ในเวลากลางคืน ห้องที่ไม่มีแม้กระทั้งแสงไฟ แสงจันทร์อันหนาวเย็นสาดเข้ามาให้ห้อง ซ่งเสี่ยวเชียนนอนอยู่เตียง เสื้อผ้าที่อยู่บนตัวเธอถูกฉีกเป็นชิ้น ๆ และโยนลงไปบนพื้น
มือของเธอถูกมัดและเธอไม่สามารถต่อต้านได้เลย ดังนั้นเธอจึงถูกเย่จื่อหยางเอารัดเอาเปรียบ เธอคิดว่าคืนนี้เธอไม่สามารถหลบหนีได้ แต่เย่จื่อหยางก็หยุดกลางคัน ยืนขึ้นอย่างสงบ แล้วเดินไปดึงผ้าม่านริมหน้าต่าง
"เลวทราม! คุณเพิ่งรู้ว่าต้องปิดผ้าม่านหรือไง!" ซ่งเสี่ยวเชียนตอนนี้รู้สึกไม่ปลอดภัยอย่างยิ่ง ล้อเล่น ถูกฉีกเสื้อผ้าออกเป็นชิ้นๆใครมันจะรู้สึกปลอดภัย!
ขณะที่เย่จื่อหยางดึงม่านเข้า เขาสังเกตเห็นร่างสองร่างที่พร่ามัวในหน้าต่างฝั่งตรงข้าม เขารู้ว่าตัวเองทำอะไร จากนั้นดึงผ้าม่านปิด ละครฉากนี้เล่นได้ไม่เลว และคุณปู่คงไม่ส่งคนมาตรวจสอบแล้ว
เมื่อดึงผ้าม่านปิด ห้องก็มืดสนิท แต่การเคลื่อนไหวของเย่จื่อหยางไม่ได้ถูกขัดขวางแต่อย่างใด ราวกับว่าเขากำลังเคลื่อนไหวภายใต้แสงไฟ เขาคว้ามุมผ้าห่มอย่างแม่นยำ จากนั้นดึงมันขึ้นมา และคลุมไว้บนตัวซ่งเสี่ยวเชียน
"ฉันขอโทษ คืนนี้จะเป็นครั้งสุดท้าย จะไม่มีครั้งที่สองอีก คุณรีบเข้านอนเถอะ" เย่จื่อหยางเปิดประตูแล้วออกไปโดยไม่ลืมปิดประตู
นอนกับผีนะซิ! ฉันจะนอนแบบนี้ได้ยังไง! เสื้อข้างบนโดนฉีกขาด แค่ประโยคเดียว ขอให้ยกโทษให้เขาที่รังแกเธอ? “เย่จื่อหยางฉันขอให้คุณไม่ตายดีในวันตายพรุ่งนี้!” เสียงของซ่งเสี่ยวเชียนดังมาจากห้อง
เย่จื่อหยางยกมือขึ้นวางที่หน้าผากแล้วนอนลงบนโซฟา เขารู้สึกตลกเมื่อได้ยินประโยคนั้น แต่ปลายมือของเขาร้อนเล็กน้อย เขายังคงรู้สึกถึงการเสียดสีบนผิวอันเรียบเนียนของซ่งเสี่ยวเชียน เขากำหมัดแน่น ในห้องที่สลัวจิตใจของเย่จื่อหยางกำลังคิดถึงซ่งเสี่ยวเชียน ผิวขาวที่เผยให้เห็นหน้าอกที่โพล่พ้นเสื้อขึ้นมา มันยังคงติดอยู่ในหัวเขา ลูกแอปเปิ้ลของอดัมขยับขึ้นลง จนแล้วจนรอดเขาก็นอนไม่หลับจนถึงเช้า
เช้าวันรุ่งขึ้นที่โต๊ะอาหาร เย่จื่อหยางนั่งจิบน้ำแล้วอ่านหนังสือพิมพ์อย่างเงียบ ๆ ซ่งเสี่ยวเชียนกัดขนมปังอย่างหนักรู้สึกเหมือนไฟจะระเบิดออกจากดวงตาของเธอทุกที่ทุกเวลาเมื่อจ้องมองมาที่เย่จื่อหยาง
“มีอะไรหรอ?” เย่จื่อหยางเงยหน้าขึ้นและถามเธอ
แกล้งทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น คุณอยากปกปิดมันใช่ไหม? “คนเลวทรามไร้ยางอาย!” ซ่งเสี่ยวเชียนหยิบมีดหั่นขนมปังขึ้นมาวางไว้ข้างๆ ด้วยความโกรธแล้วเหวี่ยงมันไปที่เย่จื่อหยาง แต่เย่จื่อหยางจับมือเธอไว้ได้ทันที
“มีดหั่นขนมปังไม่เหมาะสำหรับเด็ก ที่จะเล่นไปทั่วนะ” เย่จื่อหยางปล่อยมือของซ่งเสี่ยวเชียน ลุกขึ้นยืนแล้วนำมีดหั่นขนมปังกลับไปวางไว้ห้องครัว เก็บจานที่เขากินไปแล้วสะบัดน้ำในมือออก “ได้เวลาเตรียมตัวกลับบ้านกับฉันแล้ว”
"ไม่ไป!" ซ่งเสี่ยวเชียนหันหน้าหนี ประสานมือไว้ที่หน้าอก และทำหน้าเย่อหยิ่ง
เย่จื่อหยางเช็ดมือที่เปื้อนด้วยน้ำสะอาดแล้ว เดินขึ้นไปข้างหลังซ่งเสี่ยวเชียนและตบไหล่ของเธอ
"ฉันบอกเธอไปกี่ครั้งแล้วฮะ ให้เธอทำตัวดีๆ น่ารักเชื่อฟังไม่งั้นจะถูกลงโทษ" พูดเสร็จเขาก็เดินเข้าไปในห้องแล้วปิดประตู ไม่รู้ว่าเข้าไปทำอะไร
ไหล่ของซ่งเสี่ยวเชียนยังคงแข็งทื่อ หลังจากที่เขาตบสองสามครั้งก็รู้สึกเหมือนมือของเขายังคงอยู่บนไหล่ของเธอ เธอตัวสั่นไปทั้งตัว นับตั้งแต่เกิดเรื่องขึ้นเมื่อคืนนี้ ซ่งเสี่ยวเชียนไม่ต้องการจะสัมผัสใกล้ชิดกับเขา แค่ร่างกายเขาสัมผัสเธอนิดหน่อย ร่างกายของเธอก็รู้สึกแปลกขึ้นมาอย่างประหลาด
หลังจากรอประมาณสองถึงสามนาที เธอก็ลุกขึ้นและกลับไปที่ห้องรับแขก เปลี่ยนเสื้อผ้าและเตรียมออกไปข้างนอก อย่างไรก็ตาม หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าก็เป็นเวลากว่าครึ่งชั่วโมงแล้ว เย่จื่อหยางกำลังรออย่างใจจดใจจ่อ และเดินไปที่ประตูแล้วตะโกนว่า "ถ้าคุณไม่ออกมาอีก ฉันจะเข้าไปลากเธอออกมาเดี๋ยวนี้!"
มีเพียงเสียงกรุ๊งกริ๊งเล็กน้อยในห้องแล้วประตูก็เปิดออก ซ่งเสี่ยวเชียนติดอาวุธครบมือ แว่นกันแดด ผ้าพันคอ หมวก เสื้อผ้าและกางเกงปกปิดอย่างสนิท เย่จื่อหยางขมวดคิ้วและถามว่า "คุณแน่ใจหรอว่าจะแต่งตัวแบบนี้ออกไป คุณกลัวที่จะโดนแสงแดดหรอ”
“อ่อ ช่วงนี้ฉันโดนปาปารัซซี่ทำให้รำคาญ พวกเขาหมอบอยู่ข้างนอกโรงพยาบาลทุกวันเพื่อถ่ายรูปฉัน ฉันต้องแต่งตัวแบบนี้! ไม่ใช่ความผิดของคุณหรือไง!” ซ่งเสี่ยวเชียนคิด ถ้าเธอเป็นแวมไพร์คงได้ดูดเลือดเย่จื่อหยางไปนานแล้ว ไอ้คนทุเรศ!
เย่จื่อหยางไม่อยากพูดอะไรอีก ดังนั้นเขาจึงเอื้อมมือไปถอดแว่นกันแดด ผ้าพันคอ และหมวกออก แล้วโยนทิ้งทั้งหมด
"ฉันไม่อยากออกไปกับคนบ้า! ไม่ต้องใส่สักอย่าง!”
หลังจากมองไปที่ซ่งเสี่ยวเชียวซึ่งในที่สุดก็กลายเป็นปกติแล้ว เย่จื่อหยางพอใจและดึงเธอออกไปโดยไม่ให้โอกาสเธอหยิบสิ่งเหล่านั้น
เมื่อถูกดึงไปที่ประตู ซ่งเสี่ยวเชียนก็รีบปิดหน้าของเธอทันที "เย่จื่อหยาง ถ้าถูกพวกปาปารัซซี่ถ่ายรูปได้ไม่เกี่ยวกับฉันนะ!"
นึกว่าจะมีปาปารัซซี่นับไม่ถ้วนวิ่งกรูเข้ามาถ่ายรูป แต่เมื่อแยกนิ้วที่ปิดหน้าออกและมองไปรอบๆ ไม่มีการเคลื่อนไหวอะไรเลย เอ๊ะ หรือว่าจะเกิดอะไรขึ้น ... ?
เย่จื่อหยางดึงเธอเข้าไปในรถแล้วเปิดเครื่องปรับอากาศซึ่งทำให้อากาศเย็นลงมาก "เฮ้ ปาปารัสซี่อยู่ไหนอะ?"
เย่จื่อหยางสตาร์ทรถ แล้วขับรถออกไป เขาเบื่อที่จะอธิบาย "โทรศัพท์สายเดียวก็หมดเรื่องแล้ว เธอคิดว่าฉันโง่นักหรือไง!? ที่จะให้ปาปารัซซี่พวกนั้นถ่ายรูปฉัน?" โอ้ ซ่งเสี่ยวเชียนพยักหน้า พูดแบบนี้ก็เข้าใจแล้ว
เธอนิก็โง่จริงๆ เย่จื่อหยางก็เป็นพันเอกไม่ว่าจะยังไงก็ตาม แค่ขอให้ใครก็ตามในเขตทหารโทรหาสำนักงานหนังสือพิมพ์และนิตยสารแล้วถอนข่าวทั้งหมดเกี่ยวกับเขา! คราวหน้าห้ามพูดถึงอีก ถ้าพูดถึงแค่ครึ่งประโยค หนังสือพิมพ์จะถูกปิดทันที ภัยคุกคามจากเขตทหาร สำนักพิมพ์จะเชื่อฟังได้เหรอ?
ซ่งเสี่ยวเชียนหยิบโทรศัพท์มือถือของเย่จื่อหยางออกมา และค้นหาข่าวเกี่ยวกับเธอบนอินเทอร์เน็ต อ๊ะ ไม่มีแล้วจริงๆด้วย มันถูกจัดการอย่างทำความสะอาดแล้ว
"คุณจัดการมันได้ ทำไมไม่บอกฉันก่อนหน้านี้ ฉันจะได้ไม่ต้องกังวลให้เสียเวลา!" ซ่งเสี่ยวเชียนมองดูกางเกงขายาวที่เธอสวมอยู่ และนึกขึ้นได้ว่าจะโทษใครได้ล่ะ?
รถขับขึ้นไปบนภูเขาและเข้าไปในบริเวณวิลล่า อืม... ตระกูลเย่ มีอำนาจและร่ำรวยมาก ดูเหมือนว่าการใช้ชีวิตในวิลล่าไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจ แต่เส้นทางที่คดเคี้ยวรอบภูเขา ทำให้ซ่งเสี่ยวเชียนมีอาการวิงเวียนศีรษะเล็กน้อยและเริ่มมีอาการเมารถ!
อะไรนะ เธอได้ยินมาว่าคนจนมีโรคของคนจน ตอนนี้ซ่งเสี่ยวเชียนเท่านั้นที่ตระหนักว่าเธออาจเป็นโรคของคนจนด้วย เธอรู้สึกอึดอัดเมื่อนั่งรถสปอร์ตระดับไฮเอนด์ ต่อมาเธอค่อย ๆ รู้สึกอยากจะอาเจียน บวกกับวิวทิวทัศน์ที่เขียวขจี ยิ่งทำให้อยากจะอาเจียนมากขึ้น
ซ่งเสี่ยวเชียนคิดว่า หากเธอเปลี่ยนไปนั่งรถบัส เธออาจจะยังคงสนุกกับการชมทิวทัศน์โดยรอบ
เย่จื่อหยางสังเกตเห็นอาการไม่สบายของซ่งเสี่ยวเชียนมาสักพักแล้ว เขามักจะซื้อยาแก็เมารถไว้ในรถเสมอ เพื่อว่าในกรณีฉุกเฉินเขานำยาแก็เมารถ และยื่นขวดน้ำให้เธอ ดื่มช้าๆเดี๋ยวสำลัก
ในเวลานี้ ซ่งเสี่ยวเชียนรู้สึกว่าเขาค่อนข้างอ่อนโยน หลังจากกินยาไประยะหนึ่ง เธอรู้สึกดีขึ้นมากแล้ว ความรู้สึกอยากจะอ้วกก็ดีขึ้นมาก แต่ยังมีอาการอยู่เล็กน้อย
!!
รถขับเข้าไปในชุมชนวิลล่า ใช้เวลาไม่นานก็มาจอดที่ลานจอดรถหน้าวิลล่าชั้นสาม หลังจากลงจากรถคลื่นความร้อนก็ปะทะใส่เย่จื่อหยางยืนอยู่หน้าวิลล่าอยู่นาน ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ได้แต่จ้องมองอย่างว่างเปล่าซ่งเสี่ยวเชียนผลักเขานิดหน่อย "ที่นี่ไม่ใช่บ้านของคุณเหรอ คุณหาทางกลับบ้านไม่เจอเหรอ?"เมื่อจื่อหยางได้ยินสิ่งที่เธอพูด เขาก็ยิ้มทันที "ใช่ ฉันแทบจะหาทางกลับบ้านไม่เจอ" เขาจับมือของซ่งเสี่ยวเชียนแล้วเดินไปที่ประตู ร่างกายของซ่งเสี่ยวเชียนกลับแข็งทื่ออีกครั้ง และเท้าของเธอก็ยากลำบากมากจู่ๆซ่งเสี่ยวเชียนก็ดึงมือเธอออกจากมือของเขา เย่จื่อจื่อหยางมองกลับมาที่เธออย่างอธิบายไม่ถูก เธอพูดอย่างอายๆว่า"อากาศมันร้อนเกินไป ฝ่ามือก็เหงื่อออกมากเกินไป ไม่ต้องจับมือก็ได้แฮ่ๆ..."เย่จื่อหยางหันกลับมาและยืนอยู่ตรงหน้าเธอโดยเอามือวางไว้บนสะโพก "ซ่งเสี่ยวเชียน รอสักครู่ค่อยเข้าไป เรานั่งอยู่บนโซฟาทั้งสองเหมือนคนแปลกหน้า !มองมาที่ฉัน เธอจำเรื่องที่ฉันให้เธอแกล้งเป็นภรรยาได้อย่างชัดเจนใช่ไหม หรือว่าลืมแล้วว่าเราแต่งงานกันจริงแล้ว เธอเป็นภรรยาฉัน และตอนนี้ชื่อของเธอก็อยู่ในสมุดทะเบียนบ้านฉันแล้ว เธอเข้าใจไหม?” บ
ซ่งเสี่ยวเชียนถูกพาเข้ามาในห้องนอนตรงปลายทางเดินบนชั้น 2 โดยคุณย่า ทั้งห้องได้รับการตกแต่งในสไตล์โบราณ ซึ่งทำให้ ซ่งเสี่ยวเชียนผ่อนคลาย บนผนังข้างเตียงเธอเห็นรูปถ่าย ซึ่งเป็นภาพงานแต่งงานดูเหมือนจะให้ความรู้สึกร่วมสมัย เจ้าบ่าวที่ซ่งเสี่ยวเชียนเพิ่งพบเมื่อไม่นานมานี้คือเย่ชินเฉิงพ่อของเย่จื่อหยาง และเจ้าสาวเป็นผู้หญิงที่สวยมาก สวมชุดแต่งงานสีขาวบริสุทธิ์ ยืนอยู่ข้างๆ เย่ชินเฉิง ดูรักกันอย่างมาก ทั้งคู่ยิ้มอย่างมีความสุข “นั่นคือพ่อแม่ของจื่อหยาง ปีที่แล้วแม่ของเขาป่วยและเสียชีวิต เนื่องจากจื่อหยางกำลังปฏิบัติภาระกิจและฝึกซ้อมอยู่ เขาจึงไม่สามารถมาเยี่ยมได้ ช่วงที่เธอเข้าโรงพยาบาล แม้กระทั้งช่วงสุดท้ายของลมหายใจเธอก็ไม่ได้เจอหน้าของลูกตัวเองด้วยซ้ำ พ่อของเขาโกรธมากและเขาและพ่อก็ไม่เคยพูดคุยหรือพบกันอีกเลยหลังจากนั้น หรือแม้แต่จื่อหยางก็ไม่เคยกลับมาหาครอบครัวนี้อีกเลยในปีนี้”คุณย่าพูดช้าๆ ในขณะที่ซ่งเสี่ยวเชียนยังคงดูรูปนั้นอยู่ แม่ของเย่จื่อหยางดูเหมือนจะรู้สึกเศร้าที่ไม่ได้เจอลูกชายของเธอตอนที่เธอป่วยหนักคุณย่าจับมือของซ่งเสี่ยวเชียน "แหวนในมือของหนูมีความสำคัญอย่างยิ
ฉันเห็นเด็กสาวคนหนึ่งที่มีส่วนสูงพอๆ กับจื่อซินเดินเข้ามา เธอสวมชุดลายดอกไม้ ผมของเธอรวบเป็นหางม้า และรองเท้าส้นแบนคู่หนึ่ง เธอดูเหมือนสาวน้อยน่ารัก ไร้เดียง แต่ว่าคิ้วและดวงตาของเธอ ดูรอยยิ้มของเธอแต่มีความหมายคลุมเครือ และซ่งเสี่ยวเชียนรู้สึกอึดอัดไปทั้งตัวหลังจากมองเพียงครั้งเดียว ราวกับว่ามีบางอย่างผิดปกติในตัวผู้หญิงคนนั้นเธอกำลังยิ้มและทักทายจื่นซินแบบแก็มต่อแก็ม ทั้งสองดูเหมือนจะรู้จักกันและเข้ากันได้ดีเมื่อคุณปู่ได้ยินชื่อพี่เฉิน เขาก็ลุกขึ้นและเดินไปทักทายเธอ “เจ้าหนู เหนื่อยแย่เลยกว่าจะมาถึงนี่ มา ปู่เทน้ำให้”“มะ ไม่ต้องค่ะ คุณปู่ หนูทำเองได้!” เฉินเฉินเดินไปที่โต๊ะด้วยท่าทีคุ้นเคย จากนั้นหยิบแก้วน้ำขึ้นมารินน้ำให้ตัวเอง 1 แก้ว ดูเหมือนเธอจะคุ้นเคยกับสถานที่นี้ค่อนข้างดีเฉินเฉินดื่มน้ำเสร็จแล้ว วางแก้วน้ำลงแล้วพูดว่า "ฉันกลับมาจากต่างประเทศปุ๊ป คุณปู่ก็เชิญหนูมาเป็นแขกทันที หนูดีใจมากๆเลยค่ะ " หลังจากพูดจบ เฉินเฉิน ถามคุณปู่ด้วยเสียงต่ำ“คุณปู่ เย่จื่อหยาง เขากลับบ้านไหมคะ?” คุณปู
คุณพ่อเย่ที่เงียบมาตลอดจู่ๆก็พูดขึ้นว่า "เอาล่ะ ในเมื่อแต่งงานกันแล้ว ก็ควรจะคิดถึงการมีลูกให้รอบคอบ" หลังจากพูดจบแล้วเขาก็มองไปที่เย่จื่อหยางอย่างลังเลที่จะพูด จากนั้นเขาก็รับประทานอาหารต่อโดยไม่ พูดอะไรอีกคุณปู่วางตะเกียบลงแล้วพูดกับซ่งเสี่ยวเชียนว่า "เธอเป็นหมอใช่ไหม? ตอนไปทำงานแวะมาตรวจร่างกายสักหน่อย อย่าสวมชุดแต่งงานที่มีท้องโตในระหว่างจัดงานแต่งงาน" น้ำเสียงของเขาดูไม่พอใจเล็กน้อย ซ่งเสี่ยวเชียนทำได้แต่พยักหน้าเงียบๆ เท่านั้นเย่จื่อหยางขมวดคิ้ว ให้ตายเถอะ ทำไมลืมเรื่องมีลูกไปสนิทเลยนะตามความคิดของคุณปู่ แม้ว่าเขาจะไม่พอใจกับหลานสะใภ้ แต่เนื่องจากการหย่าร้างไม่สามารถทำได้ในระยะเวลาอันสั้น เขาจึงต้องมีลูกโดยเร็วที่สุดเพื่อที่ตระกูลเย่จะมีอนาคตได้ . หากพวกเขาทำไม่ได้...? นั่นก็เพื่อให้ปู่หาเหตุผลดีๆ ให้พวกเขาหย่าร้าง แล้วหาภรรยาคนใหม่ให้เขา เขาเม้มริมฝีปากและไม่สนใจการสนทนาของพวกเขาแต่เฉินเฉินไม่สามารถฟังได้อีกต่อไป เธอลุกขึ้นยืนทันที ไม่เหลือท่าทางที่สง่างามของเธอ “หนูอิ่มแล้ว!” แล้วก็จากไป
"เธอดูอะไรอยู่?" เย่จื่อหยางถาม ซ่งเสี่ยวเชียนไม่ได้มองเขาด้วยซ้ำ "บอกคุณไม่ได้"ไม่สามารถบอกเขาได้ เย่จื่อหยางก็ไม่ถามอีก และขับรถต่อไปอย่างเงียบ ๆ หลังจากรออยู่พักหนึ่ง ซ่งเสี่ยวเชียนก็ถามขึ้นว่า"คุณบอกว่าเรากลับแบบนี้โดยไม่ได้บอกลา คุณลุงเขาคงไม่พอใจแน่? คุณนิจริงๆเลย พ่อลูกจะทะเลาะกันชั่วข้ามคืนได้ยังไง จริงๆเรื่องของคุณ คุณย่าเล่าทุกอย่างให้ฟังฉันฟังแล้ว ฉันคิดว่าคุณต้องพูดขอโทษคุณลุงเขาก็คงจะสบายใจขึ้นมาก...” “หุบปาก”ซ่งเสี่ยวเชียนยังพูดไม่จบ เขาก็ขึ้นเสียงใส่ เธอตกใจจนไม่กล้าพูดใดๆอีก“อย่าพูดถึงเรื่องนี้อีก มันเป็นเรื่องของฉัน ไม่ต้องให้เธอมากังวล” จู่ๆ เย่จื่อหยางก็เร่งความเร็วของรถ จู่ๆ หัวใจของซ่งเสี่ยวเชียนก็เต้นแรง เธอรีบจับเข็มขัดนิรภัยให้แน่น บนภูเขาที่ถนนคดเคี้ยว ขับเร็วขนาดนี้หาที่ตายเหรอ!"ขับช้าๆลงหน่อย!" ซ่งเสี่ยวเชียนรู้ว่าเธอพูดผิดไปแล้ว แต่เธอไม่รู้ว่าจะพูดอะไรเพื่อทำให้เขาเลิกโกรธ ดั
เย่จื่อหยางวิ่งไปที่ห้องทำงานของหัวหน้าอาคารสำนักงาน โดยที่หลู่เชียงหรงกำลังนั่งตากแอร์อยู่ ใบหน้าของเขาดูสบายๆ ซึ่งตรงกันข้ามกับเย่จื่อหยางที่เหงื่อออกท่วมตัว หลู่เชียงหรงยิ้มให้เขา " มีอะไรหรอ?" “รายงาน!” เย่จื่อหยางทำความเคารพแล้วพูดว่า “หัวหน้า ให้ฉันเป็นตัวแทนเขตทหารของเราเข้าร่วมการแข่งขันระดับเขตทหารในปีนี้เถอะ”ตอนนี้หลู่เซียงหรงมองเขาด้วยความสนใจ ยืนขึ้นและเผชิญหน้ากับเขา "นายไม่ได้พูดเสมอหรอ ควรให้โอกาสแก่คนรุ่นใหม่ ถ้าสมาชิกในทีมของนายชนะ นายก็จะภูมิใจไม่แพ้กัน"“แต่ปีนี้ ฉันอยากไปด้วยตัวเอง” เย่จื่อหยางกล่าวอย่างแน่วแน่การแข่งขัน King of Special Forces เกือบจะเป็นไฮไลท์ของทุกๆ ปีในกองทัพ พื้นที่ทหารหลักๆ หลายแห่งส่งกองกำลังพิเศษที่ดีที่สุดเข้าร่วมการแข่งขัน หากพวกเขาชนะ พวกเขาไม่เพียงแต่จะได้รับเกียรติยศสำหรับทหารและกองกำลังของตนเองเท่านั้น แต่ยังได้รับโบนัสก็อนใหญ่ ซึ่งเป็นโอกาสที่ดีสำหรับคนที่ฐานะทางครอบครัวไม่ค่อยดี เป็นโอกาสอันมีค่าสำหรั
ซ่งเสี่ยวเชียนมองดูเครื่องแต่งกายของเธอ "ใครมันอยู่ที่บ้านจะแต่งตัวเหมือนไปนัดบอด! แน่นอนว่าฉันจะแต่งตัวให้สบายที่สุดเท่าที่จะทำได้! แล้วก็ ฉันจะใส่ยังไงมันก็เรื่องของฉันไม่เกี่ยวกับคุณ!" ลุกขึ้นและเตรียมผลักเย่จื่อหยางออกจากประตู แต่เย่จื่อหยางสั่งเธอว่า ต่อจากนี้ไปเธอจะดูแลสุขอนามัยภายในบ้าน อาหารสามมื้อต่อวัน ซักผ้ารีดผ้าและอื่น ๆ ซ่งเสี่ยวเชียนเตะเขาด้วยความโกรธ "ออกไป ! เวลาของฉันมีค่า!”เย่จื่อหยางได้ยินสิ่งที่เธอพูด ก็ปรากฏรอยยิ้มที่น่ากลัวขึ้นที่มุมปากของเขา เขาหันกลับมาอย่างรวดเร็วจ้องไปที่ซ่งเสี่ยวเชียนแบบจะกินเลือดกินเนื้อ จากนั้นบังคับเธอให้ถอยติดกำแพง ใช้มืออันทรงพลังค้ำไม้กำแพงสองข้าง และค่อยๆเข้ามาใกล้ ทำให้ซ่งเสี่ยวเชียนต้องถอยหลังโดยสัญชาตญาณ แต่ทำได้แค่หลังชิดผนังเท่านั้น“เธอกล้าขัดคำสั่งฉัน! ฉันจะอุ้มเธอ โยนเธอลงบนเตียง แล้วก็... กินเธอทีละเล็กทีละน้อย! สอนบทเรียนให้เธอบนเตียง ดูสิว่าเธอจะยังกล้าหรือเปล่า” สายตาของเย่จื่อหยางกำลังคุกคามเธอทำให้เธอตัวหดลง "ฉันไม่กลัวคุณหรอก! ถ้าคุณใช้กำลัง ฉันจ
โย้ เพื่อนร่วมอุดมการณ์นิ ไม่น่าแปลกใจเลยที่ เย่จื่อหยางรู้สึกว่ารัศมีของบุคคลนี้แตกต่างจากคนทั่วไปมาก เย่จื่อหยางมือทั้งสองข้างวางลงในกระเป๋ากางเกงของเขา เคลื่อนไหวปกติและสบตากันกับเจียงจิ่งเฟิง ทั้งสองมีส่วนสูงเกือบเท่ากัน และพวกเขาปฏิเสธที่จะทักทายกัน เจียงจิ่งเฟิงสูดหายใจลึกๆแล้ว หยิบบุหรี่ออกมา และอมมันไว้ในปากของเขาแล้วพูดว่า "ที่รัก จุดบุหรี่ให้ฉันหน่อย" เมื่อเห็นท่าทางเย่อหยิ่งของเขา เฉียนอ้ายเล่อก็เอาศอกพุ่งเข้าที่เอวของเขาอย่างไม่ได้ตั้งใจ "ห้ามสูบบุหรี่!" และหยิบบุหรี่ออกจากปากของเขา“งื้อ ที่รัก” เราตกลงกันว่าจะอยู่ตรงหน้าคนอื่นในฐานะสามีภรรยากันนิ คุณทำแบบนี้ ผมจะเอาหน้าไปไหนที่ไหน!” จู่ๆ เจียงจิ่งเฟิงก็เปลี่ยนโหมดของเขา และเอื้อมมือออกไปแย่งบุหรี่กลับมา เฉียนอ้ายเล่อ ฮึ "ฟังนะ เชื่อฟังคุณแต่ยังต้องเชื่อฟังฉัน!?"เจียงจิ่งเฟิงเกาหัวด้วยความอาย "ฟังที่รัก"เมื่อเห็นปฏิสัมพันธ์ของพวกเขา เย่จื่อหยางก็เลิกคิ้วขึ้น ทำไมดูเหมือนว่ามีบางอย่างผิดปกตินะ? หลังจากที่เฉียนอ้ายเล่อตะโกนใส่ เจียงจิ่งเฟิงเสร็จแล้ว เธอก็กลับมายิ้มอีกครั้งและพูดกับ ซ่งเสี่ยวเชียนว่า "จะไม่แนะนำเขาให้
เย่จื่อหยางก็เอากล่องที่บรรจุยาบํารุงที่ไม่รู้ว่าเป็นอะไรมาคืนให้ซ่งเสี่ยวเชียน "ไม่จําเป็น" "ทําไมถึงไม่จําเป็นล่ะ คุณจะกลับบ้านมือเปล่าแบบนี้ไม่ได้" ซ่งเสี่ยวเชียนมองเขาอย่างเงียบ ๆ"ฉันบอกว่าไม่จําเป็นต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจกับเรื่องนี้ เขามองปราดเดียวก็มองออก" เย่จื่อหยางเอามือล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงอีก ทําท่าทางเหมือนเธอให้ฉันทําอะไรฉันก็ไม่ทํา ซ่งเสี่ยวเชียนตะโกนว่า "คุณอยากคืนดีกับคุณพ่อของคุณหรือเปล่า ถ้าคิด คุณก็ต้องลงมือทํา อย่าเอาแต่พูดเฉย ๆ ไม่ได้นะ" จิ้มหน้าอกของเย่จื่อหยาง "คุณเป็นทหาร แน่นอนว่าต้องรู้ว่าการกระทําเป็นพื้นฐานของการทําภารกิจทั้งหมดให้สําเร็จ"เย่จื่อหยางก็มหน้ามองเธอและคิดในใจว่าเขาจะคืนดีกับพ่อของเขาหรือไม่มันเกี่ยวอะไรกับเธอ?ดูเหมือนเธอจะซีเรียสกว่าเขาอีกเขาถอนหายใจ ซ่งเสี่ยวเชียนพูดถึงขนาดนี้แล้ว เขาคงอยู่เฉย ๆ ไม่ได้ใช่ไหม ยิ่งไปกว่านั้นการได้คืนดีกับคุณพ่อก็เป็นการแก็ปัญหาที่เขากังวลมานานได้จริง ๆ เขาเงยหน้าขึ้นและลูบหัวของซ่งเสี่ยวเชียน "ทํา เพียงแต่ว
เธอกอดหมอนและยิ้มอย่างพอใจ เธอสาบานว่าเธอไม่เคยเจอใครที่เก่งขนาดนี้มาก่อน สามารถปกป้องเธอและขจัดวิกฤตให้เธอได้ทันทีในเวลาฉุกเฉิน ราวกับว่าจู่ๆ กำแพงทึบก็ปรากฏขึ้นในชีวิตของเธอ จะปกป้องเธอตลอดเวลาต่อจากนี้ไป ทำให้เธอรู้สึกปลอดภัยซ่งเสี่ยวเชียนเชื่อ ในอนาคต ตราบใดที่มีเย่จื่อหยางอยู่ข้าง ๆ เธอก็ไม่กลัวอะไรทั้งนั้น เมื่อฟ้าถล่มยังมีเขาคอยอยู่ข้างๆไม่ใช่หรอเย่จื่อหยางเขียนรายงานเสร็จก็ปิดคอมพิวเตอร์และเดินออกจากห้องหนังสือ ห้องนั่งเล่นมืดสนิท มีเพียงไฟสีเหลืองเข้มดวงเดียวที่เปิดอยู่ ฝาหลังของรีโมทกระจัดกระจายอยู่บนพื้นพร้อมถ่าน เขาหยิบขึ้นมาและวางไว้ มองไปที่ซ่งเสี่ยวเชียนที่นอนอยู่บนโซฟาลืมตาก็ไม่รู้ว่ากําลังคิดอะไรอยู่ เอามือล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง "มีเรื่องอะไรหรอ ทําไมดูมีความสุขขนาดนี้""ไม่มีนิ ฉันก็แค่ดีใจ" ซ่งเสี่ยวเชียนลุกขึ้นยืนต่อหน้าเย่จื่อหยางยิ้มให้เขา แล้วทันใดนั้นก็กระพริบตาให้เขา มุมปากของเขามีรอยยิ้มที่ทําให้เย่จื่อหยางเดาไม่ออก กําลังจะถามว่าทําไมถึงยิ้ม ทันใดนั้นซ่งเสี่ยวเชียนก็เอื้อมมืออ้อมไปข้างหลังเย่
คิดถึงเด็กคนหนึ่งที่อายุ 15-16 ปี เร่ร่อนอยู่กับพวกเขามา 4-5 ปี เพื่อขอทานทุกที่ และเงินที่ขอมามอบให้กับหัวหน้าแก๊งนั้น รับรองว่าทุกคนจะได้กินอาหารไม่อั้นสิ่งที่ทําให้ซ่งเสี่ยวเชียนเจ็บปวดมากกว่าเดิมคือเด็กคนที่ตาบอดทั้งสองข้าง เขาไม่ได้ตาบอดมาตั้งแต่เกิด แต่เมื่อเขาอายุเจ็ดขวบ เขาถูกจับโดยคนของแก๊งและจากพ่อแม่ไปตั้งแต่นั้นมา คนเหล่านั้นล้างสมองเขาเพื่อให้เขาได้รับเงินมากขึ้น ทําให้เขาคิดว่าการช่วยพวกเขาขอเงินมากขึ้นเป็นเรื่องที่ดีคนเหล่านั้นใช้เหล็กแทงเข้าไปในดวงตาของเด็กน้อย ตั้งแต่นั้นมาเขาก็มองไม่เห็นและคนเหล่านั้นสอนเขาวิธีการแยกแยะขนาดของธนบัตรด้วยมือของเขาและติดตามพวกเขามานานหลายปี และความสามารถในการแยกแยะเงินด้วยมือของเขานั้นมีความชำนาญมากและไม่เคยพลาดเลยซ่งเสี่ยวเชียนก็คิดว่าตอนนั้นเธอให้เด็กคนนั้นไปหนึ่งร้อยหยวน เขาก็สัมผัสไปหลายครั้ง ปากก็ยิ้ม แล้วบอกว่าวันนี้เขาเลิกงานได้แล้วรอยยิ้มบนใบหน้าของเขามั่นใจมาก ดูเหมือนว่าเด็กคนนั้นจะถูกล้างสมองโดยคนเหล่านั้นจริง ๆ และจะไม่อดตายเพราะตาบอดสองข้าง ดูเหมือนว่าเขาจะมองว่าเป้าหมายนี้เป็นเป้าหมายเดียว
ซ่งเสี่ยวเชียนไม่ทําอะไรเลย เย่จื่อหยางต้องไปทำกับข้าวด้วยตัวเอง ครั้งนี้เป็นอาหารมังสวิรัติจริง ๆ มังสวิรัติมากกว่าพระกินอีก แม้แต่ผัดกะหล่ำปลีจีนก็ใช้น้ำมันเรพซีด ไม่เปื้อนน้ำมันหมูสักนิดซ่งเสี่ยวเชียนมองอาหารมังสวิรัติที่โต๊ะแล้วพูดไม่ออก ความอยากอาหารเปลี่ยนเป็นระดับต่ำ แต่เย่จื่อหยางกลับกินอย่างเอร็ดอร่อย แต่ระหว่างที่เย่จื่อหยางกินข้าว เขาขยี้เหนือศีรษะเป็นครั้งคราว ซ่งเสี่ยวเชียนมองเขาอย่างสงสัยในที่สุดหลังจากกินข้าวเสร็จ ขณะที่เขากําลังล้างจาน เธอรีบไปเอามือไปสัมผัสหัวเขา ไม่ลูบก็ไม่รู้พอลูบก็ตกใจโดยไม่รู้ตัว บนหัวของเย่จื่อหยางบวมโนขึ้น แม้ว่าจะไม่ได้โนใหญ่มากแต่ก็พองเล็กน้อยซ่งเสี่ยวเชียนนึกถึงก่อนหน้านี้เธอโยนเจลอาบน้ำใส่หัวเย่จื่อหยางอย่างแรง ที่แท้หัวปูดโนขนาดนี้เขากลับไม่พูดอะไรโอเค ซ่งเสี่ยวเชียนเป็นคนจิตใจดี ตอนนี้เมื่อได้เห็นสิ่งนี้แล้ว ในใจของเธอก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา คิดว่าเธอใจร้ายไปหน่อยจริง ๆ บางทีเย่จื่อหยางอาจไม่ได้ตั้งใจบุกเข้ามาแอบดูเธอจริง ๆก็ได้ และใครแอบดูคนอื่นแถมจงใจเปิดประตูอีกพอในใจรู้สึกผิดเธอก็อยากชดเชยไง ดึ
เธอดูเวลาในโทรศัพท์ของเธอ นาทีและวินาทีผ่านไป และห้านาทีผ่านไป เย่จื่อหยางก็ยังไม่ออกมา มีบางอย่างเกิดขึ้นเหรอ? ไม่มีทาง? เขาไม่ใช่เก่งมากหรอ? ไม่ใช่ว่าออกโลงแล้วล้มเหลวเลยนะ?เธอเงยหน้าขึ้นเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้นในอาคารที่อยู่ไม่ไกล จู่ๆ ก็มีเสียงผู้ชายหยาบคายดังมาจากข้างหลังเธอ “เธอเป็นใคร!? มาทำตัวลับๆล่อๆก็ที่นี่ทำอะไร”ถูกจับได้แล้ว! นี่เป็นความคิดแรกที่เข้ามาหัวของซ่งเสี่ยวเชียนในเวลานั้น จู่ๆ เธอหันกลับมาและเห็นร่างผู้ชายที่มืดๆดำๆ ยืนอยู่ข้างหลังเธอไม่ไกลนัก เขามองดูเธอและทำท่าป้องกันตัว สายตาของเขาดูน่ากลัวเล็กน้อย"ฉ ฉัน...ฉันไม่ได้ทำอะไรเลย! ฉันหลงทาง..." ซ่งเสี่ยวเชียนมองไปรอบ ๆ และชี้นิ้วไปรอบ ๆ ชายคนนั้นก้าวไปข้างหน้าสองก้าวดูเหมือนจะสงสัย "มากับฉัน!"เมื่อพูดเช่นนั้น ชายคนนั้นก็ก้าวไปข้างหน้าสองก้าวและจับมือของซ่งเสี่ยวเชียน ปฏิกิริยาตัวสั่นของซ่งเสี่ยวเชียนอยู่ในระดับสูงสุดและเธอก็หลบมือของชายคนนั้นทันที เธอจะปล่อยให้เขาจับเธอได้อย่างไร? นั่นเรียกว่ายอมจำนนฟ้านะ ซ่งเสี่ยวเชียนกระโดด
เย่จื่อหยางสังเกตมันอย่างละเอียด ดังนั้นจึงไม่มีข้อผิดพลาด เด็กน้อยเล่นซอได้อย่างชำนาญมาก เหมือนว่าเขาเริ่มเรียนรู้มันตั้งแต่เขายังเป็นเด็ก"น่าสงสารจัง..." ซ่งเสี่ยวเชียนมองเด็กตาบอดคนนั้นซึ่งอายุน่าจะเพียงสิบสามหรือสิบสี่ปีเท่านั้น แต่ไม่สามารถมองเห็นโลกที่สวยงามใบนี้ แม้ว่าตอนนี้โลกจะปกคลุมไปด้วยหมอกควัน แต่ในบางครั้งก็มีท้องฟ้าเป็นสีฟ้าและเมฆเป็นสีขาวสำหรับเด็ก นี่เป็นสิ่งที่โหดร้ายมาก เดิมทีซ่งเสี่ยวเชียนเป็นคนที่มีจิตใจดีอยู่แล้ว เธออดไม่ได้ที่จะหยิบกระเป๋าสตางค์ของเย่จื่อหยางออกมา หยิบแบงค์ร้อยหยวนออกมาแล้วยื่นให้เด็กน้อย "เด็กน้อย เอาเงินไปซื้อของอร่อยๆที่อยากกินนะ อย่าอดไว้”เด็กหยุดเล่นซอ รีบหยิบธนบัตรจากมือของซ่งเสี่ยวเชียน วางไว้ใต้จมูกแล้วดมกลิ่น จากนั้นใช้มือแตะอย่างระมัดระวัง และในที่สุดก็ยิ้ม “ขอบคุณผู้มีน้ำใจ วันนี้งานของผมเสร็จแล้ว ผมสามารถกลับก่อนได้”เมื่อพูดจบ ก็รีบเก็บสิ่งด้วยความไว หยิบไม้นำทางเดินหนีไป จากไปโดยไม่หันกลับมามองซ่งเสี่ยวเชียน
การซื้อผักก็เป็นงานที่ต้องใช้สายตา ตรงไหนสดใหม่ตรงไหนเน่า แต่บางครั้งผักหัวใหญ่สีเขียวขจีไม่มีร่องรอยของแมลงสักตัว บางทีอาจจะฉีดยากําจัดศัตรูพืชที่มากเกินไป ขนาดแมลงไม่ไม่กล้ากิน คุณยังกล้ากินอยู่หรอการต่อรองราคาก็เป็นความรู้อย่างหนึ่ง ขณะที่ซ่งเสี่ยวเชียนกําลังคุยราคากับเจ้าของพ่อค้าหาบเร่คนหนึ่ง จู่ ๆ ก็ถูกเด็กคนหนึ่งชน เด็กคนนั้นชนเธอแรงมาก เธอโซซัดโซเซเกือบล้ม โชคดีที่ถอยหลังไปหลายก้าวจึงไม่ล้มลงเด็กน้อยพยายามพูดขอโทษเธอ ซ่งเสี่ยวเชียนอดทนต่อความโกรธไว้คิดว่าเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง "ไม่เป็นไรจ้ะ แต่คราวหน้าอย่าวิ่งเล่นในสถานที่แบบนี้อีกมันอันตราย" เด็กน้อยยิ้มให้เธออย่างเข้าใจ แล้ววิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว ซ่งเสี่ยวเชียนยังคงต่อรองราคากับพ่อค้าหาบเร่ต่อไป แต่ในเวลานี้พ่อค้าคนนั้นกลับมองเธอด้วยสายตาที่แตกต่างออกไป ซ่งเสี่ยวเชียนมองเสื้อผ้าของตัวเอง มีอะไรแปลกไปหรอ"พ่อค้า มีอะไรหรอทําไมจู่ ๆ ก็มองฉันด้วยสายตาแบบนี้ กะหล่ำปลียังจะขายไหม""เอ่อ สาวน้อย ฉันก็หวังดีจึงขอเตือนคุณหน่อย คราวหน้ามาซื้อผักอย่าให้เด็ก ๆ พวกนั้นเข้าใกล้คุ
ซ่งเสี่ยวเชียนเห็นเนื้อสัตว์และตาของเธอก็เปล่งประกาย เนื้อจานหนึ่งวางอยู่ตรงหน้านักชิมคนหนึ่ง เธอไม่สนใจว่าจะมีรอยแผลเป็นหรือไม่ จึงรีบคีบเนื้อชิ้นหนึ่งกิน แล้วอุทานว่า "เย่จื่อหยาง ฝีมือคุณก็ไม่เลวนิ อร่อยมากกก ครั้งหน้าฉันจะกินอันนี้ด้วย" "ไม่มีครั้งหน้า" เย่จื่อหยางพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม แล้วหยิบเบียร์ที่วางอยู่ข้าง ๆ ขึ้นมาดื่ม ดื่มเบียร์ลงทำให้เขาผ่อนคลายลงมาก และมองซ่งเสี่ยวเชียนที่มีความสุขในการกินเนื้อจึงถามว่า"วันนี้ผ่านอะไรมาเยอะแยะ เธอยังกินข้าวลงอีกหรอ" ซ่งเสี่ยวเชียนพูดด้วยรอยยิ้ม "คุณคิดว่าฉันใจสลายแล้วหรอ ฉันไม่ได้ขี้กลัวง่าย ๆ ขนาดนั้น และแน่นนอนมีคุณอยู่ข้าง ๆฉันจึงไม่ได้รับผลกระทบอะไรมาก" เธอตบไหล่ของเย่จื่อหยางและยกนิ้วโป้งให้เขา"วันนี้ทําได้ดีมาก กดไลค์"เย่จื่อหยางถูกล้อให้หัวเราะแล้ว เขาหัวเราะเสียงดังและดื่มเหล้าไปด้วย "แต่ก็ยังทําเธอได้รับบาดเจ็บนะ"ซ่งเสี่ยวเชียนคีบเนื้อชิ้นใส่ในชามของเขา "แผลเล็กน้อยแค่นี้เอง คุณโทษตัวเองแบบนี้มันทำให้ฉันรู้สึกผิดนะ" ซ่งเสี่ยวเชียนกะพริบตาให้เขา เย่จื่อหยาง
"คุณหมายความว่าไง?"ซ่งเสี่ยวเชียนถามเขาอย่างจริงจัง เย่จื่อหยางหุบปากไม่พูดถึงอีกแล้ว ซ่งเสี่ยวเชียนนิสัยขี้โวยวายแบบเธอ ถ้ามีคนจะลักพาตัวเธอไป คงต้องตะโกนเสียงดังออกมาแน่ ทั้งถนนคงรู้ว่าคนที่จะลักพาตัวเธอไปคือพวกค้ามนุษย์ เงียบไปสักพัก เย่จื่อหยางก็ถามว่า "ยังโกรธอยู่หรอ""ทําไมจะไม่โกรธ!? คุณคิดว่าแค่ไม่กี่คําก็สามารถปลอบฉันได้หรอต้องชดใช้" ซ่งเสี่ยวเชียนเอื้อมยื่นมือไปขอสิ่งของจากเย่จื่อหยาง เขาผลักมือออกแล้วบอกว่าไม่มี ซ่งเสี่ยวเชียนก็กระโจนเข้ามากัดเขา ครั้งนี้เย่จื่อหยางฉลาดขึ้น เขาหลบอย่างไว ทําให้ซ่งเสี่ยวเชียนกัดเพียงว่างเปล่า แค่วินาทีเท่านั้น ซ่งเสี่ยวเชียนรู้สึกว่าเธอกับเขาเหมือนคนรักกัน การสัมผัสร่างกายเล็กๆน้อยๆก็ไม่ได้น่าอายเหมือนเมื่อก่อนแล้ว เธอยังกล้าที่จะกัดเขาด้วยจากนั้นเธอก็เขิลอายแล้ว ทําไมตอนนี้พวกเขาใกล้ชิดกันขนาดนี้วินาทีต่อมาเธอก็นึกถึงสิ่งที่สําคัญมาก "คุณปู่ของคุณบุกเข้ามาที่บ้านเมื่อวันก่อน"ทันใดนั้นสีหน้าของเย่จื่อหยางก็เปลี่ยนไป ถามอย่างจริงจังว่า "หมายความว่าอะไร"