ลู่ชิงตื่นขึ้นมายามเหม่าของอีกวัน จึงรีบเข้าไปในมิติเพื่อหยิบพวกเนื้อสัตว์และผักที่จะใช้ทำเป็นมื้อเช้าวันนี้ โดยไม่ลืมที่เดินไปหยิบเอาพวกแปรงสีฟันและยาสีฟัน เพื่อให้ทุกคนได้ใช้ทำความสะอาดช่องปาก
ลู่ชิงกลัวว่าแค่บ้วนปากด้วยเกลือมัน จะไม่สะอาดในเมื่อมีของให้ใช้ เราก็ต้องใช้จะปล่อยให้เสียของได้อย่างไร เช้านี้ลู่ชิงอาสาเป็นคนปรุงอาหารเอง โดยนางจะทำข้าวต้มกุ้งให้ทุกคนได้ทาน ขณะที่กำลังเตรียมของอยู่ ก็มีเสียงดังมาจากด้านหลังของนาง
ฟางซินตื่นมาก็เห็นบุตรสาว กำลังเตรียมวัตถุดิบทำมื้อเช้าอยู่ เมื่อนางได้พูดคุยกับสามี ถึงเรื่องที่เกิดขึ้นกับชิงเอ๋อร์ คงเป็นลิขิตของสวรรค์นางไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ จะให้ขับไล่นางออกไปสตรีคนนั้นก็ไม่ได้ทำผิด นางไม่ได้เข้ามาอยู่ในร่างของชิงเอ๋อร์เองแต่เป็นท่านเทพที่พานางมา เพื่อใช้ชีวิตที่เหลือแทนชิงเอ๋อร์ของนางต่างหาก ฟางซินจึงคิดว่าค่อย ๆ เรียนรู้กันไปต่อจากนี้ก็แล้วกัน
“ทำไมถึงได้ตื่นมาแต่เช้าเช่นนี้เล่า นี่กำลังเตรียมทำมื้อเช้าอยู่หรือ มีอะไรให้ช่วยไหม”
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะท่านแม่ ข้าเองก็ชอบทำอาหารเหมือนกันมื้อเช้านี้จะลงมือปรุงเอง ท่านแม่คอยเป็นผู้ช่วยให้ข้าได้หรือไม่เจ้าคะ”
ลู่ชิงหันไปคุยกับมารดาแกมขอร้อง ให้นางยืนเป็นผู้ช่วยในการเตรียมวัตถุดิบสำหรับทำอาหารเช้าของวันนี้
“อืมได้ จะให้ทำอะไรบ้างเจ้าบอกมาได้เลย และมีวัตถุดิบอย่างอื่นอีกหรือไม่” ฟางซินจำต้องยอมบุตรสาว ด้วยเห็นความตั้งใจที่จะทำอาหาร
“ท่านแม่ช่วยล้างกระดูกหมู และผักพวกนี้ให้สะอาด จากนั้นหั่นผักใส่ชามไว้ให้ข้าเจ้าค่ะ ส่วนกุ้งก็ต้องดึงเอาเส้นสีดำ ด้านหลังมันออกมาด้วยนะเจ้าคะ ประเดี๋ยวข้าจะไปติดเตาไฟก่อน” ท่านแม่ก็นำทุกอย่างไปล้างให้สะอาด และเตรียมไว้ในชามให้เรียบร้อย ส่วนตนเองก็ติดเตาไฟทั้งสองเตาและนำหม้อใส่น้ำขึ้นตั้งไว้เช่นกัน
“ขอบคุณท่านแม่เจ้าค่ะ ที่เหลือเดี๋ยวข้าจัดการเอง ท่านแม่ไปพักผ่อนต่อเถิดเจ้าค่ะ” มันยังเช้าอยู่มากลู่ชิง จึงอยากให้มารดาไปพักต่ออีกสักหน่อย
“ถ้ามีอะไรให้ช่วยก็บอก ไว้จะรอชิมอาหารฝีมือของเจ้านะ” ฟางซินพูดจบก็เดินออกจากห้องครัวไป
เมื่อท่านแม่ออกไปแล้วลู่ชิงก็มาจัดการมื้อเช้าต่อ โดยต้มน้ำซุปหนึ่งเตา ส่วนอีกเตาก็ต้มน้ำลวกกุ้ง และเจียวกระเทียมใส่ชามไว้ ส่วนข้าวนั้นเข้าไปหุงในมิติเรียบร้อยแล้ว เพราะห้างในมิติสามารถเสียบปลั๊กใช้ไฟฟ้าได้ ทำให้ประหยัดเวลาไปได้มากทีเดียว
พอหม้อน้ำซุปเริ่มเดือดก็ใส่สามเกลอลงไป ตามด้วยกระดูกหมูและซุปก้อนรสหมูไปอีกสองก้อน ปรุงเพิ่มด้วยซีอิ้วขาวกับเกลือเล็กน้อย จากนั้นรอให้น้ำซุปเดือดอีกครั้ง คอยช้อนฟองทิ้งเพื่อให้น้ำซุปใสน่ากิน และต้มต่อให้ได้ความหวานจากกระดูกหมู จะทำให้ได้รสชาติกลมกล่อมมากยิ่งขึ้น
ผ่านไปอีกสองเค่อลู่ชิงตักน้ำซุปขึ้นมาชิมดู ก็พยักหน้ากับตัวเอง ดีใจที่ฝีมือการทำอาหารยังใช้ได้เหมือนเดิม ตอนนี้ฟ้าเริ่มสว่างขึ้นมากพอสมควร และนางก็ได้ยินเสียงเปิดประตูแสดงว่าทุกคนตื่นนอนแล้วสินะ ลู่ชิงไม่รอช้าจัดแจงตักข้าวสวยใส่ชาม ที่มีขนาดกลางวางกุ้งตัวโต ๆ โรยต้นหอม ผักชี ขึ้นฉ่ายตักน้ำซุปราดลงไป ปิดท้ายด้วยกระเทียมเจียวหอม ๆ เท่านี้ก็พร้อมทานลงท้องแล้ว
“น้องเล็ก เจ้าทำอะไรเป็นมื้อเช้างั้นหรือ กลิ่นมันหอมมากจนลอยออกไปถึงด้านนอกเลยเชียว” ลู่เสียนที่ได้กลิ่นหอมของอาหาร จึงเดินตามมาถึงในห้องครัว
“ข้าทำข้าวต้มกุ้งเจ้าค่ะ รบกวนพี่รองช่วยยกออกไปที่โต๊ะให้หน่อยนะเจ้าคะ” ลู่ชิงถือโอกาสไหว้วานพี่รอง ยกถาดข้าวต้มออกไป
“ท่านพ่อท่านแม่พี่ใหญ่ทานข้าวได้แล้วขอรับ น้องเล็กทำมื้อเช้าน่าทานมาก ๆ เลยนะ” ลู่เสียนยกถาดข้าวต้มออกมา ก็รีบตะโกนเรียกทุกคนมาชิมอาหารฝีมือลู่ชิงทันที
“น้องเล็กเจ้าทำอาหารได้น่าทานมากเลย” ลู่จื้อชมน้องสาวอีกคน
“เอาล่ะ ๆ นั่งลงทานข้าวกันได้แล้ว หลังจากนี้พวกเราจะได้พูดคุยว่าจะทำอะไรเพื่อหาเงินดี” ลู่เวินรีบบอกให้ทุกคนนั่งลงทานมื้อเช้าก่อนที่จะคุยเรื่องอื่นกัน
“ซู้ด อื้อ!! อร่อยมาก!! ชิงเอ๋อร์ข้าวต้มนี่อร่อยมากจริง ๆ” ลู่เสียนที่ทนกลิ่นหอมของอาหารไม่ไหว ตักข้าวต้มเข้าปากไปก็ร้องออกมาด้วยความอร่อยจากอาหารฝีมือของลู่ชิง
“ฝีมือทำอาหารของเจ้าไม่เลวเลยจริงๆ” ฟางซินยังอดที่จะเอ่ยชมไม่ได้เช่นกัน
“น้องเล็ก ทานข้าวต้มร้อน ๆ ยามที่อากาศเย็นเช่นนี้ มันช่วยให้ท้องอุ่นได้มากเลย พี่ใหญ่ชอบอาหารฝีมือเจ้ามาก”
“ขอบคุณเจ้าค่ะพี่ใหญ่ที่ชอบอาหารฝีมือข้า ไว้จะทำให้พวกท่านทานทุกมื้อเลยดีไหมเจ้าคะ”
“แน่นอนว่าต้องดีอยู่แล้วล่ะ ฮ่า ๆ ๆ” ลู่จื้อยิ่งชอบใจกับคำพูดของลู่ชิง
“อื้ม น้องเล็กทำอาหารอร่อยแบบนี้ ถ้าหากพวกเราทำไปขายคงได้เงินไม่น้อยทีเดียว ท่านพ่อท่านแม่คิดว่าอย่างไรขอรับ” ลู่เสียนคิดไปถึงการค้าขายแล้ว
เมื่อพี่รองพูดจบทุกคนก็หันมามองข้าทันที เหมือนจะเห็นด้วยกับคำพูดของพี่รองที่ว่า ทำอาหารขายน่าจะดี หากเป็นของอร่อยคนย่อมซื้อกินได้ไม่ยากอยู่แล้ว
“พวกท่านมองข้าทำไมหรือเจ้าคะ? บนหน้าข้ามีอะไรติดอยู่งั้นหรือ” ลู่ชิงที่กำลังทานข้าวต้มเพลิน ๆ จนไม่ได้ตั้งใจฟังเท่าไหร่ ถึงกับทำหน้างงที่ทุกคนหันมามองเป็นจุดเดียว
“ไม่มีอะไรติดบนหน้าเจ้าหรอกชิงเอ๋อร์ เมื่อครู่พี่รองของเจ้าแค่บอกว่า ถ้าทำอาหารขายคงจะได้เงินไม่น้อย เจ้าคิดว่าการขายอาหารเป็นอย่างไร” ลู่เวินเอ่ยถามความเห็นของบุตรสาว
“ทำอาหารขายก็ดีเจ้าค่ะ แต่เราจะทำอาหารง่าย ๆ ไม่ยุ่งยาก หรือว่ามีหลายขั้นตอนจนเกินไป ไม่เช่นนั้นทุกคนจะเหนื่อยเอาได้เจ้าค่ะเพราะพวกท่านเพิ่งจะแข็งแรง หากต้องทำงานหนักอีกภายในร่างกายจะกลับมาสมบูรณ์ได้ช้านะเจ้าคะ” ลู่ชิงคิดว่าขายอาหารก็เป็นวิธีหาเงินที่ดีไม่น้อย
หลังจากทานอาหารมื้อเช้ากันเรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็มานั่งคุยเรื่องการทำอาหารไปขายในตัวตำบลหย่งฝู แต่ตอนนี้ครอบครัวมีเงินเก็บอยู่เพียงสามตำลึงเงิน คงไม่พอสำหรับการเริ่มทำการค้าอย่างแน่นอน ลู่ชิงจึงเสนอวิธีการหาเงินทุนก่อนเป็นอันดับแรก เงินเก็บของครอบครัวนี้มีน้อยแล้วอย่างไร เพราะในมิติมีของมีค่าใช้ขายแลกเงินได้มากมาย
“ท่านพ่อเจ้าคะ ตอนนี้เงินเก็บของบ้านเรา คงไม่พอที่จะลงทุนทำอาหารขาย ดังนั้นเราควรจะหาเงินทุนก่อน โดยสองสามวันนี้ท่านพ่อกับพี่ใหญ่พี่รอง ขึ้นเขาไปวางกับดักสัตว์ตามปกติ พอถึงเวลาเอาไปขายในตำบล ข้าจะเอาเครื่องประดับที่มีในมิติออกไปขายด้วยเจ้าค่ะ
ขอแค่มีเงินมาสำรองในมือมากหน่อย ย่อมดีกว่าต้องประหยัด ถ้าคนในหมู่บ้านถามก็บอกพวกเขาไปว่า เราเอาของมีค่าที่ติดตัวมาได้ทั้งหมด ไปขายเพื่อนำเงินมาลงทุนก็พอ พวกท่านเห็นด้วยหรือไม่เจ้าคะ” ข้าเสนอวิธีการหาเงินก้อนแรกให้ทุกคนฟัง
“ท่านพ่อขอรับ ทำตามวิธีของน้องเล็กก็ดีเหมือนกัน อีกอย่างพวกเรายังไม่ต้องตอบคำถามกับชาวบ้าน ที่ชอบสงสัยว่าเอาเงินมาจากที่ใดอีกขอรับ” ลู่จื้อเห็นด้วยกับน้องสาว เพราะเขาเป็นคนไม่ชอบให้คนอื่น มาวุ่นวายเรื่องครอบครัวของตนสักเท่าไหร่
“แล้วคนอื่นมีความเห็นอะไรอีกหรือไม่ ถ้าไม่มีก็ตกลงทำตามวิธีของชิงเอ๋อร์” ท่านพ่อถามท่านแม่กับพี่รองแต่พวกเขาก็พยักหน้าเห็นด้วย
“น้องเล็ก แล้วเราจะทำอะไรไปขายล่ะ ที่ตำบลมีคนทำอาหารขาย แต่มักจะสู้พวกเหลาอาหารไม่ได้ บางคนขายได้กับพวกลูกจ้างทั่วไปเท่านั้น ไม่ค่อยได้กำไรสักเท่าไหร่นะ” ลู่เสียนที่อยากรู้ว่าจะทำอะไรออกไปขายถามขึ้นมา เพราะเขาเองเคยเห็นพ่อค้าแม่ค้า ทำอาหารไปขายอยู่หลายคน แต่ก็ขายอยู่ได้ไม่นานเท่าที่ควร
“ข้าคิดไว้แล้วเจ้าค่ะ อาหารชนิดนี้ทำง่ายและอร่อยด้วยกินได้ทุกเพศทุกวัย เมื่อได้กินแล้วจะต้องกลับมาซื้อซ้ำแน่นอนเจ้าค่ะ” ลู่ชิงคิดอาหารที่จะทำขายไว้แล้ว
“มันคืออาหารแบบไหนหรือชิงเอ๋อร์ เจ้าถึงมั่นใจนักว่าคนจะกลับมาซื้อซ้ำ เพราะน้อยคนที่จะปรุงอาหาร ให้ได้รสชาติที่ผู้คนชื่นชอบ” ฟางซินก็สงสัยไม่น้อยจึงถามบุตรสาวขึ้นมาบ้าง
“มันก็คือเนื้อหมูทอด สามชั้นทอดและไก่ทอดเจ้าค่ะ เราจะหมักเนื้อทั้งสามอย่างเอาไว้ก่อน และค่อยนำไปทอดขาย
พร้อมกับข้าวเหนียวร้อน ๆ รับรองว่าคนในตลาดต้องมาซื้อทานเจ้าค่ะ” อาหารที่ง่ายและอร่อย หากมีสูตรการหมักหมูไว้ทอดโดยเฉพาะ ทำง่ายขายคล่องรสชาติโดนใจ ใครจะไม่อยากซื้ออาหารของนาง“เจ้าพูดมาเสียเห็นภาพเลย พี่รองอยากจะลองชิมดูเสียแล้วสิ” ลู่เสียนนึกภาพตามที่ลู่ชิงอธิบายให้ฟังก็อยากจะชิมเร็ว ๆ
“แน่นอนว่าพวกเราต้องลองทำ และชิมรสชาติเสียก่อนเจ้าค่ะเพื่อให้ได้รสชาติที่ดีที่สุด ลูกค้าจะได้ประทับใจตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้ทานอาหารของเรา พวกท่านให้คำติชมตามความจริง ยามที่ได้ชิมว่าการหมักเนื้อหมู่และเนื่อไก่แบบไหน ที่ให้รสชาติอร่อยพอดีและลงตัวที่สุด จากนั้นพวกเราจะทำตามสูตรนั้นไปขายเจ้าค่ะ” ต้องทำกินเองเสียก่อนถึงจะนำไปทำเป็นอาชีพได้
“งั้นพวกเราทุกคนควรช่วยชิงเอ๋อร์ทำ เพื่อเรียนรู้สูตรการหมักเนื้อทั้งสามอย่าง หากมีร้านเป็นของตนเองเมื่อใด พวกเราจะได้ทำมันในห้องครัวเองได้ป้องกันมิให้ใครสงสัย” ลู่เวินกำชับเรื่องการเรียนรู้และจดจำสูตรอาหาร
“ข้ากับน้อง ๆ เห็นด้วยกับท่านพ่อขอรับ/เจ้าค่ะ”
ลู่ชิงรู้สึกว่าพี่รองเหมือนจะชอบชิมอาหารที่อร่อย คล้าย ๆ กับพวกนักรีวิวอาหารของโลกนั้น ทุกคนเห็นด้วยอย่างเป็นเอกฉันท์ และคิดว่าไม่ต้องเตรียมวัตถุดิบหลายอย่าง ให้วุ่นวายจนเกินไปอีกด้วย พวกเขาล้วนเฝ้ารอให้ถึงวัน ที่จะไปทดลองขายอาหารรายการนี้ไม่ไหวเสียแล้ว และครั้งนี้ลู่ชิงจะพาท่านแม่เข้าไปในมิติเป็นครั้งแรก ไม่รู้ว่าหากท่านแม่ได้เห็นพวกอุปกรณ์ตัดเย็บที่มีมากมาย จะตื่นตาตื่นใจเหมือนบิดากับพี่ชายทั้งสองคนบ้างหรือไม่
สามวันที่ผ่านมาท่านพ่อและพี่ชาย ก็ขึ้นเขาไปวางกับดักสัตว์และหาของป่าอย่างอื่นตามปกติ พอจะเอาไปขายที่ตำบลลู่ชิงก็จะขอตามไปด้วยทุกครั้ง ไปถึงตำบลก็ให้ท่านพ่อไปขายเนื้อสัตว์ ที่วางกับดักมาได้ที่เหลาอาหาร ซึ่งเมื่อก่อนท่านพ่อมักจะนำมาขายเป็นประจำ รวมสามวันได้เงินมาสามร้อยเก้าสิบอีแปะ ส่วนตัวลู่ชิงเดินไปร้านเครื่องประดับ เพื่อเอากำไลข้อมือหยกที่ไม่ใช่หยกเนื้อดีมากนักหนึ่งวง สร้อยคอเงินพร้อมจี้หยกลายหยดน้ำหนึ่งเส้น และต่างหูไข่มุกหนึ่งคู่ออกมาขาย เถ้าแก่ร้านให้ราคาชิ้นละสามพันตำลึงเงิน ถึงจะไม่สวยมากแต่ขายได้ราคานี้ถือว่าสูงมากแล้วรวมแล้วตอนนี้มีเงินอยู่ทั้งหมด เก้าพันสิบสามตำลึงกับอีกสามร้อยเก้าสิบอีแปะ คงต้องแบ่งเงินไปซ่อมหลังคาบ้านสักหน่อย รอให้ทำการค้าไปสักระยะหนึ่ง ค่อยสร้างบ้านใหม่ที่แข็งแรงกว่านี้ หรือจะซื้อบ้านอยู่ในตำบลก็คงจะดีกว่า เพราะไม่ต้องเสียเวลาเดินทางทุกคนจะได้มีเวลาพักผ่อนเพิ่มอีกสักหน่อยยามอู่วันนี้ลู่ชิงคิดว่าจะทำหมูทอด สามชั้นทอดและน่องไก่ทอด ให้กับทุกคนได้ลองชิมดูก่อนที่จะทำไปขาย ซึ่งลู่ชิงได้นำเนื้อทั้งสามอย่างออกมาจากมิติ และเตรียมหมักก่อนนำไปทอด เริ่มจากทำการหมัก
สองวันต่อมาก็ถึงเวลาไปขายของวันแรกแล้ว ทุกคนตื่นพร้อมกันลู่ชิงกับฟางซินช่วยกันหมักเนื้อหมูและน่องไก่ ส่วนลู่เวินกับบุตรชายก็ช่วยกันยกเตาและอุปกรณ์ที่ใช้ทอดทุกอย่าง ขึ้นบนรถเข็นรออยู่นอกบ้านลู่ชิงได้ตั้งกฎกับครอบครัวเอาไว้ว่า จะขายของหกวันและหยุดพักหนึ่งวัน เพราะไม่อยากให้ทุกคนเอาแต่คิดเรื่องทำงานหาเงิน ควรมีเวลาพักผ่อนบ้าง แม้จะมีน้ำจากบ่อวิเศษให้ดื่ม แต่อย่างน้อยการพักผ่อนให้เต็มที่ ก็เป็นผลดีต่อร่างกายมากกว่า เมื่อทุกอย่างพร้อมจึงปิดประตูบ้านและเดินเท้าไปในตำบลหย่งฝู พื้นที่ขายของที่ลู่เวินจองไว้ให้นั้นเป็นการจองแบบรายเดือน และมันก็อยู่บริเวณที่มีคนพลุกพล่านมาเดินจับจ่ายซื้อของยามเช้าพอถึงบริเวณพื้นที่ของตนเองแล้ว ทุกคนทำตามหน้าที่ของตน ลู่เวินกับบุตรชายช่วยกันยกเตาและติดเตาไฟ ลู่ชิงกับมารดาช่วยกันจัดวางอุปกรณ์บนโต๊ะให้หยิบใช้สะดวก ยกถังไม้ที่ใส่ข้าวเหนียวที่นึ่งแล้ววางไว้ข้างโต๊ะกับใบตอง ที่เช็ดทำความสะอาดสำหรับใช้ห่ออาหาร ซึ่งก็เอามาจากป่าชั้นนอกที่อยู่ด้านหลังบ้านของพวกเขา ยามนี้ลู่เวินได้ตั้งกระทะและใส่น้ำมันลงไปทั้งสามกระทะ ควบคุมไฟไม่ให้ร้อนมากเกินไป มีเก้าอี้สามตัววางชามขนา
กลับมาถึงบ้านก็เกือบถึงยามซื่อแล้ว มื้อเช้าทุกคนก็อาศัยกินข้าวเหนียวกับหมูทอดกัน เพราะตื่นเต้นกับการขายของวันแรก จึงลืมเตรียมมื้อเช้าไปกินด้วย ลู่ชิงจึงคิดว่าคืนนี้จะทำกับข้าวง่าย ๆ ใส่กล่องไว้ในมิติตอนเช้าจะได้ไม่ลืมอีก เมื่อเก็บข้าวของเรียบร้อยแล้ว ลู่ชิงก็ชวนทุกคนมานั่งที่โต๊ะอาหาร เพื่อทำการนับเงินที่ได้จากการขายของวันแรกพร้อมกัน“ท่านพ่อท่านแม่ พวกเรามานับเงินกันเจ้าค่ะว่าจะได้เท่าไหร่” ลู่ชิงอยากรู้ว่ารายได้ของวันนี้เป็นอย่างไร“ได้สิลูก พวกเราช่วยกันนับแยกเป็นกอง ๆ ไว้ จะได้รู้ว่ายอดรวมทั้งหมดเป็นเงินเท่าไหร่” ลู่เวินเองก็อยากรู้เช่นกันเพราะท่านพ่อเป็นพ่อค้า เรื่องคำนวณตัวเลขจึงสำคัญพวกเขาสามพี่น้องล้วนได้เรียนรู้เรื่องนี้ โดยมีท่านพ่อเป็นคนสอน ทุกคนจดจ้องอยู่กับการนับเงิน ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมาแม้แต่คนเดียว“เอาล่ะ เจ้าใหญ่ลองนับยอดรวมทั้งหมดดูสิว่ามีเท่าไหร่” ลู่เวินให้บุตรชายคนโตอย่างลู่จื้อนับจำนวนเงินทั้งหมดอีกครั้ง“ขอรับ หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า หก... ท่านพ่อ!! รายได้ทั้งหมดวันนี้ มีถึงหกตำลึงเงินกับอีกหนึ่งร้อยเจ็ดสิบห้าอีแปะขอรับ” ลู่จื้อนับเสร็จก็บอกจำนวนที่นับได้ทันที
วันที่สองของการค้าขายก็ยังดีเหมือนเมื่อวาน เพราะมีลูกค้ามายืนรอบริเวณหน้าร้านหลายคนแล้ว และวันนี้ก่อนออกจากบ้านพวกเราทานข้าวผัดหมูเป็นมื้อเช้ามาเรียบร้อย ตอนนี้กำลังช่วยกันตั้งร้านใกล้จะเสร็จ หน้าที่ทอดหมูและไก่ ก็ยังคงเป็นท่านพ่อกับพี่ใหญ่พี่รองเช่นเดิม เข้าสู่ปลายยามเหม่าอาหารก็พร้อมขาย ลูกค้าหน้าคุ้น ๆ ที่ยืนรออยู่ก็รีบสั่งทันที“แม่นางน้อย ข้าเอาเนื้อหมูกับสามชั้นอย่างละสองห่อ และน่องไก่หนึ่งห่อนะ ข้าจะเอาไปฝากเมียกับลูกที่บ้านด้วย”“ได้เจ้าค่ะข้าจะจัดการให้เดี๋ยวนี้เลย” ลู่ชิงไม่รอช้ารีบห่อข้าวให้ลูกค้าอย่างรวดเร็ว ท่านแม่ก็ช่วยนางห่อเช่นกัน“แม่หนู ป้าก็เอาทุกอย่างเลยนะขออย่างละสองห่อเหมือนกัน”“เจ้าค่ะ ท่านป้ารอสักประเดี๋ยวนะเจ้าคะ ลูกค้าท่านอื่น ๆ ต่อแถวกันด้วยเจ้าค่ะ รับรองได้กินของอร่อยทุกคนเจ้าค่ะ” ลู่ชิงรับคำสั่งซื้อจากลูกค้าคนต่อไป และแจ้งคนอื่นเพื่อความเป็นระเบียบ“นี่ของท่านอาเจ้าค่ะ ทั้งหมดห้าสิบห้าอีแปะ รบกวนท่านอาจ่ายเงินให้ท่านแม่ของข้าได้เลยนะเจ้าคะ” ลู่ชิงให้มารดาเป็นคนรับเงินจากลูกค้าแทน เพราะนางทั้งพูดทั้งห่อข้าวไปด้วย เกรงว่าจะไม่ได้ตรวจให้ถี่ถ้วนลูกค้ามาเข้าแ
ผ่านมาได้สองอาทิตย์ การค้าของครอบครัวสวีเป็นไปด้วยดี ลูกค้าประจำมีมากขึ้น ขนาดพ่อบ้านของจวนนายอำเภอ ยังมาต่อแถวซื้อไปให้เจ้านายได้ลิ้มลอง วันนี้เป็นวันหยุดของครอบครัว ลู่ชิงอยากจะปรึกษาบิดาเกี่ยวกับผู้คนในหมู่บ้านอันผิง ว่าพวกเขาเหล่านี้มีนิสัยใจคออย่างไร คนเห็นแก่ตัวหรือขี้อิจฉา ย่อมมีอยู่ทุกที่เหมือนกันหมด หรือแม้แต่คนที่เข้าใจอะไรยาก เอาความคิดของตนเองเป็นหลักหากได้รับการยืนยันเรื่องพวกนี้ จากท่านพ่อและหัวหน้าหมู่บ้าน เพื่อนำมาประกอบการตัดสินใจ บางทีนางอาจจะหาอาชีพให้พวกเขาได้ทำ จะได้มีรายได้พอจุนเจือครอบครัวเพิ่มมากขึ้น ยิ่งในฤดูหนาวนั้นทุกบ้านต้องประหยัดอาหาร ไม่แปลกที่จะมีคนตายจากการหิวโหยไม่น้อย คิดได้ดังนั้นก็รีบเดินตามหาบิดาทันทีลู่ชิงเดินตามหาบิดาจนมาเจอที่สวนผักของบ้าน พี่ชายทั้งสองก็อยู่ด้วยกำลังช่วยกันพลิกหน้าดินแปลงผัก เพื่อจะเพาะปลูกใหม่ลู่ชิงไม่รอช้า เรียกบิดาออกไปด้วยเสียงที่ดังพอสมควร“ท่านพ่อเจ้าคะท่านมาอยู่ที่แปลงผักนี่เอง ข้าเดินตามหาท่านให้ทั่วบ้านเลยเจ้าค่ะ”“อ้าว ชิงเอ๋อร์ เจ้าตามหาพ่อทำไมกันมีเรื่องอะไรหรือไม่” ลู่เวินสงสัยว่าทำไมบุตรสาวถึงตามหาตนเอง“พอดีข้
เช้าวันถัดมาการตั้งร้านขายอาหารทอด ก็ยังคงมีลูกค้ามาต่อแถวอย่างคึกคักเช่นเดิม ในช่วงปลายยามเฉินท่านพ่อและพี่ชาย กำลังช่วยกันเก็บของอยู่ทางด้านหลัง เพราะของที่ขายก็เหลือน้อยแล้ว ลู่ชิงจึงบอกกับท่านแม่ว่าแถมเนื้อหมูให้ลูกค้าสักหน่อย จะได้เก็บของกลับบ้านส่วนนางกับท่านพ่อจะไปติดต่อเจ้าหน้าที่ เรื่องซื้อร้านค้าและจะนำเครื่องประดับไปขายที่ร้านของเถ้าแก่หงด้วย เผื่อมีร้านค้าที่ราคาไม่สูงมากจะได้ซื้อไว้ก่อน“ท่านแม่เจ้าคะ ถ้ามีลูกค้ามาซื้ออีกสักสองสามคน ท่านก็แถมเนื้อหมูเพิ่มไปสักหน่อย ท่านแม่กับพี่ชายจะได้กลับบ้านไปพักผ่อนรอพวกเราเจ้าค่ะ”“แม่รู้แล้ว ๆ เจ้าย้ำกับแม่หลายรอบแล้วนะชิงเอ๋อร์” นางส่ายหน้าให้กับบุตรสาวเล็กน้อย เพราะนางเอาแต่ย้ำเรื่องนี้อยู่หลายรอบ“แหะ ๆ ๆ เจ้าค่ะท่านแม่ เช่นนั้นข้ากับท่านพ่อจะรีบไปทำธุระให้เรียบร้อยนะเจ้าคะ พวกท่านกลับไปรอฟังข่าวดีอยู่ที่บ้านได้เลยเจ้าค่ะ”ฟางซินมองตามสามีกับบุตรสาว ที่เดินออกไปแล้วอยู่เงียบ ๆ ได้แต่คิดในใจ ตั้งแต่มีเด็กคนนี้เข้ามาครอบครัวก็มีเสียงหัวเราะได้ทุกวัน สองคนพ่อลูกตรงไปที่ร้านของเถ้าแก่หง เพื่อนำครื่องประดับจากในมิติไปขายจะได้มีเงินสำร
เมื่อออกจากร้านเครื่องประดับของเถ้าแก่หง สองคนพ่อลูกก็เดินไปยังที่ว่าการของตำบลหย่งฝู เพื่อสอบถามเรื่องร้านค้า หากวันนี้สามารถซื้อได้เลยจะเป็นการดีมาก“น้องชายไม่ทราบว่าใต้เท้าอยู่หรือไม่ พอดีข้ากับบุตรสาวจะมาสอบถามเกี่ยวกับ การซื้อร้านค้าที่ติดป้ายประกาศขายน่ะ”“ท่านมาติดต่อซื้อร้านค้าเช่นนั้นหรือ ใต้เท้ากงอยู่ด้านในห้องทำงานนี่แหละเดี๋ยวพวกท่านสองคนเดินตามข้าเข้ามาก็แล้วกัน”“ขอบใจน้องชายท่านนี้มากนะ”ลู่เวินและลู่ชิงเดินตามทหารคนนั้นเข้าด้านในศาลาว่าการ เพื่อเข้าไปพบใต้เท้ากงที่นั่งอ่านรายงานการทำงานของลูกน้องอยู่ พอได้ยินเสียงคนเดินมาก็เงยหน้าขึ้นมองและเอ่ยถามออกไป“เจ้าพาผู้ใดมารึ แล้วพวกเขามาติดต่อเรื่องอะไร”“เรียนใต้เท้า พวกเขาสองคนพ่อลูกบอกว่า จะมาติดต่อเรื่องการซื้อร้านค้าขอรับ”“อืม เช่นนั้นเชิญท่านทั้งสองนั่งรอก่อนสักประเดี๋ยว ข้าจะเอารายละเอียดของร้านค้ามาให้พวกท่านได้เลือกนะ” ใต้เท้ากงหยิบกระดาษแผ่นใหญ่มากางบนโต๊ะ ให้ลู่ชิงกับบิดาได้เลือกร้านค้าที่ต้องการ“ขอบคุณใต้เท้ามากขอรับ/ขอบคุณใต้เท้าเจ้าค่ะ”นั่งรอเพียงไม่นานใต้เท้ากง ก็เดินถือเอกสารมาวางบนโต๊ะดูคร่าว ๆ น่าจะมีมา
ด้านฟางซินและบุตรชายทั้งสอง เมื่อกลับมาถึงบ้านก็ช่วยกันเก็บของเข้าที่จนเรียบร้อย ทั้งสองคนจึงบอกกับมารดาว่าจะไปพบสหาย เพื่อพูดคุยเรื่องอาชีพเสริมที่น้องสาวคิดขึ้นมา นางอนุญาตให้พวกเขาไปหาสหายได้ ส่วนตนเองนั้นจะอยู่รอสามีกับบุตรสาวอยู่ตรงหน้าบ้านเอง“ท่านแม่ท่านพักผ่อนอยู่ที่บ้าน รอท่านพ่อกับน้องเล็กไปก่อน ข้ากับน้องรองจะไปพบสหายเสียหน่อย เพื่อคุยเรื่องอาชีพเสริมของน้องเล็กขอรับ”“ใช่แล้วท่านแม่ พวกเราสองคนไปไม่นานจะรีบกลับมาขอรับ”“พวกเจ้าไปเถอะแม่อยู่คนเดียวได้ อีกสักพักพ่อกับน้องสาวพวกเจ้าก็คงจะกลับมาแล้วล่ะ”ลู่เวินบังคับเกวียนเข้าประตูบ้าน ภายหลังจากที่บุตรชายออกไปไม่ถึงหนึ่งจิบชา พอฟางซินเห็นสามีกับบุตรสาวกลับมาก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อยว่า สามีไปเอาเกวียนมาจากที่ใดเพราะราคาน่าจะหลายตำลึง ทั้งยังเป็นเกวียนวัวที่มีหลังคาอีกด้วย“ท่านพี่นี่ท่านไปเอาเกวียนวัวจากที่ใดมาเจ้าคะ” ฟางซินเอ่ยถามสามีเมื่อเห็นเขาบังคับเกวียนเล่มใหญ่เข้ามา“อ้อ เกวียนวัวเล่มนี้เป็นของครอบครัวของเรา เพราะต้องใช้มันขนของเพื่อไปพักในตำบลชั่วคราว หลังจากนี้พวกเราจะสร้างบ้านหลังใหม่แทนหลังเดิม” ลู่เวินอธิบายให้ภรรยาข
เซียวหนิงหลงใช้เวลาเดินทาง ออกจากเมืองหย่งจินมาแล้วสองชั่วยาม ในตอนนี้เขาและผู้ติดตามกำลังพักอยู่ใกล้ริมลำธาร เพื่อให้ม้าได้ดื่มน้ำกินหญ้า ในส่วนของคนก็ต้องทานอาหารเช่นกันเขานึกถึงคำพูดของลู่ชิงที่บอกให้ลองดื่มน้ำสมุนไพร เมื่อออกจากเมืองหย่งจินมาระยะหนึ่งแล้วจะได้รับคำตอบ ไม่รอช้าเซียวหนิงหลงหยิบถุงหนังใส่น้ำสมุนไพรขึ้นมาดื่ม ทันทีที่น้ำสมุนไพรเข้าไปในร่างกาย เขาก็รู้สึกโล่งเบาสบายเป็นอย่างมากอาการเหนื่อยล้าเล็กน้อยจากการขี่ม้าก็หายไป นอกจากนี้เขายังสัมผัสถึงลมปราณที่วิ่งไปยังจุดต่าง ๆ ในร่างกาย เหมือนกับว่าเขากำลังจะบรรลุวรยุทธ์ขั้นสูงได้อย่างสมบูรณ์ ไม่แปลกใจที่ชิงเอ๋อร์กำชับเอาไว้ว่า อย่าแบ่งน้ำสมุนไพรนี้ให้กับใครพร่ำเพรื่อเด็ดขาด เซียวหนิงหลงถือถุงหนังใส่น้ำสมุนไพรเดินไปหาตันเจียงกับชุนชาน เพื่อแบ่งให้พวกเขาสองคนได้ดื่ม และจะเก็บไว้ให้กับครอบครัวของเขาด้วยเช่นกัน“ตันเจียง ชุนชาน พวกเจ้าแยกมาด้านนี้สักประเดี๋ยว” เขาเรียกผู้ติดตามทั้งสองคนให้เดินมาหาอีกทางหนึ่ง เพื่อป้องกันพวกสายลับจะได้ยินสิ่งที่พวกเขากำลังจะพูดคุยกัน“ไม่ทราบว่าซื่อจื่อมีอะไรจะสั่งการพวกเราหรือขอรับ” ตันเจียงเ
ตันเจียงที่เห็นว่านายน้อยของตน เอาแต่จ้องหน้าคุณหนูลู่ชิงจึงกระแอมกระไอเสียงดัง เพื่อเรียกสติเจ้านายเสียหน่อย ประเดี๋ยวจะออกเดินทางล่าช้าได้ หากปล่อยให้อยู่ในอาการของคนตกหลุมรักเด็กสาวตรงหน้า“อะแฮ่ม ๆ ไม่ทราบว่าคุณหนูลู่ชิงจะไปที่ใดหรือ ถึงได้เดินมาทางนี้เพียงลำพังน่ะขอรับ” ตันเจียงเป็นคนเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ“อ้อ ข้ากำลังจะไปดูนายช่างหาน ที่มาปรับปรุงร้านเป็นวันแรกเจ้าค่ะ แต่ก็เกิดเรื่องขึ้นเสียก่อน คงต้องเอาไว้ค่อยมาดูพรุ่งนี้กับท่านพ่อแทนแล้วล่ะเจ้าค่ะ” พรุ่งนี้ค่อยชวนทุกคนมาดูพร้อมกันน่าจะดีกว่า“นายช่างได้บอกหรือไม่ว่าใช้เวลากี่วัน ถึงจะปรับปรุงร้านค้าของเจ้าเสร็จ” เซียวหนิงหลงเอ่ยถามกับลู่ชิงบ้าง“บอกเจ้าค่ะใช้เวลาไม่เกินยี่สิบวัน เพราะต้องต่อเติมด้านบนชั้นสองทำเป็นห้องพักสองห้อง จากนั้นครอบครัวข้าจะย้ายมาพักที่นี่ชั่วคราว และให้นายช่างหานไปสร้างบ้านต่อที่หมู่บ้านอันผิงเจ้าค่ะ” ลู่ชิงตอบด้วยท่าทางเป็นธรรมชาติ แถมยังส่งยิ้มให้กับเซียวหนิงหลงอีกด้วย“หากพี่จะฝากคนให้มาเป็นลูกจ้างของร้านเจ้า สักสามสี่คนจะได้หรือไม่ พวกเขาเป็นกำพร้าแต่เด็กไม่มีครอบครัว เจ้าพอจะรับไว้ได้ไหม” เขาต้อ
ลู่ชิงเห็นพ่อบ้านชิมอาหารด้วยความตื่นเต้นดีใจ จึงหันไปหาพี่ชายอย่างลู่เสียนเพื่อขอให้พี่ชายมาช่วยห่อข้าว นางจะคุยเรื่องราคาอาหาร และต้องการให้ทางพ่อบ้านส่งคนมารับอาหารที่นี่แทน หากจะให้นำอาหารไปส่งที่เมืองหย่งจินคงจะขาดคนทำงานเป็นแน่“ท่านพ่อบ้านเจ้าคะ อาหารที่ท่านสั่งข้าคิดราคาแตกต่างกันสักหน่อย อย่างข้าวผัดหมูและผัดกะเพรา ข้าจะทำใส่หม้อใบใหญ่อย่างที่ท่านเห็น ราคาจะอยู่ที่หม้อละห้าสิบตำลึงเงิน ส่วนหมูทอดไก่ทอดจะใช้วัตถุดิบอย่างละยี่สิบจิน รวมสามอย่างก็หกสิบจินคิดราคาสิบห้าตำลึงเงิน รวมทั้งหมดคือหนึ่งร้อยสี่สิบห้าตำลึงเงิน ท่านพ่อบ้านคิดว่าราคานี้เป็นอย่างไรเจ้าคะ” ลู่ชิงไม่ได้เอากำไรมากมาย เพราะราคาที่บอกไปมันเป็นกำไรล้วน ๆ ต่างหาก“อืม ราคาที่เจ้าพูดมาก็ถือว่าไม่แพงจนเกินไป แค่เนื้อก็ราคาสูงกว่าอย่างอื่นอยู่แล้ว ข้าตกลงสั่งอาหารกับเจ้าในราคาที่เจ้าเสนอมา” พ่อบ้านคำนวณแล้วถือว่าราคาถูกกว่า ไปสั่งอาหารที่เหลาอาหารในเมืองเสียอีก ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องของรสชาติอาหาร ก็แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง“ขอบคุณเจ้าค่ะ เช่นนั้นเช้าวันงานรบกวนท่านพ่อบ้าน ให้คนมารับอาหารที่แผงขายของนี้ ทางเราจะมีของแถมเ
เซียวหนิงหลงสั่งการเรื่องนี้กับตันเจียง เพื่อจะได้ให้เจียวมิ่งเตรียมตัวให้พร้อม ว่าจะต้องมาทำหน้าที่เกี่ยวกับอะไรที่ตำบลหย่งฝูแห่งนี้“ขอรับ ข้าน้อยจะส่งจดหมายถึงเจียวมิ่ง ให้เตรียมตัวพร้อมออกเดินทาง” ตันเจียงแอบคิดในใจว่า เขาจะเขียนเรื่องคุณหนูลู่ชิงไปด้วยนิดหน่อย ให้เจียวมิ่งเอาไปเล่าให้ท่านอ๋องกับพระชายาฟัง คงจะตกใจจนคาดไม่ถึงเป็นแน่“พวกเจ้าเตรียมตัวไว้ให้พร้อมคืนนี้เข้ายามจื่อ พวกเราจะเริ่มลงมือเพื่อสะกดรอยตามคนพวกนั้น” เขาจะต้องติดตามและจับเป็นสายลับกลับเมืองหลวงให้ได้ หากชักช้าย่อมไม่เป็นผลดีกับชาวบ้านแถบชายแดน ที่ต้องใช้ชีวิตอยู่อย่างหวาดระแวง ว่าจะเกิดสงครามขึ้นมายามใดนายช่างหานที่เดินสำรวจ และวัดพื้นที่ทั้งหมดของบ้านตระกูลสวี ก็แจ้งกับลู่เวินว่าต้องใช้เวลาในการสร้างบ้าน และสร้างกำแพงรอบบ้านนั้นประมาณสามเดือน เขาคิดราคารวมทั้งหมดแล้ว เป็นเงินห้าร้อยเจ็ดสิบตำลึงทองเพราะต้องใช้วัสดุอย่างดี และค่าจ้างคนงานที่ต้องจ้างมาเพิ่ม เมื่อตกลงและทำสัญญาเรียบร้อย นายช่างหานก็ได้ลิ้มลองอาหารรสชาติอร่อยที่เขาไม่เคยกินที่ไหนมาก่อน ถึงกับเอ่ยปากชมลู่ชิงไม่หยุด แม้กระทั่งตอนจะกลับยังบอกอีกว่า
ลู่เวินที่พานายช่างหานมาถึงบ้านก็ไม่รอช้า พวกเขาเดินไปดูพื้นที่รอบ ๆ บ้าน เพื่อทำการวัดขนาดความกว้างความยาวของที่ดินทั้งหมด ลู่ชิงยังบอกให้นายช่างหานทำกำแพงบ้านสูงหนึ่งจั้งเสียก่อน จากนั้นค่อยสร้างบ้านโดยบ้านที่ลู่ชิงจะให้สร้างตามแบบ เป็นบ้านสองชั้นต้องใช้ก้อนอิฐในการสร้างเท่านั้น ชั้นบนมีสี่ห้องนอนมีห้องน้ำในตัว ส่วนชั้นล่างหนึ่งห้องนอนมีห้องน้ำเช่นกัน และมันเป็นห้องของลู่ชิงเอง ส่วนห้องน้ำอีกห้องเอาไว้สำหรับแขกที่มาเยี่ยมบ้านนายช่างหานก็รับปากจะทำอย่างเต็มที่ และที่สำคัญเขาอยากเห็นบ้านหลังนี้ หลังจากสร้างเสร็จตามแบบที่ได้รับมาเร็ว ๆ เสียเหลือเกินตอนนี้หมดหน้าที่ของลู่ชิงตรงนี้แล้ว นางจึงขอตัวไปเข้าครัวเพื่อเตรียมข้าวมื้อเที่ยงสำหรับทุกคนลู่ชิงเข้ามาในบ้านก็เอ่ยชวนมารดาเข้าครัวด้วยกันทันที “ท่านแม่เจ้าคะ พวกเราเข้าครัวเตรียมทำอาหารมื้อเที่ยง รอท่านพ่อกับนายช่างหานกันเถิดเจ้าค่ะ”“ชิงเอ๋อร์จะให้แม่ทำตรงส่วนไหนบ้าง บอกมาได้เลยลูกแม่จะจำวิธีการทำไว้ เผื่ออยากกินอีกจะได้ลงมือทำเอง” ฟางซินชอบดูวิธีการทำอาหารของบุตรสาวมาก“ได้สิเจ้าคะ เช่นนั้นรบกวนท่านแม่ล้างพวกผักต่าง ๆ ที่ต้องใส่ในอาห
ทางครอบครัวลู่ชิงช่วยกันแจกอาหารจนหมดเกลี้ยงแล้ว ก็เก็บของขึ้นเกวียนก่อนจะฝากไว้ กับคนที่รับฝากเกวียนใกล้ ๆ แถวนั้น เพราะพวกเขาจะไปบ้านของนายช่างหาน เพื่อติดต่อให้ไปปรับปรุงร้านค้า รวมถึงสร้างบ้านใหม่ที่หมู่บ้านอันผิงด้วย“น้องชายท่านนี้ไม่ทราบว่า นายช่างหานอยู่หรือไม่ พอดีว่าข้าจะมาติดต่อให้เขาไปปรับปรุงร้านค้าและสร้างบ้านน่ะ” ลู่เวินถามกับคนงาน ที่กำลังเตรียมของอยู่ในลานบ้านของนายช่างหาน“หืม พวกท่านมาติดต่องานหรือขอรับ นายช่างหานอยู่ด้านใน พวกท่านเดินเข้าไปไม่ไกลก็เจอแล้วขอรับ” เขาตอบกลับไปด้วยถ้อยคำที่สุภาพ“ขอบใจมากนะน้องชาย”“ยินดีขอรับ” มีลูกค้ามาก็ต้องต้อนรับดี ๆ หน่อยลู่เวินพาทุกคนเดินเลยลานบ้านเข้ามา ก็ได้เจอนายช่างหานที่กำลังสั่งงานลูกน้องอยู่พอดี จึงเข้าไปทักทายอย่างสุภาพ“พี่ชายท่านนี้ไม่ทราบว่าใช่นายช่างหานหรือไม่ขอรับ ข้ามาติดต่อว่าจ้างไปปรับปรุงร้านค้ากับสร้างบ้านขอรับ” ลู่เวินเอ่ยถามเพื่อความแน่ใจ“อ้อ ข้านายช่างหานเอง เมื่อกี้เจ้าบอกว่าจะมาจ้างงานข้าเช่นนั้นหรือ” นายช่างหานหันมาตอบลู่เวินอย่างเป็นธรรมชาติ“ใช่ขอรับ พวกเราได้ยินหลายคนพูดกันว่า ท่านมีฝีมือในการสร้างบ้
เมื่อการประชุมเรื่องอาชีพเสริมของชาวบ้านอันผิง ผ่านไปได้ด้วยดีสองคนพ่อลูกจึงรีบกลับบ้าน จะได้ทานมื้อเที่ยงและพักผ่อน พรุ่งนี้ยังต้องไปติดต่อนายช่างหาน เพื่อว่าจ้างให้มาปรับปรุงร้านค้า“ท่านพ่อเจ้าคะวันนี้พักผ่อนให้มากหน่อยชดเชยก่อนหน้านี้ ที่ท่านต้องลำบากทำงานหาเงินตั้งหลายปี” ลู่ชิงสงสารคนในครอบครัวที่ต้องลำบาก ประคับประคองชีวิตมาจนถึงตอนนี้มันไม่ง่ายเลยจริง ๆลู่ชิงเอ่ยเช่นนี้เพราะอยากให้ครอบครัว ได้มีเวลาพักผ่อนเยอะ ๆ แม้ตอนนี้จะมีข้าวกินจนอิ่มท้องและมีน้ำจากบ่อวิเศษ แต่ร่างกายทุกคนยังดูผอมกันอยู่ จึงต้องทานอาหารบำรุงดี ๆ รวมถึงการพักผ่อนเพื่อให้ภายในร่างกายได้ฟื้นฟูอย่างเต็มที่ลู่เวินเข้าใจความห่วงใยนี้ของลู่ชิง และมันเป็นเรื่องจริงที่พวกเขา พยายามกันอยากมากกับการทำงานเลี้ยงชีพ เมื่อยามนี้พอมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น การพักฟื้นร่างกายย่อมเป็นสิ่งสำคัญ “พ่อจะทำตามที่ชิงเอ๋อร์แนะนำเป็นอย่างดี รวมถึงท่านแม่และพี่ชายของเจ้าด้วยเช่นกัน”“ดีมากเจ้าค่ะ อิอิ”“ท่านพี่กลับมาแล้วหรือเจ้าคะ เรื่องที่ไปหารือกับผู้ใหญ่บ้านเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ” ฟางซินกังวลว่าจะมีชาวบ้านที่ไม่เชื่อเรื่องอาชีพ“กา
ก๊อก ๆ ๆ “มีใครอยู่หรือไม่ ท่านอาหลิ่วขอรับข้าลู่เวินมีเรื่องมาหารือกับท่านขอรับ”ลู่เวินพาบุตรสาวมาถึงบ้านท่านอาหลิ่วอาน ที่เป็นหัวหน้าหมู่บ้านก็เคาะประตูเรียกเจ้าของบ้าน รอไม่นานก็มีคนมาเปิดประตู“หืม อาเวินเองรึข้าก็นึกว่าผู้ใด เข้ามานั่งด้านในก่อนเถิดค่อยพูดคุยกัน”“ขอบคุณขอรับ”“ชิงเอ๋อร์ก็มาด้วยหรือ ว่าแต่พวกเจ้ามีเรื่องอะไรถึงมาหาข้าในยามนี้เล่า”“ข้ากับบุตรสาวมีเรื่องอยากจะหารือกับท่าน ถ้าครอบครัวข้าอยากจะหาอาชีพเสริม มาให้ชาวบ้านทำเพื่อให้มีรายได้เพิ่ม ท่านอาหลิ่วคิดเห็นว่าอย่างไรขอรับ” เมื่อเข้ามานั่งด้านในบ้านแล้วลู่เวินก็พูดขึ้นทันที“อาชีพเสริมเช่นนั้นรึ ถ้ามันช่วยให้ชาวบ้านมีรายได้เพิ่มข้าย่อมสนับสนุน หมู่บ้านของเราใช่ว่าจะมีฐานะร่ำรวย ยามเกิดภัยแล้งภัยหนาวล้วนลำบากทั้งนั้น กว่าทางการจะให้การช่วยเหลือ ผู้คนก็ล้มป่วยหรือตายจากญาติพี่น้องก็มี พวกเจ้าลองอธิบายให้ข้าฟังสักหน่อย หากเป็นงานที่ไม่ยากเกินไป ข้าจะได้เรียกทุกคนมาประชุมหารือร่วมกันทันที”เขาเป็นหัวหน้าหมู่บ้าน ย่อมไม่อยากเห็นลูกบ้านของตนอยู่อย่างยากลำบากเกินไป เมื่อมีลู่ทางหาเงินเขาจะไม่สนับสนุนได้เช่นไร“เรื่องนี้
ด้านฟางซินและบุตรชายทั้งสอง เมื่อกลับมาถึงบ้านก็ช่วยกันเก็บของเข้าที่จนเรียบร้อย ทั้งสองคนจึงบอกกับมารดาว่าจะไปพบสหาย เพื่อพูดคุยเรื่องอาชีพเสริมที่น้องสาวคิดขึ้นมา นางอนุญาตให้พวกเขาไปหาสหายได้ ส่วนตนเองนั้นจะอยู่รอสามีกับบุตรสาวอยู่ตรงหน้าบ้านเอง“ท่านแม่ท่านพักผ่อนอยู่ที่บ้าน รอท่านพ่อกับน้องเล็กไปก่อน ข้ากับน้องรองจะไปพบสหายเสียหน่อย เพื่อคุยเรื่องอาชีพเสริมของน้องเล็กขอรับ”“ใช่แล้วท่านแม่ พวกเราสองคนไปไม่นานจะรีบกลับมาขอรับ”“พวกเจ้าไปเถอะแม่อยู่คนเดียวได้ อีกสักพักพ่อกับน้องสาวพวกเจ้าก็คงจะกลับมาแล้วล่ะ”ลู่เวินบังคับเกวียนเข้าประตูบ้าน ภายหลังจากที่บุตรชายออกไปไม่ถึงหนึ่งจิบชา พอฟางซินเห็นสามีกับบุตรสาวกลับมาก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อยว่า สามีไปเอาเกวียนมาจากที่ใดเพราะราคาน่าจะหลายตำลึง ทั้งยังเป็นเกวียนวัวที่มีหลังคาอีกด้วย“ท่านพี่นี่ท่านไปเอาเกวียนวัวจากที่ใดมาเจ้าคะ” ฟางซินเอ่ยถามสามีเมื่อเห็นเขาบังคับเกวียนเล่มใหญ่เข้ามา“อ้อ เกวียนวัวเล่มนี้เป็นของครอบครัวของเรา เพราะต้องใช้มันขนของเพื่อไปพักในตำบลชั่วคราว หลังจากนี้พวกเราจะสร้างบ้านหลังใหม่แทนหลังเดิม” ลู่เวินอธิบายให้ภรรยาข