เย่จื่อหยางมองไปที่ ซ่งเสี่ยวเชียนอย่างเสน่หา ซ่งเสี่ยวเชียนถูกดึงดูดด้วยดวงตาที่ลึกล้ำน่าลุ่มหลงของ เย่จื่อหยางอยู่ครู่หนึ่ง และสิ่งที่เขาพูดก็น่าสนใจมากเช่นกัน แต่หลังจากผ่านไปสิบวินาที ซ่งเสี่ยวเชียนก็หรี่ตาลง "อย่าคิดจะใช้สายตาที่น่าหลงไหลนั้นมาทำให้ฉันสับสน ฉันจะไม่ยอมถูกหลอก!” เธอพูดอย่างระมัดระวัง
"คุณเป็นคนของผมแล้ว คุณจะแต่งงานกับใครได้อีก?" เย่จื่อหยางตัดสินใจใช้ไม้ตาย ซึ่งทำให้สีใบหน้าของซ่งเสี่ยวเชียน เปลี่ยนเป็นกังวลและสับสน
"คืนนั้น... คุณ คุณจริงๆ...? พวกเรา?" ซ่งเสี่ยวเชียนสับสนมากจนเธอพูดไม่ชัดเจน
“คุณตื่นขึ้นมาในตอนเช้าโดยไม่ได้ใส่เสื้อผ้าใช่ไหม?” เย่จื่อหยางยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย สายตาของเขามีสิ่งที่อธิบายไม่ได้ ซ่งเสี่ยวเชียนตื่นตระหนก น่ากลัว น่ากลัวมาก
เนื่องจากวันนั้นเธอเมาเกินไป ความทรงจำของซ่งเสี่ยวเชียนจึงยุ่งเหยิงไปหมด เหมือนปริศนาที่เธอจึงต้องค้นหามันอย่างละเอียดแล้วจึงค่อยๆรวบรวมให้เป็นแผ่นเดียวกัน ถึงจะสามารถจดจำได้ เธอตื่นขึ้นมาในโรงแรมโดยไม่สวมเสื้อผ้า แต่เธอรู้สึกว่าเธอไม่รู้สึกอะไรเลย เป็นไปไม่ได้ อะไรจะเกิดขึ้น เธอคิดเสมอว่าคืนนั้นไม่มีอะไรเกิดขึ้น
แต่ว่า เมื่อได้ยิน เย่จื่อหยางพูดแบบนี้ เธอก็เริ่มสงสัย บางทีอาจจะเกิดอะไรขึ้นจริงๆ ในคืนนั้น? แค่ว่าเธอเมามากจนเซลล์ประสาททำงานผิดปกติ?
“น่าขยะแขยง! ลามก! คุณกำลังเอาเปรียบคนอื่น!” ซ่งเสี่ยวเชียนเขวี้ยงหมอนไปทางเย่จื่อหยางอย่างโกรธแค้น ขณะที่เย่จื่อหยางจับมันหมอนได้พอดี ซ่งเสี่ยวเชียนก็ทุบตีบนร่างกายเขา เย่จื่อหยางก็คว้ามือของเธอไว้ "ใจเย็นๆก่อน ฉันจะรับผิดชอบ เราเป็นสามีภรรยากันแล้ว คุณยังจะคิดอะไรอีกล่ะ”
"ฉันก็ต้องสนใจซิ เรื่องแบบนั้น แน่นอนว่าต้องทำกับคนที่รักที่สุด! แต่ฉันกลับมอบให้กับคนโรคจิต!" ซ่งเสี่ยวเชียนพูดด้วยดวงตาที่เปียกชื้น
เย่จื่อหยางลูบหัวเธอ “อย่าเสียใจไปเลย ฉันจะไม่ทำให้คุณเสียใจที่แต่งงานกับฉัน” มองนาฬิกาของเขา “เที่ยงแล้ว ไปทำอาหารให้ฉันหน่อย ฉันไม่กินอาหารที่เย็นชืด” วินาทีสุดท้ายแรกเย่จื่อหยางยังเป็นผู้ชายที่อบอุ่น แต่ในวินาทีต่อมาเขาก็เริ่มน่ารำคาญอีกครั้ง
ซ่งเสี่ยวเชียนสูดลมหายใจลึกๆ เธอไม่เคยร้องไห้ต่อหน้าคนอื่นมาก่อน แต่เมื่อเห็นเขาทำสีหน้าภูมิใจ เธอเตะไปตรงที่เขาใส่เฝือกเอาไว้ เย่จื่อหยางเจ็บ ซ่งเสี่ยวเชียนก็เจ็บด้วยเช่นกัน เพราะเฝือกนั้นแข็งเกินไป!
“ถ้าอยากกินก็ไปกินเองสิ! แค่ขาหัก คุณไม่ใช่มีไม้เท้าอยู่เหรอ?” หลังจากพูดจบ ซ่งเสี่ยวเชียนก็เอามือล้วงกระเป๋าเสื้อคลุมสีขาวของเธอ แล้วเดินออกจากห้องผู้ป่วย โดยไม่หันมามองอีกเลย
เย่จื่อหยางคิดว่ามันตลกดี จริงๆ แล้วคืนนั้นเขาได้จัดให้คนมาทำทะเบียนสมรสให้เขาและซ่งเสี่ยวเชียน แล้วจึงพาซ่งเสี่ยวเชียนไปที่โรงแรม ยังไม่ได้เริ่มทำอะไร ซ่งเสี่ยวเชียนก็อ้วกออกมาแล้ว ทั้งเสื้อผ้าทั้งพรมเลอะไปหมด จื่อหยางกำลังยุ่งอยู่กับการช่วยเธอทำความสะอาด หลังจากทำความสะอาดก็ตีสี่โมงตีห้าแล้ว ยังจะทำอะไรได้อีก?
เขาไม่มีเวลางีบด้วยซ้ำ กองทัพก็โทรมาบอกว่าจำเป็นต้องออกไปทำภารกิจ ไม่ถึงในสิบนาที รถก็จอดรอที่ชั้นล่างของโรงแรม ดังนั้นเขาจึงรีบจากไป ทิ้งไว้เพียงโน๊ตเล็กๆและทะเบียนสมรสไว้ ทิ้งซ่งเสี่ยวเชียนไว้ตามลำพัง แล้วออกไป
ตอนนี้เขารู้สึกว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่เขาควรทำ คืนนั้นเขาคงบ้าไปแล้วที่ทำแบบนั้น แต่ว่า ตอนนี้เขาไม่เสียใจ เขาแค่คิดว่าสาวน้อยซ่งเสี่ยวเชียนน่าสนใจดี ระยะเวลาที่ 'พักฟื้นขา' ในโรงพยาบาลแห่งนี้มันน่าเบื่อมาก และการได้ประทะคารมกับเธอก็เป็นวิธีหนึ่งที่จะฆ่าเวลาได้
ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ซ่งเสี่ยวเชียนยอมรับอย่างไม่เต็มใจที่จะเป็นพยาบาลของเย่จื่อหยาง กล่าวอีกนัยหนึ่งพวกเขาทั้งสองได้บรรลุข้อตกลงที่ซ่งเสี่ยวเชียน ยืมที่จะเป็นภรรยาของเขาเป็นเวลาหนึ่งปี แต่ความสัมพันธ์แบบอื่นไม่มีทาง
เย่จื่อหยางพูดอย่างภาคภูมิใจเล็กน้อยว่า "พวกเราก็ถึงขั้นนั้นกันนานแล้ว" "ถุ้ย! ฉันจะถือว่าโดนหมากัด! อย่างไรก็ตาม เมื่อครบหนึ่งปีฉันจะหย่า!" อย่าพูดถึงเรื่องที่ทำให้ฉันเสียใจได้ไหมในใจของซ่งเสี่ยวเชียนคงจะมีเลือดหยด ติ๋ง ติ๋งแล้ว!"ฮึ่ม ถึงตอนนั้นค่อยว่ากัน" เย่จื่อหยางหันหลังให้ซ่งเสี่ยวเชียนและกำลังจะเข้านอนอีกครั้ง แต่ซ่งเสี่ยวเชียนอยากที่จะบีบคอเขาให้ตาย สำหรับเธอไม่มีความเคารพต่อเขาแม้แต่น้อย!“นอน นอน นอนทั้งวัน เป็นหมูหรือไง !”ความคิดเห็นของ ซ่งเสี่ยวเชียนที่มีต่อเย่จื่อหยาง กองพะเนินเทินทึก แต่งานพยาบาลเริ่มทำให้เธอบ่นอีกครั้ง นี่มันพี่เลี้ยงเด็กชัดๆ ต้องการของใช้ประจำวันก็ต้องให้เธอไปซื้อ ซักเสื้อผ้ากางเกงก็ต้องเธอซัก! แล้วที่แย่ที่สุดคือเธอต้องซักแม้กระทั้งกางเกงชั้นในของเขาด้วยซ้ำเย่จื่อหยางทำตัวไร้ยางอายได้ แต่ซ่งเสี่ยวเชียนทำไม่ได้ ตอนแรกเธอไม่กล้ามองกางเกงชั้นในด้วยซ้ำ แต่ต่อมาเธอกับชินกับมัน และเธอก็ปฏิบัติต่อกางเกงชั้นในเหมือนผ้าชิ้นหนึ่ง และเธอก็ยอมรับมันอย่างสมบูรณ์แบบวันหนึ่ง ซ่งเสี่ยวเชียนกำลังถืออ่างใส่เสื้อผ้าและกางเกงขายาวที่ซักแล้ว และกำลังจะพานำผ้าไปที่ร
ในตอนเย็น เย่จื่อซิน สาวสวยสวมกระโปรงสั้นและเข้าไปในอาคารฟื้นฟูทหาร ทุกคนตกตะลึง เมื่อเธอเข้าไปในพัก 410 เธอเห็นพี่ชายของเธออ่านหนังสือจึงรีบวิ่งไปหาเขาพร้อมกับร้องไห้ในอ้อมแขนของเขา "พี่ ฉันถูกรังแก พี่ต้องล้างแค้นแทนฉันได้นะ ฮื้อๆ! เย่จื่อหยางมองดูการแต่งตัวของเย่จื่อซินอย่างใจเย็น และถอนสายตาออกไปโดยไม่อยากที่จะมอง “เธอใส่ชุดอะไรเธอ ไว้คราวหน้าฉันเห็นเธอแต่งตัว อย่ามาเรียกฉันว่าพี่!” น้องสาวของเขาจะถูกคนอื่นรังแก? เย่จื่อหยางถูกตีให้ตายก็ไม่เชื่อคุณปู่เลี้ยงดู เย่จือซินมาตั้งแต่เด็ก คุณปู่เกิดมาเพื่อเป็นทหาร แม้ว่าเธอจะเป็นหลานสาว แต่เธอยังคงโดนฝึกสอนอย่างเข้มงวดศิลปะการต่อสู้ ยิวยิตสู และมวยทหาร เธอฝึกฝนทุก ๆ ดังนั้นเย่จื่อซินตอนเด็กจึงเหมือนกับเด็กผู้ชายจนกระทั่งอายุได้ 15 -16 ปี เริ่มรู้จักฉันวิธีต่อต้าน ฉันจึงเลิกฟังคุณปู่ ไว้ผมยาวและสวมกระโปรง ยิ่งโชว์เท่าไหร่ก็ยิ่งชอบ อาจจะเป็นว่าตอนเด็กไม่เคยได้สวมใส่อะไรสวยๆงามๆ โตขึ้นมาจึงคิดว่าเป็นปมในใจ ยิ่งส่งไปต่างประเทศก็ยิ่งไว้เข้าไปใหญ่ ส่งรูปถ่ายกลับมา มีแต่เพื่อนแปลก ๆ เยอะแยะไปหมด โชคดีที่คุณปู่มีชีวิตอยู่จนถึงทุกวันนี้
“ความคิดสกปรกคืออะไร คุณรู้หรอว่าฉันคิดอะไรในหัว เมื่อกี้คุณคิดเรื่องมันสกปรกใช่ไหม” ซ่งเสี่ยวเชียนยั่วยุเย่จื่อหยางอย่างโจ่งแจ้งเย่จื่อหยางโยนไม้ค้ำยันที่ตั้งไว้ออกไป เหยียดแขนยาวออก วางมือบนไหล่ของซ่งเสี่ยวเชียน หลังจากนั้นทิ้งตัวพิงบนตัวเธอ ใบหน้าของซ่งเสี่ยวเชียนซีดเผือกด้วยความตกใจ "คุณ คุณ คุณ! คุณกำลังทำอะไร! ปล่อยนะ บอกว่าอย่าใกล้ชิดกันเกินไปไง!” “ช่วยพาฉันไปเข้าห้องน้ำ!” เย่จื่อหยางพิงตัวเข้าหาเธอเช่นนี้ โดยคลุมซ่งเสี่ยวเชียนไว้อย่างสมบูรณ์ แล้วใช้แขนอีกข้างของเขาโอบเอวของเธอ และพูดด้วยน้ำเสียงสั่งข้างหูเธอซ่งเสี่ยวเชียนต้องการต่อต้าน แต่เขาแข็งแกร่งเกินไปและล็อคเธอไว้แน่น "ไอ้คนลามก! ฉันจะพาคุณเข้าห้องน้ำได้ยังไง ถ้าคุณกอดฉันแบบนี้!?" สมองน้อยๆของเธออยู่ในภาวะสับสน พูดจาไม่รู้ผิดหรือถูกเย่จื่อหยางมองดูท่าทางทำอะไรไม่ถูกของเธอ แล้วยิ้ม เขาทำแบบนี้เพื่อดูท่าทางที่กระสับกระส่ายของเธอ เมื่อกี้เธอล้อเลียนเขา ตอนนี้เขาแค่ลองไปแค่หนึ่งท่า ก็ทำให้เธอทำอะไรไม่ถูกแล้ว น่าสนุกจริงๆมือคลายเล็กน้อยและ ซ่งเสี่ยวเชียนก็สามารถเคลื่อนไหวได้แล้ว ใบหน้าที่แดงก่ำเธอพยุงเขาไปที่ห้องน้ำ เม
บรรยากาศในห้องค่อนข้างอึมครึม และซ่งเสี่ยวเชียนกำลังจะออกไปข้างนอกอย่างท้อแท้ เมื่อเย่จื่อซินกลับมาพร้อมถุงอาหารขนาดใหญ่แล้วพูดว่า "พี่ ฉันซื้ออาหารของโปรดทั้งหมดของพี่มาให้พี่ด้วย เอ้าลุกขึ้นมากินข้าวเร็ว" ซ่งเสี่ยวเชียนมองดูจานมันเยิ้มออกมาจากถุงทีละจาน และคัดค้านในทันทีว่า "ไม่ได้ เขากินอาหารมันเยิ้มแบบนี้ไม่ได้แล้ว! ทั้งหมดกินไม่ได้!" "ทำไมกินไม่ได้ล่ะ พี่ของฉันแค่บาดเจ็บที่ขา ไม่ใช่เพราะกระเพาะสักหน่อย!" เย่จื่อซินโต้กลับ “กินไม่ได้ก็คือกินไม่ได้! มันเยิ้มเกินไปจะทำให้แผลสมานช้า! เอามาให้ฉันทั้งหมดเถอะ! ฉันเตรียมอาหารเย็นให้เขาแล้ว!” นำอาหารทั้งหมดกลับเข้าไปในถุง หลังจากนั้นซ่งเสี่ยวเชียนรีบไปโดยเร็วที่สุด ถือโจ๊กจืดๆเข้ามาด้วยตัวเอง“ยังร้อนอยู่ รีบกินเร็วๆ” ชามโจ๊กพร้อมซุปใสและน้ำเล็กน้อยวางอยู่ตรงหน้าเย่จื่อหยาง และเขาก็เบื่ออาหารในทันที“ฉันอยากกินเนื้อ!” เย่จื่อหยางพูดในสิ่งที่ในใจของเขาคิด "ในนี้ก็มีเนื้ออยู่นะ" ซ่งเสี่ยวเชียนใช้ช้อนค้นๆตักเนื้อฉีกชิ้นเล็กๆ “ฉันอยากกินเนื้อผัดพริก!”“ได้ แต่คุณต้องรอจนกว่าคุณจะเอาเฝือกออก และเอกซเรย์กระดูกและกล้ามเนื้อก็หายดีแล้
“ตอนนี้พอใจแล้วใช่ไหม อย่าดื้อนะ ” ซ่งเสี่ยวเชียนใช้ความอดทนทั้งหมดในชีวิตของเธอเพื่อป้อนข้าวเย่จื่อหยาง และนี่เป็นครั้งแรกที่เธอป้อนอาหารให้คนอื่นผู้ป่วยคนอื่นๆ ในวอร์ดก็ออกไปกินข้าวในเวลานี้และกลับมา ทันทีที่พวกเขาเข้าไปในห้อง พวกเขาเห็นซ่งเสี่ยวเชียนกำลังป้อนข้าวเย่จื่อหยาง และพวกเขาทั้งหมดก็เริ่มโห่ "ว้าว พันเอกเย่ คุณและภรรยาของคุณ น่ารักกันจริงๆ ขนาดกินข้าวยังต้องป้อนด้วยตัวเอง!"“ไร้สาระ! ฉันไม่ยอมรับว่าเธอเป็นพี่สะใภ้ของฉัน! เธอยังไม่ผ่านการทดสอบ!” เย่จื่อซินกล่าว ทุกคนมุ่งความสนใจไปที่เธอและถามคำถามเธอเยอะแยะไปหมดซ่งเสี่ยวเชียนกระซิบกับเย่จื่อหยางว่า "ฉันคิดว่าน้องสาวของคุณกับฉันอนาคตน่าจะเข้ากันได้ไม่ดีเท่าไหร่ คุณช่วยคิดหาทางที่ฉันจะไม่ไปทุกที่ที่เธออยู่ในอนาคตได้ไหม" เย่จื่อหยางเลี่ยงที่จะพูด กินโจ๊กในเวลากลางคืน อาคารฟื้นฟูไม่สามารถรับคนเพิ่มได้ เย่จื่อซินกำลังโต้เถียงว่าทำไมเธอถึงกลายเป็นส่วนเกิน? คืนนี้เธอจะอยู่ดูแลเย่จื่อหยาง แล้วชี้ไปที่ ซ่งเสี่ยวเชียนพูดว่า "ยัยคนนี้ต่างหากที่เป็นส่วนเกิน ถ้าจะมีคนที่ต้องไปควรที่จะเป็นยัยคนนี้ถึงจะถูก" "นิสัยน้องสาว เธอคิดว่าฉัน
โจวเฝิ๋งทำให้พี่สะใภ้ของเขาขุ่นเคืองและทุกคนต่างก็ยินดีกับความโชคร้ายของเขา มีเพียงโจเฝิ๋งเท่านั้นที่ดูน่าสงสารและถามเย่จึงหยางว่าจะทำอย่างไร? เย่จื่อหยางตอบอย่างเย็นชา"เรื่องของนาย นายต้องแก็ไขปัญหาด้วยตัวเอง"โจวเฝิ๋งแทบจะคุกเข่าลงและจับมือเย่จื่อหยางไม่วาง "หัวหน้าทำแบบนี้กับผมไม่ได้นะครับ! ช่วยฉันผมพูดกับพี่สะใภ้ที!"เย่จื่อหยางเตะเขาเข้าอย่างจังด้วยเท้าขวาที่ฟื้นตัวแล้ว "ยืนขึ้น! มาทำท่าทางแบบนี้เหมือนอะไร!? นายต้องการให้ฉันลงโทษนายใช่ไหม!" โจวเฝิ๋งถูกเตะไปไปนอนกับพื้นมองแล้วหดหู่และดูเหมือนไม่มีใครสามารถช่วยเขาได้ ซ่งเสี่ยวเชียนแค่ล้อเล่นกับโจวเฝิ๋งเท่านั้น คนที่ทำผิดที่แท้จริงคือเย่จื่อหยาง เธอจะสนใจคนที่เพียงทำตามคำสั่งของเจ้านายของตัวเองได้อย่างไร? แต่ว่าเมื่อเห็นโจวเฝิ๋งถูกเตะ ทั้งรู้สึกสงสารเขาและก็น่าตลกในเวลาเดียวกันวันนี้เธออารมณ์ดีเพราะเย่จื่อหยางออกจากโรงพยาบาลแล้ว ซึ่งหมายความว่าเธอไม่ต้องดูแลเธอเหมือนพี่เลี้ยงเด็กอีกต่อไป เธอมีวันหยุดสองวันและสามารถกลับแผนกศัลยกรรมได้ เรียนรู้จากประสบการณ์ของแพทย์รุ่นก่อนและเป็นศัลยแพทย์ที่ยอดเยี่ยม!ดังนั้นทุกครั้งที่เย่จื่อหยาง
ไร้ประโยชน์ การพูดกับเย่จื่อหยางเป็นสิ่งที่น่าเบื่อที่สุดในโลก!ซ่งเสี่ยวเชียนหันหัวของเธอและไม่มองเย่จื่อหยาง แต่ทันใดนั้นก็นึกขึ้นแล้วพูดว่า "ฉันว่าแล้ว รู้สึกว่าขาดอะไรไป ฉันไม่เห็นน้องสาวของคุณ เธอไม่มาหรอ ทำไมเธอไม่มารับคุณออกจากโรงพยาบาล เธอไม่ใช่รักคุณมากหรอไม่อยากแยกจากคุณนิ” ไม่ลืมที่จะแหย่เขา เย่จื่อหยางหลับตา หลับตาและนั่งสมาธิ และตอบเบา ๆ ว่า "ฉันไม่ได้บอกเธอว่าฉันจะออกจากโรงพยาบาลวันไหน ฉันไม่ได้โง่ขนาดนั้น"หากบอกเย่จื่อซินวันที่ออกจากโรงพยาบาล มันคงเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะออกจากโรงพยาบาลอย่างราบรื่นในวันนี้ รถขับเข้าไปในชุมชนของซ่งเสี่ยวเชียน เธอรู้สึกดีใจ โดยคิดว่าในที่สุดคนนิสัยเสียก็เต็มใจที่จะปล่อยเธอกลับบ้านแล้ว มองหาที่จอดรถ เย่จื่อหยางลงจากรถก่อน เครื่องแบบทหารของเขาทำให้ผู้คนรู้สึกว่าเขาไม่ธรรมดา และพวกป้าๆก็เริ่มรวมตัวกันและพูดคุยเรื่องซุบซิบอีกครั้ง “พวกนายรอฉันอยู่ที่นี่” เย่จื่อหยางสั่ง จากนั้นจึงพาซ่งเสี่ยวเชียนไปที่อาคารอพาร์ตเมนต์ของเธอ ดูเหมือนว่าเขาจะรู้สถานการณ์ของเธอเป็นอย่างดีพ่อแม่ของซ่งเสี่ยวเชียนเกษียณแล้ว ก่อนที่จะส่งซ่งเสี่ยวเชียนไป
เย่จื่อหยางได้รับการยอมรับจากพ่อแม่ของซ่งเสี่ยวเชียนนั่นหมายความว่าเขาควบคุมได้ทุกอย่างแล้ว พ่อแม่ของเธอจำเขาได้ว่าเป็นลูกเขยแล้ว ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากสำหรับซ่งเสี่ยวเชียนที่จะกลับคำพูดของเธอ“ ฉันจะกลับไปที่กองทัพสักสองสามวัน เพื่อจัดการกับสิ่งที่ตกค้างไว้ในเดือนนี้ ถ้ามีธุระอะไรก็โทรหาฉันได้ทันที” เย่จื่อหยางพา ซ่งเสี่ยวเชียนกลับไปที่บ้านของเขาและเก็บเสื้อเชิ้ตสองสามตัว วางพวกมันไว้ในกระเป๋าเป้สะพายหลังของเขา และกำลังจะขับรถกลับไปยังเขตทหาร ซ่งเสี่ยวเชียนเห็นว่าเขากำลังจะจากไป จึงพูดอย่างเป็นกังวลว่า "อาการบาดเจ็บที่ขาของคุณเพิ่งจะหายดี คุณกลับไปทำงานได้ทันทีแบบนี้จะโอเคหรอ? คุณพักผ่อนสักสองสามวันดีกว่าไหม?" “ไม่มีปัญหา” เย่จื่อหยางเก็บสัมภาระ หยิบกระเป๋าเป้สะพายหลังขึ้นมาแล้วกำลังจะออกไปข้างนอก จู่ๆ เขาก็หยุดชั่วคราว หันกลับมาแล้วพูดว่า “คุณเป็นเด็กฝึกงานในแผนกศัลยกรรมของโรงพยาบาลใช่ไหม?” ซ่งเสี่ยวเชียนพยักหน้า“ฉันเข้าใจแล้ว ฉันจะไปกำกับสักหน่อย คุณแค่ตั้งใจฝึกงานก็พอ” หลังจากพูดจบ เธอนอนลงบนเตียงและมองเขาที่เดินออกไปไกลเรื่อยๆ เธอถอนหายใจ ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกความเหงาในใจ เหมื
เย่จื่อหยางก็เอากล่องที่บรรจุยาบํารุงที่ไม่รู้ว่าเป็นอะไรมาคืนให้ซ่งเสี่ยวเชียน "ไม่จําเป็น" "ทําไมถึงไม่จําเป็นล่ะ คุณจะกลับบ้านมือเปล่าแบบนี้ไม่ได้" ซ่งเสี่ยวเชียนมองเขาอย่างเงียบ ๆ"ฉันบอกว่าไม่จําเป็นต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจกับเรื่องนี้ เขามองปราดเดียวก็มองออก" เย่จื่อหยางเอามือล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงอีก ทําท่าทางเหมือนเธอให้ฉันทําอะไรฉันก็ไม่ทํา ซ่งเสี่ยวเชียนตะโกนว่า "คุณอยากคืนดีกับคุณพ่อของคุณหรือเปล่า ถ้าคิด คุณก็ต้องลงมือทํา อย่าเอาแต่พูดเฉย ๆ ไม่ได้นะ" จิ้มหน้าอกของเย่จื่อหยาง "คุณเป็นทหาร แน่นอนว่าต้องรู้ว่าการกระทําเป็นพื้นฐานของการทําภารกิจทั้งหมดให้สําเร็จ"เย่จื่อหยางก็มหน้ามองเธอและคิดในใจว่าเขาจะคืนดีกับพ่อของเขาหรือไม่มันเกี่ยวอะไรกับเธอ?ดูเหมือนเธอจะซีเรียสกว่าเขาอีกเขาถอนหายใจ ซ่งเสี่ยวเชียนพูดถึงขนาดนี้แล้ว เขาคงอยู่เฉย ๆ ไม่ได้ใช่ไหม ยิ่งไปกว่านั้นการได้คืนดีกับคุณพ่อก็เป็นการแก็ปัญหาที่เขากังวลมานานได้จริง ๆ เขาเงยหน้าขึ้นและลูบหัวของซ่งเสี่ยวเชียน "ทํา เพียงแต่ว
เธอกอดหมอนและยิ้มอย่างพอใจ เธอสาบานว่าเธอไม่เคยเจอใครที่เก่งขนาดนี้มาก่อน สามารถปกป้องเธอและขจัดวิกฤตให้เธอได้ทันทีในเวลาฉุกเฉิน ราวกับว่าจู่ๆ กำแพงทึบก็ปรากฏขึ้นในชีวิตของเธอ จะปกป้องเธอตลอดเวลาต่อจากนี้ไป ทำให้เธอรู้สึกปลอดภัยซ่งเสี่ยวเชียนเชื่อ ในอนาคต ตราบใดที่มีเย่จื่อหยางอยู่ข้าง ๆ เธอก็ไม่กลัวอะไรทั้งนั้น เมื่อฟ้าถล่มยังมีเขาคอยอยู่ข้างๆไม่ใช่หรอเย่จื่อหยางเขียนรายงานเสร็จก็ปิดคอมพิวเตอร์และเดินออกจากห้องหนังสือ ห้องนั่งเล่นมืดสนิท มีเพียงไฟสีเหลืองเข้มดวงเดียวที่เปิดอยู่ ฝาหลังของรีโมทกระจัดกระจายอยู่บนพื้นพร้อมถ่าน เขาหยิบขึ้นมาและวางไว้ มองไปที่ซ่งเสี่ยวเชียนที่นอนอยู่บนโซฟาลืมตาก็ไม่รู้ว่ากําลังคิดอะไรอยู่ เอามือล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง "มีเรื่องอะไรหรอ ทําไมดูมีความสุขขนาดนี้""ไม่มีนิ ฉันก็แค่ดีใจ" ซ่งเสี่ยวเชียนลุกขึ้นยืนต่อหน้าเย่จื่อหยางยิ้มให้เขา แล้วทันใดนั้นก็กระพริบตาให้เขา มุมปากของเขามีรอยยิ้มที่ทําให้เย่จื่อหยางเดาไม่ออก กําลังจะถามว่าทําไมถึงยิ้ม ทันใดนั้นซ่งเสี่ยวเชียนก็เอื้อมมืออ้อมไปข้างหลังเย่
คิดถึงเด็กคนหนึ่งที่อายุ 15-16 ปี เร่ร่อนอยู่กับพวกเขามา 4-5 ปี เพื่อขอทานทุกที่ และเงินที่ขอมามอบให้กับหัวหน้าแก๊งนั้น รับรองว่าทุกคนจะได้กินอาหารไม่อั้นสิ่งที่ทําให้ซ่งเสี่ยวเชียนเจ็บปวดมากกว่าเดิมคือเด็กคนที่ตาบอดทั้งสองข้าง เขาไม่ได้ตาบอดมาตั้งแต่เกิด แต่เมื่อเขาอายุเจ็ดขวบ เขาถูกจับโดยคนของแก๊งและจากพ่อแม่ไปตั้งแต่นั้นมา คนเหล่านั้นล้างสมองเขาเพื่อให้เขาได้รับเงินมากขึ้น ทําให้เขาคิดว่าการช่วยพวกเขาขอเงินมากขึ้นเป็นเรื่องที่ดีคนเหล่านั้นใช้เหล็กแทงเข้าไปในดวงตาของเด็กน้อย ตั้งแต่นั้นมาเขาก็มองไม่เห็นและคนเหล่านั้นสอนเขาวิธีการแยกแยะขนาดของธนบัตรด้วยมือของเขาและติดตามพวกเขามานานหลายปี และความสามารถในการแยกแยะเงินด้วยมือของเขานั้นมีความชำนาญมากและไม่เคยพลาดเลยซ่งเสี่ยวเชียนก็คิดว่าตอนนั้นเธอให้เด็กคนนั้นไปหนึ่งร้อยหยวน เขาก็สัมผัสไปหลายครั้ง ปากก็ยิ้ม แล้วบอกว่าวันนี้เขาเลิกงานได้แล้วรอยยิ้มบนใบหน้าของเขามั่นใจมาก ดูเหมือนว่าเด็กคนนั้นจะถูกล้างสมองโดยคนเหล่านั้นจริง ๆ และจะไม่อดตายเพราะตาบอดสองข้าง ดูเหมือนว่าเขาจะมองว่าเป้าหมายนี้เป็นเป้าหมายเดียว
ซ่งเสี่ยวเชียนไม่ทําอะไรเลย เย่จื่อหยางต้องไปทำกับข้าวด้วยตัวเอง ครั้งนี้เป็นอาหารมังสวิรัติจริง ๆ มังสวิรัติมากกว่าพระกินอีก แม้แต่ผัดกะหล่ำปลีจีนก็ใช้น้ำมันเรพซีด ไม่เปื้อนน้ำมันหมูสักนิดซ่งเสี่ยวเชียนมองอาหารมังสวิรัติที่โต๊ะแล้วพูดไม่ออก ความอยากอาหารเปลี่ยนเป็นระดับต่ำ แต่เย่จื่อหยางกลับกินอย่างเอร็ดอร่อย แต่ระหว่างที่เย่จื่อหยางกินข้าว เขาขยี้เหนือศีรษะเป็นครั้งคราว ซ่งเสี่ยวเชียนมองเขาอย่างสงสัยในที่สุดหลังจากกินข้าวเสร็จ ขณะที่เขากําลังล้างจาน เธอรีบไปเอามือไปสัมผัสหัวเขา ไม่ลูบก็ไม่รู้พอลูบก็ตกใจโดยไม่รู้ตัว บนหัวของเย่จื่อหยางบวมโนขึ้น แม้ว่าจะไม่ได้โนใหญ่มากแต่ก็พองเล็กน้อยซ่งเสี่ยวเชียนนึกถึงก่อนหน้านี้เธอโยนเจลอาบน้ำใส่หัวเย่จื่อหยางอย่างแรง ที่แท้หัวปูดโนขนาดนี้เขากลับไม่พูดอะไรโอเค ซ่งเสี่ยวเชียนเป็นคนจิตใจดี ตอนนี้เมื่อได้เห็นสิ่งนี้แล้ว ในใจของเธอก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา คิดว่าเธอใจร้ายไปหน่อยจริง ๆ บางทีเย่จื่อหยางอาจไม่ได้ตั้งใจบุกเข้ามาแอบดูเธอจริง ๆก็ได้ และใครแอบดูคนอื่นแถมจงใจเปิดประตูอีกพอในใจรู้สึกผิดเธอก็อยากชดเชยไง ดึ
เธอดูเวลาในโทรศัพท์ของเธอ นาทีและวินาทีผ่านไป และห้านาทีผ่านไป เย่จื่อหยางก็ยังไม่ออกมา มีบางอย่างเกิดขึ้นเหรอ? ไม่มีทาง? เขาไม่ใช่เก่งมากหรอ? ไม่ใช่ว่าออกโลงแล้วล้มเหลวเลยนะ?เธอเงยหน้าขึ้นเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้นในอาคารที่อยู่ไม่ไกล จู่ๆ ก็มีเสียงผู้ชายหยาบคายดังมาจากข้างหลังเธอ “เธอเป็นใคร!? มาทำตัวลับๆล่อๆก็ที่นี่ทำอะไร”ถูกจับได้แล้ว! นี่เป็นความคิดแรกที่เข้ามาหัวของซ่งเสี่ยวเชียนในเวลานั้น จู่ๆ เธอหันกลับมาและเห็นร่างผู้ชายที่มืดๆดำๆ ยืนอยู่ข้างหลังเธอไม่ไกลนัก เขามองดูเธอและทำท่าป้องกันตัว สายตาของเขาดูน่ากลัวเล็กน้อย"ฉ ฉัน...ฉันไม่ได้ทำอะไรเลย! ฉันหลงทาง..." ซ่งเสี่ยวเชียนมองไปรอบ ๆ และชี้นิ้วไปรอบ ๆ ชายคนนั้นก้าวไปข้างหน้าสองก้าวดูเหมือนจะสงสัย "มากับฉัน!"เมื่อพูดเช่นนั้น ชายคนนั้นก็ก้าวไปข้างหน้าสองก้าวและจับมือของซ่งเสี่ยวเชียน ปฏิกิริยาตัวสั่นของซ่งเสี่ยวเชียนอยู่ในระดับสูงสุดและเธอก็หลบมือของชายคนนั้นทันที เธอจะปล่อยให้เขาจับเธอได้อย่างไร? นั่นเรียกว่ายอมจำนนฟ้านะ ซ่งเสี่ยวเชียนกระโดด
เย่จื่อหยางสังเกตมันอย่างละเอียด ดังนั้นจึงไม่มีข้อผิดพลาด เด็กน้อยเล่นซอได้อย่างชำนาญมาก เหมือนว่าเขาเริ่มเรียนรู้มันตั้งแต่เขายังเป็นเด็ก"น่าสงสารจัง..." ซ่งเสี่ยวเชียนมองเด็กตาบอดคนนั้นซึ่งอายุน่าจะเพียงสิบสามหรือสิบสี่ปีเท่านั้น แต่ไม่สามารถมองเห็นโลกที่สวยงามใบนี้ แม้ว่าตอนนี้โลกจะปกคลุมไปด้วยหมอกควัน แต่ในบางครั้งก็มีท้องฟ้าเป็นสีฟ้าและเมฆเป็นสีขาวสำหรับเด็ก นี่เป็นสิ่งที่โหดร้ายมาก เดิมทีซ่งเสี่ยวเชียนเป็นคนที่มีจิตใจดีอยู่แล้ว เธออดไม่ได้ที่จะหยิบกระเป๋าสตางค์ของเย่จื่อหยางออกมา หยิบแบงค์ร้อยหยวนออกมาแล้วยื่นให้เด็กน้อย "เด็กน้อย เอาเงินไปซื้อของอร่อยๆที่อยากกินนะ อย่าอดไว้”เด็กหยุดเล่นซอ รีบหยิบธนบัตรจากมือของซ่งเสี่ยวเชียน วางไว้ใต้จมูกแล้วดมกลิ่น จากนั้นใช้มือแตะอย่างระมัดระวัง และในที่สุดก็ยิ้ม “ขอบคุณผู้มีน้ำใจ วันนี้งานของผมเสร็จแล้ว ผมสามารถกลับก่อนได้”เมื่อพูดจบ ก็รีบเก็บสิ่งด้วยความไว หยิบไม้นำทางเดินหนีไป จากไปโดยไม่หันกลับมามองซ่งเสี่ยวเชียน
การซื้อผักก็เป็นงานที่ต้องใช้สายตา ตรงไหนสดใหม่ตรงไหนเน่า แต่บางครั้งผักหัวใหญ่สีเขียวขจีไม่มีร่องรอยของแมลงสักตัว บางทีอาจจะฉีดยากําจัดศัตรูพืชที่มากเกินไป ขนาดแมลงไม่ไม่กล้ากิน คุณยังกล้ากินอยู่หรอการต่อรองราคาก็เป็นความรู้อย่างหนึ่ง ขณะที่ซ่งเสี่ยวเชียนกําลังคุยราคากับเจ้าของพ่อค้าหาบเร่คนหนึ่ง จู่ ๆ ก็ถูกเด็กคนหนึ่งชน เด็กคนนั้นชนเธอแรงมาก เธอโซซัดโซเซเกือบล้ม โชคดีที่ถอยหลังไปหลายก้าวจึงไม่ล้มลงเด็กน้อยพยายามพูดขอโทษเธอ ซ่งเสี่ยวเชียนอดทนต่อความโกรธไว้คิดว่าเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง "ไม่เป็นไรจ้ะ แต่คราวหน้าอย่าวิ่งเล่นในสถานที่แบบนี้อีกมันอันตราย" เด็กน้อยยิ้มให้เธออย่างเข้าใจ แล้ววิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว ซ่งเสี่ยวเชียนยังคงต่อรองราคากับพ่อค้าหาบเร่ต่อไป แต่ในเวลานี้พ่อค้าคนนั้นกลับมองเธอด้วยสายตาที่แตกต่างออกไป ซ่งเสี่ยวเชียนมองเสื้อผ้าของตัวเอง มีอะไรแปลกไปหรอ"พ่อค้า มีอะไรหรอทําไมจู่ ๆ ก็มองฉันด้วยสายตาแบบนี้ กะหล่ำปลียังจะขายไหม""เอ่อ สาวน้อย ฉันก็หวังดีจึงขอเตือนคุณหน่อย คราวหน้ามาซื้อผักอย่าให้เด็ก ๆ พวกนั้นเข้าใกล้คุ
ซ่งเสี่ยวเชียนเห็นเนื้อสัตว์และตาของเธอก็เปล่งประกาย เนื้อจานหนึ่งวางอยู่ตรงหน้านักชิมคนหนึ่ง เธอไม่สนใจว่าจะมีรอยแผลเป็นหรือไม่ จึงรีบคีบเนื้อชิ้นหนึ่งกิน แล้วอุทานว่า "เย่จื่อหยาง ฝีมือคุณก็ไม่เลวนิ อร่อยมากกก ครั้งหน้าฉันจะกินอันนี้ด้วย" "ไม่มีครั้งหน้า" เย่จื่อหยางพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม แล้วหยิบเบียร์ที่วางอยู่ข้าง ๆ ขึ้นมาดื่ม ดื่มเบียร์ลงทำให้เขาผ่อนคลายลงมาก และมองซ่งเสี่ยวเชียนที่มีความสุขในการกินเนื้อจึงถามว่า"วันนี้ผ่านอะไรมาเยอะแยะ เธอยังกินข้าวลงอีกหรอ" ซ่งเสี่ยวเชียนพูดด้วยรอยยิ้ม "คุณคิดว่าฉันใจสลายแล้วหรอ ฉันไม่ได้ขี้กลัวง่าย ๆ ขนาดนั้น และแน่นนอนมีคุณอยู่ข้าง ๆฉันจึงไม่ได้รับผลกระทบอะไรมาก" เธอตบไหล่ของเย่จื่อหยางและยกนิ้วโป้งให้เขา"วันนี้ทําได้ดีมาก กดไลค์"เย่จื่อหยางถูกล้อให้หัวเราะแล้ว เขาหัวเราะเสียงดังและดื่มเหล้าไปด้วย "แต่ก็ยังทําเธอได้รับบาดเจ็บนะ"ซ่งเสี่ยวเชียนคีบเนื้อชิ้นใส่ในชามของเขา "แผลเล็กน้อยแค่นี้เอง คุณโทษตัวเองแบบนี้มันทำให้ฉันรู้สึกผิดนะ" ซ่งเสี่ยวเชียนกะพริบตาให้เขา เย่จื่อหยาง
"คุณหมายความว่าไง?"ซ่งเสี่ยวเชียนถามเขาอย่างจริงจัง เย่จื่อหยางหุบปากไม่พูดถึงอีกแล้ว ซ่งเสี่ยวเชียนนิสัยขี้โวยวายแบบเธอ ถ้ามีคนจะลักพาตัวเธอไป คงต้องตะโกนเสียงดังออกมาแน่ ทั้งถนนคงรู้ว่าคนที่จะลักพาตัวเธอไปคือพวกค้ามนุษย์ เงียบไปสักพัก เย่จื่อหยางก็ถามว่า "ยังโกรธอยู่หรอ""ทําไมจะไม่โกรธ!? คุณคิดว่าแค่ไม่กี่คําก็สามารถปลอบฉันได้หรอต้องชดใช้" ซ่งเสี่ยวเชียนเอื้อมยื่นมือไปขอสิ่งของจากเย่จื่อหยาง เขาผลักมือออกแล้วบอกว่าไม่มี ซ่งเสี่ยวเชียนก็กระโจนเข้ามากัดเขา ครั้งนี้เย่จื่อหยางฉลาดขึ้น เขาหลบอย่างไว ทําให้ซ่งเสี่ยวเชียนกัดเพียงว่างเปล่า แค่วินาทีเท่านั้น ซ่งเสี่ยวเชียนรู้สึกว่าเธอกับเขาเหมือนคนรักกัน การสัมผัสร่างกายเล็กๆน้อยๆก็ไม่ได้น่าอายเหมือนเมื่อก่อนแล้ว เธอยังกล้าที่จะกัดเขาด้วยจากนั้นเธอก็เขิลอายแล้ว ทําไมตอนนี้พวกเขาใกล้ชิดกันขนาดนี้วินาทีต่อมาเธอก็นึกถึงสิ่งที่สําคัญมาก "คุณปู่ของคุณบุกเข้ามาที่บ้านเมื่อวันก่อน"ทันใดนั้นสีหน้าของเย่จื่อหยางก็เปลี่ยนไป ถามอย่างจริงจังว่า "หมายความว่าอะไร"