“ตอนนี้พอใจแล้วใช่ไหม อย่าดื้อนะ ” ซ่งเสี่ยวเชียนใช้ความอดทนทั้งหมดในชีวิตของเธอเพื่อป้อนข้าวเย่จื่อหยาง และนี่เป็นครั้งแรกที่เธอป้อนอาหารให้คนอื่น
ผู้ป่วยคนอื่นๆ ในวอร์ดก็ออกไปกินข้าวในเวลานี้และกลับมา ทันทีที่พวกเขาเข้าไปในห้อง พวกเขาเห็นซ่งเสี่ยวเชียนกำลังป้อนข้าวเย่จื่อหยาง และพวกเขาทั้งหมดก็เริ่มโห่ "ว้าว พันเอกเย่ คุณและภรรยาของคุณ น่ารักกันจริงๆ ขนาดกินข้าวยังต้องป้อนด้วยตัวเอง!"
“ไร้สาระ! ฉันไม่ยอมรับว่าเธอเป็นพี่สะใภ้ของฉัน! เธอยังไม่ผ่านการทดสอบ!” เย่จื่อซินกล่าว ทุกคนมุ่งความสนใจไปที่เธอและถามคำถามเธอเยอะแยะไปหมด
ซ่งเสี่ยวเชียนกระซิบกับเย่จื่อหยางว่า "ฉันคิดว่าน้องสาวของคุณกับฉันอนาคตน่าจะเข้ากันได้ไม่ดีเท่าไหร่ คุณช่วยคิดหาทางที่ฉันจะไม่ไปทุกที่ที่เธออยู่ในอนาคตได้ไหม" เย่จื่อหยางเลี่ยงที่จะพูด กินโจ๊ก
ในเวลากลางคืน อาคารฟื้นฟูไม่สามารถรับคนเพิ่มได้ เย่จื่อซินกำลังโต้เถียงว่าทำไมเธอถึงกลายเป็นส่วนเกิน? คืนนี้เธอจะอยู่ดูแลเย่จื่อหยาง แล้วชี้ไปที่ ซ่งเสี่ยวเชียนพูดว่า "ยัยคนนี้ต่างหากที่เป็นส่วนเกิน ถ้าจะมีคนที่ต้องไปควรที่จะเป็นยัยคนนี้ถึงจะถูก"
"นิสัยน้องสาว เธอคิดว่าฉันอยากอยู่ที่นี่หรอ?" ซ่งเสี่ยวเชียนได้ยินจากเย่จื่อหยางว่าเย่จื่อซินเก่งในการต่อสู้ ไม่เช่นนั้นเธอคงจะคว้าหูของเย่จื่อซิน และบอกให้เธอกลับบ้านไปนานแล้ว!
“อย่ามาเรียกฉันว่าน้องสาว!” อายุ 28 ปี ยังทำตัวเหมือนเด็ก คอยใส่ใจเรื่องนั้นเรื่องนี้ให้ทุกคนรอบตัวปวดหัว
“หยุดทะเลาะกันสักที เย่จื่อซินเธอรีบกลับบ้านไปเดี๋ยวนี้”
ในที่สุดเย่จื่อหยางก็พูดออกมา เมื่อเขาได้ยินว่าเย่จื่อซินโดนไล่ให้ออกไป ซ่งเสี่ยวเชียนก็เงยหน้าขึ้นอย่างมีความสุข ในรอบแรกซ่งเสี่ยวเชียนชนะไปอย่างขาดลอย!
จริง ๆ แล้วเย่จื่อซินไม่เต็มใจที่จะไป แต่ถ้าเย่จื่อหยางโกรธขึ้นมาจริงๆ มันน่ากลัวมาก ดังนั้นเธอจึงต้องกระทืบเท้าอย่างไม่พอใจและจากไป
หลังจากที่เย่จื่ซินถูกไล่ออกไปในที่สุด ซ่งเสี่ยวเชียนก็เตรียมที่จะล้มตัวนอนบนโซฟาข้างเตียงผู้ป่วย ควรจะบอกว่าเธอใช้เวลาหลายคืนแล้ว นับตั้งแต่วันนั้นที่เธอถูกทหารหลายคนในชุดลายพรางพาตัวไป เธอก็ไม่เคยได้กลับบ้าน เย่จื่อหยางบอกว่า เธอต้องอยู่ข้างเขาและดูแลเขาทุกๆนาที..
เมื่อตอนกลางวันเธอจะโทรกลับบ้านเพื่ออธิบายทุกอย่าง แต่พ่อแม่ของเธอบอกว่าไม่จำเป็นต้องอธิบาย พวกเขาทุกคนรู้
รู้อะไร? ซ่งเสี่ยวเชียนเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเรื่องทั้งหมดถึงเป็นไปเช่นนี้ แต่พ่อแม่ของเธอรู้สึกว่าพวกเขาเข้าใจดีกว่าเธอ...
เย่จื่อหยางมองไปที่ ซ่งเสี่ยวเชียนที่อยู่เคียงข้างเขาตลอดเวลา และรู้สึกไม่ค่อยดีที่ปล่อยให้เธอนอนบนโซฟาตัวเล็ก ๆ ตลอดเวลา แม้ว่าเย่จื่อหยางจะเป็นคนเย็นชามากๆ แต่ลึก ๆ แล้ว ในใจของเขาเป็นคนที่โรแมนติกและเอาใจใส่ต่อผู้หญิงที่ตัวเองแคร์
หยิบกุญแจออกจากกระเป๋าด้านข้าง ส่งให้ซ่งเสี่ยวเชียนแล้วพูดว่า "คุณยังจำที่อยู่บ้านของฉันได้ไหม คุณเก็บกุญแจไว้แล้วกลับบ้านคืนนี้แล้วไปนอนซะ พรุ่งนี้เช้าค่อยกลับมา"
ซ่งเสี่ยงเชียนมองเขาด้วยความสับสนเป็นเวลานาน ไอ้ผู้ชายคนนี้มีเจตนาดีหรือไม่? หลังจากรับกุญแจแล้วเย่จื่อหยางก็เอนตัวลงบนเตียงและอ่านหนังสือก่อนเข้านอน ซ่งเสี่ยวเชียนกล่าวว่า "ฉันไม่มีเงิน ฉันจนมากจนไม่มีเงินแม้แต่จะนั่งแท็กซี่"
เป็นเรื่องจริงที่เธอกำลังจะหมดเงิน ช่วงกี่วันที่ผ่านมาเธอได้ใช้เงินทั้งหมดไปกับอาหารและสิ่งของจำเป็นในชีวิตประจำวันของเย่จื่อหยาง เงินที่ติดตัวเธอใช้ไปหมดเกลี้ยงแล้ว
"บัตรเครดิตที่ฉันให้เธอไปอยู่ที่ไหน"
เมื่อเย่จื่อหยางพูดถึงมัน ดวงตาของซ่งเสี่ยวเชียนก็สว่างขึ้นทันที และเธอก็รีบหยิบกระเป๋าเงินในกระเป๋าของเธอออกมา หยิบบัตรเครดิตที่ เย่จื่อหยางทิ้งไว้ให้เธอก่อนหน้านี้แล้ววิ่งออกจากห้องพยาบาลโดยไม่แม้แต่จะกล่าวคำอำลา ไปที่ตู้เอทีเอ็มด้านนอกโรงพยาบาล
บัตรเครดิตนี้เธอยังไม่เคยดูเลยสักครั้ง และเธอไม่รู้ว่ามีเงินเหลืออยู่เท่าไหร่ แต่ซ่งเสี่ยวเชียนไม่ได้คาดหวังมากเกินไป และคงจะดีถ้าเป็นสี่หลักได้
ซ่งเสี่ยวเชียนมองไปรอบ ๆ ไม่มีบุคคลที่น่าสงสัยดังนั้นเธอจึงใส่บัตรเครดิตเข้าไปในตู้ ATM และตรวจสอบยอดเงินซ่งเสี่ยวเชียนเห็นหมายเลขที่แสดงอยู่นับเลขศูนย์อย่างระมัดระวังและเกือบจะทำกระเป๋าเงินของเธอตกด้วยความตกใจ สองล้านห้า! ! !
จิตใจของเธออยู่ในภาวะสับสน จนกระทั่งมีเสียงเตือนปรากฏบนตู้เอทีเอ็ม เธอสะดุ้ง จากนั้นค่อย ๆ สงบลง จากนั้นหยิบเงินสองสามร้อยหยวนออกมาอย่างรวดเร็ว จากนั้นคืนบัตร และนำบัตรธนาคารเข้าไปในกระเป๋าเงิน เหมือนปกป้องสมบัติของชาติ เธอมองไปรอบ ๆ อีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครสังเกตเห็นเธอ จึงรีบเรียกรถแท็กซี่ที่ผ่านมาขึ้นนั่งอย่างรวดเร็ว
ตอนนี้เธอรู้สึกปลอดภัยขึ้นเล็กน้อยแล้ว เธอไม่เคยมีความรู้สึกที่ต้องพกเงินสดและบัตรธนาคารมูลค่าเป็นล้านมาก่อน เธอกังวลมากจนกลัวว่าคนขับแท็กซี่อาจเป็นโจร
ในที่สุดก็มาถึงชั้นล่างบ้านของเย่จื่อหยาง เธอเปิดประตูพร้อมกุญแจเข้าไปในห้อง และล็อคประตูจากนั้นเธอก็รู้สึกโล่งใจและรีบโทรหาเย่จื่อหยาง“คุณแน่ใจหรือว่าไม่ได้ให้บัตรผิดกับฉันในบัตรมีเงินส้องล้านห้า มันเยอะมาก!"
"ไม่ผิด นี่เป็นสินสอดสำหรับครอบครัวของคุณ"
ซ่งเสี่ยวเชียนไม่พูดอะไรและเงียบไปนาน เงินสินสอด งั้นก็หมายความว่าสองล้านห้าเป็นของเธอทั้งหมดเหรอ?
“อิอิ”
"งั้นไม่มีอะไรแล้ว ฉันวางละนะ"
อย่าพูดว่าซ่งเสี่ยวเซียนเห็นแก่เงิน เธอแค่ควบคุมความตื่นเต้นไม่ได้ ตอนนี้เธอมีเงินสองล้านห้า แม้ว่าจะเทียบไม่ได้กับ ห้าสิบล้าน แต่ก็ยังมีเงินจำนวนมาก เป็นใครก็ตื่นเต้น!
หลังจากอาบน้ำอย่างสบายตัวแล้ว ซ่งเสี่ยวเชียนก็นอนบนเตียงขนาดใหญ่และถอนหายใจว่าในที่สุดเธอก็จะได้นอนหลับสบายสักที เธอจ้องมองเพดานด้วยสายตาเบื่อหน่าย และทันใดนั้นก็พบบางสิ่งแปลก ๆ ที่มุมเพดาน
ขยับบันไดขึ้นไปดูใกล้ๆ กลับพบว่ามันเป็นกล้อง!
หลังจากนั้นวันหนึ่ง เย่จื่อหยางเปิดคอมพิวเตอร์เพื่อตรวจสอบสถานการณ์ในบ้านของเขา ว่ามีขโมยเข้ามาหรือดูว่า ซ่งเสี่ยวเชียนกำลังทำอะไรในบ้านของเขาและพบว่ากล้องทั้งหมดมีเกล็ดหิมะและไม่สามารถมองเห็นอะไรได้เลย
ต่อมา เมื่อเขาออกจากโรงพยาบาล เขาก็กลับบ้าน และเห็นว่าสายไฟของกล้องทั้งหมดในบ้านของเขาถูกตัดออก และกล้องทั้งหมดก็ถูกรื้อและพังยับเยิน! ไม่มีรอดซักตัว ซากกล้องถูกนำไปวางไว้ที่ระเบียงและใส่กระเป๋าไว้ เหมือนฉากในหนังชำแหละศพ
คนที่ทำสิ่งนี้คือซ่งเสี่ยวเชียน
หนึ่งเดือนต่อมา เย่จื่อหยางเกือบจะหายจากอาการบาดเจ็บที่กล้ามเนื้อและกระดูกน่องหัก กลับมาฟื้นฟูมากขึ้นแล้ว เขาเป็นทหารพิเศษ สมรรถภาพทางกายของเขาน่าทึ่งมาก และความเร็วในการฟื้นตัวของเขาก็เร็วกว่าคนธรรมดาถึงสองเท่า ไม่ต้องพูดถึงอาการบาดเจ็บ หนึ่งร้อยวันเหรอ? เย่จื่อหยางเกือบจะหายดีภายในหนึ่งเดือน ซ่งเสี่ยวเชียนรู้สึกประหลาดใจอย่างมาก
"หัวหน้าขอแสดงความยินดีที่ออกจากโรงพยาบาลได้แล้วครับ!" ตัวแทนของกองกำลังพิเศษของเย่จื่อหยาง ได้ส่งตัวแทนไปแสดงความยินดีที่เขาออกจากโรงพยาบาลและช่วยเขาจัดกระเป๋าเดินทาง พวกเขาตั้งใจมาก หนึ่งในนั้นซ่งเสี่ยวเชียนจำได้ว่า คือคนที่ไปบ้านของเธอในครั้งนั้น หนึ่งในสามทหารในชุดลายพราง
เมื่อเห็นซ่งเสี่ยวเชียน เขาหัวเราะอย่างอายๆและพูดว่า "ฮ่าฮ่า พี่สะใภ้ สิ่งที่เกิดขึ้นครั้งสุดท้ายก็เป็นคำสั่งของหัวหน้าเช่นกัน ดังนั้นเราจึงทำได้เพียงปฏิบัติตามเท่านั้น"
ซ่งเสี่ยวเชียนตะคอก "หยุดอธิบายได้แล้ว ความบาดหมางของเราฉันจำไว้แล้ว! ไม่มีวันจบสิ้น!"!!
โจวเฝิ๋งทำให้พี่สะใภ้ของเขาขุ่นเคืองและทุกคนต่างก็ยินดีกับความโชคร้ายของเขา มีเพียงโจเฝิ๋งเท่านั้นที่ดูน่าสงสารและถามเย่จึงหยางว่าจะทำอย่างไร? เย่จื่อหยางตอบอย่างเย็นชา"เรื่องของนาย นายต้องแก็ไขปัญหาด้วยตัวเอง"โจวเฝิ๋งแทบจะคุกเข่าลงและจับมือเย่จื่อหยางไม่วาง "หัวหน้าทำแบบนี้กับผมไม่ได้นะครับ! ช่วยฉันผมพูดกับพี่สะใภ้ที!"เย่จื่อหยางเตะเขาเข้าอย่างจังด้วยเท้าขวาที่ฟื้นตัวแล้ว "ยืนขึ้น! มาทำท่าทางแบบนี้เหมือนอะไร!? นายต้องการให้ฉันลงโทษนายใช่ไหม!" โจวเฝิ๋งถูกเตะไปไปนอนกับพื้นมองแล้วหดหู่และดูเหมือนไม่มีใครสามารถช่วยเขาได้ ซ่งเสี่ยวเชียนแค่ล้อเล่นกับโจวเฝิ๋งเท่านั้น คนที่ทำผิดที่แท้จริงคือเย่จื่อหยาง เธอจะสนใจคนที่เพียงทำตามคำสั่งของเจ้านายของตัวเองได้อย่างไร? แต่ว่าเมื่อเห็นโจวเฝิ๋งถูกเตะ ทั้งรู้สึกสงสารเขาและก็น่าตลกในเวลาเดียวกันวันนี้เธออารมณ์ดีเพราะเย่จื่อหยางออกจากโรงพยาบาลแล้ว ซึ่งหมายความว่าเธอไม่ต้องดูแลเธอเหมือนพี่เลี้ยงเด็กอีกต่อไป เธอมีวันหยุดสองวันและสามารถกลับแผนกศัลยกรรมได้ เรียนรู้จากประสบการณ์ของแพทย์รุ่นก่อนและเป็นศัลยแพทย์ที่ยอดเยี่ยม!ดังนั้นทุกครั้งที่เย่จื่อหยาง
ไร้ประโยชน์ การพูดกับเย่จื่อหยางเป็นสิ่งที่น่าเบื่อที่สุดในโลก!ซ่งเสี่ยวเชียนหันหัวของเธอและไม่มองเย่จื่อหยาง แต่ทันใดนั้นก็นึกขึ้นแล้วพูดว่า "ฉันว่าแล้ว รู้สึกว่าขาดอะไรไป ฉันไม่เห็นน้องสาวของคุณ เธอไม่มาหรอ ทำไมเธอไม่มารับคุณออกจากโรงพยาบาล เธอไม่ใช่รักคุณมากหรอไม่อยากแยกจากคุณนิ” ไม่ลืมที่จะแหย่เขา เย่จื่อหยางหลับตา หลับตาและนั่งสมาธิ และตอบเบา ๆ ว่า "ฉันไม่ได้บอกเธอว่าฉันจะออกจากโรงพยาบาลวันไหน ฉันไม่ได้โง่ขนาดนั้น"หากบอกเย่จื่อซินวันที่ออกจากโรงพยาบาล มันคงเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะออกจากโรงพยาบาลอย่างราบรื่นในวันนี้ รถขับเข้าไปในชุมชนของซ่งเสี่ยวเชียน เธอรู้สึกดีใจ โดยคิดว่าในที่สุดคนนิสัยเสียก็เต็มใจที่จะปล่อยเธอกลับบ้านแล้ว มองหาที่จอดรถ เย่จื่อหยางลงจากรถก่อน เครื่องแบบทหารของเขาทำให้ผู้คนรู้สึกว่าเขาไม่ธรรมดา และพวกป้าๆก็เริ่มรวมตัวกันและพูดคุยเรื่องซุบซิบอีกครั้ง “พวกนายรอฉันอยู่ที่นี่” เย่จื่อหยางสั่ง จากนั้นจึงพาซ่งเสี่ยวเชียนไปที่อาคารอพาร์ตเมนต์ของเธอ ดูเหมือนว่าเขาจะรู้สถานการณ์ของเธอเป็นอย่างดีพ่อแม่ของซ่งเสี่ยวเชียนเกษียณแล้ว ก่อนที่จะส่งซ่งเสี่ยวเชียนไป
เย่จื่อหยางได้รับการยอมรับจากพ่อแม่ของซ่งเสี่ยวเชียนนั่นหมายความว่าเขาควบคุมได้ทุกอย่างแล้ว พ่อแม่ของเธอจำเขาได้ว่าเป็นลูกเขยแล้ว ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากสำหรับซ่งเสี่ยวเชียนที่จะกลับคำพูดของเธอ“ ฉันจะกลับไปที่กองทัพสักสองสามวัน เพื่อจัดการกับสิ่งที่ตกค้างไว้ในเดือนนี้ ถ้ามีธุระอะไรก็โทรหาฉันได้ทันที” เย่จื่อหยางพา ซ่งเสี่ยวเชียนกลับไปที่บ้านของเขาและเก็บเสื้อเชิ้ตสองสามตัว วางพวกมันไว้ในกระเป๋าเป้สะพายหลังของเขา และกำลังจะขับรถกลับไปยังเขตทหาร ซ่งเสี่ยวเชียนเห็นว่าเขากำลังจะจากไป จึงพูดอย่างเป็นกังวลว่า "อาการบาดเจ็บที่ขาของคุณเพิ่งจะหายดี คุณกลับไปทำงานได้ทันทีแบบนี้จะโอเคหรอ? คุณพักผ่อนสักสองสามวันดีกว่าไหม?" “ไม่มีปัญหา” เย่จื่อหยางเก็บสัมภาระ หยิบกระเป๋าเป้สะพายหลังขึ้นมาแล้วกำลังจะออกไปข้างนอก จู่ๆ เขาก็หยุดชั่วคราว หันกลับมาแล้วพูดว่า “คุณเป็นเด็กฝึกงานในแผนกศัลยกรรมของโรงพยาบาลใช่ไหม?” ซ่งเสี่ยวเชียนพยักหน้า“ฉันเข้าใจแล้ว ฉันจะไปกำกับสักหน่อย คุณแค่ตั้งใจฝึกงานก็พอ” หลังจากพูดจบ เธอนอนลงบนเตียงและมองเขาที่เดินออกไปไกลเรื่อยๆ เธอถอนหายใจ ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกความเหงาในใจ เหมื
ทุกคนรู้สึกตกใจและประหลาดใจ เพราะบุคคลนี้ดูเหมือนจะไม่เคยปรากฏตัวในสถานที่เช่นนี้ แต่เขาปรากฏตัวขึ้นที่นี่“โอ้พระเจ้า คุณพ่อของนายคุณชายเย่อยู่ที่นี่! เมื่อมองดูเขาอย่างใกล้ๆก็รู้สึกเหมือนว่าเขาเพิ่งเดินออกจากทีวี! ช่างเป็นลุงที่หล่อเหลาจริงๆ! อ่า เมื่อมองแบบนี้ ฉันในจินตนาการยิ่งพอใจในในความเป็นคุณนายเย่ไปอีก “พยาบาลลุกขึ้นและกระชิบกับพยาบาลที่อยู่ข้างๆว่า มองดูคุณเย่ชินเฉิงเดินเข้ามา ก็แอบยิ้มโดยไม่รู้ตัว "สวัสดีค่ะคุณเย่ มีอะไรให้ช่วยไหม?""ฉันกำลังมองหา..." เย่ชินเฉิง มองดูข้อความในมือของเขาแล้วพูดว่า "ซ่งเสี่ยวเชียน" "อืม ฉันกำลังตามหา….! เขามองดูชื่อที่มือของตัวเอง“ซ่งเสี่ยวเชียน”“อ่า โอ้ะฉันจะแจ้งให้หมอซ่งทราบทันทีค่ะ!" นางพยาบาลรีบโทรหาซ่งเสี่ยวเชียนและบอกเธอว่าพ่อของเย่จื่อหยางมาหาเธอ! ความคิดแรกของซ่งเสี่ยวเชียนเมื่อเธอรับสายคือ มันจบแล้ว! เป็นไปได้ไหมที่พ่อของเย่จื่อหยางจะไม่ชอบลูกสะใภ้แบบเธอมากเหมือนในละครทีวี ดังนั้นเขาจึงให้เงินก็อนใหญ่เพื่อที่ต้องการให้เลิกรากับเธอและขอให้เธอแยกจากเย่จื่อหยาง!แต่เมื่อเธอนั่งอยู่ในร้านกาแฟกับพ่อของเย่จื่อหยาง และพูด
“อ่า...เอ่อ คุณ พ...พ่อ” น่าอายมากกกก! โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่เธอเรียกคุณพ่อ สิ่งที่เธอคิดได้ก็คือเย่จื่อหยางบอกเธอว่าเธอต้องการแกล้งทำเป็นสามีภรรยากับเขา... ซ่งเสี่ยวเชียวส่งเย่ชินเฉิงที่นั่งรถตู้คันใหญ่จากไป ในใจเธอรู้สึกผิดทันทีวันรุ่งขึ้น มีบางอย่างเกิดขึ้นซึ่งทำให้ซ่งเสี่ยวเชียนพูดอะไรไม่ออก หนังสือพิมพ์พาดหัวข่าวในส่วนบันเทิง เป็นรูปถ่ายของเธอกับเย่ชินเฉิงกำลังพูดคุยกันในร้านกาแฟบ่ายวานนี้ ชื่อกระทู้คือ สาวโสดทั้งประเทศอกหักแล้วคุณเย่ชายลึกลับกำลังจะแต่งงาน! ในภาพ นักธุรกิจการเงินเย่ชินเฉิงกำลังดื่มน้ำชายามบ่ายกับลูกสะใภ้ของเขา! พยาบาลซุบซิบจากแผนกศัลยกรรมแล้วนำหนังสือพิมพ์ให้ซ่งเสี่ยวเชียนดู เธอหมดคำจะพูดกับหัวข้อข่าวที่ฟาดลง อะไรนะ ตามที่พนักงานร้านกาแฟบอก ทั้งสองคุยกันอย่างสนิทใจมาก เย่ชินเฉิงพอใจกับลูกสะใภ้คนนี้มาก และในที่สุดก็โทรหาพ่อของเธอ! หนังสือพิมพ์สคริปต์เข้าใจดีว่าผู้หญิงคนนี้เป็นเพียงศัลยแพทย์ธรรมดาในโรงพยาบาลของรัฐ เป็นไปได้ไหมที่ชาติที่แล้วเธอได้กอบกู้กาแล็กซีทั้งหมดไว้ ดังนั้นในชีวิตนี้เธอจึงได้แต่งงานกับชายในฝันของสาวโสดทุกคน! ?ซ่งเสี่ยวเชียนเงยหน้าขึ้น หน
เป็นเวลาสองถึงสามนาทีที่ไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ ข้างนอกและในที่สุดซ่งเสียวเชียนก็ได้สติ แต่ทันใดนั้นก็มีเสียงเคาะประตูและ เย่จื่อหยางก็เคาะสามครั้ง ซ่งเสียวเชียนตกใจมากจนขาของเธอเกือบจะอ่อนแรงและเธอก็ถามอย่างสั่นเทาว่า "มีอะไร!" “พรุ่งนี้วันหยุดนิ กลับบ้านกับฉัน” "นี่ไม่ใช่บ้านคุณหรือไง!""กลับไปที่บ้านพ่อของฉัน อย่าลืมจุดประสงค์ที่แท้จริงในการให้คุณแกล้งเป็นภรรยาของฉัน" หลังจากพูดจบเย่จื่อหยางก็จากไป และ ซ่งเสียวเชียนก็นั่งลงบนพื้น ด้วยจิตใจที่ว่างเปล่าของเธอ เพื่อหลีกเลี่ยงการแต่งงานทางการเมืองที่คุณปู่ของเขาจัดไว้ เย่จื่อหยางรู้มานานแล้วว่าเขาไม่สามารถหาผู้หญิงเพื่อหลอกปู่ของเขาได้ ปู่ของเขาฉลาดมาก ไม่เช่นนั้น เขาคงไม่ไต่เต้าเป็นถึงนายพลเฒ่าได้หรอก ด้วยอำนาจในมือของเขา มันง่ายมากที่จะตรวจสอบบุคคล และมันยังง่ายมากที่จะหาคนมาเฝ้าติดตามพวกเขาเขารู้ว่าเขาต้องแต่งงานและอยู่กับผู้หญิงคนหนึ่งจริงๆ และผู้หญิงคนนั้นก็ต้องมาจากครอบครัวธรรมดาๆ ที่ไม่เกี่ยวอะไรกับการทหาร ด้วยวิธีนี้ เขาอาจจะหลอกตาเฒ่านั้นได้ สักพัก เมื่อแม่ของเขายังมีชีวิตอยู่ แม่ของเขาหวังว่าจะเห็นเย่จื่อหยางแต
ในเวลากลางคืน ห้องที่ไม่มีแม้กระทั้งแสงไฟ แสงจันทร์อันหนาวเย็นสาดเข้ามาให้ห้อง ซ่งเสี่ยวเชียนนอนอยู่เตียง เสื้อผ้าที่อยู่บนตัวเธอถูกฉีกเป็นชิ้น ๆ และโยนลงไปบนพื้นมือของเธอถูกมัดและเธอไม่สามารถต่อต้านได้เลย ดังนั้นเธอจึงถูกเย่จื่อหยางเอารัดเอาเปรียบ เธอคิดว่าคืนนี้เธอไม่สามารถหลบหนีได้ แต่เย่จื่อหยางก็หยุดกลางคัน ยืนขึ้นอย่างสงบ แล้วเดินไปดึงผ้าม่านริมหน้าต่าง"เลวทราม! คุณเพิ่งรู้ว่าต้องปิดผ้าม่านหรือไง!" ซ่งเสี่ยวเชียนตอนนี้รู้สึกไม่ปลอดภัยอย่างยิ่ง ล้อเล่น ถูกฉีกเสื้อผ้าออกเป็นชิ้นๆใครมันจะรู้สึกปลอดภัย!ขณะที่เย่จื่อหยางดึงม่านเข้า เขาสังเกตเห็นร่างสองร่างที่พร่ามัวในหน้าต่างฝั่งตรงข้าม เขารู้ว่าตัวเองทำอะไร จากนั้นดึงผ้าม่านปิด ละครฉากนี้เล่นได้ไม่เลว และคุณปู่คงไม่ส่งคนมาตรวจสอบแล้วเมื่อดึงผ้าม่านปิด ห้องก็มืดสนิท แต่การเคลื่อนไหวของเย่จื่อหยางไม่ได้ถูกขัดขวางแต่อย่างใด ราวกับว่าเขากำลังเคลื่อนไหวภายใต้แสงไฟ เขาคว้ามุมผ้าห่มอย่างแม่นยำ จากนั้นดึงมันขึ้นมา และคลุมไว้บนตัวซ่งเสี่ยวเชียน "ฉันขอโทษ คืนนี้จะเป็นครั้งสุดท้าย จะไม่มีครั้งที่สองอีก คุณรีบเข้านอนเถอะ" เย่จื่อหยางเปิด
รถขับเข้าไปในชุมชนวิลล่า ใช้เวลาไม่นานก็มาจอดที่ลานจอดรถหน้าวิลล่าชั้นสาม หลังจากลงจากรถคลื่นความร้อนก็ปะทะใส่เย่จื่อหยางยืนอยู่หน้าวิลล่าอยู่นาน ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ได้แต่จ้องมองอย่างว่างเปล่าซ่งเสี่ยวเชียนผลักเขานิดหน่อย "ที่นี่ไม่ใช่บ้านของคุณเหรอ คุณหาทางกลับบ้านไม่เจอเหรอ?"เมื่อจื่อหยางได้ยินสิ่งที่เธอพูด เขาก็ยิ้มทันที "ใช่ ฉันแทบจะหาทางกลับบ้านไม่เจอ" เขาจับมือของซ่งเสี่ยวเชียนแล้วเดินไปที่ประตู ร่างกายของซ่งเสี่ยวเชียนกลับแข็งทื่ออีกครั้ง และเท้าของเธอก็ยากลำบากมากจู่ๆซ่งเสี่ยวเชียนก็ดึงมือเธอออกจากมือของเขา เย่จื่อจื่อหยางมองกลับมาที่เธออย่างอธิบายไม่ถูก เธอพูดอย่างอายๆว่า"อากาศมันร้อนเกินไป ฝ่ามือก็เหงื่อออกมากเกินไป ไม่ต้องจับมือก็ได้แฮ่ๆ..."เย่จื่อหยางหันกลับมาและยืนอยู่ตรงหน้าเธอโดยเอามือวางไว้บนสะโพก "ซ่งเสี่ยวเชียน รอสักครู่ค่อยเข้าไป เรานั่งอยู่บนโซฟาทั้งสองเหมือนคนแปลกหน้า !มองมาที่ฉัน เธอจำเรื่องที่ฉันให้เธอแกล้งเป็นภรรยาได้อย่างชัดเจนใช่ไหม หรือว่าลืมแล้วว่าเราแต่งงานกันจริงแล้ว เธอเป็นภรรยาฉัน และตอนนี้ชื่อของเธอก็อยู่ในสมุดทะเบียนบ้านฉันแล้ว เธอเข้าใจไหม?” บ
เย่จื่อหยางก็เอากล่องที่บรรจุยาบํารุงที่ไม่รู้ว่าเป็นอะไรมาคืนให้ซ่งเสี่ยวเชียน "ไม่จําเป็น" "ทําไมถึงไม่จําเป็นล่ะ คุณจะกลับบ้านมือเปล่าแบบนี้ไม่ได้" ซ่งเสี่ยวเชียนมองเขาอย่างเงียบ ๆ"ฉันบอกว่าไม่จําเป็นต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจกับเรื่องนี้ เขามองปราดเดียวก็มองออก" เย่จื่อหยางเอามือล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงอีก ทําท่าทางเหมือนเธอให้ฉันทําอะไรฉันก็ไม่ทํา ซ่งเสี่ยวเชียนตะโกนว่า "คุณอยากคืนดีกับคุณพ่อของคุณหรือเปล่า ถ้าคิด คุณก็ต้องลงมือทํา อย่าเอาแต่พูดเฉย ๆ ไม่ได้นะ" จิ้มหน้าอกของเย่จื่อหยาง "คุณเป็นทหาร แน่นอนว่าต้องรู้ว่าการกระทําเป็นพื้นฐานของการทําภารกิจทั้งหมดให้สําเร็จ"เย่จื่อหยางก็มหน้ามองเธอและคิดในใจว่าเขาจะคืนดีกับพ่อของเขาหรือไม่มันเกี่ยวอะไรกับเธอ?ดูเหมือนเธอจะซีเรียสกว่าเขาอีกเขาถอนหายใจ ซ่งเสี่ยวเชียนพูดถึงขนาดนี้แล้ว เขาคงอยู่เฉย ๆ ไม่ได้ใช่ไหม ยิ่งไปกว่านั้นการได้คืนดีกับคุณพ่อก็เป็นการแก็ปัญหาที่เขากังวลมานานได้จริง ๆ เขาเงยหน้าขึ้นและลูบหัวของซ่งเสี่ยวเชียน "ทํา เพียงแต่ว
เธอกอดหมอนและยิ้มอย่างพอใจ เธอสาบานว่าเธอไม่เคยเจอใครที่เก่งขนาดนี้มาก่อน สามารถปกป้องเธอและขจัดวิกฤตให้เธอได้ทันทีในเวลาฉุกเฉิน ราวกับว่าจู่ๆ กำแพงทึบก็ปรากฏขึ้นในชีวิตของเธอ จะปกป้องเธอตลอดเวลาต่อจากนี้ไป ทำให้เธอรู้สึกปลอดภัยซ่งเสี่ยวเชียนเชื่อ ในอนาคต ตราบใดที่มีเย่จื่อหยางอยู่ข้าง ๆ เธอก็ไม่กลัวอะไรทั้งนั้น เมื่อฟ้าถล่มยังมีเขาคอยอยู่ข้างๆไม่ใช่หรอเย่จื่อหยางเขียนรายงานเสร็จก็ปิดคอมพิวเตอร์และเดินออกจากห้องหนังสือ ห้องนั่งเล่นมืดสนิท มีเพียงไฟสีเหลืองเข้มดวงเดียวที่เปิดอยู่ ฝาหลังของรีโมทกระจัดกระจายอยู่บนพื้นพร้อมถ่าน เขาหยิบขึ้นมาและวางไว้ มองไปที่ซ่งเสี่ยวเชียนที่นอนอยู่บนโซฟาลืมตาก็ไม่รู้ว่ากําลังคิดอะไรอยู่ เอามือล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง "มีเรื่องอะไรหรอ ทําไมดูมีความสุขขนาดนี้""ไม่มีนิ ฉันก็แค่ดีใจ" ซ่งเสี่ยวเชียนลุกขึ้นยืนต่อหน้าเย่จื่อหยางยิ้มให้เขา แล้วทันใดนั้นก็กระพริบตาให้เขา มุมปากของเขามีรอยยิ้มที่ทําให้เย่จื่อหยางเดาไม่ออก กําลังจะถามว่าทําไมถึงยิ้ม ทันใดนั้นซ่งเสี่ยวเชียนก็เอื้อมมืออ้อมไปข้างหลังเย่
คิดถึงเด็กคนหนึ่งที่อายุ 15-16 ปี เร่ร่อนอยู่กับพวกเขามา 4-5 ปี เพื่อขอทานทุกที่ และเงินที่ขอมามอบให้กับหัวหน้าแก๊งนั้น รับรองว่าทุกคนจะได้กินอาหารไม่อั้นสิ่งที่ทําให้ซ่งเสี่ยวเชียนเจ็บปวดมากกว่าเดิมคือเด็กคนที่ตาบอดทั้งสองข้าง เขาไม่ได้ตาบอดมาตั้งแต่เกิด แต่เมื่อเขาอายุเจ็ดขวบ เขาถูกจับโดยคนของแก๊งและจากพ่อแม่ไปตั้งแต่นั้นมา คนเหล่านั้นล้างสมองเขาเพื่อให้เขาได้รับเงินมากขึ้น ทําให้เขาคิดว่าการช่วยพวกเขาขอเงินมากขึ้นเป็นเรื่องที่ดีคนเหล่านั้นใช้เหล็กแทงเข้าไปในดวงตาของเด็กน้อย ตั้งแต่นั้นมาเขาก็มองไม่เห็นและคนเหล่านั้นสอนเขาวิธีการแยกแยะขนาดของธนบัตรด้วยมือของเขาและติดตามพวกเขามานานหลายปี และความสามารถในการแยกแยะเงินด้วยมือของเขานั้นมีความชำนาญมากและไม่เคยพลาดเลยซ่งเสี่ยวเชียนก็คิดว่าตอนนั้นเธอให้เด็กคนนั้นไปหนึ่งร้อยหยวน เขาก็สัมผัสไปหลายครั้ง ปากก็ยิ้ม แล้วบอกว่าวันนี้เขาเลิกงานได้แล้วรอยยิ้มบนใบหน้าของเขามั่นใจมาก ดูเหมือนว่าเด็กคนนั้นจะถูกล้างสมองโดยคนเหล่านั้นจริง ๆ และจะไม่อดตายเพราะตาบอดสองข้าง ดูเหมือนว่าเขาจะมองว่าเป้าหมายนี้เป็นเป้าหมายเดียว
ซ่งเสี่ยวเชียนไม่ทําอะไรเลย เย่จื่อหยางต้องไปทำกับข้าวด้วยตัวเอง ครั้งนี้เป็นอาหารมังสวิรัติจริง ๆ มังสวิรัติมากกว่าพระกินอีก แม้แต่ผัดกะหล่ำปลีจีนก็ใช้น้ำมันเรพซีด ไม่เปื้อนน้ำมันหมูสักนิดซ่งเสี่ยวเชียนมองอาหารมังสวิรัติที่โต๊ะแล้วพูดไม่ออก ความอยากอาหารเปลี่ยนเป็นระดับต่ำ แต่เย่จื่อหยางกลับกินอย่างเอร็ดอร่อย แต่ระหว่างที่เย่จื่อหยางกินข้าว เขาขยี้เหนือศีรษะเป็นครั้งคราว ซ่งเสี่ยวเชียนมองเขาอย่างสงสัยในที่สุดหลังจากกินข้าวเสร็จ ขณะที่เขากําลังล้างจาน เธอรีบไปเอามือไปสัมผัสหัวเขา ไม่ลูบก็ไม่รู้พอลูบก็ตกใจโดยไม่รู้ตัว บนหัวของเย่จื่อหยางบวมโนขึ้น แม้ว่าจะไม่ได้โนใหญ่มากแต่ก็พองเล็กน้อยซ่งเสี่ยวเชียนนึกถึงก่อนหน้านี้เธอโยนเจลอาบน้ำใส่หัวเย่จื่อหยางอย่างแรง ที่แท้หัวปูดโนขนาดนี้เขากลับไม่พูดอะไรโอเค ซ่งเสี่ยวเชียนเป็นคนจิตใจดี ตอนนี้เมื่อได้เห็นสิ่งนี้แล้ว ในใจของเธอก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา คิดว่าเธอใจร้ายไปหน่อยจริง ๆ บางทีเย่จื่อหยางอาจไม่ได้ตั้งใจบุกเข้ามาแอบดูเธอจริง ๆก็ได้ และใครแอบดูคนอื่นแถมจงใจเปิดประตูอีกพอในใจรู้สึกผิดเธอก็อยากชดเชยไง ดึ
เธอดูเวลาในโทรศัพท์ของเธอ นาทีและวินาทีผ่านไป และห้านาทีผ่านไป เย่จื่อหยางก็ยังไม่ออกมา มีบางอย่างเกิดขึ้นเหรอ? ไม่มีทาง? เขาไม่ใช่เก่งมากหรอ? ไม่ใช่ว่าออกโลงแล้วล้มเหลวเลยนะ?เธอเงยหน้าขึ้นเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้นในอาคารที่อยู่ไม่ไกล จู่ๆ ก็มีเสียงผู้ชายหยาบคายดังมาจากข้างหลังเธอ “เธอเป็นใคร!? มาทำตัวลับๆล่อๆก็ที่นี่ทำอะไร”ถูกจับได้แล้ว! นี่เป็นความคิดแรกที่เข้ามาหัวของซ่งเสี่ยวเชียนในเวลานั้น จู่ๆ เธอหันกลับมาและเห็นร่างผู้ชายที่มืดๆดำๆ ยืนอยู่ข้างหลังเธอไม่ไกลนัก เขามองดูเธอและทำท่าป้องกันตัว สายตาของเขาดูน่ากลัวเล็กน้อย"ฉ ฉัน...ฉันไม่ได้ทำอะไรเลย! ฉันหลงทาง..." ซ่งเสี่ยวเชียนมองไปรอบ ๆ และชี้นิ้วไปรอบ ๆ ชายคนนั้นก้าวไปข้างหน้าสองก้าวดูเหมือนจะสงสัย "มากับฉัน!"เมื่อพูดเช่นนั้น ชายคนนั้นก็ก้าวไปข้างหน้าสองก้าวและจับมือของซ่งเสี่ยวเชียน ปฏิกิริยาตัวสั่นของซ่งเสี่ยวเชียนอยู่ในระดับสูงสุดและเธอก็หลบมือของชายคนนั้นทันที เธอจะปล่อยให้เขาจับเธอได้อย่างไร? นั่นเรียกว่ายอมจำนนฟ้านะ ซ่งเสี่ยวเชียนกระโดด
เย่จื่อหยางสังเกตมันอย่างละเอียด ดังนั้นจึงไม่มีข้อผิดพลาด เด็กน้อยเล่นซอได้อย่างชำนาญมาก เหมือนว่าเขาเริ่มเรียนรู้มันตั้งแต่เขายังเป็นเด็ก"น่าสงสารจัง..." ซ่งเสี่ยวเชียนมองเด็กตาบอดคนนั้นซึ่งอายุน่าจะเพียงสิบสามหรือสิบสี่ปีเท่านั้น แต่ไม่สามารถมองเห็นโลกที่สวยงามใบนี้ แม้ว่าตอนนี้โลกจะปกคลุมไปด้วยหมอกควัน แต่ในบางครั้งก็มีท้องฟ้าเป็นสีฟ้าและเมฆเป็นสีขาวสำหรับเด็ก นี่เป็นสิ่งที่โหดร้ายมาก เดิมทีซ่งเสี่ยวเชียนเป็นคนที่มีจิตใจดีอยู่แล้ว เธออดไม่ได้ที่จะหยิบกระเป๋าสตางค์ของเย่จื่อหยางออกมา หยิบแบงค์ร้อยหยวนออกมาแล้วยื่นให้เด็กน้อย "เด็กน้อย เอาเงินไปซื้อของอร่อยๆที่อยากกินนะ อย่าอดไว้”เด็กหยุดเล่นซอ รีบหยิบธนบัตรจากมือของซ่งเสี่ยวเชียน วางไว้ใต้จมูกแล้วดมกลิ่น จากนั้นใช้มือแตะอย่างระมัดระวัง และในที่สุดก็ยิ้ม “ขอบคุณผู้มีน้ำใจ วันนี้งานของผมเสร็จแล้ว ผมสามารถกลับก่อนได้”เมื่อพูดจบ ก็รีบเก็บสิ่งด้วยความไว หยิบไม้นำทางเดินหนีไป จากไปโดยไม่หันกลับมามองซ่งเสี่ยวเชียน
การซื้อผักก็เป็นงานที่ต้องใช้สายตา ตรงไหนสดใหม่ตรงไหนเน่า แต่บางครั้งผักหัวใหญ่สีเขียวขจีไม่มีร่องรอยของแมลงสักตัว บางทีอาจจะฉีดยากําจัดศัตรูพืชที่มากเกินไป ขนาดแมลงไม่ไม่กล้ากิน คุณยังกล้ากินอยู่หรอการต่อรองราคาก็เป็นความรู้อย่างหนึ่ง ขณะที่ซ่งเสี่ยวเชียนกําลังคุยราคากับเจ้าของพ่อค้าหาบเร่คนหนึ่ง จู่ ๆ ก็ถูกเด็กคนหนึ่งชน เด็กคนนั้นชนเธอแรงมาก เธอโซซัดโซเซเกือบล้ม โชคดีที่ถอยหลังไปหลายก้าวจึงไม่ล้มลงเด็กน้อยพยายามพูดขอโทษเธอ ซ่งเสี่ยวเชียนอดทนต่อความโกรธไว้คิดว่าเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง "ไม่เป็นไรจ้ะ แต่คราวหน้าอย่าวิ่งเล่นในสถานที่แบบนี้อีกมันอันตราย" เด็กน้อยยิ้มให้เธออย่างเข้าใจ แล้ววิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว ซ่งเสี่ยวเชียนยังคงต่อรองราคากับพ่อค้าหาบเร่ต่อไป แต่ในเวลานี้พ่อค้าคนนั้นกลับมองเธอด้วยสายตาที่แตกต่างออกไป ซ่งเสี่ยวเชียนมองเสื้อผ้าของตัวเอง มีอะไรแปลกไปหรอ"พ่อค้า มีอะไรหรอทําไมจู่ ๆ ก็มองฉันด้วยสายตาแบบนี้ กะหล่ำปลียังจะขายไหม""เอ่อ สาวน้อย ฉันก็หวังดีจึงขอเตือนคุณหน่อย คราวหน้ามาซื้อผักอย่าให้เด็ก ๆ พวกนั้นเข้าใกล้คุ
ซ่งเสี่ยวเชียนเห็นเนื้อสัตว์และตาของเธอก็เปล่งประกาย เนื้อจานหนึ่งวางอยู่ตรงหน้านักชิมคนหนึ่ง เธอไม่สนใจว่าจะมีรอยแผลเป็นหรือไม่ จึงรีบคีบเนื้อชิ้นหนึ่งกิน แล้วอุทานว่า "เย่จื่อหยาง ฝีมือคุณก็ไม่เลวนิ อร่อยมากกก ครั้งหน้าฉันจะกินอันนี้ด้วย" "ไม่มีครั้งหน้า" เย่จื่อหยางพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม แล้วหยิบเบียร์ที่วางอยู่ข้าง ๆ ขึ้นมาดื่ม ดื่มเบียร์ลงทำให้เขาผ่อนคลายลงมาก และมองซ่งเสี่ยวเชียนที่มีความสุขในการกินเนื้อจึงถามว่า"วันนี้ผ่านอะไรมาเยอะแยะ เธอยังกินข้าวลงอีกหรอ" ซ่งเสี่ยวเชียนพูดด้วยรอยยิ้ม "คุณคิดว่าฉันใจสลายแล้วหรอ ฉันไม่ได้ขี้กลัวง่าย ๆ ขนาดนั้น และแน่นนอนมีคุณอยู่ข้าง ๆฉันจึงไม่ได้รับผลกระทบอะไรมาก" เธอตบไหล่ของเย่จื่อหยางและยกนิ้วโป้งให้เขา"วันนี้ทําได้ดีมาก กดไลค์"เย่จื่อหยางถูกล้อให้หัวเราะแล้ว เขาหัวเราะเสียงดังและดื่มเหล้าไปด้วย "แต่ก็ยังทําเธอได้รับบาดเจ็บนะ"ซ่งเสี่ยวเชียนคีบเนื้อชิ้นใส่ในชามของเขา "แผลเล็กน้อยแค่นี้เอง คุณโทษตัวเองแบบนี้มันทำให้ฉันรู้สึกผิดนะ" ซ่งเสี่ยวเชียนกะพริบตาให้เขา เย่จื่อหยาง
"คุณหมายความว่าไง?"ซ่งเสี่ยวเชียนถามเขาอย่างจริงจัง เย่จื่อหยางหุบปากไม่พูดถึงอีกแล้ว ซ่งเสี่ยวเชียนนิสัยขี้โวยวายแบบเธอ ถ้ามีคนจะลักพาตัวเธอไป คงต้องตะโกนเสียงดังออกมาแน่ ทั้งถนนคงรู้ว่าคนที่จะลักพาตัวเธอไปคือพวกค้ามนุษย์ เงียบไปสักพัก เย่จื่อหยางก็ถามว่า "ยังโกรธอยู่หรอ""ทําไมจะไม่โกรธ!? คุณคิดว่าแค่ไม่กี่คําก็สามารถปลอบฉันได้หรอต้องชดใช้" ซ่งเสี่ยวเชียนเอื้อมยื่นมือไปขอสิ่งของจากเย่จื่อหยาง เขาผลักมือออกแล้วบอกว่าไม่มี ซ่งเสี่ยวเชียนก็กระโจนเข้ามากัดเขา ครั้งนี้เย่จื่อหยางฉลาดขึ้น เขาหลบอย่างไว ทําให้ซ่งเสี่ยวเชียนกัดเพียงว่างเปล่า แค่วินาทีเท่านั้น ซ่งเสี่ยวเชียนรู้สึกว่าเธอกับเขาเหมือนคนรักกัน การสัมผัสร่างกายเล็กๆน้อยๆก็ไม่ได้น่าอายเหมือนเมื่อก่อนแล้ว เธอยังกล้าที่จะกัดเขาด้วยจากนั้นเธอก็เขิลอายแล้ว ทําไมตอนนี้พวกเขาใกล้ชิดกันขนาดนี้วินาทีต่อมาเธอก็นึกถึงสิ่งที่สําคัญมาก "คุณปู่ของคุณบุกเข้ามาที่บ้านเมื่อวันก่อน"ทันใดนั้นสีหน้าของเย่จื่อหยางก็เปลี่ยนไป ถามอย่างจริงจังว่า "หมายความว่าอะไร"