เย่จื่อหยางได้รับการยอมรับจากพ่อแม่ของซ่งเสี่ยวเชียนนั่นหมายความว่าเขาควบคุมได้ทุกอย่างแล้ว พ่อแม่ของเธอจำเขาได้ว่าเป็นลูกเขยแล้ว ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากสำหรับซ่งเสี่ยวเชียนที่จะกลับคำพูดของเธอ
“ ฉันจะกลับไปที่กองทัพสักสองสามวัน เพื่อจัดการกับสิ่งที่ตกค้างไว้ในเดือนนี้ ถ้ามีธุระอะไรก็โทรหาฉันได้ทันที” เย่จื่อหยางพา ซ่งเสี่ยวเชียนกลับไปที่บ้านของเขาและเก็บเสื้อเชิ้ตสองสามตัว วางพวกมันไว้ในกระเป๋าเป้สะพายหลังของเขา และกำลังจะขับรถกลับไปยังเขตทหาร
ซ่งเสี่ยวเชียนเห็นว่าเขากำลังจะจากไป จึงพูดอย่างเป็นกังวลว่า "อาการบาดเจ็บที่ขาของคุณเพิ่งจะหายดี คุณกลับไปทำงานได้ทันทีแบบนี้จะโอเคหรอ? คุณพักผ่อนสักสองสามวันดีกว่าไหม?"
“ไม่มีปัญหา” เย่จื่อหยางเก็บสัมภาระ หยิบกระเป๋าเป้สะพายหลังขึ้นมาแล้วกำลังจะออกไปข้างนอก จู่ๆ เขาก็หยุดชั่วคราว หันกลับมาแล้วพูดว่า “คุณเป็นเด็กฝึกงานในแผนกศัลยกรรมของโรงพยาบาลใช่ไหม?” ซ่งเสี่ยวเชียนพยักหน้า
“ฉันเข้าใจแล้ว ฉันจะไปกำกับสักหน่อย คุณแค่ตั้งใจฝึกงานก็พอ” หลังจากพูดจบ เธอนอนลงบนเตียงและมองเขาที่เดินออกไปไกลเรื่อยๆ เธอถอนหายใจ ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกความเหงาในใจ เหมือนที่สามีออกไปทำงานและเหลือเธอเพียงคนเดียวที่บ้าน
เธอตบหน้าแล้วพูดกับตัวเองว่า "กำลังคิดอะไรของเธออยู่? เขาและฉันกำลังแสดงละคร เราไม่มีความรู้สึกต่อกัน"
ในวันรุ่งขึ้น เธอได้กลับมาทำงานที่แผนกศัลยกรรม แค่เดินไปตามทางเดิน ก็รู้สึกได้ชัดเจนว่าบรรยากาศแตกต่างออกไป ทุกคนมีรอยยิ้มบนใบหน้าเมื่อเห็นซ่งเสี่ยวเชียน แต่พวกเขาไม่ได้พูดอะไรสักคำ ราวกับว่าพวกเขาแค่อยากดึงดูดความสนใจของซ่งเสี่ยวเชียน...
บางคนทักทายซ่งเสี่ยวเชียนและพูดว่า "แสดงความยินดีด้วย" ยินดีด้วยอะไร? ซ่งเสี่ยวเชียนไม่สามารถเข้าใจได้
“ซ่งเสี่ยวเชียน ผู้อำนวยเรียกหาคุณ” นางพยาบาลสาวคนหนึ่งพบซ่งเสี่ยวเชียนที่กำลังยุ่งอยู่กับการจดบันทึกและพูดกับเธอด้วยรอยยิ้มอันแสนหวานและเสียงที่อ่อนโยน ซ่งเสี่ยวเชียนยิ้มและพยักหน้าอย่างเชื่องช้าและ พูดว่า
"โอเคฉันรู้แล้ว"
ทัศนคติของทุกคนที่มีต่อเธอเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงตลอดช่วงเช้า ซ่งเสี่ยวเชียนรู้สึกเกือบจะดีใจจนพยาบาลตัวน้อยบอกเธอว่าผู้อำนวยการฝ่ายศัลยกรรมต้องการพบเธอเพื่ออะไรบางอย่าง เป็นไปได้ไหมว่าเธอทำอะไรผิด? หรือผู้อำนวยการศัลยศาสตร์คิดว่าเธอไม่จริงจังกับการฝึกงานเหรอ?
เธอเข้าไปในห้องทำงานของผู้อำนวยการฝ่ายศัลยกรรม ผู้อำนวยการเฉินยิ้มให้เธอและขอให้เธอนั่งลง เธอนั่งลงอย่างไม่สบายใจ ผู้อำนวยการเฉินกล่าวว่า
"ก่อนอื่น ฉันอยากจะแสดงความยินดีกับคุณ"
ด้วยการแสดงความยินดีอีกครั้ง ซ่งเสี่ยวเชียนอดไม่ได้ที่จะถามว่า "ผู้อำนวยการ คุณแสดงความยินดีกับฉันเรื่องอะไรคะ"
"ขอแสดงความยินดีกับการแต่งงานของคุณไง อย่าลืมเชิญฉันเมื่อคุณจัดงานแต่งงานล่ะ" ผู้อำนวยการเฉินพูดอย่างสุภาพเล็กน้อย "คุณรู้ไหม ในเมืองหลวงเรา ทุกคนต้องการทำความรู้จักกับผู้คนจากตระกูลเย่ และคุณตอนนี้คุณคือภรรยาของตระกลูเย่ อิอิ..." ผู้อำนวยการเฉินระบุจุดประสงค์ของเขาอย่างชัดเจนจนซ่งเสี่ยวเชียนไม่รู้ว่าจะพยักหน้าหรือส่ายหัวดี
“เมื่อวานนี้คณบดีได้รับโทรศัพท์จากผู้พันเย่แล้ว คณบดีสั่งให้ฉันรับคุณเป็นเด็กฝึกงานเป็นการส่วนตัว หากคุณไม่เข้าใจอะไรสามารถถามฉันได้ ฉันจะถ่ายทอดประสบการณ์ทั้งหมดของฉันให้คุณอย่างแน่นอน สู้ๆ"
โลกนี้มีคนมีอำนาจไม่มากนัก ก่อนที่ซ่งเสี่ยวเชียนจะเข้าโรงพยาบาลในฐานะเด็กฝึกงานทุกคนมองว่าเธอเป็นมือใหม่ดังนั้นแน่นอนว่าทัศนคติที่มีต่อเธอคงไม่ดีนัก แต่ตอนนี้ เนื่องจากความสัมพันธ์ของเธอกับซ่งเสี่ยวเชียนและตระกูลเย่ ทุกอย่างเปลี่ยนไป ตอนนี้ผู้อำนวยการเฉินมารับเธอด้วยตนเอง ซึ่งซ่งเสี่ยวเชียนไม่เคยกล้าคิดมาก่อน
แต่ไม่ว่ายังไง ซ่งเสี่ยวเชียนไม่ชอบความรู้สึกนี้ เธอไม่ชอบความรู้สึกถูกยกย่องชมเชย แม้ว่าเธอจะไม่ได้เกลียดการยกย่องชมเชย แต่เธอก็เชื่อว่าเธอสามารถเป็นคนที่ยอดเยี่ยมได้ด้วยความพยายามของตัวเธอเอง ให้ทุกคนเคารพเธอจากก้นบึ้งของหัวใจ
เธอจิ้มข้าวในจานจนอาหารเย็น รอบๆที่นั่งเต็มไปด้วยพยาบาลที่มาคอยประจบประแจงเธอ เสียงดังเจี้ยวจ้าวไปหมด เธอชอบที่จะนั่งคนเดียวเงียบๆแบบเมื่อก่อนมากกว่า
“คุณหมอซ่ง คุณหมอซ่ง บอกเราหน่อยว่าคุณและคุณเย่พบกันได้อย่างไร แล้วก็คุณเย่ได้รับบาดเจ็บและเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลของเรามาก่อน ทำไมเราไม่รู้เรื่องนี้เลย ช่างเป็นโอกาสที่ดีจริงๆ นี่เราพลาดไป! ไม่ว่ายังไง ฉันชอบที่เขาเป็นคนลึกลับ คนที่เคยเจอเขามีน้อยมากๆเลยล่ะ"
ตอนนี้ไม่มีใครเรียกเธอว่าพยาบาลอีกแล้ว ทุกคนเรียกเธอว่า คุณหมอซ่ง ในลักษณะที่เป็นทางการ ซึ่งทำให้เธอพอใจมาก
ซ่งเสี่ยวเชียนรู้สึกกระอักกระอ่วนอธิบายไม่ถกว่าเย่จื่อหยางเป็นคน จากมุมมองของเธอ เย่จื่อหยางเป็นคนพูดน้อยเย็นชา เก่งมีบุคลิกที่ค่อนข้างบิดเบี้ยว ไม่ได้บอกว่าหน่วยรบพิเศษสังหารโดยไม่กระพริบตาหรอ? คนธรรมดากล้าฆ่าคนแบบไม่ได้ตั้งใจได้ยังไง จิตใจของเย่จื่อหยางต้องได้รับการฝึกฝนให้แข็งราวกับเหล็กกล้า
เย่จื่อหยางเป็นหัวหน้าของกลุ่มพิเศษ และเขาต้องนิสัยไม่ดีมากกว่าใครๆ!
เย่จื่อหยางชอบแกล้งเธอ และแม้กระทั่งติดตั้งกล้องในบ้านของเขา เขาไม่ผิดปกติแน่ๆ โชคดีที่เธอรู้ตั้งแต่เนิ่นๆ ไม่เช่นนั้นมันจะถูกเก็บเอาไว้ในความมืด ช่างเป็นเรื่องที่เลวร้ายจริงๆ...
“หมอซ่ง ทำไมคุณไม่พูดอะไรเลย พวกเรารบกวนคุณหรือเปล่า” พยาบาลทุกคนยิ้มโดยหวังว่าจะได้รับข้อมูลที่เป็นประโยชน์จากซ่งเสี่ยวเชียน
ซ่งเสี่ยวเชียนจะพูดตามตรงว่าพวกเธอเสียงดังน่ารำคาญมากแบบนี้ไม่ได้แน่นอน “เอ่อออ ฉันแค่คิดถึงเรื่องอื่น" หลังจากจิบน้ำเปล่าไปก็เป็นวันที่อากาศร้อนซึ่งทำให้เธอรู้สึกร้อนมาก
“แล้ว... เมื่อ 2 ปีก่อน ช่วงเทศกาลปีใหม่ ฉันกับเพื่อนไปฟังเสียงระฆัง แต่เพื่อนออกไปก่อน ทิ้งฉันไว้ตามลำพัง ตอนนั้นฉันไม่อยากกลับหอเลย ฉันจึงเดินเล่นอยู่คนเดียวบนถนน
อย่างที่ทราบ กฎหมายและความสงบเรียบร้อยในต่างประเทศแย่มาก โดยเฉพาะช่วงปีใหม่ คนเยอะมาก โจรออกมาวิ่งแล่นเต็มไปหมด และฉันก็ถูกปล้นนำเงินทั้งหมดที่ฉันมีออกมา ทุกคนคงเดาได้ว่าเย่จื่อหยางเป็นคนช่วยฉัน และนั่นคือจุดเริ่มต้นที่พวกเรารู้จักกัน”
หลังจากแต่งเรื่องขึ้นแล้ว ซ่งเสี่ยวเชียนก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกและยิ้มว่า "แค่นั้นแหละ มันจะไม่เหมือนกับในละครทีวี ฉันล้มลงและตกไปอยู่ในอ้อมแขนของเย่จื่อหยางที่มุม 45 องศา..."
"ฮ่าฮ่าฮ่า... หมอซ่ง คุณนิตลกจริงๆ ..." พยาบาทั้งหลายพากันส่งเสียงหัวเราะอีกครั้ง และซ่งเสี่ยวเชียนก็รู้สึกเขินอายเล็กน้อย
การถูกพยาบาลสาวกลุ่มหนึ่งรบกวนในมื้อกลางวันนั้นไม่เป็นที่พอใจนัก ในช่วงบ่าย ซ่งเสี่ยวเชียนหิวและเดินตามผู้อำนวยการไปรอบ ๆ ห้อง แต่กลับมีแขกที่ไม่คาดคิดมาทีละคน...
!!
ทุกคนรู้สึกตกใจและประหลาดใจ เพราะบุคคลนี้ดูเหมือนจะไม่เคยปรากฏตัวในสถานที่เช่นนี้ แต่เขาปรากฏตัวขึ้นที่นี่“โอ้พระเจ้า คุณพ่อของนายคุณชายเย่อยู่ที่นี่! เมื่อมองดูเขาอย่างใกล้ๆก็รู้สึกเหมือนว่าเขาเพิ่งเดินออกจากทีวี! ช่างเป็นลุงที่หล่อเหลาจริงๆ! อ่า เมื่อมองแบบนี้ ฉันในจินตนาการยิ่งพอใจในในความเป็นคุณนายเย่ไปอีก “พยาบาลลุกขึ้นและกระชิบกับพยาบาลที่อยู่ข้างๆว่า มองดูคุณเย่ชินเฉิงเดินเข้ามา ก็แอบยิ้มโดยไม่รู้ตัว "สวัสดีค่ะคุณเย่ มีอะไรให้ช่วยไหม?""ฉันกำลังมองหา..." เย่ชินเฉิง มองดูข้อความในมือของเขาแล้วพูดว่า "ซ่งเสี่ยวเชียน" "อืม ฉันกำลังตามหา….! เขามองดูชื่อที่มือของตัวเอง“ซ่งเสี่ยวเชียน”“อ่า โอ้ะฉันจะแจ้งให้หมอซ่งทราบทันทีค่ะ!" นางพยาบาลรีบโทรหาซ่งเสี่ยวเชียนและบอกเธอว่าพ่อของเย่จื่อหยางมาหาเธอ! ความคิดแรกของซ่งเสี่ยวเชียนเมื่อเธอรับสายคือ มันจบแล้ว! เป็นไปได้ไหมที่พ่อของเย่จื่อหยางจะไม่ชอบลูกสะใภ้แบบเธอมากเหมือนในละครทีวี ดังนั้นเขาจึงให้เงินก็อนใหญ่เพื่อที่ต้องการให้เลิกรากับเธอและขอให้เธอแยกจากเย่จื่อหยาง!แต่เมื่อเธอนั่งอยู่ในร้านกาแฟกับพ่อของเย่จื่อหยาง และพูด
“อ่า...เอ่อ คุณ พ...พ่อ” น่าอายมากกกก! โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่เธอเรียกคุณพ่อ สิ่งที่เธอคิดได้ก็คือเย่จื่อหยางบอกเธอว่าเธอต้องการแกล้งทำเป็นสามีภรรยากับเขา... ซ่งเสี่ยวเชียวส่งเย่ชินเฉิงที่นั่งรถตู้คันใหญ่จากไป ในใจเธอรู้สึกผิดทันทีวันรุ่งขึ้น มีบางอย่างเกิดขึ้นซึ่งทำให้ซ่งเสี่ยวเชียนพูดอะไรไม่ออก หนังสือพิมพ์พาดหัวข่าวในส่วนบันเทิง เป็นรูปถ่ายของเธอกับเย่ชินเฉิงกำลังพูดคุยกันในร้านกาแฟบ่ายวานนี้ ชื่อกระทู้คือ สาวโสดทั้งประเทศอกหักแล้วคุณเย่ชายลึกลับกำลังจะแต่งงาน! ในภาพ นักธุรกิจการเงินเย่ชินเฉิงกำลังดื่มน้ำชายามบ่ายกับลูกสะใภ้ของเขา! พยาบาลซุบซิบจากแผนกศัลยกรรมแล้วนำหนังสือพิมพ์ให้ซ่งเสี่ยวเชียนดู เธอหมดคำจะพูดกับหัวข้อข่าวที่ฟาดลง อะไรนะ ตามที่พนักงานร้านกาแฟบอก ทั้งสองคุยกันอย่างสนิทใจมาก เย่ชินเฉิงพอใจกับลูกสะใภ้คนนี้มาก และในที่สุดก็โทรหาพ่อของเธอ! หนังสือพิมพ์สคริปต์เข้าใจดีว่าผู้หญิงคนนี้เป็นเพียงศัลยแพทย์ธรรมดาในโรงพยาบาลของรัฐ เป็นไปได้ไหมที่ชาติที่แล้วเธอได้กอบกู้กาแล็กซีทั้งหมดไว้ ดังนั้นในชีวิตนี้เธอจึงได้แต่งงานกับชายในฝันของสาวโสดทุกคน! ?ซ่งเสี่ยวเชียนเงยหน้าขึ้น หน
เป็นเวลาสองถึงสามนาทีที่ไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ ข้างนอกและในที่สุดซ่งเสียวเชียนก็ได้สติ แต่ทันใดนั้นก็มีเสียงเคาะประตูและ เย่จื่อหยางก็เคาะสามครั้ง ซ่งเสียวเชียนตกใจมากจนขาของเธอเกือบจะอ่อนแรงและเธอก็ถามอย่างสั่นเทาว่า "มีอะไร!" “พรุ่งนี้วันหยุดนิ กลับบ้านกับฉัน” "นี่ไม่ใช่บ้านคุณหรือไง!""กลับไปที่บ้านพ่อของฉัน อย่าลืมจุดประสงค์ที่แท้จริงในการให้คุณแกล้งเป็นภรรยาของฉัน" หลังจากพูดจบเย่จื่อหยางก็จากไป และ ซ่งเสียวเชียนก็นั่งลงบนพื้น ด้วยจิตใจที่ว่างเปล่าของเธอ เพื่อหลีกเลี่ยงการแต่งงานทางการเมืองที่คุณปู่ของเขาจัดไว้ เย่จื่อหยางรู้มานานแล้วว่าเขาไม่สามารถหาผู้หญิงเพื่อหลอกปู่ของเขาได้ ปู่ของเขาฉลาดมาก ไม่เช่นนั้น เขาคงไม่ไต่เต้าเป็นถึงนายพลเฒ่าได้หรอก ด้วยอำนาจในมือของเขา มันง่ายมากที่จะตรวจสอบบุคคล และมันยังง่ายมากที่จะหาคนมาเฝ้าติดตามพวกเขาเขารู้ว่าเขาต้องแต่งงานและอยู่กับผู้หญิงคนหนึ่งจริงๆ และผู้หญิงคนนั้นก็ต้องมาจากครอบครัวธรรมดาๆ ที่ไม่เกี่ยวอะไรกับการทหาร ด้วยวิธีนี้ เขาอาจจะหลอกตาเฒ่านั้นได้ สักพัก เมื่อแม่ของเขายังมีชีวิตอยู่ แม่ของเขาหวังว่าจะเห็นเย่จื่อหยางแต
ในเวลากลางคืน ห้องที่ไม่มีแม้กระทั้งแสงไฟ แสงจันทร์อันหนาวเย็นสาดเข้ามาให้ห้อง ซ่งเสี่ยวเชียนนอนอยู่เตียง เสื้อผ้าที่อยู่บนตัวเธอถูกฉีกเป็นชิ้น ๆ และโยนลงไปบนพื้นมือของเธอถูกมัดและเธอไม่สามารถต่อต้านได้เลย ดังนั้นเธอจึงถูกเย่จื่อหยางเอารัดเอาเปรียบ เธอคิดว่าคืนนี้เธอไม่สามารถหลบหนีได้ แต่เย่จื่อหยางก็หยุดกลางคัน ยืนขึ้นอย่างสงบ แล้วเดินไปดึงผ้าม่านริมหน้าต่าง"เลวทราม! คุณเพิ่งรู้ว่าต้องปิดผ้าม่านหรือไง!" ซ่งเสี่ยวเชียนตอนนี้รู้สึกไม่ปลอดภัยอย่างยิ่ง ล้อเล่น ถูกฉีกเสื้อผ้าออกเป็นชิ้นๆใครมันจะรู้สึกปลอดภัย!ขณะที่เย่จื่อหยางดึงม่านเข้า เขาสังเกตเห็นร่างสองร่างที่พร่ามัวในหน้าต่างฝั่งตรงข้าม เขารู้ว่าตัวเองทำอะไร จากนั้นดึงผ้าม่านปิด ละครฉากนี้เล่นได้ไม่เลว และคุณปู่คงไม่ส่งคนมาตรวจสอบแล้วเมื่อดึงผ้าม่านปิด ห้องก็มืดสนิท แต่การเคลื่อนไหวของเย่จื่อหยางไม่ได้ถูกขัดขวางแต่อย่างใด ราวกับว่าเขากำลังเคลื่อนไหวภายใต้แสงไฟ เขาคว้ามุมผ้าห่มอย่างแม่นยำ จากนั้นดึงมันขึ้นมา และคลุมไว้บนตัวซ่งเสี่ยวเชียน "ฉันขอโทษ คืนนี้จะเป็นครั้งสุดท้าย จะไม่มีครั้งที่สองอีก คุณรีบเข้านอนเถอะ" เย่จื่อหยางเปิด
รถขับเข้าไปในชุมชนวิลล่า ใช้เวลาไม่นานก็มาจอดที่ลานจอดรถหน้าวิลล่าชั้นสาม หลังจากลงจากรถคลื่นความร้อนก็ปะทะใส่เย่จื่อหยางยืนอยู่หน้าวิลล่าอยู่นาน ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ได้แต่จ้องมองอย่างว่างเปล่าซ่งเสี่ยวเชียนผลักเขานิดหน่อย "ที่นี่ไม่ใช่บ้านของคุณเหรอ คุณหาทางกลับบ้านไม่เจอเหรอ?"เมื่อจื่อหยางได้ยินสิ่งที่เธอพูด เขาก็ยิ้มทันที "ใช่ ฉันแทบจะหาทางกลับบ้านไม่เจอ" เขาจับมือของซ่งเสี่ยวเชียนแล้วเดินไปที่ประตู ร่างกายของซ่งเสี่ยวเชียนกลับแข็งทื่ออีกครั้ง และเท้าของเธอก็ยากลำบากมากจู่ๆซ่งเสี่ยวเชียนก็ดึงมือเธอออกจากมือของเขา เย่จื่อจื่อหยางมองกลับมาที่เธออย่างอธิบายไม่ถูก เธอพูดอย่างอายๆว่า"อากาศมันร้อนเกินไป ฝ่ามือก็เหงื่อออกมากเกินไป ไม่ต้องจับมือก็ได้แฮ่ๆ..."เย่จื่อหยางหันกลับมาและยืนอยู่ตรงหน้าเธอโดยเอามือวางไว้บนสะโพก "ซ่งเสี่ยวเชียน รอสักครู่ค่อยเข้าไป เรานั่งอยู่บนโซฟาทั้งสองเหมือนคนแปลกหน้า !มองมาที่ฉัน เธอจำเรื่องที่ฉันให้เธอแกล้งเป็นภรรยาได้อย่างชัดเจนใช่ไหม หรือว่าลืมแล้วว่าเราแต่งงานกันจริงแล้ว เธอเป็นภรรยาฉัน และตอนนี้ชื่อของเธอก็อยู่ในสมุดทะเบียนบ้านฉันแล้ว เธอเข้าใจไหม?” บ
ซ่งเสี่ยวเชียนถูกพาเข้ามาในห้องนอนตรงปลายทางเดินบนชั้น 2 โดยคุณย่า ทั้งห้องได้รับการตกแต่งในสไตล์โบราณ ซึ่งทำให้ ซ่งเสี่ยวเชียนผ่อนคลาย บนผนังข้างเตียงเธอเห็นรูปถ่าย ซึ่งเป็นภาพงานแต่งงานดูเหมือนจะให้ความรู้สึกร่วมสมัย เจ้าบ่าวที่ซ่งเสี่ยวเชียนเพิ่งพบเมื่อไม่นานมานี้คือเย่ชินเฉิงพ่อของเย่จื่อหยาง และเจ้าสาวเป็นผู้หญิงที่สวยมาก สวมชุดแต่งงานสีขาวบริสุทธิ์ ยืนอยู่ข้างๆ เย่ชินเฉิง ดูรักกันอย่างมาก ทั้งคู่ยิ้มอย่างมีความสุข “นั่นคือพ่อแม่ของจื่อหยาง ปีที่แล้วแม่ของเขาป่วยและเสียชีวิต เนื่องจากจื่อหยางกำลังปฏิบัติภาระกิจและฝึกซ้อมอยู่ เขาจึงไม่สามารถมาเยี่ยมได้ ช่วงที่เธอเข้าโรงพยาบาล แม้กระทั้งช่วงสุดท้ายของลมหายใจเธอก็ไม่ได้เจอหน้าของลูกตัวเองด้วยซ้ำ พ่อของเขาโกรธมากและเขาและพ่อก็ไม่เคยพูดคุยหรือพบกันอีกเลยหลังจากนั้น หรือแม้แต่จื่อหยางก็ไม่เคยกลับมาหาครอบครัวนี้อีกเลยในปีนี้”คุณย่าพูดช้าๆ ในขณะที่ซ่งเสี่ยวเชียนยังคงดูรูปนั้นอยู่ แม่ของเย่จื่อหยางดูเหมือนจะรู้สึกเศร้าที่ไม่ได้เจอลูกชายของเธอตอนที่เธอป่วยหนักคุณย่าจับมือของซ่งเสี่ยวเชียน "แหวนในมือของหนูมีความสำคัญอย่างยิ
ฉันเห็นเด็กสาวคนหนึ่งที่มีส่วนสูงพอๆ กับจื่อซินเดินเข้ามา เธอสวมชุดลายดอกไม้ ผมของเธอรวบเป็นหางม้า และรองเท้าส้นแบนคู่หนึ่ง เธอดูเหมือนสาวน้อยน่ารัก ไร้เดียง แต่ว่าคิ้วและดวงตาของเธอ ดูรอยยิ้มของเธอแต่มีความหมายคลุมเครือ และซ่งเสี่ยวเชียนรู้สึกอึดอัดไปทั้งตัวหลังจากมองเพียงครั้งเดียว ราวกับว่ามีบางอย่างผิดปกติในตัวผู้หญิงคนนั้นเธอกำลังยิ้มและทักทายจื่นซินแบบแก็มต่อแก็ม ทั้งสองดูเหมือนจะรู้จักกันและเข้ากันได้ดีเมื่อคุณปู่ได้ยินชื่อพี่เฉิน เขาก็ลุกขึ้นและเดินไปทักทายเธอ “เจ้าหนู เหนื่อยแย่เลยกว่าจะมาถึงนี่ มา ปู่เทน้ำให้”“มะ ไม่ต้องค่ะ คุณปู่ หนูทำเองได้!” เฉินเฉินเดินไปที่โต๊ะด้วยท่าทีคุ้นเคย จากนั้นหยิบแก้วน้ำขึ้นมารินน้ำให้ตัวเอง 1 แก้ว ดูเหมือนเธอจะคุ้นเคยกับสถานที่นี้ค่อนข้างดีเฉินเฉินดื่มน้ำเสร็จแล้ว วางแก้วน้ำลงแล้วพูดว่า "ฉันกลับมาจากต่างประเทศปุ๊ป คุณปู่ก็เชิญหนูมาเป็นแขกทันที หนูดีใจมากๆเลยค่ะ " หลังจากพูดจบ เฉินเฉิน ถามคุณปู่ด้วยเสียงต่ำ“คุณปู่ เย่จื่อหยาง เขากลับบ้านไหมคะ?” คุณปู
คุณพ่อเย่ที่เงียบมาตลอดจู่ๆก็พูดขึ้นว่า "เอาล่ะ ในเมื่อแต่งงานกันแล้ว ก็ควรจะคิดถึงการมีลูกให้รอบคอบ" หลังจากพูดจบแล้วเขาก็มองไปที่เย่จื่อหยางอย่างลังเลที่จะพูด จากนั้นเขาก็รับประทานอาหารต่อโดยไม่ พูดอะไรอีกคุณปู่วางตะเกียบลงแล้วพูดกับซ่งเสี่ยวเชียนว่า "เธอเป็นหมอใช่ไหม? ตอนไปทำงานแวะมาตรวจร่างกายสักหน่อย อย่าสวมชุดแต่งงานที่มีท้องโตในระหว่างจัดงานแต่งงาน" น้ำเสียงของเขาดูไม่พอใจเล็กน้อย ซ่งเสี่ยวเชียนทำได้แต่พยักหน้าเงียบๆ เท่านั้นเย่จื่อหยางขมวดคิ้ว ให้ตายเถอะ ทำไมลืมเรื่องมีลูกไปสนิทเลยนะตามความคิดของคุณปู่ แม้ว่าเขาจะไม่พอใจกับหลานสะใภ้ แต่เนื่องจากการหย่าร้างไม่สามารถทำได้ในระยะเวลาอันสั้น เขาจึงต้องมีลูกโดยเร็วที่สุดเพื่อที่ตระกูลเย่จะมีอนาคตได้ . หากพวกเขาทำไม่ได้...? นั่นก็เพื่อให้ปู่หาเหตุผลดีๆ ให้พวกเขาหย่าร้าง แล้วหาภรรยาคนใหม่ให้เขา เขาเม้มริมฝีปากและไม่สนใจการสนทนาของพวกเขาแต่เฉินเฉินไม่สามารถฟังได้อีกต่อไป เธอลุกขึ้นยืนทันที ไม่เหลือท่าทางที่สง่างามของเธอ “หนูอิ่มแล้ว!” แล้วก็จากไป
เย่จื่อหยางก็เอากล่องที่บรรจุยาบํารุงที่ไม่รู้ว่าเป็นอะไรมาคืนให้ซ่งเสี่ยวเชียน "ไม่จําเป็น" "ทําไมถึงไม่จําเป็นล่ะ คุณจะกลับบ้านมือเปล่าแบบนี้ไม่ได้" ซ่งเสี่ยวเชียนมองเขาอย่างเงียบ ๆ"ฉันบอกว่าไม่จําเป็นต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจกับเรื่องนี้ เขามองปราดเดียวก็มองออก" เย่จื่อหยางเอามือล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงอีก ทําท่าทางเหมือนเธอให้ฉันทําอะไรฉันก็ไม่ทํา ซ่งเสี่ยวเชียนตะโกนว่า "คุณอยากคืนดีกับคุณพ่อของคุณหรือเปล่า ถ้าคิด คุณก็ต้องลงมือทํา อย่าเอาแต่พูดเฉย ๆ ไม่ได้นะ" จิ้มหน้าอกของเย่จื่อหยาง "คุณเป็นทหาร แน่นอนว่าต้องรู้ว่าการกระทําเป็นพื้นฐานของการทําภารกิจทั้งหมดให้สําเร็จ"เย่จื่อหยางก็มหน้ามองเธอและคิดในใจว่าเขาจะคืนดีกับพ่อของเขาหรือไม่มันเกี่ยวอะไรกับเธอ?ดูเหมือนเธอจะซีเรียสกว่าเขาอีกเขาถอนหายใจ ซ่งเสี่ยวเชียนพูดถึงขนาดนี้แล้ว เขาคงอยู่เฉย ๆ ไม่ได้ใช่ไหม ยิ่งไปกว่านั้นการได้คืนดีกับคุณพ่อก็เป็นการแก็ปัญหาที่เขากังวลมานานได้จริง ๆ เขาเงยหน้าขึ้นและลูบหัวของซ่งเสี่ยวเชียน "ทํา เพียงแต่ว
เธอกอดหมอนและยิ้มอย่างพอใจ เธอสาบานว่าเธอไม่เคยเจอใครที่เก่งขนาดนี้มาก่อน สามารถปกป้องเธอและขจัดวิกฤตให้เธอได้ทันทีในเวลาฉุกเฉิน ราวกับว่าจู่ๆ กำแพงทึบก็ปรากฏขึ้นในชีวิตของเธอ จะปกป้องเธอตลอดเวลาต่อจากนี้ไป ทำให้เธอรู้สึกปลอดภัยซ่งเสี่ยวเชียนเชื่อ ในอนาคต ตราบใดที่มีเย่จื่อหยางอยู่ข้าง ๆ เธอก็ไม่กลัวอะไรทั้งนั้น เมื่อฟ้าถล่มยังมีเขาคอยอยู่ข้างๆไม่ใช่หรอเย่จื่อหยางเขียนรายงานเสร็จก็ปิดคอมพิวเตอร์และเดินออกจากห้องหนังสือ ห้องนั่งเล่นมืดสนิท มีเพียงไฟสีเหลืองเข้มดวงเดียวที่เปิดอยู่ ฝาหลังของรีโมทกระจัดกระจายอยู่บนพื้นพร้อมถ่าน เขาหยิบขึ้นมาและวางไว้ มองไปที่ซ่งเสี่ยวเชียนที่นอนอยู่บนโซฟาลืมตาก็ไม่รู้ว่ากําลังคิดอะไรอยู่ เอามือล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง "มีเรื่องอะไรหรอ ทําไมดูมีความสุขขนาดนี้""ไม่มีนิ ฉันก็แค่ดีใจ" ซ่งเสี่ยวเชียนลุกขึ้นยืนต่อหน้าเย่จื่อหยางยิ้มให้เขา แล้วทันใดนั้นก็กระพริบตาให้เขา มุมปากของเขามีรอยยิ้มที่ทําให้เย่จื่อหยางเดาไม่ออก กําลังจะถามว่าทําไมถึงยิ้ม ทันใดนั้นซ่งเสี่ยวเชียนก็เอื้อมมืออ้อมไปข้างหลังเย่
คิดถึงเด็กคนหนึ่งที่อายุ 15-16 ปี เร่ร่อนอยู่กับพวกเขามา 4-5 ปี เพื่อขอทานทุกที่ และเงินที่ขอมามอบให้กับหัวหน้าแก๊งนั้น รับรองว่าทุกคนจะได้กินอาหารไม่อั้นสิ่งที่ทําให้ซ่งเสี่ยวเชียนเจ็บปวดมากกว่าเดิมคือเด็กคนที่ตาบอดทั้งสองข้าง เขาไม่ได้ตาบอดมาตั้งแต่เกิด แต่เมื่อเขาอายุเจ็ดขวบ เขาถูกจับโดยคนของแก๊งและจากพ่อแม่ไปตั้งแต่นั้นมา คนเหล่านั้นล้างสมองเขาเพื่อให้เขาได้รับเงินมากขึ้น ทําให้เขาคิดว่าการช่วยพวกเขาขอเงินมากขึ้นเป็นเรื่องที่ดีคนเหล่านั้นใช้เหล็กแทงเข้าไปในดวงตาของเด็กน้อย ตั้งแต่นั้นมาเขาก็มองไม่เห็นและคนเหล่านั้นสอนเขาวิธีการแยกแยะขนาดของธนบัตรด้วยมือของเขาและติดตามพวกเขามานานหลายปี และความสามารถในการแยกแยะเงินด้วยมือของเขานั้นมีความชำนาญมากและไม่เคยพลาดเลยซ่งเสี่ยวเชียนก็คิดว่าตอนนั้นเธอให้เด็กคนนั้นไปหนึ่งร้อยหยวน เขาก็สัมผัสไปหลายครั้ง ปากก็ยิ้ม แล้วบอกว่าวันนี้เขาเลิกงานได้แล้วรอยยิ้มบนใบหน้าของเขามั่นใจมาก ดูเหมือนว่าเด็กคนนั้นจะถูกล้างสมองโดยคนเหล่านั้นจริง ๆ และจะไม่อดตายเพราะตาบอดสองข้าง ดูเหมือนว่าเขาจะมองว่าเป้าหมายนี้เป็นเป้าหมายเดียว
ซ่งเสี่ยวเชียนไม่ทําอะไรเลย เย่จื่อหยางต้องไปทำกับข้าวด้วยตัวเอง ครั้งนี้เป็นอาหารมังสวิรัติจริง ๆ มังสวิรัติมากกว่าพระกินอีก แม้แต่ผัดกะหล่ำปลีจีนก็ใช้น้ำมันเรพซีด ไม่เปื้อนน้ำมันหมูสักนิดซ่งเสี่ยวเชียนมองอาหารมังสวิรัติที่โต๊ะแล้วพูดไม่ออก ความอยากอาหารเปลี่ยนเป็นระดับต่ำ แต่เย่จื่อหยางกลับกินอย่างเอร็ดอร่อย แต่ระหว่างที่เย่จื่อหยางกินข้าว เขาขยี้เหนือศีรษะเป็นครั้งคราว ซ่งเสี่ยวเชียนมองเขาอย่างสงสัยในที่สุดหลังจากกินข้าวเสร็จ ขณะที่เขากําลังล้างจาน เธอรีบไปเอามือไปสัมผัสหัวเขา ไม่ลูบก็ไม่รู้พอลูบก็ตกใจโดยไม่รู้ตัว บนหัวของเย่จื่อหยางบวมโนขึ้น แม้ว่าจะไม่ได้โนใหญ่มากแต่ก็พองเล็กน้อยซ่งเสี่ยวเชียนนึกถึงก่อนหน้านี้เธอโยนเจลอาบน้ำใส่หัวเย่จื่อหยางอย่างแรง ที่แท้หัวปูดโนขนาดนี้เขากลับไม่พูดอะไรโอเค ซ่งเสี่ยวเชียนเป็นคนจิตใจดี ตอนนี้เมื่อได้เห็นสิ่งนี้แล้ว ในใจของเธอก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา คิดว่าเธอใจร้ายไปหน่อยจริง ๆ บางทีเย่จื่อหยางอาจไม่ได้ตั้งใจบุกเข้ามาแอบดูเธอจริง ๆก็ได้ และใครแอบดูคนอื่นแถมจงใจเปิดประตูอีกพอในใจรู้สึกผิดเธอก็อยากชดเชยไง ดึ
เธอดูเวลาในโทรศัพท์ของเธอ นาทีและวินาทีผ่านไป และห้านาทีผ่านไป เย่จื่อหยางก็ยังไม่ออกมา มีบางอย่างเกิดขึ้นเหรอ? ไม่มีทาง? เขาไม่ใช่เก่งมากหรอ? ไม่ใช่ว่าออกโลงแล้วล้มเหลวเลยนะ?เธอเงยหน้าขึ้นเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้นในอาคารที่อยู่ไม่ไกล จู่ๆ ก็มีเสียงผู้ชายหยาบคายดังมาจากข้างหลังเธอ “เธอเป็นใคร!? มาทำตัวลับๆล่อๆก็ที่นี่ทำอะไร”ถูกจับได้แล้ว! นี่เป็นความคิดแรกที่เข้ามาหัวของซ่งเสี่ยวเชียนในเวลานั้น จู่ๆ เธอหันกลับมาและเห็นร่างผู้ชายที่มืดๆดำๆ ยืนอยู่ข้างหลังเธอไม่ไกลนัก เขามองดูเธอและทำท่าป้องกันตัว สายตาของเขาดูน่ากลัวเล็กน้อย"ฉ ฉัน...ฉันไม่ได้ทำอะไรเลย! ฉันหลงทาง..." ซ่งเสี่ยวเชียนมองไปรอบ ๆ และชี้นิ้วไปรอบ ๆ ชายคนนั้นก้าวไปข้างหน้าสองก้าวดูเหมือนจะสงสัย "มากับฉัน!"เมื่อพูดเช่นนั้น ชายคนนั้นก็ก้าวไปข้างหน้าสองก้าวและจับมือของซ่งเสี่ยวเชียน ปฏิกิริยาตัวสั่นของซ่งเสี่ยวเชียนอยู่ในระดับสูงสุดและเธอก็หลบมือของชายคนนั้นทันที เธอจะปล่อยให้เขาจับเธอได้อย่างไร? นั่นเรียกว่ายอมจำนนฟ้านะ ซ่งเสี่ยวเชียนกระโดด
เย่จื่อหยางสังเกตมันอย่างละเอียด ดังนั้นจึงไม่มีข้อผิดพลาด เด็กน้อยเล่นซอได้อย่างชำนาญมาก เหมือนว่าเขาเริ่มเรียนรู้มันตั้งแต่เขายังเป็นเด็ก"น่าสงสารจัง..." ซ่งเสี่ยวเชียนมองเด็กตาบอดคนนั้นซึ่งอายุน่าจะเพียงสิบสามหรือสิบสี่ปีเท่านั้น แต่ไม่สามารถมองเห็นโลกที่สวยงามใบนี้ แม้ว่าตอนนี้โลกจะปกคลุมไปด้วยหมอกควัน แต่ในบางครั้งก็มีท้องฟ้าเป็นสีฟ้าและเมฆเป็นสีขาวสำหรับเด็ก นี่เป็นสิ่งที่โหดร้ายมาก เดิมทีซ่งเสี่ยวเชียนเป็นคนที่มีจิตใจดีอยู่แล้ว เธออดไม่ได้ที่จะหยิบกระเป๋าสตางค์ของเย่จื่อหยางออกมา หยิบแบงค์ร้อยหยวนออกมาแล้วยื่นให้เด็กน้อย "เด็กน้อย เอาเงินไปซื้อของอร่อยๆที่อยากกินนะ อย่าอดไว้”เด็กหยุดเล่นซอ รีบหยิบธนบัตรจากมือของซ่งเสี่ยวเชียน วางไว้ใต้จมูกแล้วดมกลิ่น จากนั้นใช้มือแตะอย่างระมัดระวัง และในที่สุดก็ยิ้ม “ขอบคุณผู้มีน้ำใจ วันนี้งานของผมเสร็จแล้ว ผมสามารถกลับก่อนได้”เมื่อพูดจบ ก็รีบเก็บสิ่งด้วยความไว หยิบไม้นำทางเดินหนีไป จากไปโดยไม่หันกลับมามองซ่งเสี่ยวเชียน
การซื้อผักก็เป็นงานที่ต้องใช้สายตา ตรงไหนสดใหม่ตรงไหนเน่า แต่บางครั้งผักหัวใหญ่สีเขียวขจีไม่มีร่องรอยของแมลงสักตัว บางทีอาจจะฉีดยากําจัดศัตรูพืชที่มากเกินไป ขนาดแมลงไม่ไม่กล้ากิน คุณยังกล้ากินอยู่หรอการต่อรองราคาก็เป็นความรู้อย่างหนึ่ง ขณะที่ซ่งเสี่ยวเชียนกําลังคุยราคากับเจ้าของพ่อค้าหาบเร่คนหนึ่ง จู่ ๆ ก็ถูกเด็กคนหนึ่งชน เด็กคนนั้นชนเธอแรงมาก เธอโซซัดโซเซเกือบล้ม โชคดีที่ถอยหลังไปหลายก้าวจึงไม่ล้มลงเด็กน้อยพยายามพูดขอโทษเธอ ซ่งเสี่ยวเชียนอดทนต่อความโกรธไว้คิดว่าเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง "ไม่เป็นไรจ้ะ แต่คราวหน้าอย่าวิ่งเล่นในสถานที่แบบนี้อีกมันอันตราย" เด็กน้อยยิ้มให้เธออย่างเข้าใจ แล้ววิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว ซ่งเสี่ยวเชียนยังคงต่อรองราคากับพ่อค้าหาบเร่ต่อไป แต่ในเวลานี้พ่อค้าคนนั้นกลับมองเธอด้วยสายตาที่แตกต่างออกไป ซ่งเสี่ยวเชียนมองเสื้อผ้าของตัวเอง มีอะไรแปลกไปหรอ"พ่อค้า มีอะไรหรอทําไมจู่ ๆ ก็มองฉันด้วยสายตาแบบนี้ กะหล่ำปลียังจะขายไหม""เอ่อ สาวน้อย ฉันก็หวังดีจึงขอเตือนคุณหน่อย คราวหน้ามาซื้อผักอย่าให้เด็ก ๆ พวกนั้นเข้าใกล้คุ
ซ่งเสี่ยวเชียนเห็นเนื้อสัตว์และตาของเธอก็เปล่งประกาย เนื้อจานหนึ่งวางอยู่ตรงหน้านักชิมคนหนึ่ง เธอไม่สนใจว่าจะมีรอยแผลเป็นหรือไม่ จึงรีบคีบเนื้อชิ้นหนึ่งกิน แล้วอุทานว่า "เย่จื่อหยาง ฝีมือคุณก็ไม่เลวนิ อร่อยมากกก ครั้งหน้าฉันจะกินอันนี้ด้วย" "ไม่มีครั้งหน้า" เย่จื่อหยางพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม แล้วหยิบเบียร์ที่วางอยู่ข้าง ๆ ขึ้นมาดื่ม ดื่มเบียร์ลงทำให้เขาผ่อนคลายลงมาก และมองซ่งเสี่ยวเชียนที่มีความสุขในการกินเนื้อจึงถามว่า"วันนี้ผ่านอะไรมาเยอะแยะ เธอยังกินข้าวลงอีกหรอ" ซ่งเสี่ยวเชียนพูดด้วยรอยยิ้ม "คุณคิดว่าฉันใจสลายแล้วหรอ ฉันไม่ได้ขี้กลัวง่าย ๆ ขนาดนั้น และแน่นนอนมีคุณอยู่ข้าง ๆฉันจึงไม่ได้รับผลกระทบอะไรมาก" เธอตบไหล่ของเย่จื่อหยางและยกนิ้วโป้งให้เขา"วันนี้ทําได้ดีมาก กดไลค์"เย่จื่อหยางถูกล้อให้หัวเราะแล้ว เขาหัวเราะเสียงดังและดื่มเหล้าไปด้วย "แต่ก็ยังทําเธอได้รับบาดเจ็บนะ"ซ่งเสี่ยวเชียนคีบเนื้อชิ้นใส่ในชามของเขา "แผลเล็กน้อยแค่นี้เอง คุณโทษตัวเองแบบนี้มันทำให้ฉันรู้สึกผิดนะ" ซ่งเสี่ยวเชียนกะพริบตาให้เขา เย่จื่อหยาง
"คุณหมายความว่าไง?"ซ่งเสี่ยวเชียนถามเขาอย่างจริงจัง เย่จื่อหยางหุบปากไม่พูดถึงอีกแล้ว ซ่งเสี่ยวเชียนนิสัยขี้โวยวายแบบเธอ ถ้ามีคนจะลักพาตัวเธอไป คงต้องตะโกนเสียงดังออกมาแน่ ทั้งถนนคงรู้ว่าคนที่จะลักพาตัวเธอไปคือพวกค้ามนุษย์ เงียบไปสักพัก เย่จื่อหยางก็ถามว่า "ยังโกรธอยู่หรอ""ทําไมจะไม่โกรธ!? คุณคิดว่าแค่ไม่กี่คําก็สามารถปลอบฉันได้หรอต้องชดใช้" ซ่งเสี่ยวเชียนเอื้อมยื่นมือไปขอสิ่งของจากเย่จื่อหยาง เขาผลักมือออกแล้วบอกว่าไม่มี ซ่งเสี่ยวเชียนก็กระโจนเข้ามากัดเขา ครั้งนี้เย่จื่อหยางฉลาดขึ้น เขาหลบอย่างไว ทําให้ซ่งเสี่ยวเชียนกัดเพียงว่างเปล่า แค่วินาทีเท่านั้น ซ่งเสี่ยวเชียนรู้สึกว่าเธอกับเขาเหมือนคนรักกัน การสัมผัสร่างกายเล็กๆน้อยๆก็ไม่ได้น่าอายเหมือนเมื่อก่อนแล้ว เธอยังกล้าที่จะกัดเขาด้วยจากนั้นเธอก็เขิลอายแล้ว ทําไมตอนนี้พวกเขาใกล้ชิดกันขนาดนี้วินาทีต่อมาเธอก็นึกถึงสิ่งที่สําคัญมาก "คุณปู่ของคุณบุกเข้ามาที่บ้านเมื่อวันก่อน"ทันใดนั้นสีหน้าของเย่จื่อหยางก็เปลี่ยนไป ถามอย่างจริงจังว่า "หมายความว่าอะไร"