เย่จื่อหยางวิ่งไปที่ห้องทำงานของหัวหน้าอาคารสำนักงาน โดยที่หลู่เชียงหรงกำลังนั่งตากแอร์อยู่ ใบหน้าของเขาดูสบายๆ ซึ่งตรงกันข้ามกับเย่จื่อหยางที่เหงื่อออกท่วมตัว หลู่เชียงหรงยิ้มให้เขา " มีอะไรหรอ?"
“รายงาน!” เย่จื่อหยางทำความเคารพแล้วพูดว่า “หัวหน้า ให้ฉันเป็นตัวแทนเขตทหารของเราเข้าร่วมการแข่งขันระดับเขตทหารในปีนี้เถอะ”
ตอนนี้หลู่เซียงหรงมองเขาด้วยความสนใจ ยืนขึ้นและเผชิญหน้ากับเขา "นายไม่ได้พูดเสมอหรอ ควรให้โอกาสแก่คนรุ่นใหม่ ถ้าสมาชิกในทีมของนายชนะ นายก็จะภูมิใจไม่แพ้กัน"
“แต่ปีนี้ ฉันอยากไปด้วยตัวเอง” เย่จื่อหยางกล่าวอย่างแน่วแน่
การแข่งขัน King of Special Forces เกือบจะเป็นไฮไลท์ของทุกๆ ปีในกองทัพ พื้นที่ทหารหลักๆ หลายแห่งส่งกองกำลังพิเศษที่ดีที่สุดเข้าร่วมการแข่งขัน หากพวกเขาชนะ พวกเขาไม่เพียงแต่จะได้รับเกียรติยศสำหรับทหารและกองกำลังของตนเองเท่านั้น แต่ยังได้รับโบนัสก็อนใหญ่ ซึ่งเป็นโอกาสที่ดีสำหรับคนที่ฐานะทางครอบครัวไม่ค่อยดี เป็นโอกาสอันมีค่าสำหรับทหารที่ฐานะทางบ้านดี ดังนั้นทุกคนจึงอยากที่จะเก่งที่สุด เพื่อเป็นตัวแทนของกองทัพในการแข่งขัน
แปดปีที่แล้วเย่จื่อหยางเพิ่งเข้าร่วมทีมพิเศษและได้รับเลือกให้เข้าร่วมการแข่งขันเนื่องจากผลงานที่ดีมากของเขา เขาได้รับรางวัลที่หนึ่งในปีนั้น ซึ่งทำได้ดีกว่าทหารผ่านศึกหลายคนในเวลานั้น และชื่อเสียงของเขาก็แพร่กระจายไปในทันที
อีกสามปีถัดมา เขาเข้าร่วมแข่งขันทุกปีและคว้าแชมป์สามปีติดต่อกันจนเกือบจะเป็นตำนาน ต่อมาเขาหยุดเข้าร่วมโดยบอกว่าเขาจะให้โอกาสสำหรับคนรุ่นใหม่
ในปีนี้ เย่จื่อหยางจะลงแข่งขันอีกครั้ง ซึ่งทำให้หลู่เซียงหรงประหลาดใจมาก และเตะขาขวาของเขา "ขาของนายตอนนี้ ทำได้หรอ?"
เย่จื่อหยางยิ้ม "ฉันไม่รู้ ฉันไม่รู้ว่าจะยังโลดโผนเหมือนเดิมได้หรือเปล่า ดังนั้นฉันอยากลอง"
หลู่เชียงหรงตบบนไหล่เย่จื่อหยาง "โอเค! ลองดูตำนานของเราในตอนนั้น ในวัยนี้ จะสามารถเปลี่ยนเมฆให้กลายเป็นฝนเหมือนที่เคยทำเมื่อยังหนุ่มได้ไหม นายกรอกข้อมูลลงด้วย ต่อไปต้องซ้อมอย่างหนัก การแข่งขันยังเหมือนเดิม ประมาณเดือนธันวาคม นายจัดการเวลาเอง”
เย่จื่อหยางพยักหน้า
การทำบางสิ่งมักจะนำไปสู่ความเบื่อหน่าย เช่นเดียวกับจื่อหยางที่เคยชินกับการเป็นแชมป์และพบว่ามันน่าเบื่อ เมื่อไม่กี่ปีก่อน ตอนที่เขายังเด็กและเลือดร้อน เย่จื่อหยางบอกว่าเขาจะปล่อยโอกาสให้คนรุ่นใหม่ แต่จริงๆแล้วแค่ไม่อยากจะไปแย่งเอาชัยชนะมาแค่นั้นเอง ยังไงซะสุดท้ายเขาก็เป็นแชมป์ในที่สุด ดังนั้นเขาจึงค่อยๆเบื่อหน่ายและเลิกล้มไป
แต่ตอนนี้ จู่ๆ ความอยากลองก็จุดประกายขึ้นในใจของเขา และเขาต้องการที่จะแสดงมันออกมา ดังนั้นเขาจึงถามอีกคำถามหนึ่งว่า "เอาหน่วยธุรการไปด้วยได้ไหม"
หลู่เชียงหรงมองเขาด้วยท่าทางแปลก ๆ แล้วพยักหน้าเย่จื่อหยางยังคงกรอกข้อมูลต่อไปด้วยรอยยิ้ม
ซ่งเสี่ยวเชียนไม่คาดหวังว่าเธอจะได้รับโทรศัพท์จากเฉียนอ้ายเล่อ เมื่อสองปีที่แล้วเธอยังคงศึกษาอยู่ที่ลอนดอน ประเทศอังกฤษ เฉียนอ้ายเล่อกำลังศึกษาอยู่ในเวลานั้นและได้ศาสตราจารย์คนเดียวกันกับเธอ อาจารย์จัดให้เธอไปรับเฉียนอ้ายเล่อที่สนามบิน และเนื่องจากพวกเขาทั้งคู่เป็นคนจีน เธอกับเฉียนอ้ายเล่อจึงกลายเป็นเพื่อนกัน
เฉียนอ้ายเล่อกลับมาที่จีนเร็วกว่าเธอหนึ่งปีและตอนนี้เธอมีชื่อเสียงมาก เธอเป็นหนึ่งในศัลยแพทย์ที่เก่งที่สุดในประเทศ ซ่งเสี่ยวเชียนเรียกเรียกเธอว่าพี่เลอเลอ พวกเธอติดต่อกันเป็นระยะ ๆ ตกลงกันว่า ถ้าเฉียนอ้ายเล่อมาถึงเมืองหลวงต้องติดต่อเธอ
เฉียนอ้ายเล่อจะอยู่ในเมืองหลวงเป็นเวลาสี่ถึงห้าเดือนเพราะเธอได้รับเชิญจากโรงพยาบาลขนาดใหญ่ให้เป็นวิทยากรเพื่อถ่ายทอดประสบการณ์ บังเอิญ โรงพยาบาลที่เชิญเฉียนอ้ายเล่อบังเอิญเป็นโรงพยาบาลที่ ซ่งเสี่ยวเชียนทำงานอยู่พอดี
เมื่อรู้ว่าเฉียนอ้ายเล่อกำลังมา และทำงานเป็นอาจารย์ในโรงพยาบาลที่ซ่งเสี่ยวเชียนทำงานอยู่ เธอไม่สามารถซ่อนความตื่นเต้นของเธอไว้ได้ ในที่สุดเธอก็พูดประเด็นสำคัญว่า "พี่เลอเลอ ไอดอลของฉันเขาจะมาด้วยไหม?"
“เขาหรอ สองสามเดือนนี้ไม่มีอะไรทำ จะมากับฉัน เดือนธันวาคมดูเหมือนว่าเขาจะไปฮาร์บินเพื่อเป็นกรรมการตัดสินการแข่งขันทหาร พอดีกับที่ฉันเป็นวิทยากรเสร็จ บอกว่าอยากพาฉันไปด้วยขอฉัน ให้ฉันเปิดหูเปิดตาหน่อย”
“จริงเหรอ! งื้อออ พี่เล่อเล่อ พี่ไม่รู้ว่านี่เป็นสิ่งเดียวที่ทำให้ฉันมีความสุขในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา! เที่ยวบินของพี่จะมาถึงเมืองหลวงตอนไหน ฉันจะไปรับพี่!” ซ่งเสี่ยวเชียนดีใจจนเนื้อเต้นอยู่คนเดียวในห้องนั่งเล่น
"อีกสองวัน เก้าโมงเช้า ตรงกับวันอาทิตย์พอดี"
และวันเสาร์เป็นวันที่เย่จื่อหยางกลับมาจากกองทัพเพื่อพักผ่อน เขาไม่ได้กลับบ้านตรงเวลาสัปดาห์ละสองครั้งเป็นเวลานาน บางทีผู้บังคับบัญชาของเขาอาจคำนึงถึงอาการบาดเจ็บที่ขาของเขาและไม่รีบเร่งที่จะมอบหมายงานให้เขา อย่างไรก็ตามเย่จื่อหยางกลับรู้สึกว่าชีวิตสบายเกินไป ไม่เหมือนกับตัวเองเมื่อก่อน
เขาคิดอย่างนั้น แต่ลึกๆ ในใจเขาไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเหตุผลที่เขากลับบ้านได้ตรงเวลาสัปดาห์ละสองวันก็เพราะเขามีคนที่เขาคาดหวังไว้ที่จะได้เจอที่บ้าน พอกลับบ้าน เขาก็สามารถเห็นรูปร่างที่มีชีวิตชีวาของเธอ ทะเลาะ โต้เถียงกับเขา แล้วฟังเขาอย่างเชื่อฟังภายใต้การขมขู่ของเขา
ชีวิตแบบนี้ทำให้เขารู้สึกสนุกเป็นอย่างมาก
เปลี่ยนเป็นแต่ก่อน เขาต้องกลับบ้านที่เงียบสนิทหลังนี้จริงๆ เหรอ? เขานอนหลับบ้านก็ไม่มีเสียงอะไร เวลากินข้าวก็มีแค่เขาคนเดียวที่โต๊ะ และเมื่อเขาเบื่อดูทีวีบนโซฟาตัวใหญ่ก็มีเพียงเขา ความเหงาแบบนี้กำลังจะกลืนกินเขาลงไป
ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติสำหรับเขาที่จะไม่กลับบ้านเป็นเวลาหลายเดือน แต่ตอนนี้ เขาแทบรอไม่ไหวที่จะกลับบ้านทุกวัน
เขาเปิดตู้เย็นและดื่มน้ำเย็นๆ แต่เมื่อน้ำเย็นออกมาจากตู้เย็นก็ไม่มีอะไรเลย ไม่เจอของกินสักชิ้น พอลองคิดดูดีๆ เมื่อซ่งเสี่ยวเชียนย้ายเข้ามาเขาก็ไล่ป้าแม่บ้านออก และเขาไม่ได้ไปซุปเปอร์มาร์เก็ตเพื่อซื้ออะไรไว้ ซ่งเสี่ยวเชียนคงคิดไม่ถึง พวกเขาทั้งสองจะไม่มีอะไรกินขนาดนี้
"ซ่งเสี่ยวเชียน!" ตะโกน วันหยุดอยู่บ้านใช่ไหม ?
ทันใดนั้น เสียงของซ่งเสี่ยวเชียนดังมาจากห้องรับแขก "มีอะไร?"
เย่จื่อหยางเดินไปที่ประตูห้องรับแขก เปิดมันออก และซ่งเสี่ยวเชียนกำลังอ่านอะไรบางอย่างในห้องเล็ก ๆ มองไปที่หน้าปก มันเกี่ยวกับยา และพูดว่า "ที่บ้านไม่มีอะไรกินแล้ว เธอไม่สนใจหน่อยหรอ?"
"จะทำอย่างไร?" ซ่งเสี่ยวเชียนพูดขณะกัดปากกาอยู่
“ซื้ออาหาร ทำอาหาร ซักเสื้อผ้า และทำความสะอาด นี่ไม่ใช่หน้าที่ของภรรยาเหรอ?” เย่จื่อหยางพิงประตู ดูเหมือนเตรียมที่จะพูดกับซ่งเสี่ยวเชียนนาน
"ให้ฉันทำทุกอย่าง คุณไม่ได้อยู่ที่นี่ คุณไม่กินข้าวเรื่องของคุณ คุณทำเอง ฉันคิดว่าแบบนี้มันยุติธรรมดี" ซ่งเสี่ยวเชียนหยิบปากกาขึ้นมาแล้วสเก็ตช์ภาพในหนังสือ เธอพูดแบบขอไปที
“ทำไม่เป็น” เย่จื่อหยางพูดแบบไม่แยแส ซ่งเสี่ยวเชียนเงยหน้าขึ้นมองเขาแล้วยิ้ม “ตัวใหญ่เท่าช้าง ยังทำอาหารไม่เป็นอีก คุณอยู่กองทัพมาได้ยังไง?
“ฉันแค่ทำอาหารไม่เป็น ฉันไม่เหมือนกับเธอที่มอมแมมแบบนี้” เย่จื่อหยางชี้ไปที่ชุดของซ่งเสี่ยวเชียนในขณะนั้น ก็... ผมของเธอถูกมัดอย่างยุ่งเหยิง ดูเหมือนว่าจะไม่ได้สระมาหนึ่งหรือสองวัน และมัดหลวมๆ เสื้อแขนสั้นและสวมรองเท้าแตะที่เท้า
เมื่อเปรียบเทียบกับเครื่องแต่งกายที่พิถีพิถันตลอดเวลาของเย่จื่อหยาง รูปร่างหน้าตาของซ่งเสี่ยวเชียนถือว่ามอมแมมจริงๆ !!
ซ่งเสี่ยวเชียนมองดูเครื่องแต่งกายของเธอ "ใครมันอยู่ที่บ้านจะแต่งตัวเหมือนไปนัดบอด! แน่นอนว่าฉันจะแต่งตัวให้สบายที่สุดเท่าที่จะทำได้! แล้วก็ ฉันจะใส่ยังไงมันก็เรื่องของฉันไม่เกี่ยวกับคุณ!" ลุกขึ้นและเตรียมผลักเย่จื่อหยางออกจากประตู แต่เย่จื่อหยางสั่งเธอว่า ต่อจากนี้ไปเธอจะดูแลสุขอนามัยภายในบ้าน อาหารสามมื้อต่อวัน ซักผ้ารีดผ้าและอื่น ๆ ซ่งเสี่ยวเชียนเตะเขาด้วยความโกรธ "ออกไป ! เวลาของฉันมีค่า!”เย่จื่อหยางได้ยินสิ่งที่เธอพูด ก็ปรากฏรอยยิ้มที่น่ากลัวขึ้นที่มุมปากของเขา เขาหันกลับมาอย่างรวดเร็วจ้องไปที่ซ่งเสี่ยวเชียนแบบจะกินเลือดกินเนื้อ จากนั้นบังคับเธอให้ถอยติดกำแพง ใช้มืออันทรงพลังค้ำไม้กำแพงสองข้าง และค่อยๆเข้ามาใกล้ ทำให้ซ่งเสี่ยวเชียนต้องถอยหลังโดยสัญชาตญาณ แต่ทำได้แค่หลังชิดผนังเท่านั้น“เธอกล้าขัดคำสั่งฉัน! ฉันจะอุ้มเธอ โยนเธอลงบนเตียง แล้วก็... กินเธอทีละเล็กทีละน้อย! สอนบทเรียนให้เธอบนเตียง ดูสิว่าเธอจะยังกล้าหรือเปล่า” สายตาของเย่จื่อหยางกำลังคุกคามเธอทำให้เธอตัวหดลง "ฉันไม่กลัวคุณหรอก! ถ้าคุณใช้กำลัง ฉันจ
โย้ เพื่อนร่วมอุดมการณ์นิ ไม่น่าแปลกใจเลยที่ เย่จื่อหยางรู้สึกว่ารัศมีของบุคคลนี้แตกต่างจากคนทั่วไปมาก เย่จื่อหยางมือทั้งสองข้างวางลงในกระเป๋ากางเกงของเขา เคลื่อนไหวปกติและสบตากันกับเจียงจิ่งเฟิง ทั้งสองมีส่วนสูงเกือบเท่ากัน และพวกเขาปฏิเสธที่จะทักทายกัน เจียงจิ่งเฟิงสูดหายใจลึกๆแล้ว หยิบบุหรี่ออกมา และอมมันไว้ในปากของเขาแล้วพูดว่า "ที่รัก จุดบุหรี่ให้ฉันหน่อย" เมื่อเห็นท่าทางเย่อหยิ่งของเขา เฉียนอ้ายเล่อก็เอาศอกพุ่งเข้าที่เอวของเขาอย่างไม่ได้ตั้งใจ "ห้ามสูบบุหรี่!" และหยิบบุหรี่ออกจากปากของเขา“งื้อ ที่รัก” เราตกลงกันว่าจะอยู่ตรงหน้าคนอื่นในฐานะสามีภรรยากันนิ คุณทำแบบนี้ ผมจะเอาหน้าไปไหนที่ไหน!” จู่ๆ เจียงจิ่งเฟิงก็เปลี่ยนโหมดของเขา และเอื้อมมือออกไปแย่งบุหรี่กลับมา เฉียนอ้ายเล่อ ฮึ "ฟังนะ เชื่อฟังคุณแต่ยังต้องเชื่อฟังฉัน!?"เจียงจิ่งเฟิงเกาหัวด้วยความอาย "ฟังที่รัก"เมื่อเห็นปฏิสัมพันธ์ของพวกเขา เย่จื่อหยางก็เลิกคิ้วขึ้น ทำไมดูเหมือนว่ามีบางอย่างผิดปกตินะ? หลังจากที่เฉียนอ้ายเล่อตะโกนใส่ เจียงจิ่งเฟิงเสร็จแล้ว เธอก็กลับมายิ้มอีกครั้งและพูดกับ ซ่งเสี่ยวเชียนว่า "จะไม่แนะนำเขาให้
“ฉันขอโทษจริงๆ เราไม่สามารถย้ายออกไปได้ โรงแรมที่เดิมทีเราจองไว้ถูกยกเลิกแล้ว ถ้าเราจองอีกครั้งตอนนี้ ฉันเกรงว่าพวกเราจะไม่มีห้อง ดังนั้นสองสามเดือนต่อจากนี้คงต้องพักบ้านนายแล้วล่ะ”ที่จริงเจียงจิ่งเฟิงตั้งใจพูดแบบนี้ เพราะเขารู้สึกว่าชายที่อยู่ตรงหน้าเขาดูเข้มงวดเกินไป และเขาต้องการพูดอะไรบางอย่างเพื่อกระตุ้นเขา กล่าวอีกนัยหนึ่ง เขาแค่ตั้งการจะแกล้งเขานั้นเองเดิมทีเย่จื่อหยางก็ไม่ชอบเจียงจิ่งเฟิงอยู่แล้ว แล้ว บวกกับที่ซ่งเสี่ยวเชียนยกย่องเขามากในฐานะสามีที่สมบูรณ์แบบ ความโกรธที่ระเบิดออกมาจากหัวใจของเขาทันที และเขาก็รีบวิ่งไปข้างหน้าเพื่อเหวี่ยงหมัดไปที่เจียงจิ่งเฟิง แต่เจียงจิ่งเฟิงก็ไม่ใช่คนธรรมดา เขาตอบสนองอย่างรวดเร็วและหลบหมัดของเย่จื่อหยาง แต่เย่จื่อหยางก็ทำการโจมตีครั้งที่สองอย่างรวดเร็ว แต่เจียงจิ่งเฟิงก็หลบมันได้อีกครั้งทั้งคู่เป็นทหารพิเศษและท่าทางการต่อสู้ของพวกเขาก็เหมือนกับการดวลกันระหว่างปรมาจารย์ในละครโทรทัศน์ศิลปะการต่อสู้ ต่อมาเจียงจิ่งเฟิงเลือกที่จะไม่ป้องกันและเริ่มโจมตี ทั้งสองคนต่อสู้กันอย่างดุเดือดมากขึ้นเรื่อย ๆ ของตกแตกเป็นชิ้นๆ เดิมทีห้องสะอาดสะอ้าน แต่ต
ในไม่ช้าเย่จื่อหยางก็เข้าใจสิ่งที่ซ่งเสี่ยวเชียน พูดก่อนหน้านี้ว่า เจียงจิ่งเฟิงดีกับภรรยาของเขามาก จนเขาไม่สามารถเทียบติด แม้ว่าเขาจะอยู่บ้านเพียงสองวันก่อนจะกลับไปกองทัพ แต่ในเวลาเพียงสองวันนี้ เขาได้เห็นแล้วว่าเจียงจิ่งเฟิงเป็นผู้ชายเป็นคนดีสมบูรณ์แบบอย่างที่ไม่มีใครเทียบได้ตลอดสองวันคำที่ไม่เคยหายไปเลยคือ "ที่รัก!" มันจะได้ยินตลอดเวลา เย่จื่อหยางต้องการอยู่บ้านเงียบ ๆ อ่านหนังสือหรืองีบหลับ แต่สองคำนี้ มักจะรบกวนให้เขานอนไม่หลับ“ที่รัก หิวไหม? ฉันเตรียมของหวานและน้ำชายามบ่ายไว้ให้แล้ว ที่รัก ไม่อยากกินข้าวเหรอ เธอคงเหนื่อยกับการเตรียมสอนใช่ไหม ผมจะช่วยนวดไหล่หรือนวดขาก็ได้” โดยปกติจะถามตอนที่เพิ่งกินข้าวเที่ยงเสร็จ และท้องเพิ่งอิ่ม"ที่รัก มานี่ ผมจะป้อนให้ อ่า~" สิ่งนี้มักจะเกิดขึ้นที่โต๊ะอาหารเย็น โดยที่เย่จื่อหยางนั่งอยู่ข้างๆ แต่เจียงจิ่งเฟิง ยังคงไร้ยางอายและป้อนข้าวให้เฉียนอ้ายเลอ และปกติเฉียนอ้ายเลอก็จะใช้มือตบเขา แล้วด่าว่า "ขายขี้หน้า!" แต่หลังจากนั้นทั้งสองก็ไม่เบื่อที่จะได้อยู่ด้วยกัน เรื่องแบบนี้ทำให้เย่จื่อหยางรู้สึกตกใจ ไม่เคยพบเจอคนแบบนี้มาก่อน ดังนั้นสำหรั
ทันใดนั้น พยาบาลประจำการก็รีบไปหาซ่งเสี่ยวเชียน "หมอซ่ง คุณเย่มาที่นี่เพื่อพบคุณ! คุณอยากจะไปดูตอนนี้เลยไหม?"ซ่งเสี่ยวเชียนถือสมุดบันทึกไว้ในมือ ใบหน้าของเธอแข็งค้าง ลางสังหรณ์ที่ไม่ดีแพร่กระจายไปทั่วร่างกายของเธอ ทำไมเขาถึงมาโรงพยาบาลเพื่อตามหาเธอ? เขาควรอยู่ในกองทัพไม่ใช่เหรอ? “เอ่อ ยังไม่ไปพบเขา...ฉันยังต้องไปเช็คผู้ป่วยกับผู้อำนวยการ”"ไม่จำเป็นหรอก ในเมื่อผู้พันเย่มาพบคุณด้วยตนเอง คงต้องมีบางอย่างที่สำคัญ คุณรีบไปดูเถอะ" ก็... ใครในโรงพยาบาลนี้ไม่รู้ว่าเย่จื่อหยางเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงทั้งยังรวยเหรอ? จะกล้าละเลยเขาได้อย่างไร? รับผลักให้รีบไปซ่งเสี่ยวเชียนถูกนางพยาบาลพาตัวไปด้วยความลำบากใจ เมื่อเธอมาถึงห้องรับแรก เย่จื่อหยางก็นั่งอยู่บนโซฟาดูทีวีด้วยสีหน้าสบายๆ ซ่งเสี่ยวเชียนเริ่มโกรธทันที "นี่มันเวลาทำงาน คุณมาหาฉันมีธุระอะไร ?”เย่จื่อหยางหันกลับมาแล้วยิ้มให้เธอ ยิ้มหล่อเชียว ทำให้พยาบาลที่อยู่ข้างหลังถึงกับม้วนตัว “ฉันมีเรื่องที่จะคุยเป็นการส่วนตัวกับเธอ’เย่จื่อหยางพูดเพียงครึ่งประโยค แต่นางพยาบาลก็พยักหน้าโดยบอกว่าเธอเข้าใจ พวกคุณค่อยๆคุยพูด และแม้กระทั่งปิดประตูให้พวกเข
เมื่อได้ยินสิ่งที่เย่จื่อหยางพูด ซ่งเสี่ยวเชียนก็สำลักออกมา ไอหลายครั้ง และตบหน้าอกของเธอ ใช่เย่จื่อหยางจริงๆใช่ไหมดื่มไปงงไปเมื่อดื่มน้ำลงไปเธอก็รู้สึกดีขึ้นมาก “เย่จื่อหยางคุณไม่ใช่ว่าถูกกระตุ้นโดยเจียงจิ่งเฟิง ดังนั้นเลยอยากที่จะเป็นแบบเขาหรอกใช่ไหม”“ไม่ใช่ ฉันไม่อยากเป็นเหมือนเขา เขาคือเขาและฉันก็คือฉัน ฉันจะไม่กลายเป็นใครอีกแล้ว” เย่จื่อหยางพูดขณะที่เขาหยิบและกินอาหารบางส่วนบนจาน แล้วพูดว่าเขาอิ่มแล้ว“มีผู้หญิงอยู่ในใจของคุณใช่ไหม คุณกินน้อยกว่าฉันอีก?” ซ่งเสี่ยวเชียนใส่ร้ายเขาอย่างหน้าไม่อาย เมื่อครู่ตอนที่เขาเธอกลัวมาก แต่ตอนนี้เขากลับมาสู่สภาพเดิมแล้ว เธอต้องด่าสักหน่อยถึงจะรู้สึกสบายใจ"มันไม่อร่อย" นี่คืออีกด้านหนึ่งของเย่จื่อหยางหรอ? ฉันคิดเสมอว่าเย่จื่อหยางจะเป็นคนที่สามารถอดทนต่อความยากลำบากและไม่เลือกกินถึงจะเป็นหัวหน้าของกลุ่มพิเศษได้ แต่ตอนนี้เขาพูดคำว่า "ไม่อร่อย" สามคำนี้ซ่งเสี่ยวเชียนมองออกไปนอกหน้าต่าง ไม่มีฝนสีแดงบนท้องฟ้า จากนั้นเธอก็มองไปที่เย่จื่อหยาง "ที่บ้านไม่ใช่ว่าคุณกินข้าวเยอะเหรอ?" ใช่ เย่จื่อหยางสามารถกินข้าวสองหรือสามชามได้"เธอทำอร่อย" ในความเป็น
พูดจบก็รีบวิ่งไปที่ประตูห้องนอน เคาะประตูอย่างแรงสามครั้ง จากนั้นประตูไม้ก็เปิดออก เย่จื่อหยางขมวดคิ้วและมองเขาด้วยความโกรธมาก "มีอะไร!" "น้องรัก พวกเราสองคนเข้าไปคุยกันข้างในเถอะ" พอพูดไปเจียงจิ่งเฟิงก็กอดไหล่ของเย่จื่อหยางเหมือนคุ้นเคยกันมา ผลักเขาเข้าไปในห้องแล้วปิดประตู ซ่งเสี่ยวเชียนยังได้ยินเสียงล็อคประตู โอ๊ย ทําไมภาพนี้ถึงดูอึดอัดขนาดนี้นะพวกเขาสองคนก็ไม่รู้ว่าได้ปรึกษาอะไรกันข้างใน คุยกันสิบหรือยี่สิบนาทีจึงออกมา ซ่งเสี่ยวเชียนกําลังเตรียมที่จะแอบไปตักซุปสักชามมาดื่มในห้องครัว แต่ถูกเจียงจิ่งเฟิงจับได้พอดี"แม่สาวน้อย ซุปนี้ยังตุ๋นไม่เสร็จ เอามือของออกไป!" ทันทีที่เจียงจิ่งเฟิงตบมือของเธอ ซ่งเสี่ยวเชียนก็คลายช้อนด้วยความเจ็บปวด เจียงจิ่งเฟิงรับทันทีแล้วผลักเธอออกไป"ฉันเป็นพี่เลี้ยงให้เธอก็แล้วไปเถอะ จะว่ายังไงฉันก็เป็นคนที่ต้องขออาศัยใต้ชายคา แต่จะมาแอบดื่มซุปไม่ได้หรอก คําแรกยังไงก็ต้องให้ภรรยาของฉันก่อน" เจียงจิ่งเฟิงบ่นพึมพำในห้องครัว ซ่งเสี่ยวเชียนทําหน้าบูดบึ้งใส่เขา "ขี้เหนียว!
"มานี่" เมื่อเสียบปลั๊กแล้ว เย่จื่อหยางก็ทําท่าทางเหมือนเรียกสัตว์เลี้ยงของเขา ซ่งเสี่ยวเชียนเห็นว่าเขาแค่อยากเป่าผมให้เธอ นี่จึงถอนหายใจด้วยความโล่งอกลูบผมที่เปียกชื้นของตัวเองแล้วบอกว่า “ ฮ่าๆ ไม่ต้องเป่าแล้ว ฉันนอนเปียกผมหลายครั้งแล้ว ไม่เป็นไร”"มานี่!" สําหรับสัตว์เลี้ยงที่ไม่เชื่อฟังก็ดุน้ำเสียงของเย่จื่อหยางค่อนข้างน่ากลัว ทันใดนั้นดวงตาของเขาก็มืดครึ้ม คิ้วขมวดแน่น ซ่งเสี่ยวเชียนหดคออีกครั้ง ทางเลือกที่รู้ที่สุดคือเชื่อฟัง คําพูดนี้เย่จื่อหยางพูดอย่างชัดเจนเมื่อพวกเขารู้จักกันครั้งแรกถ้าอย่างนั้นก็เชื่อฟังเถอะ ซ่งเสี่ยวเชียนคลานขึ้นไปต่อหน้าเย่จื่อหยางด้วยความท้อใจ นั่งอยู่ข้างเตียง ไม่ต่อต้าน เชื่อฟังมากเย่จื่อหยางจึงพอใจแล้ว มุมปากมีรอยยิ้มเล็กน้อย สัตว์เลี้ยงที่เชื่อฟังจะได้รับความโปรดปรานจากเจ้าของ เปิดเครื่องเป่าผม ความร้อนที่อบอุ่นพัดออกมา เย่จื่อหยางเป่าผมให้เธออย่างอ่อนโยน เส้นผมลอยอยู่ในอากาศ เย่จื่อหยางไม่เคยเป่าผมให้คนอื่น ดังนั้นการเคลื่อนไหวจึงค่อนข้างแข็งกระด้าง แต่เขาดูเหมือนจะสนุกกับการกระทำนี้มาก
เย่จื่อหยางก็เอากล่องที่บรรจุยาบํารุงที่ไม่รู้ว่าเป็นอะไรมาคืนให้ซ่งเสี่ยวเชียน "ไม่จําเป็น" "ทําไมถึงไม่จําเป็นล่ะ คุณจะกลับบ้านมือเปล่าแบบนี้ไม่ได้" ซ่งเสี่ยวเชียนมองเขาอย่างเงียบ ๆ"ฉันบอกว่าไม่จําเป็นต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจกับเรื่องนี้ เขามองปราดเดียวก็มองออก" เย่จื่อหยางเอามือล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงอีก ทําท่าทางเหมือนเธอให้ฉันทําอะไรฉันก็ไม่ทํา ซ่งเสี่ยวเชียนตะโกนว่า "คุณอยากคืนดีกับคุณพ่อของคุณหรือเปล่า ถ้าคิด คุณก็ต้องลงมือทํา อย่าเอาแต่พูดเฉย ๆ ไม่ได้นะ" จิ้มหน้าอกของเย่จื่อหยาง "คุณเป็นทหาร แน่นอนว่าต้องรู้ว่าการกระทําเป็นพื้นฐานของการทําภารกิจทั้งหมดให้สําเร็จ"เย่จื่อหยางก็มหน้ามองเธอและคิดในใจว่าเขาจะคืนดีกับพ่อของเขาหรือไม่มันเกี่ยวอะไรกับเธอ?ดูเหมือนเธอจะซีเรียสกว่าเขาอีกเขาถอนหายใจ ซ่งเสี่ยวเชียนพูดถึงขนาดนี้แล้ว เขาคงอยู่เฉย ๆ ไม่ได้ใช่ไหม ยิ่งไปกว่านั้นการได้คืนดีกับคุณพ่อก็เป็นการแก็ปัญหาที่เขากังวลมานานได้จริง ๆ เขาเงยหน้าขึ้นและลูบหัวของซ่งเสี่ยวเชียน "ทํา เพียงแต่ว
เธอกอดหมอนและยิ้มอย่างพอใจ เธอสาบานว่าเธอไม่เคยเจอใครที่เก่งขนาดนี้มาก่อน สามารถปกป้องเธอและขจัดวิกฤตให้เธอได้ทันทีในเวลาฉุกเฉิน ราวกับว่าจู่ๆ กำแพงทึบก็ปรากฏขึ้นในชีวิตของเธอ จะปกป้องเธอตลอดเวลาต่อจากนี้ไป ทำให้เธอรู้สึกปลอดภัยซ่งเสี่ยวเชียนเชื่อ ในอนาคต ตราบใดที่มีเย่จื่อหยางอยู่ข้าง ๆ เธอก็ไม่กลัวอะไรทั้งนั้น เมื่อฟ้าถล่มยังมีเขาคอยอยู่ข้างๆไม่ใช่หรอเย่จื่อหยางเขียนรายงานเสร็จก็ปิดคอมพิวเตอร์และเดินออกจากห้องหนังสือ ห้องนั่งเล่นมืดสนิท มีเพียงไฟสีเหลืองเข้มดวงเดียวที่เปิดอยู่ ฝาหลังของรีโมทกระจัดกระจายอยู่บนพื้นพร้อมถ่าน เขาหยิบขึ้นมาและวางไว้ มองไปที่ซ่งเสี่ยวเชียนที่นอนอยู่บนโซฟาลืมตาก็ไม่รู้ว่ากําลังคิดอะไรอยู่ เอามือล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง "มีเรื่องอะไรหรอ ทําไมดูมีความสุขขนาดนี้""ไม่มีนิ ฉันก็แค่ดีใจ" ซ่งเสี่ยวเชียนลุกขึ้นยืนต่อหน้าเย่จื่อหยางยิ้มให้เขา แล้วทันใดนั้นก็กระพริบตาให้เขา มุมปากของเขามีรอยยิ้มที่ทําให้เย่จื่อหยางเดาไม่ออก กําลังจะถามว่าทําไมถึงยิ้ม ทันใดนั้นซ่งเสี่ยวเชียนก็เอื้อมมืออ้อมไปข้างหลังเย่
คิดถึงเด็กคนหนึ่งที่อายุ 15-16 ปี เร่ร่อนอยู่กับพวกเขามา 4-5 ปี เพื่อขอทานทุกที่ และเงินที่ขอมามอบให้กับหัวหน้าแก๊งนั้น รับรองว่าทุกคนจะได้กินอาหารไม่อั้นสิ่งที่ทําให้ซ่งเสี่ยวเชียนเจ็บปวดมากกว่าเดิมคือเด็กคนที่ตาบอดทั้งสองข้าง เขาไม่ได้ตาบอดมาตั้งแต่เกิด แต่เมื่อเขาอายุเจ็ดขวบ เขาถูกจับโดยคนของแก๊งและจากพ่อแม่ไปตั้งแต่นั้นมา คนเหล่านั้นล้างสมองเขาเพื่อให้เขาได้รับเงินมากขึ้น ทําให้เขาคิดว่าการช่วยพวกเขาขอเงินมากขึ้นเป็นเรื่องที่ดีคนเหล่านั้นใช้เหล็กแทงเข้าไปในดวงตาของเด็กน้อย ตั้งแต่นั้นมาเขาก็มองไม่เห็นและคนเหล่านั้นสอนเขาวิธีการแยกแยะขนาดของธนบัตรด้วยมือของเขาและติดตามพวกเขามานานหลายปี และความสามารถในการแยกแยะเงินด้วยมือของเขานั้นมีความชำนาญมากและไม่เคยพลาดเลยซ่งเสี่ยวเชียนก็คิดว่าตอนนั้นเธอให้เด็กคนนั้นไปหนึ่งร้อยหยวน เขาก็สัมผัสไปหลายครั้ง ปากก็ยิ้ม แล้วบอกว่าวันนี้เขาเลิกงานได้แล้วรอยยิ้มบนใบหน้าของเขามั่นใจมาก ดูเหมือนว่าเด็กคนนั้นจะถูกล้างสมองโดยคนเหล่านั้นจริง ๆ และจะไม่อดตายเพราะตาบอดสองข้าง ดูเหมือนว่าเขาจะมองว่าเป้าหมายนี้เป็นเป้าหมายเดียว
ซ่งเสี่ยวเชียนไม่ทําอะไรเลย เย่จื่อหยางต้องไปทำกับข้าวด้วยตัวเอง ครั้งนี้เป็นอาหารมังสวิรัติจริง ๆ มังสวิรัติมากกว่าพระกินอีก แม้แต่ผัดกะหล่ำปลีจีนก็ใช้น้ำมันเรพซีด ไม่เปื้อนน้ำมันหมูสักนิดซ่งเสี่ยวเชียนมองอาหารมังสวิรัติที่โต๊ะแล้วพูดไม่ออก ความอยากอาหารเปลี่ยนเป็นระดับต่ำ แต่เย่จื่อหยางกลับกินอย่างเอร็ดอร่อย แต่ระหว่างที่เย่จื่อหยางกินข้าว เขาขยี้เหนือศีรษะเป็นครั้งคราว ซ่งเสี่ยวเชียนมองเขาอย่างสงสัยในที่สุดหลังจากกินข้าวเสร็จ ขณะที่เขากําลังล้างจาน เธอรีบไปเอามือไปสัมผัสหัวเขา ไม่ลูบก็ไม่รู้พอลูบก็ตกใจโดยไม่รู้ตัว บนหัวของเย่จื่อหยางบวมโนขึ้น แม้ว่าจะไม่ได้โนใหญ่มากแต่ก็พองเล็กน้อยซ่งเสี่ยวเชียนนึกถึงก่อนหน้านี้เธอโยนเจลอาบน้ำใส่หัวเย่จื่อหยางอย่างแรง ที่แท้หัวปูดโนขนาดนี้เขากลับไม่พูดอะไรโอเค ซ่งเสี่ยวเชียนเป็นคนจิตใจดี ตอนนี้เมื่อได้เห็นสิ่งนี้แล้ว ในใจของเธอก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา คิดว่าเธอใจร้ายไปหน่อยจริง ๆ บางทีเย่จื่อหยางอาจไม่ได้ตั้งใจบุกเข้ามาแอบดูเธอจริง ๆก็ได้ และใครแอบดูคนอื่นแถมจงใจเปิดประตูอีกพอในใจรู้สึกผิดเธอก็อยากชดเชยไง ดึ
เธอดูเวลาในโทรศัพท์ของเธอ นาทีและวินาทีผ่านไป และห้านาทีผ่านไป เย่จื่อหยางก็ยังไม่ออกมา มีบางอย่างเกิดขึ้นเหรอ? ไม่มีทาง? เขาไม่ใช่เก่งมากหรอ? ไม่ใช่ว่าออกโลงแล้วล้มเหลวเลยนะ?เธอเงยหน้าขึ้นเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้นในอาคารที่อยู่ไม่ไกล จู่ๆ ก็มีเสียงผู้ชายหยาบคายดังมาจากข้างหลังเธอ “เธอเป็นใคร!? มาทำตัวลับๆล่อๆก็ที่นี่ทำอะไร”ถูกจับได้แล้ว! นี่เป็นความคิดแรกที่เข้ามาหัวของซ่งเสี่ยวเชียนในเวลานั้น จู่ๆ เธอหันกลับมาและเห็นร่างผู้ชายที่มืดๆดำๆ ยืนอยู่ข้างหลังเธอไม่ไกลนัก เขามองดูเธอและทำท่าป้องกันตัว สายตาของเขาดูน่ากลัวเล็กน้อย"ฉ ฉัน...ฉันไม่ได้ทำอะไรเลย! ฉันหลงทาง..." ซ่งเสี่ยวเชียนมองไปรอบ ๆ และชี้นิ้วไปรอบ ๆ ชายคนนั้นก้าวไปข้างหน้าสองก้าวดูเหมือนจะสงสัย "มากับฉัน!"เมื่อพูดเช่นนั้น ชายคนนั้นก็ก้าวไปข้างหน้าสองก้าวและจับมือของซ่งเสี่ยวเชียน ปฏิกิริยาตัวสั่นของซ่งเสี่ยวเชียนอยู่ในระดับสูงสุดและเธอก็หลบมือของชายคนนั้นทันที เธอจะปล่อยให้เขาจับเธอได้อย่างไร? นั่นเรียกว่ายอมจำนนฟ้านะ ซ่งเสี่ยวเชียนกระโดด
เย่จื่อหยางสังเกตมันอย่างละเอียด ดังนั้นจึงไม่มีข้อผิดพลาด เด็กน้อยเล่นซอได้อย่างชำนาญมาก เหมือนว่าเขาเริ่มเรียนรู้มันตั้งแต่เขายังเป็นเด็ก"น่าสงสารจัง..." ซ่งเสี่ยวเชียนมองเด็กตาบอดคนนั้นซึ่งอายุน่าจะเพียงสิบสามหรือสิบสี่ปีเท่านั้น แต่ไม่สามารถมองเห็นโลกที่สวยงามใบนี้ แม้ว่าตอนนี้โลกจะปกคลุมไปด้วยหมอกควัน แต่ในบางครั้งก็มีท้องฟ้าเป็นสีฟ้าและเมฆเป็นสีขาวสำหรับเด็ก นี่เป็นสิ่งที่โหดร้ายมาก เดิมทีซ่งเสี่ยวเชียนเป็นคนที่มีจิตใจดีอยู่แล้ว เธออดไม่ได้ที่จะหยิบกระเป๋าสตางค์ของเย่จื่อหยางออกมา หยิบแบงค์ร้อยหยวนออกมาแล้วยื่นให้เด็กน้อย "เด็กน้อย เอาเงินไปซื้อของอร่อยๆที่อยากกินนะ อย่าอดไว้”เด็กหยุดเล่นซอ รีบหยิบธนบัตรจากมือของซ่งเสี่ยวเชียน วางไว้ใต้จมูกแล้วดมกลิ่น จากนั้นใช้มือแตะอย่างระมัดระวัง และในที่สุดก็ยิ้ม “ขอบคุณผู้มีน้ำใจ วันนี้งานของผมเสร็จแล้ว ผมสามารถกลับก่อนได้”เมื่อพูดจบ ก็รีบเก็บสิ่งด้วยความไว หยิบไม้นำทางเดินหนีไป จากไปโดยไม่หันกลับมามองซ่งเสี่ยวเชียน
การซื้อผักก็เป็นงานที่ต้องใช้สายตา ตรงไหนสดใหม่ตรงไหนเน่า แต่บางครั้งผักหัวใหญ่สีเขียวขจีไม่มีร่องรอยของแมลงสักตัว บางทีอาจจะฉีดยากําจัดศัตรูพืชที่มากเกินไป ขนาดแมลงไม่ไม่กล้ากิน คุณยังกล้ากินอยู่หรอการต่อรองราคาก็เป็นความรู้อย่างหนึ่ง ขณะที่ซ่งเสี่ยวเชียนกําลังคุยราคากับเจ้าของพ่อค้าหาบเร่คนหนึ่ง จู่ ๆ ก็ถูกเด็กคนหนึ่งชน เด็กคนนั้นชนเธอแรงมาก เธอโซซัดโซเซเกือบล้ม โชคดีที่ถอยหลังไปหลายก้าวจึงไม่ล้มลงเด็กน้อยพยายามพูดขอโทษเธอ ซ่งเสี่ยวเชียนอดทนต่อความโกรธไว้คิดว่าเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง "ไม่เป็นไรจ้ะ แต่คราวหน้าอย่าวิ่งเล่นในสถานที่แบบนี้อีกมันอันตราย" เด็กน้อยยิ้มให้เธออย่างเข้าใจ แล้ววิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว ซ่งเสี่ยวเชียนยังคงต่อรองราคากับพ่อค้าหาบเร่ต่อไป แต่ในเวลานี้พ่อค้าคนนั้นกลับมองเธอด้วยสายตาที่แตกต่างออกไป ซ่งเสี่ยวเชียนมองเสื้อผ้าของตัวเอง มีอะไรแปลกไปหรอ"พ่อค้า มีอะไรหรอทําไมจู่ ๆ ก็มองฉันด้วยสายตาแบบนี้ กะหล่ำปลียังจะขายไหม""เอ่อ สาวน้อย ฉันก็หวังดีจึงขอเตือนคุณหน่อย คราวหน้ามาซื้อผักอย่าให้เด็ก ๆ พวกนั้นเข้าใกล้คุ
ซ่งเสี่ยวเชียนเห็นเนื้อสัตว์และตาของเธอก็เปล่งประกาย เนื้อจานหนึ่งวางอยู่ตรงหน้านักชิมคนหนึ่ง เธอไม่สนใจว่าจะมีรอยแผลเป็นหรือไม่ จึงรีบคีบเนื้อชิ้นหนึ่งกิน แล้วอุทานว่า "เย่จื่อหยาง ฝีมือคุณก็ไม่เลวนิ อร่อยมากกก ครั้งหน้าฉันจะกินอันนี้ด้วย" "ไม่มีครั้งหน้า" เย่จื่อหยางพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม แล้วหยิบเบียร์ที่วางอยู่ข้าง ๆ ขึ้นมาดื่ม ดื่มเบียร์ลงทำให้เขาผ่อนคลายลงมาก และมองซ่งเสี่ยวเชียนที่มีความสุขในการกินเนื้อจึงถามว่า"วันนี้ผ่านอะไรมาเยอะแยะ เธอยังกินข้าวลงอีกหรอ" ซ่งเสี่ยวเชียนพูดด้วยรอยยิ้ม "คุณคิดว่าฉันใจสลายแล้วหรอ ฉันไม่ได้ขี้กลัวง่าย ๆ ขนาดนั้น และแน่นนอนมีคุณอยู่ข้าง ๆฉันจึงไม่ได้รับผลกระทบอะไรมาก" เธอตบไหล่ของเย่จื่อหยางและยกนิ้วโป้งให้เขา"วันนี้ทําได้ดีมาก กดไลค์"เย่จื่อหยางถูกล้อให้หัวเราะแล้ว เขาหัวเราะเสียงดังและดื่มเหล้าไปด้วย "แต่ก็ยังทําเธอได้รับบาดเจ็บนะ"ซ่งเสี่ยวเชียนคีบเนื้อชิ้นใส่ในชามของเขา "แผลเล็กน้อยแค่นี้เอง คุณโทษตัวเองแบบนี้มันทำให้ฉันรู้สึกผิดนะ" ซ่งเสี่ยวเชียนกะพริบตาให้เขา เย่จื่อหยาง
"คุณหมายความว่าไง?"ซ่งเสี่ยวเชียนถามเขาอย่างจริงจัง เย่จื่อหยางหุบปากไม่พูดถึงอีกแล้ว ซ่งเสี่ยวเชียนนิสัยขี้โวยวายแบบเธอ ถ้ามีคนจะลักพาตัวเธอไป คงต้องตะโกนเสียงดังออกมาแน่ ทั้งถนนคงรู้ว่าคนที่จะลักพาตัวเธอไปคือพวกค้ามนุษย์ เงียบไปสักพัก เย่จื่อหยางก็ถามว่า "ยังโกรธอยู่หรอ""ทําไมจะไม่โกรธ!? คุณคิดว่าแค่ไม่กี่คําก็สามารถปลอบฉันได้หรอต้องชดใช้" ซ่งเสี่ยวเชียนเอื้อมยื่นมือไปขอสิ่งของจากเย่จื่อหยาง เขาผลักมือออกแล้วบอกว่าไม่มี ซ่งเสี่ยวเชียนก็กระโจนเข้ามากัดเขา ครั้งนี้เย่จื่อหยางฉลาดขึ้น เขาหลบอย่างไว ทําให้ซ่งเสี่ยวเชียนกัดเพียงว่างเปล่า แค่วินาทีเท่านั้น ซ่งเสี่ยวเชียนรู้สึกว่าเธอกับเขาเหมือนคนรักกัน การสัมผัสร่างกายเล็กๆน้อยๆก็ไม่ได้น่าอายเหมือนเมื่อก่อนแล้ว เธอยังกล้าที่จะกัดเขาด้วยจากนั้นเธอก็เขิลอายแล้ว ทําไมตอนนี้พวกเขาใกล้ชิดกันขนาดนี้วินาทีต่อมาเธอก็นึกถึงสิ่งที่สําคัญมาก "คุณปู่ของคุณบุกเข้ามาที่บ้านเมื่อวันก่อน"ทันใดนั้นสีหน้าของเย่จื่อหยางก็เปลี่ยนไป ถามอย่างจริงจังว่า "หมายความว่าอะไร"