องประทินโฉมเกิดเรื่อง ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเรื่องใด จึงจะรีบไปดูเสียหน่อย""เกิดเรื่องหรือ เช่นนั้นให้พี่ไปด้วยดีกว่า อาเยี่ยน ข้าคงไม่ได้ไปส่งเจ้าที่จวนแล้ว ข้าขอตัวไปจัดการธุระกับเมี่ยวเอ๋อร์ก่อน""อืม เจ้ารีบไปเถิด"ยามนี้ฟางเมี่ยวไม่มีเวลามาใส่ใจหลี่เยี่ยนเฉินเท่าใดนัก นางจึงเร่งรีบเดินทางไปที่ร้านเครื่องประทินโฉมพร้อมกับฟางเจี๋ยในทันทีเมื่อรถม้าจอดลงที่ด้านหน้าร้าน ฟางเมี่ยวก็รีบก้าวลงมาอย่างรีบร้อน ภาพที่เห็นก็คือ ยามนี้ด้านหน้าร้านของนางมีคนมามุงเต็มไปหมด ผู้ดูแลหลัวก็มีท่าทีกระวนกระวายเป็นอย่างมาก เมื่อเหลือบมาเห็นฟางเมี่ยว นางก็มีท่าทีดีใจราวกับพระโพธิสัตว์มาโปรดอย่างไรอย่างนั้น"คุณหนู"เสียงเรียกของผู้ดูแลหลัว ทำให้ผู้คนที่มุงดูหันมามองฟางเมี่ยวเป็นตาเดียว"เจ้าเองหรือคือเ
"แผนการล้มเหลวขอรับนายท่าน""เก็บกวาดให้เรียบร้อย อย่าให้สาวมาถึงตัวข้า แม้จะเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย แต่ย่อมปล่อยผ่านไปไม่ได้ ไว้ค่อยส่งคนไปสั่งสอนนางใหม่อีกครา""ขอรับนายท่าน"บุรุษชุดดำพยักหน้า ก่อนจะเดินออกจากห้องลับไป เมื่อออกมาจากห้องลับเขาก็หาที่ลับตาคนเปลี่ยนอาภรณ์ของตนออก เป็นชาวเมืองต้าอู๋ทั่วๆ ไป ใช้ชีวิตปะปนแฝงอยู่กับผู้คน ยามนี้ต้องนำเงินมอบให้สองแม่ลูกนั้นตามคำสั่งของนายท่าน และให้พวกนางย้ายไปนอกเมืองเสีย หลีกเลี่ยงที่จะเกิดปัญหามาถึงนายท่านของเขาหลี่เยี่ยนเฉินเพิ่งกลับจากค่ายทหารก็มุ่งหน้าไปที่จวนตระกูลฟางเพื่อพบกับสหายสนิทอีกคนอย่างฟางเจี๋ยในทันที ได้ยินว่าฟางเมี่ยวไปร่วมงานเลี้ยงที่จวนตระกูลจางคงจะไม่อยู่ที่จวน แต่ทว่าเขากลับคาดเดาผิดไปหมด นางกลับมารวดเร็วยิ่งนี่ก็เป็นอีกเรื่องที่อยู่เหนือความคิดของเขา ชาติก่อนฟางเมี่ยวไม่ได้ไปร่วมงานเลี้ยงที่จวนตระกูลจางเลย เพราะนางไม่ชอบใจจางเสวี่ยฮุ่ย แต่ทว่าในชาตินี้นางกลับได้ไปร่วมงานเลี้ยง อีกทั้งยังกลายเป็นสหายของจางเสวี่ยฮุ่ยอีกด้วยเดิมทีเขาก็ไม่ชอบไปงานเลี้ยงตามจวนต่างๆ อยู่แล้วหากไม่จำเป็น ส่วนท่านพ่อนั้นมีงานด่วนต้องสะสาง
ฟางเมี่ยวลุกขึ้นยืนก่อนจะทำความเคารพเขาด้วยใบหน้าที่เรียบเฉยเหมือนเช่นเคย เย่จิ้นหยางที่เห็นเช่นนั้นก็ยิ้ม ก่อนจะเอ่ยทักทายนาง"คุณหนูฟางนี่เอง ข้าก็คิดว่าสตรีที่ใดกันที่อาเยี่ยนพามาที่นี่ด้วย ดีเลยวันนี้เจ้าอยู่พอดี แนะนำอาหารที่อร่อยให้ข้าด้วยเถิด ได้ยินว่าภัตตาคารแห่งนี้เป็นของมารดาเจ้า ที่ตกทอดมาถึงเจ้า อีกทั้งเจ้ายังคิดที่จะขายอาหารในราคาที่จับต้องได้ให้ราษฎรระดับล่างอีกด้วย ช่างมีจิตใจที่ดีงามยิ่งนัก"เย่จิ้นหยางเอ่ยชมฟางเมี่ยวจากใจจริง ฟางเมี่ยวเพียงยิ้มออกมาเล็กน้อยเท่านั้นเหอะ!! ชาติก่อนเขาด่านางราวกับนางไม่ใช่คน นางยังจำได้ดี คืนนั้นที่นางวางยาปลุกกำหนัดเขา และยามรุ่งสางที่เขาตื่นขึ้นมาพบว่าได้กลายเป็นสามีภรรยาที่แท้จริงกับนางไปเสียแล้ว"ฟางเมี่ยว สตรีหน้าไม่อาย แพศยา ต่ำช้า เจ้าวางยาข้าหรือ""ท่านอ๋อง เมี่ยวเอ๋อร์รักพระองค์นะเพคะ""แต่ข้าเกลียดเจ้า เกลียดจนแทบอยากจะอาเจียน ข้าเกลียดเจ้าได้ยินหรือไม่!!! ใครอยู่ข้างนอกเข้ามาลากนางไปขังเอาไว้ที่เรือนเล็กท้ายจวน ห้ามให้อาหารนางจนกว่าข้าจะสั่ง!!!""ท่านอ๋อง!!!"นางถูกเขาสั่งขังในเรือนโกโรโกโส ไม่มีอาหารกิน นางหิวจนปวดแสบท้องไปห
ด้านจางเสวี่ยฮุ่ยในยามนี้นั้น นางกำลังนั่งอ่านตำราอยู่ภายในห้อง ตั้งแต่ได้รับราชโองการให้นางได้แต่งเข้าจวนอ๋อง เหล่าฮูหยินรองและบรรดาอนุของท่านพ่อก็ไม่กล้ามาสร้างความลำบากใจให้นางและท่านแม่อีก เห็นจะมีแต่จางลี่อิงที่แสดงท่าทีไม่พอใจเพียงเท่านั้น แต่ก็ไม่กล้าหาเรื่องนางเท่าแต่ก่อน"คุณหนูเจ้าคะ นายท่านเรียกให้ท่านไปพบที่ห้องตำราเจ้าค่ะ"จางเสวี่ยฮุ่ยละสายตาจากตำราตรงหน้า ก่อนจะพยักหน้าให้หลิงหลิง สาวใช้คนสนิทของนางคราหนึ่ง แล้วจึงมุ่งหน้าไปพบบิดาของตนที่ห้องตำราในทันทีเมื่อมาถึงก็พบว่าท่านพ่อกำลังรอนางอยู่ จางเสวี่ยฮุ่ยทำความเคารพบิดาตนคราหนึ่ง จางหยวนจ้องมองบุตรสาวคนโตด้วยแววตาที่เรียบเฉยก่อนจะเอ่ย"นั่งลงเถิด""เจ้าค่ะ"จางเสวี่ยฮุ่ยยิ้มเล็กน้อย จางหยวนที่เห็นเช่นนั้น จึงเอ่ยกับบุตรสาวตนด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉย"เรื่องที่พ่อสั่งสอนเจ้าเอาไว้ เจ้าจำได้หรือไม่?"จางเสวี่ยฮุ่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็เงยหน้าไปมองบิดาของตนทันที ใบหน้าสวยหวานของนางซีดเผือดขึ้นมา ก่อนจะละล่ำละลักเอ่ย"ท่านพ่อ คือว่า..."เพียะ!!ยังไม่ทันที่นางจะเอ่ยตอบ จางหยวนก็ลุกขึ้นยืนก่อนจะตรงเข้ามาตบนางจนนางเซล้มลงตกจากเก้า
"คุณหนูฟาง วันนี้ข้าแวะมาฟังบทละครที่โรงน้ำชาของเจ้า มิสู้เจ้ามานั่งเป็นเพื่อนข้าดีหรือไม่?""ขออภัยคุณชายมู่หรง ข้าไม่ว่างเจ้าค่ะ ขอตัวก่อน""อย่าเล่นตัวเลยน่า เมื่อไม่กี่เดือนก่อนหน้า เจ้ายังส่งสายตายั่วยวนให้ข้าอยู่เลยนะฟางเมี่ยว""ตอนนั้นข้าตาบอด แต่ตอนนี้ตาข้าสว่างแล้ว"ฟางเมี่ยวกำลังจะเดินจากไป แต่ทว่ามู่หรงฟังกลับยื่นมือมาจับแขนของนางเอาไว้ ฟางเมี่ยวหันไปมองมู่หรงฟังด้วยแววตาที่เย็นเยียบ ก่อนจะเอ่ย"ปล่อยข้านะมู่หรงฟัง""ไม่ปล่อย ฟางเมี่ยวคนงาม พวกเราไปที่โรงพนันกันเถิด ข้าคิดถึงเจ้ายิ่งนัก""มู่หรงฟัง ข้าจะหมดความอดทนกับเจ้าแล้วนะ""ฟางเมี่ยวคนงาม เราไปโรงพนันกันเถิด โอ๊ย!!!"มู่หรงฟังแหกปากร้องด้วยความเจ็บปวด เมื่อถูกฟางเมี่ยวยกขาเตะเข้ามาที่หว่างขาของเขาอย่างเต็มแรง นางยิ้มตาหยี ก่อนจะเอ่ย"อย่ามายุ่งกับข้า!!!"ฟางเมี่ยวปรายตามองมู่หรงฟังคราหนึ่ง ก่อนจะเดินหนีเขาไป นางรำคาญยิ่งนักที่ต้องมาเจอคนเช่นนี้ แต่ทว่ามู่หรงฟังกลับไม่ยอมปล่อยนางไป"ไปกับข้า ฟางเมี่ยวคนงาม เราไปโรงพนันกันเถิด""มู่หรงฟัง!!""ไปเถิด หากวันนี้เจ้าทำเงินได้มากกว่าข้า ข้าจะเลิกยุ่งกับเจ้า ข้าสัญญา"ฟางเมี่
ข่าวที่ฟางเมี่ยวทุบตีมู่หรงฟังแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว นอกจากจะไม่มีคนติฉินนินทาฟางเมี่ยวแล้ว มู่หรงฟังยังถูกผู้คนโจษจันว่าเป็นบุรุษเฮงซวยอีกด้วย ท้ายที่สุดเรื่องนี้ก็จบลงเพียงแค่ทั้งสองฝ่ายยอมความกัน ด้วยเพราะทั้งสองตระกูลต่างก็รู้จักกันมานาน เสนาบดีมู่หรงรู้จักนิสัยบุตรชายของตนดี นอกจากจะไม่เข้าข้างบุตรชายของตนแล้ว ยังส่งของกำนัลมาที่จวนตระกูลฟางเพื่อเป็นการไถ่โทษอีกด้วย ฟางเมี่ยวไม่ได้สนในสิ่งของเหล่านี้มากนัก เพียงเก็บเอาไว้ในห้องเก็บของเพียงเท่านั้นอีกไม่กี่วันก็จะถึงงานมงคลระหว่างเย่จิ้นหยางและจางเสวี่ยฮุ่ยแล้ว ฟางเมี่ยวได้รับเทียบเชิญให้ไปงานแต่งที่จวนอ๋องเช่นเดียวกัน นางสั่งให้คนเตรียมของขวัญเอาไว้ นางจะนำไปมอบให้จางเสวี่ยฮุ่ยในงานแต่งงานหลี่เยี่ยนเฉินในยามนี้นั้นเขากำลังกลับจากค่ายทหารและกำลังมุ่งหน้ามาที่จวนของตน ระหว่างทางเขาครุ่นคิดถึงบุรุษผู้นั้นที่เขาเห็นว่าเป็นนักฆ่าในชาติก่อน เขาส่งคนไปสืบอย่างลับๆ แต่ทว่ากลับไร้วี่แววอย่างไม่น่าเชื่อ แต่เขาก็ยังไม่ยอมละความพยายาม ยังคงให้คนสืบค้นต่อไปเมื่อกลับมาถึงจวนเขาก็พบว่ามีรถม้าจอดอยู่ที่ด้านหน้าจวน เขามองเพียงครู่เดียวก็ร
หลายเดือนต่อมา เจียงซูซูมาส่งใบลาให้เสิ่นจื่อหลาง บอกเพียงว่านางต้องติดตามท่านพ่อท่านแม่ไปจัดการธุระที่บ้านเดิมซึ่งอยู่นอกเมืองหลวงเสิ่นจื่อหลางให้นางลาสามวัน และบอกให้นางรีบกลับระหว่างทางที่มุ่งหน้ากลับบ้านเดิมนั้นไม่มีปัญหา จนกระทั่งยามที่นางและครอบครัวกำลังจะเดินทางกลับ กลับมีโจรบุกเข้ามาปล้นชิงครอบครัวของนาง พวกมันจับตัวพวกนางเอาไว้ เจียงซูซูหวาดกลัวไม่น้อย แต่ก็พยายามคิดในแง่ดีเอาไว้นางไม่รู้ว่าพวกมันจับตัวนางมาไว้ที่ใด ได้ยินเพียงพวกมันบอกว่าจะสังหารท่านพ่อท่านแม่ของนางและส่งนางไปขายที่หอนางโลมเจียงซูซูพลันนึกถึงเสิ่นจื่อหลางขึ้นมา จู่ๆ ขอบตาของนางก็ร้อนผ่าว เมื่อนึกขึ้นมาได้ว่านางกับเขาชาตินี้อาจะไม่ได้เจอนางอีก นางสัญญากับเขาเอาไว้แล้วว่าจะกลับไปอยู่เคียงข้างเขาเขาเป็นถึงฮ่องเต้ผู้สูงส่งแต่นางเป็นเพียงขุนนางหญิงต่ำต้อย กลับอาจหาญที่จะไปหลงรักเขาภายใต้ใบหน้าที่แสนเย็นชาของเขามันซ่อนความอบอุ่นเอาไว้ เขาไม่เคยตำหนินาง ไม่เคยลงโทษนาง อีกทั้งยังไม่ถือตัวกับนาง นางชอบทุกอย่างที่เป็นเขา รักทุกอย่างของเขาจู่ๆ เจียงซูซูที่เข้มแข็ง น้อยครั้งนักที่นางจะร้องไห้ แต่ทว่ายามนี้นางกลับ
วันเวลาเช่นนี้ผ่านไปวันแล้ววันเล่าเดือนแล้วเดือนเล่าจนล่วงมาเป็นปี เขาไม่ทันรู้ตัวว่าเปิดรับนางเข้ามาในใจตั้งแต่ยามใด รู้ตัวอีกคราสายตาของเขาก็เอาแต่มองหานางเสียแล้ว“ถวายพระพรฝ่าบาทเพคะ”เสิ่นจื่อหลางที่กำลังนั่งอ่านตำราพลันเงยหน้าขึ้นไปมองโจวกุ้ยเฟยที่กำลังเดินเข้ามาโจวกุ้ยเฟย นามเดิม โจวเย่หลัน นางเป็นหลานสาวของนายท่านโจว เป็นทายาทที่เกิดจากบุตรชายเพียงคนเดียวของโจวชิงเหยา บุตรชายของนายท่านโจวเขารับนางเข้ามาเป็นสนมได้ร่วมสองปีแล้ว นิสัยของนางค่อนข้างอ่อนหวาน เอาอกเอาใจ และมีเมตตาแต่ทว่าเขารู้ดีว่านี่คือเปลือกนอกที่นางแสดงให้เขาดูเพียงเท่านั้นสตรีวังหลังมีผู้ใดบ้างไม่ฝักใฝ่ในอำนาจ หากไม่สนอำนาจเช่นนั้นจะเข้าวังหลวงมาทำไมกัน ไปบวชชีคงเหมาะเสียกว่า!!“โจวกุ้ยเฟย เจ้ามาหาข้ามีเรื่องใดหรือ?”โจวกุ้ยเฟยฉีกยิ้มอ่อนหวาน ก่อนจะเอ่ย“ทูลฝ่าบาท วันนี้หม่อมฉันคิดค้นสูตรอาหารขึ้นมาใหม่ จึงอยากมาชวนพระองค์ไปลองชิมที่ตำหนักเพคะ”“อืม ไว้มีเวลาข้าจะไป”“ฝ่าบาทเพคะ”เสิ่นจื่อหลางที่ได้ยินว่าโจวกุ้ยเฟยเอาแต่เรียกเขา ก็เงยหน้าไปมองนางด้วยแววตาที่เย็นชาจนนางลนลานหวาดกลัวไม่น้อย“เอ่อ หม่อมฉันขอทูล
วังหลวงท้องพระโรงยามนี้เจียงซูซูอยากจะมุดแผ่นดินหนีหรือไม่ก็แทรกตัวเข้าไปหลบในเสาต้นใดต้นหนึ่งยิ่งนักบุรุษที่นางยืนด่าฉอดๆ เมื่อไม่นานมานี้ แท้จริงเขาคือฮ่องเต้ของต้าอู๋พระนามเสิ่นจื่อหลางเจียงซูซูเบะปากทำท่าคล้ายคนจะร้องไห้ เห็นทีตำแหน่งขุนนางหญิงที่นางใฝ่ฝันคงจะจบเห่แล้ว!!!เสิ่นจื่อหลางปรายตามองเจียงซูซูคราหนึ่ง ก่อนจะหันไปมองสตรีอีกสองนางที่สอบได้ลำดับรองลงไป สตรีที่ได้อันดับสองมาจากจวนตระกูลหาน ได้ยินว่านางเก่งกาจด้านการใช้อาวุธ เขาจึงมอบตำแหน่งองค์รักษ์หญิงให้แก่นาง ส่วนสตรีอีกนางมาจากจวนตระกูลสวี ได้ยินว่านางรอบรู้ อีกทั้งยังช่างสังเกต เขาจึงให้นางไปเรียนรู้การทำงานที่ศาลต้าหลี่ ดูว่านางมีความสามารถเหมาะกับตำแหน่งใดในศาลต้าหลี่แล้วค่อยมอบตำแหน่งนั้นให้นางส่วนผู้ที่สอบได้อันดับหนึ่ง เขาตั้งใจที่จะให้นางทำงานอยู่ข้างกายเขา เขาไปที่ใดนางต้องไปตามคอยเป็นหูเป็นตาแทนเขา สามารถเป็นตัวแทนเขาในการทำงานต่างๆ ได้ สตรีมักจะทำงานรอบคอบและละเอียดมากกว่าบุรุษสตรีน้อยสองนางออกไปแล้ว ยามนี้เหลือเพียงเจียงซูซู เสิ่นจื่อหลางโบกมือให้คนอื่นๆ ออกไป ก่อนจะเดินตรงเข้ามาหานาง เจียงซูซูที่เห็นเช
(เรื่องราวเกิดขึ้นหลังขึ้นครองราชย์6ปี)“ฝ่าบาท จะออกไปจริงๆ หรือพ่ะย่ะค่ะ”ขันทีคนสนิทเอ่ยถามเสิ่นจื่อหลางอย่างร้อนรน ได้ยินว่าวันนี้ฝ่าบาทจะออกไปชิมอาหารที่ภัตตาคารโหยวเย่ว์อีกแล้ว“ไม่ต้องตามข้า ข้าเพียงไปพบสหายเท่านั้น”เขาเอ่ยเพียงเท่านั้นก่อนจะปลอมตัวเป็นองค์รักษ์เสื้อแพรออกไปที่นอกวังหลวงยามนี้อาอวี้รั้งตำแหน่งผู้บัญชาการองค์รักษ์เสื้อแพร อีกทั้งยังตงฉิน ทำงานอุทิศตนเพื่อบ้านเมือง มันทำให้เขามองเห็นตนเองเมื่อสมัยก่อนปีนี้เขามีอายุยี่สิบเจ็ดปีแล้ว ครองราชย์มาก็หลายปี แต่ทว่ายังคงไม่มีทายาทสืบทอดวันนี้เขามีนัดกับฟางเมี่ยวที่ภัตตาคารโหยวเย่ว์ นางบอกมีสูตรอาหารแปลกใหม่อยากให้เขาได้ลิ้มลองเมื่อมาถึงเขาก็พบกับหลี่เยี่ยนเฉิน น่าแปลกที่ยามนี้เขากับหลี่เยี่ยนเฉินกลายเป้นสหายสนิทกันไปเสียแล้ว“อาจื่อ เจ้าว่างมากหรือ จึงนัดพวกข้ามาพบ”“แน่นอนสิ ข้าไม่มีสิ่งใดทำ”“เหอะ”“เหอะอันใด รีบสั่งอาหารมาสิ แล้วนี่เมี่ยวเมี่ยวเล่า นางไปที่ใด?”“มาถึงก็เรียกหาภรรยาผู้อื่นเช่นนี้ใช้ได้หรือ กลับไปหาสนมเจ้าสิ!!!”“เจ้าหึงหวงหรือ ช่วยไม่ได้ เมี่ยวเมี่ยวสนิทกับข้านี่เจ้าก็รู้”“อย่าคิดว่าข้าไม่กล้าทุบ
เขาจำได้ดีว่าในปีนั้นเป็นช่วงฤดูร้อน ฮ่องเต้เย่หมิงหล่างมีรับสั่งให้เหล่าขุนนางตามออกไปล่าสัตว์อีกครา หลังจากที่เกิดเหตุการณ์น่ากลัวที่เหล่านักฆ่าลอบสังหาร ก็มีการเพิ่มกำลังการคุ้มกันแน่นหนาขึ้น“วันนี้พี่เยี่ยนช่างรูปงามยิ่งนัก”หลี่เยี่ยนเฉินปรายตามองฟางเมี่ยวคราหนึ่ง ก่อนจะเบือนหน้าหนี นางตามมาเกี้ยวพาเขาอีกแล้วฟางเมี่ยวจ้องมองหลี่เยี่ยนเฉินด้วยท่าทีหยอกเย้า ไม่ได้ใส่ใจท่าทีที่เอือมระอาของเขาเลยแม้แต่น้อย“พี่เยี่ยน”“หยุดเรียกข้าสักที”เขารีบควบม้าหนีนางไปทันที ฟางเมี่ยวไม่ยอมลดละรีบควบม้าตามเขาไปอย่างรวดเร็วแต่ทว่าม้าของนางกลับพยศ มันวิ่งเข้าป่าไม่หยุดจนเกือบจะชนเข้ากับต้นไม้ใหญ่ หลี่เยี่ยนเฉินตื่นตระหนกยิ่ง รีบกระโดดเข้ามาคว้าตัวนางลงจากหลังม้า ก่อนที่คนทั้งสองจะกลิ้งตกลงเขาไปด้วยกันฮ่องเต้เย่หมิงหล่างสั่งให้คนออกตามหาพวกเขาทั้งสองคนแต่กลับไม่พบฟางเมี่ยวขยับกายเล็กน้อย นางรู้สึกปวดไปทั้งตัว แต่ว่าเมื่อได้มองเห็นหลี่เยี่ยนเฉินที่นอนสลบอยู่ ก็ตกใจไม่น้อย บนหน้าผากของเขามีเลือดไหลซึมออกมา คาดว่าอาจจะถูกกิ่งไม้แหลมขูดหน้าผาก ฟางเมี่ยวรีบใช้ผ้าสะอาดที่นางนำติดมาด้วยซับเลือดให้เขา
รัชศกจื่อหลางปีที่ 1ยามนี้เสิ่นจื่อหลางขึ้นเป็นฮ่องเต้ได้หนึ่งปีแล้ว นับแต่ที่เขาขึ้นครองราชย์นั้นนับว่าเป็นช่วงที่รุ่งเรืองไม่น้อย แคว้นต่างๆ ยอมศิโรราบ แคว้นใดคิดเป็นกบฏจะถูกสังหารอย่างไม่ละเว้น ผู้ทำผิดถูกลงโทษไม่เว้นว่าจะเกิดในตระกูลใด เด็กๆ ที่ยากจนได้มีสถานที่เรียน ซึ่งทางราชสำนักเป็นคนต่อตั้งขึ้นสำหรับครอบครัวที่ยากจนสามปีต่อมาอาอวี้ที่มีอายุจะครบสิบห้าปีแล้วสามารถสอบเป็นจอหงวนได้สำเร็จ หลังจากนั้นอีกหลายปี เพราะความสามารถของเขาที่เก่งกาจทั้งบุ๋นและบู๊ จึงได้รับตำแหน่งผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพร ทำงานรับใช้ฝ่าบาทอย่างใกล้ชิดฟางเจี๋ยพี่ชายของนางได้รับตำแหน่งเสนาบดีกรมกลาโหม ส่วนท่านพ่อนั้นก็ออกมาพักผ่อนและเลี้ยงลูกๆ ของฟางเจี๋ยและหลิวจืออยู่ที่จวนส่วนหลี่เยี่ยนเฉินนั้นยามนี้สงครามสงบ ไม่มีสิ่งใดให้ต้องทำ เขาจึงติดตามภรรยาไปค้าขายต่างแคว้นอย่างมีความสุข ทั้งคู่ยังไม่มีบุตรจนหลี่ฮูหยินร้อนใจ สั่งให้ฟางเมี่ยวห้ามออกจากจวนไปทำงาน อยู่ทำลูกกับหลี่เยี่ยนเฉินทุกวันยามที่มีเวลาว่าง ฟางเมี่ยวมักจะไปที่หลุมศพของจางเสวี่ยฮุ่ย บอกเรื่องราวความเป็นไปในแต่ละช่วงเวลาให้นางฟังฟางเมี่ยวเชื
ฟางเมี่ยวเมื่อกลับมาถึงจวนก็พบกับหลี่เยี่ยนเฉินที่กำลังยืนรดน้ำดอกกุหลาบอยู่ ฟางเมี่ยวที่เห็นเช่นนั้นจึงเอ่ยถามเขาทันที“ท่านพี่ เหตุใดจึงทำเอง บ่าวไพร่ไปที่ใดหมดเจ้าคะ?”หลี่เยี่ยนเฉินที่ได้ยินเช่นนั้นก็หันมาส่งยิ้มให้ฟางเมี่ยว ก่อนจะเช็ดมือให้สะอาดแล้วเดินเข้ามาหาฟางเมี่ยว แล้วใช้ผ้าเช็ดหน้าซับเหงื่อให้นางอย่างใส่ใจ“ดอกไม้เหล่านี้เมี่ยวเอ๋อร์ของข้าชอบมากที่สุด ข้าย่อมต้องดูแลเองไม่อาจวางใจให้ผู้อื่นดูแลได้ ไหนมาให้ข้าซับเหงื่อให้ เจ้าเหนื่อยหรือไม่?”“ไม่เหนื่อยเจ้าค่ะ ท่านพี่ข้าพบสวีเซียวเหยา นางสารภาพมาเองว่าเคยส่งคนมาฉุดข้า”ฟางเมี่ยวคล้ายจะลืมตัวว่าตนเอ่ยสิ่งใดออกไป นางไม่คิดจะบอกเรื่องนี้กับหลี่เยี่ยนเฉินเพราะเกรงว่าเขาจะเป็นห่วงและคิดมาก อีกอย่างนางก็ปลอดภัยดีจึงไม่เห็นเป็นเรื่องสำคัญอันใด หลี่เยี่ยนเฉินที่ได้ยินเช่นนั้นก็เอ่ยถามทันที“นี่เจ้าถูกนางส่งคนมาฉุดเช่นนั้นหรือ?”“เอ่อ...”“ตอบมา!!!”“ท่านพี่ เรื่องมันนานมากแล้วเจ้าค่ะ ข้าเองไม่อยากให้ท่านกังวล นับว่าโชคยังดีที่ข้าปลอดภัย สหายเสิ่นไปช่วยข้าเอาไว้ได้ทันเวลา”สหายเสิ่นอีกแล้ว?หลี่เยี่ยนเฉินหรี่ตามองฟางเมี่ยว ก่อนจะมี
รัชศกจิ้นหยางปีที่ 1เย่จิ้นหยางขึ้นครองราชย์เป็นฮ่องเต้พระองค์ใหม่ของแคว้นต้าอู๋ นับตั้งแต่เขาได้สติกลับคืนมาก็ตั้งใจทำเพื่อบ้านเมืองอย่างสุดกำลัง เขากวาดล้างเหล่าขุนนางโลภออกไปจากราชสำนักได้ไม่น้อย อีกทั้งยังลดภาษีให้กับราษฎรอีกด้วย ไม่กี่ปีต่อมาแคว้นต้าอู๋ก็กลับมางดงามและยิ่งใหญ่เช่นเดิมเขานึกถึงคำเตือนของเสิ่นจื่อหลางได้ไม่ลืม อีกทั้งยังชื่นชมเสิ่นจื่อหลางอีกด้วย เขาไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดเสด็จลุงจึงไว้วางใจเสิ่นจื่อหลางถึงเพียงนี้นับตั้งแต่เริ่มแผนการที่ท่านลุงวางไว้ แผนการนั้นจะไม่สำเร็จและแยบยลเลย หากไม่มีขุนนางที่ตงฉินและไว้ใจได้ และยอมทำงานถวายชีวิตเช่นเสิ่นจื่อหลางที่ผ่านมาเสด็จลุงส่งเสิ่นจื่อหลางมาคอยจับตาดูเขาและขุนนางทุกคน สุดท้ายเสด็จลุงไว้วางใจที่จะมอบแผ่นดินนี้ให้กับเขา เขาเองก็จะไม่ทำให้ความไว้วางใจนั้นของเสด็จลุงต้องสูญเปล่ายามนี้ต้าอู๋นับว่าคึกคักไม่น้อยเลย ฟางเมี่ยวกลับมาเปิดกิจการใหม่อีกครา อีกทั้งรายได้ครึ่งหนึ่งของการค้าขาย นางก็จะบริจาคเข้าคลังหลวงเพื่อช่วยราชสำนักทุกเดือน ระยะหลังมานี้กิจการของนางได้ส่งออกไปขายต่างแคว้น นับว่าได้กำไรงามไม่น้อยตั้งแต่แคว้นเห
ฟางเมี่ยวเดินออกจากจวนอ๋องมาพร้อมกับหลิวจือ ยามนี้เย่จิ้นหยางเสียใจอย่างหนัก ไม่ยอมให้ผู้ใดเข้าใกล้ร่างของจางเสวี่ยฮุ่ย เขาเอาแต่กอดร่างไร้ลมหายใจของนางเอาไว้เช่นนั้นไม่ยอมปล่อย ปากก็พร่ำเพ้อว่ายามนี้นางกำลังนอนพักผ่อน ห้ามผู้ใดรบกวนนางฟางเมี่ยวทนมองภาพที่น่าสลดใจเช่นนี้ไม่ไหว นางจึงรีบขอตัวกลับจวนตนทันทีหลิวจือนั้นขอตัวกลับจวนของตนเช่นเดียวกัน เนื่องจากมีเรื่องที่ต้องจัดการ ส่วนฟางเมี่ยวนั้นยามนี้ก็กำลังนั่งรถม้ามุ่งหน้ากลับจวนตระกูลหลี่เช่นเดียวกันเมื่อกลับมาถึงจวน นางก็พบกับหลี่เยี่ยนเฉินที่กำลังนั่งรอนางอยู่ในเรือน เขาได้ยินข่าวที่จางเสวี่ยฮุ่ยจากแล้ว ในใจก็นึกเวทนาไม่น้อย ข่าวการตายของจางเสวี่ยฮุ่ยแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานนักข่าวนี้ก็แพร่สะพัดไปถึงในวังหลวงเมื่อเห็นว่าฟางเมี่ยวกลับมาแล้ว เขาจึงลุกขึ้นเดินเข้าไปหานางทันที ก่อนจะพบว่ายามนี้ใบหน้าของฟางเมี่ยวเปรอะเปื้อนไปด้วยหยดน้ำตา เมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าคือหลี่เยี่ยนเฉิน ฟางเมี่ยวก็โผเข้ากอดเขาทันที ก่อนจะปล่อยโฮออกมาอีกครา“ฮืออ หลี่เยี่ยนเฉิน จางเสวี่ยฮุ่ยตายแล้ว ข้าช่วยนางไม่ได้ ฮือ ข้าช่วยนางไม่ได้ ข้าไม่อยากให้นางตาย