เมื่อออกจากร้านเครื่องประดับของเถ้าแก่หง สองคนพ่อลูกก็เดินไปยังที่ว่าการของตำบลหย่งฝู เพื่อสอบถามเรื่องร้านค้า หากวันนี้สามารถซื้อได้เลยจะเป็นการดีมาก
“น้องชายไม่ทราบว่าใต้เท้าอยู่หรือไม่ พอดีข้ากับบุตรสาวจะมาสอบถามเกี่ยวกับ การซื้อร้านค้าที่ติดป้ายประกาศขายน่ะ”
“ท่านมาติดต่อซื้อร้านค้าเช่นนั้นหรือ ใต้เท้ากงอยู่ด้านในห้องทำงานนี่แหละเดี๋ยวพวกท่านสองคนเดินตามข้าเข้ามาก็แล้วกัน”
“ขอบใจน้องชายท่านนี้มากนะ”
ลู่เวินและลู่ชิงเดินตามทหารคนนั้นเข้าด้านในศาลาว่าการ เพื่อเข้าไปพบใต้เท้ากงที่นั่งอ่านรายงานการทำงานของลูกน้องอยู่ พอได้ยินเสียงคนเดินมาก็เงยหน้าขึ้นมองและเอ่ยถามออกไป
“เจ้าพาผู้ใดมารึ แล้วพวกเขามาติดต่อเรื่องอะไร”
“เรียนใต้เท้า พวกเขาสองคนพ่อลูกบอกว่า จะมาติดต่อเรื่องการซื้อร้านค้าขอรับ”
“อืม เช่นนั้นเชิญท่านทั้งสองนั่งรอก่อนสักประเดี๋ยว ข้าจะเอารายละเอียดของร้านค้ามาให้พวกท่านได้เลือกนะ” ใต้เท้ากงหยิบกระดาษแผ่นใหญ่มากางบนโต๊ะ ให้ลู่ชิงกับบิดาได้เลือกร้านค้าที่ต้องการ
“ขอบคุณใต้เท้ามากขอรับ/ขอบคุณใต้เท้าเจ้าค่ะ”
นั่งรอเพียงไม่นานใต้เท้ากง ก็เดินถือเอกสารมาวางบนโต๊ะดูคร่าว ๆ น่าจะมีมากกว่าสามร้าน คงต้องถามทำเลที่ตั้งของร้านก่อนว่า มีร้านไหนเป็นทำเลทองสำหรับเปิดกิจการของตนหรือไม่
“นี่เป็นร้านค้าที่ต้องการขายอยู่ในตอนนี้ ร้านที่ทำเลดีที่สุดจะอยู่เยื้องกับโรงน้ำชาขนาดใหญ่ เป็นร้านค้าสองชั้นสภาพถือว่ายังดีอยู่มาก หากต้องการปรับปรุงก็มีเพียงจุดเล็ก ๆ น้อย ๆ ถ้าซื้อร้านนี้ถือว่าคุ้มแน่นอน ส่วนอีกสองร้านจะอยู่ทางทิศตะวันตกของตำบล คนละฝั่งถนนแต่ผู้คนไม่ค่อยไปเดินแถวนั้นสักเท่าไหร่ พวกเจ้าลองปรึกษากันก่อนถ้าตัดสินใจอย่างไรก็บอกข้าได้เลย”
ลู่เวินและลู่ชิงมองรายละเอียดของร้านแล้ว ก็เห็นด้วยกับใต้เท้ากง สองร้านนั้นราคาไม่แพงมาก แต่อยู่ในที่ไม่มีผู้คนพลุกพล่าน จึงไม่เหมาะกับการทำร้านค้าสักเท่าไหร่ ทั้งสองคนเห็นตรงกันว่าร้านแรกทำเลดีที่สุด เพราะเคยเดินผ่านร้านนี้ไปหลายครั้งเหมือนกัน
“รบกวนถามใต้เท้าเจ้าค่ะ ไม่ทราบว่าร้านค้าร้านแรกตั้งราคาขายอยู่ที่เท่าไหร่หรือเจ้าคะ”
“เจ้าของร้านตั้งราคาขายไว้ที่เจ็ดร้อยห้าสิบตำลึงทอง พวกท่านรับได้กับราคานี้หรือไม่เล่า”
“อืม ใต้เท้าพอจะลดให้สักหน่อยได้ไหมเจ้าคะ ข้ายังต้องใช้เงินในการปรับปรุงและตกแต่งภายในร้านอยู่ไม่น้อยเลยเจ้าค่ะ”
ใต้เท้ากงมองลู่ชิงและใช้ความคิดไปด้วย เขาไม่คิดว่าแม่นางน้อยคนนี้จะเฉลียวฉลาดไม่น้อย เพราะนางรู้จักต่อรองราคาเพื่อไม่ให้ตนเสียเปรียบจนเกินไป
“ข้าตกลงขายให้พวกท่านที่เจ็ดร้อยยี่สิบตำลึงทองก็แล้วกัน ลดราคาให้พวกท่านได้เท่านี้จริง ๆ คงจะลดมากกว่านี้ไม่ได้แล้วล่ะ”
“ตกลงเจ้าค่ะพวกเราซื้อที่ราคานี้ รบกวนใต้เท้าเรื่องเอกสารและโฉนดร้านค้าให้พวกเราด้วยนะเจ้าคะ”
“รบกวนใต้เท้าแล้วขอรับ หากร้านค้าของพวกเราเปิดเมื่อไหร่ ข้าจะมาเชิญใต้เท้าไปร่วมงานอย่างแน่นอนขอรับ”
“ขอบคงขอบคุณอะไรกันข้าก็ทำตามหน้าที่เท่านั้น พวกท่านรอที่นี่สักประเดี๋ยว ข้าจะทำเรื่องเอกสารและออกโฉนดร้านค้าให้ทันที”
“ขอรับใต้เท้า”
“ท่านพ่อเจ้าคะ ประเดี๋ยวหากได้โฉนดร้านมาแล้ว พวกเราแวะดูร้านสักหน่อย อ้อ ข้าเกือบลืมว่าจะให้ท่านพ่อซื้อเกวียนวัวสักเล่มด้วยเจ้าค่ะ ถ้าเราปรับปรุงร้านเสร็จจะได้ขนของมานอนที่ร้านก่อน และให้นายช่างไปสร้างบ้านของเราที่หมู่บ้านอันผิง ว่าแต่ท่านพ่อเองพอจะรู้จักนายช่างที่รับสร้างบ้านหรือไม่เจ้าคะ”
“พ่อเคยได้ยินคนในหมู่บ้าน ที่มาทำงานในตำบลพูดถึงเหมือนกัน น่าจะชื่อนายช่างหาน ถือว่ามีชื่อเสียงด้านการรับสร้างบ้านพอสมควร เจ้าจะจ้างให้นายช่างหานไปปรับปรุงร้าน และสร้างบ้านของเราใช่หรือไม่”
“ท่านพ่อเข้าใจถูกต้องแล้วเจ้าค่ะ อันดับแรกปรับปรุงร้านค้าก่อนคงจะใช้เงินไม่มากเท่าไหร่ ส่วนการสร้างบ้านข้าจะทำหลังใหญ่สักหน่อย มีห้าห้องนอนพร้อมห้องน้ำในตัว ห้องโถงรับแขกและห้องครัวขนาดใหญ่เจ้าค่ะ
เท่าที่ข้าได้เดินดูพื้นที่รอบ ๆ บ้านของพวกเราน่าจะมีอยู่ประมาณเกือบสิบหมู่ คงจะพอสร้างบ้านหลังใหญ่ได้รวมถึงแบ่งพื้นที่ เพื่อทำแปลงผักสวนครัว หลังจากนายช่างปรับปรุงร้านเสร็จแล้ว ข้าจะให้ไปสร้างบ้านของพวกเราต่อทันที และจะสร้างกำแพงล้อมรอบบริเวณบ้าน สร้างให้สูงสักหนึ่งจั้งเจ้าค่ะ”
“บริเวณบ้านของเราก็ถือว่ามีพื้นที่กว้างอยู่หลายหมู่ หากจะสร้างกำแพงล้อมไว้ก็เป็นการป้องกันอันตรายได้เช่นกัน และยังป้องกันการสอดรู้สอดเห็นของชาวบ้านบางคน ที่อิจฉาริษยาผู้อื่นที่ได้ดีกว่าตนอีกทางหนึ่ง”
ระหว่างที่สองคนพ่อลูกกำลังปรึกษา เรื่องการปรับปรุงร้านค้าและสร้างบ้านอยู่นั้น ใต้เท้ากงก็เดินเอาโฉนดร้านค้ามาส่งให้พอดี ซึ่งมันใช้เวลาแค่เพียงหนึ่งเค่อเท่านั้น
“นี่เป็นโฉนดร้านค้าของพวกท่าน ข้าจัดการเปลี่ยนชื่อเจ้าของร้านเป็นชื่อพวกท่านเรียบร้อยแล้ว ขอให้การค้าของพวกท่านเจริญรุ่งเรืองขายดิบขายดีนะ”
“ขอบคุณใต้เท้ามากขอรับ หากเรียบร้อยแล้วข้ากับบุตรสาวขอตัวกลับก่อนนะขอรับ”
ใต้เท้ากงพยักหน้าและส่งยิ้มให้เป็นคำตอบ ยืนส่งพวกเขาอยู่ในห้องทำงาน จนทั้งสองคนเดินพ้นประตูออกไป เขารู้สึกอิจฉาลู่เวินที่มีบุตรสาวที่เฉลียวฉลาดเช่นนี้
ลู่เวินและลู่ชิงพากันเดินออกจากศาลาว่าการ แล้วตรงไปร้านค้าที่เพิ่งซื้อมาเพื่อดูรายละเอียดว่า มีจุดไหนที่ต้องทำการปรับปรุงบ้างจะได้คำนวณราคาเผื่อเอาไว้ก่อน พอได้เห็นตัวอาคารของร้าน ลู่ชิงก็รู้สึกว่าคิดถูกแล้วที่ตัดสินใจซื้อที่นี่ เพราะมันเป็นทำเลที่ดีใช้ได้เลยหน้าร้านกว้างมีพื้นที่วางของได้สองฝั่ง
ครัวด้านหลังอากาศก็ถ่ายเทสะดวก เวลาทอดหมูทอดไก่กลิ่นควันจากเตาไฟก็พัดออกทางด้านหลัง ไม่มีลอยไปหน้าร้านแน่นอน ชั้นสองคงทำห้องพักสักสองห้อง ไว้นอนพักชั่วคราวระหว่างรอให้บ้านสร้างเสร็จ ร้านนี้เป็นที่ถูกใจลู่ชิงมาก ด้านหน้าขายน้ำซู่ซ่าส่วนด้านหลังทำอาหารช่างลงตัวอะไรขนาดนี้
“ท่านพ่อเจ้าคะ เท่าที่ดูชั้นล่างจะปรับปรุงเพียงพื้นให้แข็งแรง และเรียบเสมอกันไม่ให้มีจุดที่เดินสะดุดได้ง่าย ส่วนชั้นสองก็ปรับปรุงเป็นสองห้องนอนสำหรับพักชั่วคราว ส่วนพวกโต๊ะและเก้าอี้ไว้ให้ลูกค้านั่ง ทานอาหารเดี๋ยวค่อยเอาออกมาจากในมิติก็ได้เจ้าค่ะ ท่านพ่ออยากปรับปรุงตรงไหนเพิ่มเติมอีกหรือไม่เจ้าคะ”
“เท่าที่เดินดูด้วยกัน พ่อคิดว่าปรับปรุงอย่างที่เจ้าว่ามาก็ดีแล้วล่ะ อาจจะมีให้คนงานมาถางหญ้าด้านหลังร้าน และทำที่จอดเกวียนวัวเพิ่มก็น่าจะพอ”
“ข้าก็คิดเอาไว้เช่นนั้นเหมือนกันเจ้าค่ะ เดี๋ยวเราปิดร้านต่อด้วยไปซื้อเกวียนกับวัวเสร็จแล้วค่อยกลับบ้าน เพื่อบอกข่าวดีนี้กับทุกคนกันนะเจ้าคะ”
“ได้สิลูก หน้าที่นี้ยกให้พ่อจัดการเอง”
พวกเราเดินมาทางทิศตะวันออกไม่ไกล ก็เจอกับร้านที่ขายทั้งรถม้าและเกวียนวัว บริเวณฝั่งนี้จะเป็นพื้นที่สำหรับการค้าขายสัตว์เป็นส่วนใหญ่ ทั้งสองคนเดินไปสอบถามร้านที่ดูสะอาดมากกว่าที่อื่น
“นายท่านไม่ทราบว่าต้องการรถม้าหรือเกวียนวัวขอรับ ลองเดินเลือกดูก่อนถ้าถูกใจตัวไหนสามารถบอกข้าได้เลยขอรับ” คนงานร้านนี้ต้อนรับลูกค้าอย่างมีมารยาท
“ข้าอยากได้เกวียนสักเล่มพร้อมกับวัวสองตัว ที่ดูแข็งแรงหน่อยเจ้าพอจะแนะนำให้ได้หรือไม่”
“เชิญนายท่านตามข้ามาทางด้านนี้เลยขอรับ มีวัวหนุ่มอายุสองสามปีอยู่หลายตัวท่านเลือกดูได้เลยขอรับ”
“ท่านน้า ไม่ทราบว่าวัวหนุ่มพวกนี้ราคาตัวละเท่าไหร่เจ้าคะ”
“วัวหนุ่มเช่นนี้ทางร้านเราขายตัวละสามตำลึงเงินขอรับ”
“อืม ถือว่าราคาไม่ได้แพงเกินไปเช่นนั้นก็เอาวัวสองตัวนี้ แล้วเกวียนร้านของเจ้าขายเล่มละเท่าไหร่เล่า” ราคาวัวพอรับได้ลู่เวินจึงถามเรื่องเกวียนวัวเพิ่ม
“เกวียนวัวปกติไม่มีหลังคาจะขายเล่มละสองตำลึงเงิน ส่วนเกวียนที่มีหลังคาจะขายเล่มละ สามตำลึงเงินห้าร้อยอีแปะขอรับนายท่าน ไม่ทราบว่านายท่านสนใจแบบไหนดีขอรับ”
“ท่านพ่อเอาเกวียนแบบมีหลังคาน่าจะดีกว่าเจ้าค่ะ อย่างน้อยก็กันแดดกันฝนได้ด้วย”
“พ่อก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน คงต้องรบกวนน้องชายนำวัวสองตัวนี้ไปเทียมเกวียนให้ด้วยก็แล้วกันนะ”
“ได้ขอรับนายท่าน รอสักประเดี๋ยวข้าจะรีบไปจัดการให้เดี๋ยวนี้เลยขอรับ”
คนงานดีใจมากที่วันนี้ เขาสามารถแนะนำให้ลูกค้าซื้อทั้งวัวและเกวียนได้ คงจะได้ค่าแรงพิเศษจากเถ้าแก่ไม่น้อย เขารีบนำวัวสองตัวไปเทียมเกวียน ไม่นานก็บังคับเกวียนกลับมาหาทั้งสองคนทันที
“นายท่าน เกวียนของท่านเรียบร้อยแล้วขอรับ”
“ขอบใจเจ้ามาก นี่เป็นเงินค่าเกวียนและวัวทั้งสองตัว รวมแล้วก็เก้าตำลึงเงินห้าร้อยอีแปะ ส่วนสิบอีแปะนี่ข้าให้เป็นค่าน้ำใจ ที่เจ้าจัดการทุกอย่างได้รวดเร็ว”
“ขอบคุณนายท่าน ๆ ขอรับ”
ลู่เวินพยักหน้ารับคำของคนงานแล้ว จึงพาลู่ชิงขึ้นเกวียนวัวเพื่อกลับบ้าน ไปบอกข่าวดีเรื่องร้านค้าให้กับทุกคน และจะได้ไปหารือกับหัวหน้าหมู่บ้าน เรื่องอาชีพเสริมที่บุตรสาวอยากช่วยเหลือชาวบ้านเสียที
ด้านฟางซินและบุตรชายทั้งสอง เมื่อกลับมาถึงบ้านก็ช่วยกันเก็บของเข้าที่จนเรียบร้อย ทั้งสองคนจึงบอกกับมารดาว่าจะไปพบสหาย เพื่อพูดคุยเรื่องอาชีพเสริมที่น้องสาวคิดขึ้นมา นางอนุญาตให้พวกเขาไปหาสหายได้ ส่วนตนเองนั้นจะอยู่รอสามีกับบุตรสาวอยู่ตรงหน้าบ้านเอง“ท่านแม่ท่านพักผ่อนอยู่ที่บ้าน รอท่านพ่อกับน้องเล็กไปก่อน ข้ากับน้องรองจะไปพบสหายเสียหน่อย เพื่อคุยเรื่องอาชีพเสริมของน้องเล็กขอรับ”“ใช่แล้วท่านแม่ พวกเราสองคนไปไม่นานจะรีบกลับมาขอรับ”“พวกเจ้าไปเถอะแม่อยู่คนเดียวได้ อีกสักพักพ่อกับน้องสาวพวกเจ้าก็คงจะกลับมาแล้วล่ะ”ลู่เวินบังคับเกวียนเข้าประตูบ้าน ภายหลังจากที่บุตรชายออกไปไม่ถึงหนึ่งจิบชา พอฟางซินเห็นสามีกับบุตรสาวกลับมาก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อยว่า สามีไปเอาเกวียนมาจากที่ใดเพราะราคาน่าจะหลายตำลึง ทั้งยังเป็นเกวียนวัวที่มีหลังคาอีกด้วย“ท่านพี่นี่ท่านไปเอาเกวียนวัวจากที่ใดมาเจ้าคะ” ฟางซินเอ่ยถามสามีเมื่อเห็นเขาบังคับเกวียนเล่มใหญ่เข้ามา“อ้อ เกวียนวัวเล่มนี้เป็นของครอบครัวของเรา เพราะต้องใช้มันขนของเพื่อไปพักในตำบลชั่วคราว หลังจากนี้พวกเราจะสร้างบ้านหลังใหม่แทนหลังเดิม” ลู่เวินอธิบายให้ภรรยาข
ก๊อก ๆ ๆ “มีใครอยู่หรือไม่ ท่านอาหลิ่วขอรับข้าลู่เวินมีเรื่องมาหารือกับท่านขอรับ”ลู่เวินพาบุตรสาวมาถึงบ้านท่านอาหลิ่วอาน ที่เป็นหัวหน้าหมู่บ้านก็เคาะประตูเรียกเจ้าของบ้าน รอไม่นานก็มีคนมาเปิดประตู“หืม อาเวินเองรึข้าก็นึกว่าผู้ใด เข้ามานั่งด้านในก่อนเถิดค่อยพูดคุยกัน”“ขอบคุณขอรับ”“ชิงเอ๋อร์ก็มาด้วยหรือ ว่าแต่พวกเจ้ามีเรื่องอะไรถึงมาหาข้าในยามนี้เล่า”“ข้ากับบุตรสาวมีเรื่องอยากจะหารือกับท่าน ถ้าครอบครัวข้าอยากจะหาอาชีพเสริม มาให้ชาวบ้านทำเพื่อให้มีรายได้เพิ่ม ท่านอาหลิ่วคิดเห็นว่าอย่างไรขอรับ” เมื่อเข้ามานั่งด้านในบ้านแล้วลู่เวินก็พูดขึ้นทันที“อาชีพเสริมเช่นนั้นรึ ถ้ามันช่วยให้ชาวบ้านมีรายได้เพิ่มข้าย่อมสนับสนุน หมู่บ้านของเราใช่ว่าจะมีฐานะร่ำรวย ยามเกิดภัยแล้งภัยหนาวล้วนลำบากทั้งนั้น กว่าทางการจะให้การช่วยเหลือ ผู้คนก็ล้มป่วยหรือตายจากญาติพี่น้องก็มี พวกเจ้าลองอธิบายให้ข้าฟังสักหน่อย หากเป็นงานที่ไม่ยากเกินไป ข้าจะได้เรียกทุกคนมาประชุมหารือร่วมกันทันที”เขาเป็นหัวหน้าหมู่บ้าน ย่อมไม่อยากเห็นลูกบ้านของตนอยู่อย่างยากลำบากเกินไป เมื่อมีลู่ทางหาเงินเขาจะไม่สนับสนุนได้เช่นไร“เรื่องนี้
เมื่อการประชุมเรื่องอาชีพเสริมของชาวบ้านอันผิง ผ่านไปได้ด้วยดีสองคนพ่อลูกจึงรีบกลับบ้าน จะได้ทานมื้อเที่ยงและพักผ่อน พรุ่งนี้ยังต้องไปติดต่อนายช่างหาน เพื่อว่าจ้างให้มาปรับปรุงร้านค้า“ท่านพ่อเจ้าคะวันนี้พักผ่อนให้มากหน่อยชดเชยก่อนหน้านี้ ที่ท่านต้องลำบากทำงานหาเงินตั้งหลายปี” ลู่ชิงสงสารคนในครอบครัวที่ต้องลำบาก ประคับประคองชีวิตมาจนถึงตอนนี้มันไม่ง่ายเลยจริง ๆลู่ชิงเอ่ยเช่นนี้เพราะอยากให้ครอบครัว ได้มีเวลาพักผ่อนเยอะ ๆ แม้ตอนนี้จะมีข้าวกินจนอิ่มท้องและมีน้ำจากบ่อวิเศษ แต่ร่างกายทุกคนยังดูผอมกันอยู่ จึงต้องทานอาหารบำรุงดี ๆ รวมถึงการพักผ่อนเพื่อให้ภายในร่างกายได้ฟื้นฟูอย่างเต็มที่ลู่เวินเข้าใจความห่วงใยนี้ของลู่ชิง และมันเป็นเรื่องจริงที่พวกเขา พยายามกันอยากมากกับการทำงานเลี้ยงชีพ เมื่อยามนี้พอมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น การพักฟื้นร่างกายย่อมเป็นสิ่งสำคัญ “พ่อจะทำตามที่ชิงเอ๋อร์แนะนำเป็นอย่างดี รวมถึงท่านแม่และพี่ชายของเจ้าด้วยเช่นกัน”“ดีมากเจ้าค่ะ อิอิ”“ท่านพี่กลับมาแล้วหรือเจ้าคะ เรื่องที่ไปหารือกับผู้ใหญ่บ้านเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ” ฟางซินกังวลว่าจะมีชาวบ้านที่ไม่เชื่อเรื่องอาชีพ“กา
ทางครอบครัวลู่ชิงช่วยกันแจกอาหารจนหมดเกลี้ยงแล้ว ก็เก็บของขึ้นเกวียนก่อนจะฝากไว้ กับคนที่รับฝากเกวียนใกล้ ๆ แถวนั้น เพราะพวกเขาจะไปบ้านของนายช่างหาน เพื่อติดต่อให้ไปปรับปรุงร้านค้า รวมถึงสร้างบ้านใหม่ที่หมู่บ้านอันผิงด้วย“น้องชายท่านนี้ไม่ทราบว่า นายช่างหานอยู่หรือไม่ พอดีว่าข้าจะมาติดต่อให้เขาไปปรับปรุงร้านค้าและสร้างบ้านน่ะ” ลู่เวินถามกับคนงาน ที่กำลังเตรียมของอยู่ในลานบ้านของนายช่างหาน“หืม พวกท่านมาติดต่องานหรือขอรับ นายช่างหานอยู่ด้านใน พวกท่านเดินเข้าไปไม่ไกลก็เจอแล้วขอรับ” เขาตอบกลับไปด้วยถ้อยคำที่สุภาพ“ขอบใจมากนะน้องชาย”“ยินดีขอรับ” มีลูกค้ามาก็ต้องต้อนรับดี ๆ หน่อยลู่เวินพาทุกคนเดินเลยลานบ้านเข้ามา ก็ได้เจอนายช่างหานที่กำลังสั่งงานลูกน้องอยู่พอดี จึงเข้าไปทักทายอย่างสุภาพ“พี่ชายท่านนี้ไม่ทราบว่าใช่นายช่างหานหรือไม่ขอรับ ข้ามาติดต่อว่าจ้างไปปรับปรุงร้านค้ากับสร้างบ้านขอรับ” ลู่เวินเอ่ยถามเพื่อความแน่ใจ“อ้อ ข้านายช่างหานเอง เมื่อกี้เจ้าบอกว่าจะมาจ้างงานข้าเช่นนั้นหรือ” นายช่างหานหันมาตอบลู่เวินอย่างเป็นธรรมชาติ“ใช่ขอรับ พวกเราได้ยินหลายคนพูดกันว่า ท่านมีฝีมือในการสร้างบ้
ลู่เวินที่พานายช่างหานมาถึงบ้านก็ไม่รอช้า พวกเขาเดินไปดูพื้นที่รอบ ๆ บ้าน เพื่อทำการวัดขนาดความกว้างความยาวของที่ดินทั้งหมด ลู่ชิงยังบอกให้นายช่างหานทำกำแพงบ้านสูงหนึ่งจั้งเสียก่อน จากนั้นค่อยสร้างบ้านโดยบ้านที่ลู่ชิงจะให้สร้างตามแบบ เป็นบ้านสองชั้นต้องใช้ก้อนอิฐในการสร้างเท่านั้น ชั้นบนมีสี่ห้องนอนมีห้องน้ำในตัว ส่วนชั้นล่างหนึ่งห้องนอนมีห้องน้ำเช่นกัน และมันเป็นห้องของลู่ชิงเอง ส่วนห้องน้ำอีกห้องเอาไว้สำหรับแขกที่มาเยี่ยมบ้านนายช่างหานก็รับปากจะทำอย่างเต็มที่ และที่สำคัญเขาอยากเห็นบ้านหลังนี้ หลังจากสร้างเสร็จตามแบบที่ได้รับมาเร็ว ๆ เสียเหลือเกินตอนนี้หมดหน้าที่ของลู่ชิงตรงนี้แล้ว นางจึงขอตัวไปเข้าครัวเพื่อเตรียมข้าวมื้อเที่ยงสำหรับทุกคนลู่ชิงเข้ามาในบ้านก็เอ่ยชวนมารดาเข้าครัวด้วยกันทันที “ท่านแม่เจ้าคะ พวกเราเข้าครัวเตรียมทำอาหารมื้อเที่ยง รอท่านพ่อกับนายช่างหานกันเถิดเจ้าค่ะ”“ชิงเอ๋อร์จะให้แม่ทำตรงส่วนไหนบ้าง บอกมาได้เลยลูกแม่จะจำวิธีการทำไว้ เผื่ออยากกินอีกจะได้ลงมือทำเอง” ฟางซินชอบดูวิธีการทำอาหารของบุตรสาวมาก“ได้สิเจ้าคะ เช่นนั้นรบกวนท่านแม่ล้างพวกผักต่าง ๆ ที่ต้องใส่ในอาห
เซียวหนิงหลงสั่งการเรื่องนี้กับตันเจียง เพื่อจะได้ให้เจียวมิ่งเตรียมตัวให้พร้อม ว่าจะต้องมาทำหน้าที่เกี่ยวกับอะไรที่ตำบลหย่งฝูแห่งนี้“ขอรับ ข้าน้อยจะส่งจดหมายถึงเจียวมิ่ง ให้เตรียมตัวพร้อมออกเดินทาง” ตันเจียงแอบคิดในใจว่า เขาจะเขียนเรื่องคุณหนูลู่ชิงไปด้วยนิดหน่อย ให้เจียวมิ่งเอาไปเล่าให้ท่านอ๋องกับพระชายาฟัง คงจะตกใจจนคาดไม่ถึงเป็นแน่“พวกเจ้าเตรียมตัวไว้ให้พร้อมคืนนี้เข้ายามจื่อ พวกเราจะเริ่มลงมือเพื่อสะกดรอยตามคนพวกนั้น” เขาจะต้องติดตามและจับเป็นสายลับกลับเมืองหลวงให้ได้ หากชักช้าย่อมไม่เป็นผลดีกับชาวบ้านแถบชายแดน ที่ต้องใช้ชีวิตอยู่อย่างหวาดระแวง ว่าจะเกิดสงครามขึ้นมายามใดนายช่างหานที่เดินสำรวจ และวัดพื้นที่ทั้งหมดของบ้านตระกูลสวี ก็แจ้งกับลู่เวินว่าต้องใช้เวลาในการสร้างบ้าน และสร้างกำแพงรอบบ้านนั้นประมาณสามเดือน เขาคิดราคารวมทั้งหมดแล้ว เป็นเงินห้าร้อยเจ็ดสิบตำลึงทองเพราะต้องใช้วัสดุอย่างดี และค่าจ้างคนงานที่ต้องจ้างมาเพิ่ม เมื่อตกลงและทำสัญญาเรียบร้อย นายช่างหานก็ได้ลิ้มลองอาหารรสชาติอร่อยที่เขาไม่เคยกินที่ไหนมาก่อน ถึงกับเอ่ยปากชมลู่ชิงไม่หยุด แม้กระทั่งตอนจะกลับยังบอกอีกว่า
ลู่ชิงเห็นพ่อบ้านชิมอาหารด้วยความตื่นเต้นดีใจ จึงหันไปหาพี่ชายอย่างลู่เสียนเพื่อขอให้พี่ชายมาช่วยห่อข้าว นางจะคุยเรื่องราคาอาหาร และต้องการให้ทางพ่อบ้านส่งคนมารับอาหารที่นี่แทน หากจะให้นำอาหารไปส่งที่เมืองหย่งจินคงจะขาดคนทำงานเป็นแน่“ท่านพ่อบ้านเจ้าคะ อาหารที่ท่านสั่งข้าคิดราคาแตกต่างกันสักหน่อย อย่างข้าวผัดหมูและผัดกะเพรา ข้าจะทำใส่หม้อใบใหญ่อย่างที่ท่านเห็น ราคาจะอยู่ที่หม้อละห้าสิบตำลึงเงิน ส่วนหมูทอดไก่ทอดจะใช้วัตถุดิบอย่างละยี่สิบจิน รวมสามอย่างก็หกสิบจินคิดราคาสิบห้าตำลึงเงิน รวมทั้งหมดคือหนึ่งร้อยสี่สิบห้าตำลึงเงิน ท่านพ่อบ้านคิดว่าราคานี้เป็นอย่างไรเจ้าคะ” ลู่ชิงไม่ได้เอากำไรมากมาย เพราะราคาที่บอกไปมันเป็นกำไรล้วน ๆ ต่างหาก“อืม ราคาที่เจ้าพูดมาก็ถือว่าไม่แพงจนเกินไป แค่เนื้อก็ราคาสูงกว่าอย่างอื่นอยู่แล้ว ข้าตกลงสั่งอาหารกับเจ้าในราคาที่เจ้าเสนอมา” พ่อบ้านคำนวณแล้วถือว่าราคาถูกกว่า ไปสั่งอาหารที่เหลาอาหารในเมืองเสียอีก ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องของรสชาติอาหาร ก็แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง“ขอบคุณเจ้าค่ะ เช่นนั้นเช้าวันงานรบกวนท่านพ่อบ้าน ให้คนมารับอาหารที่แผงขายของนี้ ทางเราจะมีของแถมเ
ตันเจียงที่เห็นว่านายน้อยของตน เอาแต่จ้องหน้าคุณหนูลู่ชิงจึงกระแอมกระไอเสียงดัง เพื่อเรียกสติเจ้านายเสียหน่อย ประเดี๋ยวจะออกเดินทางล่าช้าได้ หากปล่อยให้อยู่ในอาการของคนตกหลุมรักเด็กสาวตรงหน้า“อะแฮ่ม ๆ ไม่ทราบว่าคุณหนูลู่ชิงจะไปที่ใดหรือ ถึงได้เดินมาทางนี้เพียงลำพังน่ะขอรับ” ตันเจียงเป็นคนเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ“อ้อ ข้ากำลังจะไปดูนายช่างหาน ที่มาปรับปรุงร้านเป็นวันแรกเจ้าค่ะ แต่ก็เกิดเรื่องขึ้นเสียก่อน คงต้องเอาไว้ค่อยมาดูพรุ่งนี้กับท่านพ่อแทนแล้วล่ะเจ้าค่ะ” พรุ่งนี้ค่อยชวนทุกคนมาดูพร้อมกันน่าจะดีกว่า“นายช่างได้บอกหรือไม่ว่าใช้เวลากี่วัน ถึงจะปรับปรุงร้านค้าของเจ้าเสร็จ” เซียวหนิงหลงเอ่ยถามกับลู่ชิงบ้าง“บอกเจ้าค่ะใช้เวลาไม่เกินยี่สิบวัน เพราะต้องต่อเติมด้านบนชั้นสองทำเป็นห้องพักสองห้อง จากนั้นครอบครัวข้าจะย้ายมาพักที่นี่ชั่วคราว และให้นายช่างหานไปสร้างบ้านต่อที่หมู่บ้านอันผิงเจ้าค่ะ” ลู่ชิงตอบด้วยท่าทางเป็นธรรมชาติ แถมยังส่งยิ้มให้กับเซียวหนิงหลงอีกด้วย“หากพี่จะฝากคนให้มาเป็นลูกจ้างของร้านเจ้า สักสามสี่คนจะได้หรือไม่ พวกเขาเป็นกำพร้าแต่เด็กไม่มีครอบครัว เจ้าพอจะรับไว้ได้ไหม” เขาต้อ
ยามสายของวันนี้ครอบครัวของลู่ชิง จะย้ายไปพักอยู่ที่ร้านอาหารเป็นการชั่วคราว ซึ่งเมื่อวานลู่ชิงได้แจ้งกับลูกค้าทุกคน ที่มาซื้ออาหารที่แผงไว้แล้วว่า จะหยุดขายอาหารที่แผงตรงนี้ โดยจะเปิดขายอาหารอีกครั้งที่ร้านอาหารของครอบครัวทุกคนสามารถตามไปซื้อ หรือนั่งทานอาหารที่ร้านได้ และยังได้บอกกับลูกค้าอีกว่า จะมีน้ำหลากสีที่ดื่มแล้วรู้สึกสดชื่นมาขายที่ร้านด้วย ลูกค้าที่ได้ฟังต่างก็เฝ้ารอ ให้ถึงวันเปิดร้านอาหารของครอบครัวลู่ชิง พวกเขาอยากไปชิมอาหารรายการที่จะมีเพิ่ม และน้ำหลากหลายสีที่เถ้าแก่น้อยได้บอกไว้เสียทีทุกคนช่วยกันขนของ ที่เป็นหีบใส่เสื้อผ้าเสียส่วนใหญ่ขึ้นเกวียน เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้วลู่เวินก็เป็นคนบังคับเกวียน เดินทางเข้าตำบลหย่งฝูใช้เวลาเพียงสองเค่อ พวกเขาก็มาถึงร้านแล้ว พี่ชายสองคนช่วยกันยกหีบใบขนาดกลางสองสามหีบ ลงจากเกวียนเพื่อที่ท่านพ่อจะได้นำเกวียนไปจอดด้านหลังร้านลู่ชิงปล่อยให้บุรุษทั้งสามยกหีบขึ้นไปเก็บบนชั้นสอง ส่วนตนเองและมารดาเข้ามาอยู่ด้านในห้องครัว เพื่อจะนำเอาโต๊ะไม้สี่เหลี่ยมขนาดนั่งได้สี่คน และเก้าอี้ไม้แบบมีพนักพิงออกมาจากมิติ รอบิดาและพี่ชายลงมาสมทบค่อยยกออกไปจัดวางด้
ด้านลู่ชิงกับครอบครัว หลังจากที่นำน้ำยาปรับผ้านุ่ม ไปเสนอทำการค้ากับเถ้าแก่หง ยามเช้าของวันที่สองยังไม่ถึงกำหนดวัน ที่นัดเจอกันไว้กลับกลายเป็นว่า เถ้าแก่หงมาหาพวกเขาถึงแผงขายอาหาร เพราะต้องการมาให้คำตอบว่า ตนตกลงทำการค้าตามข้อเสนอของลู่ชิง โดยให้นำหนังสือสัญญาการค้า ไปให้เขาลงชื่อที่ร้านหลังจากลู่ชิงขายของหมดเรียบร้อยแล้วเถ้าแก่หงที่ได้รับรายงานจากหลงจู๊ของร้านผ้า ทั้งสามสาขาที่ให้ลองเอาน้ำยาปรับผ้านุ่มนี้ไปทดลองขาย เพียงแค่วันเดียวลูกค้ากลับมาถามถึงน้ำยาชนิดนี้มากมาย จนหลงจู๊ของร้านต้องยอมให้พวกเขาลงชื่อจองสินค้าไว้ก่อน เมื่อสินค้าส่งไปแล้วทางร้านจะแจ้งให้ลูกค้ามารับตามลำดับการจอง ซึ่งลูกค้าทุกคนที่ลงชื่อจองไว้ ได้จ่ายค่ามัดจำครึ่งหนึ่งเพื่อเพิ่มความมั่นใจ ว่าตนเองจะได้รับสินค้าแน่นอน ถึงจะทำเช่นนั้นแต่พวกเขาก็เชื่อใจร้านค้าของเถ้าแก่หงอยู่แล้วลู่ชิงจึงให้บิดากับลู่จื้อถือหนังสือสัญญา ไปพบเถ้าแก่หงพร้อมนำสินค้าไปส่งจำนวนสองร้อยห้าสิบขวด ซึ่งเป็นขวดใบใหญ่ทั้งสิ้น นอกจากนี้เถ้าแก่หงยังได้แบ่งกำไร จากสินค้าทดลองขายฝากมากับบิดาถึงห้าสิบตำลึงทอง ลู่ชิงจึงมอบให้มารดาเก็บไว้ ต่อไปก็แค่รอร
ฮ่องเต้เซียวถิงเฟิงที่ทรงทอดพระเนตรมองอนุชา และหลานชายของพระองค์ ต่างจ้องหน้ากันด้วยสีหน้าที่ดูกังวล จึงทรงคิดว่าอาจจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นกับตัวของพระองค์อย่างแน่นอน“เสด็จพี่ กระหม่อมกับอาหลงสองคนสงสัยว่า อาการที่พระองค์ทรงตรัสออกมากับกระหม่อมเมื่อครู่นั้น เป็นอาการเริ่มแรกของคนที่ถูกวางยาพิษมาสักระยะหนึ่งแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ท่านอ๋องเซียวไม่ปิดบังพูดเรื่องที่ตนและบุตรชายสงสัยออกไปทันที“เจ้าพูดว่าอะไรนะชินอ๋อง!! เจิ้นถูกวางยาพิษเช่นนั้นรึ แต่ว่าก่อนที่จะทานอะไร จ้าวกงกงจะทดสอบพิษด้วยเข็มเงินทุกครั้ง จะเป็นไปได้อย่างไรกันที่จะตรวจไม่พบยาพิษในอาหาร” ฮ่องเต้เซียวถิงเฟิงตกพระทัยไม่น้อย ที่ได้ยินอนุชาของพระองค์พูดเช่นนั้น“ตุบ! ท่านอ๋องบ่าวได้ทดสอบด้วยตนเองทุกครั้งจริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ แต่ไม่พบว่ามียาพิษปะปนอยู่ในอาหารเหล่านั้นเลย” จ้าวกงกงยืนยันว่าได้ตรวจสอบด้วยตนเองทุกครั้ง“เปิ่นหวางรู้ว่าจ้าวกงกงย่อมทำหน้าที่ตรวจสอบด้วยตนเอง แต่ยาพิษบางชนิดไร้สีไร้กลิ่น และไม่อาจจะใช้เข็มเงินในการตรวจได้ เจ้าจึงไม่รู้ว่ายาพิษนั้นอยู่ในอาหารชนิดใดต่างหาก” ท่านอ๋องไขความกระจ่างให้กับจ้าวกงกง“เสด็จลุงหลานไม่ขอปิ
ด้านเซียวหนิงหลงกับผู้ติดตาม ที่เดินทางจากตำบลหย่งฝูใช้เวลาเดินทางครั้งนี้เกือบหนึ่งเดือน เพราะพวกเขาต้องใช้รถม้า นำตัวสายลับพวกนี้กลับไปด้วย ทำให้การเดินทางล่าช้าไปบ้าง ยังโชคดีที่ระหว่างทางไม่เกิดปัญหา มิเช่นนั้นอาจจะถึงเมืองหลวงช้ากว่านี้อย่างแน่นอนเมื่อเข้าใกล้เขตเมืองหลวง เซียวหนิงหลงได้นำตัวสายลับไปคุมขังไว้ที่คุกใต้ดิน ทางด้านทิศตะวันออกห่างจากกำแพงเมืองหลวงประมาณสิบลี้ บริเวณนี้คล้ายหมู่บ้านเล็ก ๆ มีผู้คนอาศัยอยู่ไม่กี่ครัวเรือน สิ่งนี้เป็นเรื่องธรรมดาสำหรับชาวบ้าน ที่อยู่รอบนอกกำแพงเมือง แต่อันที่จริงคนเหล่านี้ล้วนเป็นหน่วยลับของเซียวชินอ๋อง ที่แสร้งมาสร้างบ้านอยู่กันเป็นครอบครัวบดบังคุกใต้ดินที่อยู่ที่นี่“ตันเจียง ชุนชาน พวกเจ้าเอาตัวสายลับพวกนี้ไปขังไว้ที่คุกใต้ดิน จากนั้นกำชับคนของเราให้จับตาดูไว้ อย่าให้คลาดสายตาหากไม่มีคำสั่ง ห้ามปลดโซ่ออกจากมือและเท้าเด็ดขาด ข้าจะกลับไปรายงานเสด็จพ่อส่วนพวกเจ้าค่อยตามไปทีหลัง” เขาสั่งงานทั้งสองคนเสร็จก็ควบม้าออกจากทันที เพราะต้องการให้ครอบครัวของตน โดยเฉพาะบิดาได้ดื่มน้ำสมุนไพรนี้ของลู่ชิง ในเมื่อมันสามารถช่วยให้ตนบรรลุขั้นพลังยุทธ์ได
เถ้าแก่หงเรียกหลงจู๊ของร้านมาสั่งการ ให้นำน้ำยาปรับผ้านุ่มนี้ส่งไปที่ร้านค้าผ้าสักสามสาขา แล้วแบ่งขายเป็นขวดขนาดกลาง ดูผลตอบรับจากลูกค้าก่อนที่จะตัดสินใจว่า จะร่วมทำการค้านี้หรือไม่ทางด้านลู่ชิงและครอบครัว เดินมาตามทางที่เถ้าแก่หงแนะนำ ตอนนี้ทุกคนมายืนอยู่หน้าร้านขายสมุนไพร กึ่งโรงหมอเรียบร้อยแล้วคนป่วยที่มาต่อแถวเพื่อรักษา ส่วนมากเป็นชาวบ้านที่มีรายได้น้อยแต่เท่าที่มองดูผู้ช่วยหมอที่พูดคุย และสอบถามอาการของคนป่วย ก็พอจะเดาได้ไม่ยากว่าที่นี่ดูแลคนป่วยด้วยใจจริง ๆ ลู่เวินจึงตัดสินใจเดินเข้าไปทักผู้ช่วยหมอ ที่กำลังตรวจคัดคนป่วยเบื้องต้นอยู่“เอ่อ น้องชายข้าขอรบกวนเวลาเจ้าสักประเดี๋ยวได้หรือไม่” ลู่เวินทักทายผู้ช่วยหมอเพื่อจะสอบถามเรื่องท่านหมอเกา“พี่ชายจะสอบถามเรื่องอันใดหรือขอรับ” ผู้ช่วยหมอได้ยินเสียงจากด้านหลัง จึงหยุดการตรวจคัดกรองคนป่วย และหันมาถามลู่เวินแทน“ข้าอยากจะขอพบท่านหมอเกา พอดีว่าครอบครัวข้ามีเรื่องยาสมุนไพร จะมาพูดคุยกับท่านหมอเกาน่ะ” ลู่เวินบอกกับผู้ช่วยท่านหมอเกาไปตามตรง“ตอนนี้ท่านหมอเกากำลังตรวจอาการคนป่วยอยู่ แต่ว่าเหลืออีกไม่กี่คนก็จะได้พักแล้วขอรับ ไม่ทราบว่า
สินค้าที่ครอบครัวสวีรับซื้อมาจากชาวบ้าน ลู่ชิงเอาไปเก็บไว้ในมิติก่อน เพราะร้านค้ายังปรับปรุงไม่เสร็จ และเย็นวันเดียวกันทุกคนก็เข้าไปช่วยกันทำอาหาร สำหรับงานเลี้ยงให้ลูกค้า ซึ่งได้นัดเวลากันไว้ในยามเช้าของวันพรุ่งนี้หลังจากทุกคนช่วยกันทำอาหารให้ลูกค้าเสร็จ ลู่ชิงก็เดินไปที่ช่องสินค้าที่เป็นยาสมุนไพรต่าง ๆ ทั้งชนิดเม็ดและชนิดน้ำ มียาสำหรับเด็กรวมถึงยาบำรุงภายในของสตรี ลู่ชิงจะลองเอาไปเสนอขายที่ร้านขายยาสมุนไพรดู เผื่อจะได้คู่ค้าเพิ่มอีกสักราย ลู่ชิงจึงเดินไปหาทุกคนที่กำลังนั่งเล่นกันอยู่ด้านหน้าห้างสรรพสินค้า“ท่านพ่อท่านแม่เจ้าคะ ข้ามีเรื่องอยากจะถามพวกท่านหน่อยได้หรือไม่ พี่ใหญ่กับพี่รองด้วยนะเจ้าคะ” ลู่ชิงต้องรีบคุย ถ้าทุกคนเห็นด้วยกับนางจะได้เตรียมของไว้ในมิติไปเลยทีเดียว“ชิงเอ๋อร์มีเรื่องอะไรจะถามพวกเราหรือลูก?” ลู่เวินถามขึ้นเมื่อเห็นบุตรสาวเหมือนอยากจะทำอะไรสักอย่าง“ข้าอยากจะถามพวกท่าน เกี่ยวกับยารักษาโรคจำพวกสมุนไพร ถ้าจะลองนำไปเสนอขายให้กับร้านสมุนไพร หรือโรงหมอจะเห็นด้วยหรือไม่เจ้าคะ” ลู่ชิงลุ้นกับคำตอบของทุกคนมาก ๆ หากนำไปขายได้ อย่างน้อยก็มีประโยชน์กับคนที่เจ็บป่วย“ยารัก
เช้าวันนี้เป็นวันหยุดประจำของครอบครัวลู่ชิง ทุกคนล้วนไม่เร่งรีบไม่ต้องตื่นแต่เช้ามืด วันหยุดทุกคนจะตื่นปลายยามเหม่ากัน ซึ่งก็เป็นลู่ชิงที่ตั้งกฏนี้ขึ้นมาอีกเช่นเคย นางแค่อยากให้พวกเขาได้นอนพักผ่อนอย่างเต็มที่ ตอนนี้ครอบครัวของนางก็เริ่มจะมีเนื้อมีหนังขึ้นมาบ้างแล้ว บำรุงอีกสักเดือนคงจะกลับมาสมบูรณ์ปกติกันเช่นเดิมและวันนี้จะเป็นวันแรก ที่ลู่ชิงจะเปิดรับซื้อผลิตภัณฑ์ของชาวบ้าน หลังทานมื้อเช้ากันเรียบร้อย ทุกคนต่างก็เตรียมเหรียญอีแปะใส่กระปุกไม้เอาไว้พร้อมแล้ว ลู่ชิงได้ให้บิดาไปแจ้งหัวหน้าหมู่บ้านไว้ว่า จะขอใช้พื้นที่ลานอเนกประสงค์ของหมู่บ้านในการรับซื้อผลิตภัณฑ์ เมื่อใช้พื้นที่ตรงนี้เสร็จแล้ว จะจ่ายค่าบำรุงให้กับหัวหน้าหมู่บ้านทุกครั้ง เพื่อให้หัวหน้าหมู่บ้านนำเงินส่วนนี้ไว้ช่วยเหลือคนที่เดือดร้อน จากภัยแล้งหรือภัยหนาวก็สามารถใช้เงินส่วนนี้ได้ โดยไม่ต้องรอเงินช่วยเหลือจากทางการ“วันนี้เราจะเปิดรับซื้อผลิตภัณฑ์จากชาวบ้านเป็นวันแรก ทุกคนพร้อมกันหรือยังเจ้าคะ” ลู่ชิงรู้สึกตื่นเต้นกับเรื่องนี้มาก เพราะที่ร้านอาหารของนางจำเป็นต้องใช้สิ่งเหล่านี้“น้องเล็กเจ้ายังจะถามอีกรึ พวกเรามาตั้งโต๊ะรอ
เซียวหนิงหลงใช้เวลาเดินทาง ออกจากเมืองหย่งจินมาแล้วสองชั่วยาม ในตอนนี้เขาและผู้ติดตามกำลังพักอยู่ใกล้ริมลำธาร เพื่อให้ม้าได้ดื่มน้ำกินหญ้า ในส่วนของคนก็ต้องทานอาหารเช่นกันเขานึกถึงคำพูดของลู่ชิงที่บอกให้ลองดื่มน้ำสมุนไพร เมื่อออกจากเมืองหย่งจินมาระยะหนึ่งแล้วจะได้รับคำตอบ ไม่รอช้าเซียวหนิงหลงหยิบถุงหนังใส่น้ำสมุนไพรขึ้นมาดื่ม ทันทีที่น้ำสมุนไพรเข้าไปในร่างกาย เขาก็รู้สึกโล่งเบาสบายเป็นอย่างมากอาการเหนื่อยล้าเล็กน้อยจากการขี่ม้าก็หายไป นอกจากนี้เขายังสัมผัสถึงลมปราณที่วิ่งไปยังจุดต่าง ๆ ในร่างกาย เหมือนกับว่าเขากำลังจะบรรลุวรยุทธ์ขั้นสูงได้อย่างสมบูรณ์ ไม่แปลกใจที่ชิงเอ๋อร์กำชับเอาไว้ว่า อย่าแบ่งน้ำสมุนไพรนี้ให้กับใครพร่ำเพรื่อเด็ดขาด เซียวหนิงหลงถือถุงหนังใส่น้ำสมุนไพรเดินไปหาตันเจียงกับชุนชาน เพื่อแบ่งให้พวกเขาสองคนได้ดื่ม และจะเก็บไว้ให้กับครอบครัวของเขาด้วยเช่นกัน“ตันเจียง ชุนชาน พวกเจ้าแยกมาด้านนี้สักประเดี๋ยว” เขาเรียกผู้ติดตามทั้งสองคนให้เดินมาหาอีกทางหนึ่ง เพื่อป้องกันพวกสายลับจะได้ยินสิ่งที่พวกเขากำลังจะพูดคุยกัน“ไม่ทราบว่าซื่อจื่อมีอะไรจะสั่งการพวกเราหรือขอรับ” ตันเจียงเ
ตันเจียงที่เห็นว่านายน้อยของตน เอาแต่จ้องหน้าคุณหนูลู่ชิงจึงกระแอมกระไอเสียงดัง เพื่อเรียกสติเจ้านายเสียหน่อย ประเดี๋ยวจะออกเดินทางล่าช้าได้ หากปล่อยให้อยู่ในอาการของคนตกหลุมรักเด็กสาวตรงหน้า“อะแฮ่ม ๆ ไม่ทราบว่าคุณหนูลู่ชิงจะไปที่ใดหรือ ถึงได้เดินมาทางนี้เพียงลำพังน่ะขอรับ” ตันเจียงเป็นคนเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ“อ้อ ข้ากำลังจะไปดูนายช่างหาน ที่มาปรับปรุงร้านเป็นวันแรกเจ้าค่ะ แต่ก็เกิดเรื่องขึ้นเสียก่อน คงต้องเอาไว้ค่อยมาดูพรุ่งนี้กับท่านพ่อแทนแล้วล่ะเจ้าค่ะ” พรุ่งนี้ค่อยชวนทุกคนมาดูพร้อมกันน่าจะดีกว่า“นายช่างได้บอกหรือไม่ว่าใช้เวลากี่วัน ถึงจะปรับปรุงร้านค้าของเจ้าเสร็จ” เซียวหนิงหลงเอ่ยถามกับลู่ชิงบ้าง“บอกเจ้าค่ะใช้เวลาไม่เกินยี่สิบวัน เพราะต้องต่อเติมด้านบนชั้นสองทำเป็นห้องพักสองห้อง จากนั้นครอบครัวข้าจะย้ายมาพักที่นี่ชั่วคราว และให้นายช่างหานไปสร้างบ้านต่อที่หมู่บ้านอันผิงเจ้าค่ะ” ลู่ชิงตอบด้วยท่าทางเป็นธรรมชาติ แถมยังส่งยิ้มให้กับเซียวหนิงหลงอีกด้วย“หากพี่จะฝากคนให้มาเป็นลูกจ้างของร้านเจ้า สักสามสี่คนจะได้หรือไม่ พวกเขาเป็นกำพร้าแต่เด็กไม่มีครอบครัว เจ้าพอจะรับไว้ได้ไหม” เขาต้อ