เช้าวันใหม่เวียนมาถึงผู้มาจากแดนเหนือตื่นกันตั้งแต่เช้า พวกเขานอนไม่ค่อยหลับไม่ใช่เพราะไม่ชินกับสภาพอากาศ แต่เป็นความรู้สึกตื่นเต้นดีใจด้วยวันนี้จะได้เรียนการทำอาหาร เยวี๋ยนจิ้งห้าวหัวหน้ากลุ่มจากแดนเหนือได้พูดคุยกับเจียวมิ่ง เขามองเห็นถึงความชื่นชมนับถือจากสายตาของทุกคนและยังแอบกระซิบบอกกับตนอีกด้วยว่า คุณหนูลู่ชิงจะสอนการทำอาหารเพิ่มอีกสองสามอย่าง ซึ่งเป็นอาหารที่รสชาติเผ็ดร้อนเป็นอาหารที่เหมาะกับคนแดนเหนือเป็นอย่างมาก เยวี๋ยนจิ้งห้าวถูกปลดจากกองทัพเพราะแขนซ้ายขาด จากการต่อสู้กับศัตรูจำนวนมากกว่าทำให้เขาเสียเปรียบ จึงต้องสูญเสียแขนไปหนึ่งข้างเพื่อรักษาชีวิตของตนเองเอาไว้จนได้เวลาที่ร้านอาหารตระกูลสวีจะเปิดแล้ว เป็นก้งคุนที่มาตามพวกเขาเพื่อไปที่ร้านพร้อมกัน เพื่อเริ่มเรียนรู้ตั้งแต่การเปิดร้านการจัดโต๊ะสำหรับลูกค้าทั้งฝั่งร้านอาหารและร้านก๋วยเตี๋ยว“สวัสดีตอนเช้าเจ้าค่ะท่านอาทั้งหลาย เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะหายเหนื่อยกันบ้างหรือยัง”“พวกข้าหายเหนื่อยแล้วขอรับคุณหนู พร้อมจะเรียนการทำอาหารจากท่านตอนนี้ก็ยังได้ขอรับ”“ท่านอาอย่าเพิ่งใจร้อนไปเลยเจ้าค่ะ อาหารที่จะให้พวกท่านได้ทำนั้นไม่ได้ม
กลุ่มของเยวี๋ยนจิ้งห้าวได้อยู่ที่ตำบลหย่งฝู เพื่อเรียนการทำอาหารเป็นเวลาสิบวันการเรียนโดยลงมือปฏิบัติจริงนั้นแค่สี่วัน โดยอาหารอย่างต้มยำที่ลู่ชิงได้สอนเพิ่มมีถึงสามรายการ และต้มจืดหนึ่งรายการคือต้มยำไก่ ต้มยำขาหมู ต้มแซ่บกระดูกหมูและต้มจืดไข่น้ำส่วนอีกหกวันจากนั้นคือการทดลองการทำงานในร้านอาหารไปในตัว ทุกคนได้เรียนรู้ถึงวิธีการถามตอบลูกค้าเวลาสั่งอาหาร หรือเสื้อผ้าการแต่งกายก็ต้องดูสะอาดสะอ้านน่ามอง การจัดจานใส่อาหารรวมถึงวิธีบริหารจัดการร้านก็ได้เรียนทั้งหมดก่อนถึงวันเดินทางกลับแดนเหนือหนึ่งวัน ลู่ชิงกับครอบครัวได้เตรียมเครื่องปรุงรสที่จำเป็นต้องใช้ให้กับเยวี๋ยนจิ้งห้าว เครื่องปรุงรสนี้จัดใส่กระปุกปิดฝาอย่างดีและเพียงพอต่อหนึ่งเดือน ส่วนเงินที่ใช้ซื้อร้านค้าและอุปกรณ์ทุกอย่างที่ต้องใช้ทำอาหาร ลู่ชิงมอบเงินลงทุนทำร้านให้เยวี๋ยนจิ้งห้าวเป็นผู้รับผิดชอบ ซึ่งเป็นเงินจำนวนสองพันตำลึงทอง หากมีเงินเหลือจากส่วนนี้ให้เก็บเอาไว้จ่ายเป็นค่าจ้างของลูกจ้างที่ร้านและต้องทำบัญชีไว้ทุกครั้ง“ท่านอาเยวี๋ยนนี่คือเงินทุนเปิดร้านที่แดนเหนือ ในถุงเงินนี้มีอยู่สองพันตำลึงทองมอบให้ท่านรับผิดชอบดูแล ซื้อร
หลังจากส่งคนจากแดนเหนือกลับไปได้ไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์ ลู่ชิงกับครอบครัวก็ได้ฤกษ์ย้ายเข้าบ้านใหม่ตรงกับวันหยุดพอดี จึงไม่ต้องกังวลเรื่องร้านอาหารมากเท่าไหร่นัก ทุกคนต่างลงความเห็นว่าทำพิธีตามธรรมเนียมก็พอ ไม่ต้องจัดงานเลี้ยงอะไรให้ยิ่งใหญ่แบบคนอื่นทุกคนเพียงช่วยกันทำอาหารและนำไปแจกจ่ายให้ชาวบ้าน หากต้องจัดงานเลี้ยงเชิญผู้คนมากมายยังต้องเหนื่อยอีกหลายวัน แค่ทำงานทุกคนก็เหนื่อยทุกวันอยู่แล้วเพราะเหตุนี้ครอบครัวลู่ชิงจึงย้ายเข้าบ้านใหม่อย่างเรียบง่ายที่สุด แต่ถึงอย่างไรตัวบ้านหลังนี้ก็ตั้งโดดเด่นอยู่บนเนินเขา ก่อนถึงท้ายหมู่บ้านเวลาที่ทุกคนอยู่บนชั้นสอง สามารถมองเห็นได้ทั่วทั้งหมู่บ้านอันผิงเชียวล่ะ ที่สำคัญลู่ชิงไม่ลืมให้นายช่างหานทำห้องพักเพิ่ม สำหรับพวกเจียวมิ่งอยู่ด้านข้างตัวบ้านห้องพักนี้เป็นแถวยาวมีทั้งหมดหกห้องลู่ชิงทำเผื่อเอาไว้ หากครอบครัวของตนอยากจะมีบ่าวรับใช้สักสองสามคน ก็ให้มาพักที่นี่นั่นเองทุกคนพากันเดินสำรวจรอบ ๆ บริเวณบ้านกันอย่างสนุกสนาน แต่ลู่ชิงกำลังนั่งคิดทบทวนเรื่องบางอย่างเกี่ยวกับร้านก๋วยเตี๋ยว ที่กำลังจะเปิดสาขาเพิ่มที่เมืองหย่งเหอและเมืองหย่งเฉิง ลู่เวินเดินลงมาจ
ในตำบลหย่งฝูและเมืองหย่งจินกำลังมีความสุข กับการได้ลิ้มลองก๋วยเตี๋ยวแบบแห้งที่ร้านตระกูลสวี บรรดาลูกค้าต่างหลั่งไหลมารอชิมตั้งแต่ร้านยังไม่เปิด เพราะเกรงว่าหากมาช้าจะอดกินเสียก่อน ซึ่งบรรยากาศช่างแตกต่างกับเมืองหลวงแคว้นฉู่ลิบลับเมื่อครั้งที่เซียวหนิงหลงได้รับฟังปัญหาจากบิดา เรื่องที่ขุนนางเลว ๆ หลายคนพยายามเรียกร้อง ขอให้รัชทายาทรับชายาและสนมเข้าตำหนักบูรพาเพิ่ม เซียวหนิงหลงไม่ได้นิ่งนอนใจหรือไม่ยอมลงมือทันทีเช่นเดิม แต่เขากำลังปล่อยให้บุตรหลานของขุนนางพวกนั้นได้ใจไปก่อนการเงินหมุนเวียนในเมืองหลวงเพิ่มมากขึ้น เพราะสตรีพวกนี้ต้องการสวมเสื้อผ้าที่งดงาม ทุกอย่างที่สามารถทำให้อยู่ในสายพระเนตร พวกนางต่างทำทุกทางแต่ละตระกูลจับจ่ายเงินเป็นว่าเล่น ด้วยคิดว่าบุตรหลานของตนต้องได้รับเลือกจากองค์รัชทายาทเมืองหลวงยามกลางวันดูเงียบเหงาลงไปไม่น้อย เนื่องจากคุณหนูทั้งหลายต้องฝึกมารยาทและเรียนรู้กฎเกณฑ์ต่าง ๆ โดยไม่รู้ตัวเลยว่าอีกสองสัปดาห์ต่อจากนี้ จะมีการแต่งงานที่ยิ่งใหญ่เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก และหวังว่าจะไม่มีครั้งที่สองในเมืองหลวงแห่งนี้ ชินอ๋องที่เห็นว่าบุตรชายยังคงเงียบไม่ท่าทีจะลงมือ จึงเอ่ย
เมื่อใต้เท้าเยี่ยกับใต้เท้าเมิ่งรู้สึกตัวก็พบว่าตนนั้นอยู่ที่จวนแล้ว การนั่งคุกเข่าอ้อนวอนขอความเมตตาจากฮ่องเต้ไม่เป็นผล แม้จะไม่อยากให้บุตรสาวอันเป็นที่รักต้องเดินทางไกล แต่ไม่อาจขัดราชโองการได้จำต้องจัดเตรียมสินเดิมและคนคุ้มกันบุตรสาวอย่างเยี่ยหลิงถิง เดินทางร่วมกับขบวนเจ้าสาวไปส่งให้ถึงแดนใต้อย่างปลอดภัยกัวฮูหยินเป็นลมไปแล้วหลายรอบเพราะสามีขอร้องฮ่องเต้ไม่สำเร็จ บุตรสาวต้องจากไปไกลตาส่วนบุตรชายยังต้องรับอนุเพิ่มอีก ยิ่งตอนนี้พระสนมเยี่ยเกิดล้มป่วยจนไม่สามารถลุกขึ้นมาได้ พวกเขาไม่มีใครที่จะออกหน้าให้ความช่วยเหลืออีกแล้วเช่นเดียวกับจวนใต้เท้าเมิ่งบุตรสาวที่ท่าทางเรียบร้อยอ่อนหวาน บัดนี้กลับกลายเป็นดั่งนางปีศาจกำลังอาละวาด ขว้างปาข้าวของจนบ่าวไพร่วิ่งหลบกันให้จ้าล่ะหวั่นทั่วเรือน ไหนจะเสียงกรีดร้องจนไม่มีผู้ใดอยากเข้าใกล้แม้แต่มารดาอย่างถูเซิงหนี่ยังทำได้เพียงยืนมองอยู่ไกล ๆ เพราะนางรู้ถึงความเอาแต่ใจและอารมณ์ร้ายกาจของบุตรสาว เมิ่งเจียวลู่คาดหวังว่าจะได้เป็นชายารองของรัชทายาทอย่างมาก นางพยายามฝึกควบคุมอารมณ์และการแสดงออกทางสีหน้า จนได้รับคำชมจากอาจารย์ผู้สอนทั้งการวางตัวการนั่ง
บนที่นอนเก่า ๆ มีร่างของเด็กสาวอายุสิบสองหนาวที่นอนป่วยติดต่อกันมาห้าวันแล้วกำลังขยับตัว ร่างผอมบางแทบจะปลิวหากถูกลมแรง ๆ พัดมา จนลืมตาขึ้นมาได้ก็รู้สึกปวดเมื่อยตามตัวไปหมด เมื่อปรับสายตาได้จึงมองสำรวจรอบ ๆ ก็แปลกใจว่าเธอมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง เข็มขาวจำได้ว่าเธอถูกรถชนอย่างแรง และตายไปแล้วแต่ตอนนี้ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่ได้ แถมยังใส่ชุดเหมือนคนจีนโบราณเมื่อนั่งทบทวนเรื่องราวอยู่จู่ ๆ ก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมาอย่างแรงและมีความทรงจำของร่างนี้ มันกำลังหลั่งไหลเข้ามาในหัวของเธอจนต้องนอนนิ่ง ๆ อยู่เกือบหนึ่งเค่อ อาการปวดหัวเหล่านั้นจึงเริ่มดีขึ้น เธอเรียบเรียงความทรงจำของร่างนี้ ก็พบว่าร่างที่เธอเข้ามาอยู่นั้นมีชื่อว่าสวีลู่ชิงอายุสิบสองหนาว ท่านพ่อของนางถูกท่านปู่แท้ ๆ ไล่ออกจากตระกูล เพราะมีคนสร้างหลักฐานเท็จใส่ร้ายว่า ท่านพ่อทำบัญชีปลอมเพื่อโกงเงินร้านค้าผ้าเมื่อมีหลักฐานชี้ชัดก็ไม่อาจก้ตัวอะไรได้ ท่านพ่อจึงพาทุกคนเดินทางมาบ้านเดิมของท่านย่าที่หมู่บ้านอันผิง ยามออกจากจวนพวกเขาไม่อาจหยิบของมีค่าติดตัวมาได้ โชคดีที่ท่านแม่แอบนำตั๋วเงิน มาเย็บไว้ในเสื้อผ้าของลู่ชิงจึงพอมีเงินจ่ายค่าเดินทาง จากพ่
ลู่ชิงนอนหลับสนิทอยู่สักพัก แต่กลับถูกรบกวนด้วยเสียงใครบางคน ที่พยายามเรียกตนเองให้ตื่น ทั้งที่กำลังนอนหลับสบาย จากอาการป่วยจนร่างกายไร้เรี่ยวแรงมานาน เมื่อทนการรบเร้านี้ไม่ไหว จึงได้ลืมตาตื่นมองไปรอบ ๆ ที่ยามนี้ไม่ใช่เตียงนอนเก่า ๆ อีกแล้ว แต่เป็นสถานที่หนึ่งกับชายชราผมขาว ที่ยืนถือไม้เท้าลักษณะแปลก ๆ มองมาที่ลู่ชิงอย่างเหนื่อยใจ“นางหนู ๆ ๆ ตื่นได้แล้วกระมัง จะนอนกินบ้านกินเมืองหรืออย่างไร โลกโน้นทำเจ้าอดหลับอดนอน พอข้ามมายังโลกนี้ก็ยังต้องมาเหนื่อยอีกงั้นรึ” ชายแก่ผมขาวในมือยังถือไม้เท้า พยายามปลุกร่างบางที่ยังนอนหลับอยู่“อืม ขอนอนต่ออีกสักหน่อยนะเจ้าคะ” ลู่ชิงยังไม่รู้ตัวว่าตอนนี้นางไม่ได้อยู่บนเตียงนอนในบ้านของตนเอง“ถ้าเจ้ายังไม่ยอมตื่นขึ้นมาเสียทีละก็ ข้าจะไม่ให้ของดีกับเจ้านะนางหนู” ชายแก่ยังไม่ยอมแพ้ที่จะปลุกนาง“พรึ่บ!! หือ! ที่นี่คือที่ไหน ไม่ใช่ห้องนอนในบ้านนี่ แล้วเมื่อกี้เสียงใครปลุกข้าให้ตื่นกันล่ะ” ข้ารู้สึกแปลกใจที่มีคนมาปลุก และพูดว่าจะให้ของดีอีกพอหันไปด้านหลัง ก็เจอกับชายแก่ผมขาวที่ดูใจดีคนหนึ่งยืนอยู่เงียบ ๆ“ท่านตาเป็นใครหรือเจ้าคะ แล้วที่นี่คือที่ไหน หรือว่าข้า
เมื่อถึงปลายยามโหย่ว หลังจากที่ทุกคนทานมื้อเย็นเสร็จ และเก็บจานชามไปทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว ก็กลับมารวมตัวกันอยู่ที่โต๊ะทานข้าวอีกครั้ง และเป็นท่านพ่อที่เอ่ยถาม เรื่องที่ลู่ชิงอยากจะพูดคุยกับพวกเขาขึ้นมา ซึ่งนี่เป็นเรื่องที่น่าแปลกใจ สำหรับทุกคนในครอบครัวอย่างมาก เพราะเมื่อก่อนลู่ชิงจะพูดน้อยและทำตัวเงียบ ๆ หากไม่มีผู้ใดถามนาง ก็จะทำงานของตนไม่เคยมีข้อสงสัยใด ๆ“ชิงเอ๋อร์ ท่านแม่ของเจ้าบอกพ่อว่า เจ้ามีเรื่องอยากจะพูดคุยกับพวกเราเช่นนั้นหรือ” ลู่เวินเอ่ยถามบุตรสาว“เจ้าค่ะท่านพ่อ ข้ามีเรื่องสำคัญมาก อยากจะบอกความจริงบางอย่างกับพวกท่านทุกคน ก่อนที่จะเล่าข้าอยากขอให้พวกท่านตั้งสติและทำความเข้าใจกับสิ่งที่จะได้ยิน เพราะเรื่องที่จะพูดต่อไปนี้อาจจะเหลือเชื่อจนเกินไป หรือจะเรียกว่าเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติก็ว่าได้ แต่มันเกี่ยวข้องกับบุตรสาวคนนี้ของท่าน รวมถึงน้องสาวของพวกท่านสองคนด้วยเจ้าค่ะ” ที่ลู่ชิงพูดเช่นนั้นเพราะอยากให้พวกเขามีสติ กับความจริงที่นางกำลังจะพูดออกไป“เอาเถอะ ไม่ว่าจะเรื่องอะไร พวกเราทุกคนยินดีที่จะรับฟังทั้งสิ้น เจ้าพูดมันออกมาได้เลยนะชิงเอ๋อร์” เขาอยากจะรู้ว่าบุตรสาวมีเรื่
เมื่อใต้เท้าเยี่ยกับใต้เท้าเมิ่งรู้สึกตัวก็พบว่าตนนั้นอยู่ที่จวนแล้ว การนั่งคุกเข่าอ้อนวอนขอความเมตตาจากฮ่องเต้ไม่เป็นผล แม้จะไม่อยากให้บุตรสาวอันเป็นที่รักต้องเดินทางไกล แต่ไม่อาจขัดราชโองการได้จำต้องจัดเตรียมสินเดิมและคนคุ้มกันบุตรสาวอย่างเยี่ยหลิงถิง เดินทางร่วมกับขบวนเจ้าสาวไปส่งให้ถึงแดนใต้อย่างปลอดภัยกัวฮูหยินเป็นลมไปแล้วหลายรอบเพราะสามีขอร้องฮ่องเต้ไม่สำเร็จ บุตรสาวต้องจากไปไกลตาส่วนบุตรชายยังต้องรับอนุเพิ่มอีก ยิ่งตอนนี้พระสนมเยี่ยเกิดล้มป่วยจนไม่สามารถลุกขึ้นมาได้ พวกเขาไม่มีใครที่จะออกหน้าให้ความช่วยเหลืออีกแล้วเช่นเดียวกับจวนใต้เท้าเมิ่งบุตรสาวที่ท่าทางเรียบร้อยอ่อนหวาน บัดนี้กลับกลายเป็นดั่งนางปีศาจกำลังอาละวาด ขว้างปาข้าวของจนบ่าวไพร่วิ่งหลบกันให้จ้าล่ะหวั่นทั่วเรือน ไหนจะเสียงกรีดร้องจนไม่มีผู้ใดอยากเข้าใกล้แม้แต่มารดาอย่างถูเซิงหนี่ยังทำได้เพียงยืนมองอยู่ไกล ๆ เพราะนางรู้ถึงความเอาแต่ใจและอารมณ์ร้ายกาจของบุตรสาว เมิ่งเจียวลู่คาดหวังว่าจะได้เป็นชายารองของรัชทายาทอย่างมาก นางพยายามฝึกควบคุมอารมณ์และการแสดงออกทางสีหน้า จนได้รับคำชมจากอาจารย์ผู้สอนทั้งการวางตัวการนั่ง
ในตำบลหย่งฝูและเมืองหย่งจินกำลังมีความสุข กับการได้ลิ้มลองก๋วยเตี๋ยวแบบแห้งที่ร้านตระกูลสวี บรรดาลูกค้าต่างหลั่งไหลมารอชิมตั้งแต่ร้านยังไม่เปิด เพราะเกรงว่าหากมาช้าจะอดกินเสียก่อน ซึ่งบรรยากาศช่างแตกต่างกับเมืองหลวงแคว้นฉู่ลิบลับเมื่อครั้งที่เซียวหนิงหลงได้รับฟังปัญหาจากบิดา เรื่องที่ขุนนางเลว ๆ หลายคนพยายามเรียกร้อง ขอให้รัชทายาทรับชายาและสนมเข้าตำหนักบูรพาเพิ่ม เซียวหนิงหลงไม่ได้นิ่งนอนใจหรือไม่ยอมลงมือทันทีเช่นเดิม แต่เขากำลังปล่อยให้บุตรหลานของขุนนางพวกนั้นได้ใจไปก่อนการเงินหมุนเวียนในเมืองหลวงเพิ่มมากขึ้น เพราะสตรีพวกนี้ต้องการสวมเสื้อผ้าที่งดงาม ทุกอย่างที่สามารถทำให้อยู่ในสายพระเนตร พวกนางต่างทำทุกทางแต่ละตระกูลจับจ่ายเงินเป็นว่าเล่น ด้วยคิดว่าบุตรหลานของตนต้องได้รับเลือกจากองค์รัชทายาทเมืองหลวงยามกลางวันดูเงียบเหงาลงไปไม่น้อย เนื่องจากคุณหนูทั้งหลายต้องฝึกมารยาทและเรียนรู้กฎเกณฑ์ต่าง ๆ โดยไม่รู้ตัวเลยว่าอีกสองสัปดาห์ต่อจากนี้ จะมีการแต่งงานที่ยิ่งใหญ่เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก และหวังว่าจะไม่มีครั้งที่สองในเมืองหลวงแห่งนี้ ชินอ๋องที่เห็นว่าบุตรชายยังคงเงียบไม่ท่าทีจะลงมือ จึงเอ่ย
หลังจากส่งคนจากแดนเหนือกลับไปได้ไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์ ลู่ชิงกับครอบครัวก็ได้ฤกษ์ย้ายเข้าบ้านใหม่ตรงกับวันหยุดพอดี จึงไม่ต้องกังวลเรื่องร้านอาหารมากเท่าไหร่นัก ทุกคนต่างลงความเห็นว่าทำพิธีตามธรรมเนียมก็พอ ไม่ต้องจัดงานเลี้ยงอะไรให้ยิ่งใหญ่แบบคนอื่นทุกคนเพียงช่วยกันทำอาหารและนำไปแจกจ่ายให้ชาวบ้าน หากต้องจัดงานเลี้ยงเชิญผู้คนมากมายยังต้องเหนื่อยอีกหลายวัน แค่ทำงานทุกคนก็เหนื่อยทุกวันอยู่แล้วเพราะเหตุนี้ครอบครัวลู่ชิงจึงย้ายเข้าบ้านใหม่อย่างเรียบง่ายที่สุด แต่ถึงอย่างไรตัวบ้านหลังนี้ก็ตั้งโดดเด่นอยู่บนเนินเขา ก่อนถึงท้ายหมู่บ้านเวลาที่ทุกคนอยู่บนชั้นสอง สามารถมองเห็นได้ทั่วทั้งหมู่บ้านอันผิงเชียวล่ะ ที่สำคัญลู่ชิงไม่ลืมให้นายช่างหานทำห้องพักเพิ่ม สำหรับพวกเจียวมิ่งอยู่ด้านข้างตัวบ้านห้องพักนี้เป็นแถวยาวมีทั้งหมดหกห้องลู่ชิงทำเผื่อเอาไว้ หากครอบครัวของตนอยากจะมีบ่าวรับใช้สักสองสามคน ก็ให้มาพักที่นี่นั่นเองทุกคนพากันเดินสำรวจรอบ ๆ บริเวณบ้านกันอย่างสนุกสนาน แต่ลู่ชิงกำลังนั่งคิดทบทวนเรื่องบางอย่างเกี่ยวกับร้านก๋วยเตี๋ยว ที่กำลังจะเปิดสาขาเพิ่มที่เมืองหย่งเหอและเมืองหย่งเฉิง ลู่เวินเดินลงมาจ
กลุ่มของเยวี๋ยนจิ้งห้าวได้อยู่ที่ตำบลหย่งฝู เพื่อเรียนการทำอาหารเป็นเวลาสิบวันการเรียนโดยลงมือปฏิบัติจริงนั้นแค่สี่วัน โดยอาหารอย่างต้มยำที่ลู่ชิงได้สอนเพิ่มมีถึงสามรายการ และต้มจืดหนึ่งรายการคือต้มยำไก่ ต้มยำขาหมู ต้มแซ่บกระดูกหมูและต้มจืดไข่น้ำส่วนอีกหกวันจากนั้นคือการทดลองการทำงานในร้านอาหารไปในตัว ทุกคนได้เรียนรู้ถึงวิธีการถามตอบลูกค้าเวลาสั่งอาหาร หรือเสื้อผ้าการแต่งกายก็ต้องดูสะอาดสะอ้านน่ามอง การจัดจานใส่อาหารรวมถึงวิธีบริหารจัดการร้านก็ได้เรียนทั้งหมดก่อนถึงวันเดินทางกลับแดนเหนือหนึ่งวัน ลู่ชิงกับครอบครัวได้เตรียมเครื่องปรุงรสที่จำเป็นต้องใช้ให้กับเยวี๋ยนจิ้งห้าว เครื่องปรุงรสนี้จัดใส่กระปุกปิดฝาอย่างดีและเพียงพอต่อหนึ่งเดือน ส่วนเงินที่ใช้ซื้อร้านค้าและอุปกรณ์ทุกอย่างที่ต้องใช้ทำอาหาร ลู่ชิงมอบเงินลงทุนทำร้านให้เยวี๋ยนจิ้งห้าวเป็นผู้รับผิดชอบ ซึ่งเป็นเงินจำนวนสองพันตำลึงทอง หากมีเงินเหลือจากส่วนนี้ให้เก็บเอาไว้จ่ายเป็นค่าจ้างของลูกจ้างที่ร้านและต้องทำบัญชีไว้ทุกครั้ง“ท่านอาเยวี๋ยนนี่คือเงินทุนเปิดร้านที่แดนเหนือ ในถุงเงินนี้มีอยู่สองพันตำลึงทองมอบให้ท่านรับผิดชอบดูแล ซื้อร
เช้าวันใหม่เวียนมาถึงผู้มาจากแดนเหนือตื่นกันตั้งแต่เช้า พวกเขานอนไม่ค่อยหลับไม่ใช่เพราะไม่ชินกับสภาพอากาศ แต่เป็นความรู้สึกตื่นเต้นดีใจด้วยวันนี้จะได้เรียนการทำอาหาร เยวี๋ยนจิ้งห้าวหัวหน้ากลุ่มจากแดนเหนือได้พูดคุยกับเจียวมิ่ง เขามองเห็นถึงความชื่นชมนับถือจากสายตาของทุกคนและยังแอบกระซิบบอกกับตนอีกด้วยว่า คุณหนูลู่ชิงจะสอนการทำอาหารเพิ่มอีกสองสามอย่าง ซึ่งเป็นอาหารที่รสชาติเผ็ดร้อนเป็นอาหารที่เหมาะกับคนแดนเหนือเป็นอย่างมาก เยวี๋ยนจิ้งห้าวถูกปลดจากกองทัพเพราะแขนซ้ายขาด จากการต่อสู้กับศัตรูจำนวนมากกว่าทำให้เขาเสียเปรียบ จึงต้องสูญเสียแขนไปหนึ่งข้างเพื่อรักษาชีวิตของตนเองเอาไว้จนได้เวลาที่ร้านอาหารตระกูลสวีจะเปิดแล้ว เป็นก้งคุนที่มาตามพวกเขาเพื่อไปที่ร้านพร้อมกัน เพื่อเริ่มเรียนรู้ตั้งแต่การเปิดร้านการจัดโต๊ะสำหรับลูกค้าทั้งฝั่งร้านอาหารและร้านก๋วยเตี๋ยว“สวัสดีตอนเช้าเจ้าค่ะท่านอาทั้งหลาย เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะหายเหนื่อยกันบ้างหรือยัง”“พวกข้าหายเหนื่อยแล้วขอรับคุณหนู พร้อมจะเรียนการทำอาหารจากท่านตอนนี้ก็ยังได้ขอรับ”“ท่านอาอย่าเพิ่งใจร้อนไปเลยเจ้าค่ะ อาหารที่จะให้พวกท่านได้ทำนั้นไม่ได้ม
เซียวหนิงหลงนำกล่องไม้ที่ใส่นิ้วมือของเป้ยเฝิ่นลู่ ส่งให้ม้าเร็วรีบนำมันกลับเมืองหลวงเพราะเป็นของขวัญสำหรับจิ่งไท่เฟย เผื่อว่าพระนางจะหายจากอาการประชวร หรือจะหายไปจากโลกนี้ได้ยิ่งดีกับสตรีไม่รู้จักพอเช่นนี้ส่วนทหารจากกองกำลังลับที่รอดจากยาพิษของต่งซวิน ต่างรีบเดินทางเข้าเมืองเฉียนซานเพื่อรายงานสถานการณ์ในค่ายลับ ด้วยความเร่งรีบและไม่มีความเกรงใจชาวบ้านทั่วไปอยู่แล้ว ขณะที่ขี่ม้าเข้ามาในเมืองจะทำให้ใครหกล้มบาดเจ็บบ้าง ก็หาได้มีความคิดจะหยุดสอบถามอาการของผู้ใดทั้งสิ้น ทหารผู้นี้มุ่งหน้ามายังจวนจวิ้นอ๋องเพียงที่เดียวเท่านั้น“พวกเจ้าเปิดประตูให้ข้าเดี๋ยวนี้มีเรื่องด่วนต้องรายงานจวิ้นอ๋อง ข้ามาจากภูเขานอกเมืองเฉียนซานเร็วเข้าอย่าได้ชักช้า!”“จุ้ยกงกงรบกวนแจ้งจวิ้นอ๋องด้วยว่า ข้าสิงเยียนจากค่ายลับมีเรื่องด่วนขอเข้าพบขอรับ”“เจ้ารอตรงนี้สักครู่ข้าจะรีบไปรายงานจวิ้นอ๋องให้เดี๋ยวนี้”“ทูลจวิ้นอ๋องด้านหน้าตำหนักมีคนจากค่ายลับ ชื่อว่าสิงเยียนมาขอพบบอกว่ามีเรื่องด่วนต้องการรายงานให้ท่านอ๋องได้ทราบพ่ะย่ะค่ะ”“หืม คนจากค่ายลับเหตุใดถึงออกมาพบข้าโดยที่ไม่บอกล่วงหน้า หรือจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นที่นั
เซียวหนิงหลงกับตันเจียงออกจากเมืองเฉียนซานมาได้ โดยไม่มีใครคิดสงสัยแม้แต่ทหารหน้าประตูเมือง ผู้ทำหน้าที่ตรวจสอบคนเข้าออกอย่างละเอียดก็ยังปล่อยผ่าน ทั้งสองคนนึกถึงใบหน้าของจวิ้นอ๋องที่โมโห เรื่องกิจการของบรรดาพ่อตาทั้งหลาย ที่ถูกเผาทำลายอย่างไม่ทราบสาเหตุนั่นทำให้ภายในสามเดือนนี้จะไม่มีเงินกำไรจากพ่อตาทุกคน ซึ่งมันเป็นเงินจำนวนเกือบหนึ่งแสนตำลึงทอง ทำให้จวิ้นอ๋องต้องคิดหาวิธีการแก้ไขปัญหาเรื่องเงินครั้งนี้อย่างหนัก พวกชายารองหรืออนุที่ถูกคนอื่นแตะต้องยามเกิดเรื่อง จวิ้นอ๋องยังรับพวกนางกลับจวนเพียงแต่ว่าไม่มีการเสด็จไปหา ที่ทำเช่นนี้เพราะเห็นแก่หน้าพ่อตาและเงินสนับสนุนจากพวกเขาเท่านั้นเต๋อหลินกับสหายคนอื่น ๆ ได้มารออยู่ยังจุดนัดพบ ตามที่เซียวหนิงหลงได้บอกเอาไว้ตั้งแต่แรก ขณะที่นั่งพูดคุยสัพเพเหระเซียวหนิงหลงกับตันเจียงก็มาถึงพอดี“ซื่อจื่อพวกข้าน้อยยังเป็นกังวลว่าท่านกับตันเจียงจะออกมาก่อนพลบค่ำหรือไม่ พวกเราได้สำรวจพื้นที่แถว ๆ นี้ระหว่างรอท่านแต่ไม่พบสิ่งผิดปกติขอรับ” เต๋อหลินคิดไว้ว่าหากช้ากว่านี้อีกสักหนึ่งเค่อจะเข้าไปตามเซียวหนิงหลง“อืม พื้นที่แถวนี้ยังไม่ลึกพอที่จะปิดบังซ่อนเร้
เซียวหนิงหลงตั้งแต่วันที่ส่งลู่จื้อกลับตำบลหย่งฝูในตอนเช้า จากนั้นเข้ายามซื่อตัวของเขาเองจึงเดินทางออกจากเมืองหลวง ครั้งนี้ชินอ๋องสั่งให้มีผู้ติดตามไปทั้งหมดสิบคนด้วยกัน ซึ่งครั้งนี้มีหน่วยลับที่ถูกเรียกตัวมาเพิ่มอีกสองคนคือต่งไช่กับต่งชวิน ด้วยชินอ๋องคาดการณ์เอาไว้ว่าบุตรชายมีแผนการ และคิดจะลงมือหนักกับกองกำลังทหารของจวิ้นอ๋องอย่างแน่นอน เผลอ ๆ อาจจะลามไปถึงพวกที่คอยสนับสนุนเรื่องเงินทองทั้งหลายนั่นด้วยเมืองเฉียนซานตั้งอยู่ทางด้านทิศประจิมเป็นเมืองใหญ่ ที่อยู่ถัดไปจากเมืองเฉียนซูจวนของจวิ้นอ๋องกว้างขวาง และมีขนาดใหญ่กว่าจวนของชินอ๋องถึงหนึ่งเท่าตัว นั่นเป็นเพราะจิ่งไท่เฟยเกรงว่าโอรสของตนจะลำบากยามย้ายมา จึงนำทรัพย์สมบัติมีค่ามากมายเปลี่ยนเป็นเงินเพื่อสร้างจวนหลังใหญ่เช่นนี้เพราะจวิ้นอ๋องถูกจิ่งไท่เฟยสั่งสอนมาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ เรื่องการสืบทอดราชบัลลังก์มังกรทองของราชวงศ์เซียว ทำให้เหล่าพี่น้องต่างมีแผนการซ่อนอยู่ในใจของแต่ละคนหากว่าฮ่องเต้เซียวถิงเฟิงมิได้ชินอ๋องพระอนุชาร่วมอุทร คอยช่วยเหลือตลอดหลายปีที่ผ่านมา อาจจะมีการนองเลือดระหว่างพี่น้องไปแล้วก่อนที่เซียวหนิงหลงจะเข้าเมือ
เจียวมิ่งยืนรอจนแน่ใจแล้วว่าฮวนกั๋วลี่ไร้ลมหายใจ จึงนำร่างขึ้นรถม้าโดยคนที่จะส่งฮวนกั๋วลี่กลับตระกูล คืออดีตทหารที่ปลดเกษียณไปแล้ว เจียวมิ่งมอบเงินค่าจ้างครั้งนี้จำนวนสิบตำลึงทอง และต้องแวะซื้อโลงศพเพื่อป้องกันกลิ่นเหม็นจากศพก่อนจะถึงเมืองเฉียนซาน เมื่อจบภารกิจแล้วเจียวมิ่งจึงกลับบ้านเช่าพักผ่อน รอให้ถึงเวลาเปิดร้านอาหารค่อยรายงานเรื่องของฮวนกั๋วลี่ทีหลังลู่ชิงรับฟังเรื่องการลงโทษคนจิตใจชั่วช้าอย่างฮวนกั๋วลี่แล้ว คิดว่าโทษที่เขาได้รับคงจะพอปลอบประโลมดวงวิญญาณเด็กสาวที่ตายไป และคนที่ยังมีชีวิตอยู่จะได้รับรู้ด้วยว่า คนที่ทำร้ายพวกนางมีคนจัดการให้เรียบร้อยแล้ว“พี่เจียวมิ่งคนจากทางเหนือจะมาถึงเมื่อไหร่เจ้าคะ”“อีกไม่เกินครึ่งเดือนก็น่าจะเดินทางมาถึงแล้วขอรับ เพราะแคว้นเป่ยเยี่ยนอยู่ใกล้แคว้นฉู่มากกว่าแคว้นอื่นขอรับ”“นอกจากรายการอาหารเนื้อย่างที่จะสอนให้กับพวกเขาแล้ว ข้าคิดว่าจะสอนต้มยำไก่ ต้มยำปลาและต้มแซ่บเพิ่มด้วยเจ้าค่ะ จากที่ท่านบอกมาว่าทางเหนือนั้นมีอากาศหนาวเย็นอยู่ตลอดทั้งปี หากมีน้ำซุปที่มีรสชาติเผ็ดร้อนด้วยคงพอทำให้ร่างกายอบอุ่นขึ้นนะเจ้าคะ”“ข้าว่าหากมีอาหารทั้งสามอย่างที่คุณ