“ก็ได้ แต่คุณต้องอยู่กับผมตลอดเวลาที่ยังไม่ได้เอาเด็กออก”
“ประเทศไทยใช่ไหม” อ้อมแอ้มถามชายหนุ่มอีกรอบ
“อืม” รับคำหญิงสาวขณะรูดซิบกระเป๋าหนังสีดำคว้าเสื้อเชิ้ตของเขาพร้อมกับผ้าขนหนูโยนให้กลิ่นชวา
“เอาไปเปลี่ยนก่อนจะหนาวตาย”
กลิ่นชวารวบเสื้อเชิ้ตกับผ้าขนหนูเข้าห้องน้ำไปเปลี่ยนเสื้อผ้าตามคำสั่งของมาเฟียหนุ่ม ทำมาเป็นว่าเธอจะหนาวตาย เขาสิจะเลือดออกหมดตัวตายก่อนล่ะไม่ว่า
“พอจะปิดอะไรได้หน่อย” กลิ่นชวาเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เปียกออกแล้วสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวตัวใหญ่ของวาดิม พร้อมกับเอาผ้าขนหนูพันตัวเอาไว้อีกรอบ ก็พอจะมั่นใจที่จะเดินออกไปเผชิญหน้ากับคนข้างนอกหน่อย
เดินออกมาเธอก็เห็นวาดิมกำลังทำแผล ข้างตัวเต็มไปด้วยสำลีที่เปื้อนเลือด เธออยากจะเป็นลมเสียตอนนี้ให้ได้ แต่ก็ต้องทำใจสู้ทำคะแนนให้ชายหนุ่มได้เห็นความดีโดยการเดินไปนั่งข้างๆ แล้วช่วยเขาทำแผล
“ไม่กลัวเลือดหรือไง”
“ก็ กลัวบ้าง แต่เห็นท่าคุณทำแผลเองน่าจะไม่ถนัด ฉันก็เลยอยากช่วย ถ้าขึ้นฝั่งแล้วฉันว่าคุณน่าจะไปโรงพยาบาลดีกว่านะ”
“ผมไม่อยากถูกซักประวัติ แผลแค่นี้ไม่ทำให้ผมตายง่ายๆ หรอก”
กลิ่นชวากัดฟันข่มใจไม่ให้โต้ตอบอะไรกับอีกฝ่าย หากเขาอยากจะอวดว่าตัวเองแข็งแกร่งดั่งหินผาก็ช่างเขา แต่ถ้าแผลติดเชื้อขึ้นมาเธอจะหัวเราะให้
“แล้วคุณรู้ไหมว่าใครเป็นคนมาทำร้ายคุณ”
“รู้”
“แจ้งความจับเลยสิ”
“แจ้งไปก็เท่านั้น”
“อ้าว ไม่อยากจับคนร้ายที่ทำร้ายตัวเองหรือไงคะ”
“พวกนี้หายไปก็มีพวกใหม่มา ชีวิตอย่างผมมันไม่มีความปลอดภัยอยู่ในชีวิตอยู่แล้ว” ชีวิตของเขาเกิดมาก็อยู่ท่ามกลางลูกกระสุนปืนมาตั้งแต่จำความได้แล้ว กฎหมายไม่เคยใช้ได้เลยในชีวิตของเขา เท่าที่เคยพิพากษาคนที่ทำร้ายเขาก็มีแต่ความตายเท่านั้นที่เขามอบให้ มือของเขามันเปื้อนเลือดมามาก แล้วเขาก็ไม่อยากทำให้ใครต้องตายอีก ถ้าไม่จำเป็น
“วิถีมาเฟียสินะ แล้วถ้าฉันอยู่ใกล้คุณฉันจะปลอดภัยใช่ไหม” สาวเจ้าชักเริ่มร้อนๆ หนาวๆ เสียแล้ว เพราะความตั้งใจของเธอไม่ได้อยู่กับวาดิมแค่ชั่วคราว แต่อาจจะเป็นทั้งชีวิตหากเธอต้องการที่จะเก็บลูกเอาไว้
“ถ้าทำทุกอย่างตามที่ผมสั่งคุณก็จะปลอดภัย” พูดจบก็เดินไปที่หัวเรือเพื่อบังคับเรือให้แล่นกลับเข้าฝั่ง
ส่วนกลิ่นชวาที่นั่งเก็บอุปกรณ์ทำแผลก็นั่งหน้ามุ่ยคิดไม่ตก ทำตามที่เขาสั่งจะปลอดภัย เธอไม่เชื่อคำนี้ของเขาเด็ดขาด เพราะแค่คำสั่งที่เขาให้เธอเอาลูกออกเธอก็ไม่สามารถทำตามได้แล้ว ชีวิตของเธอมันเหมือนหนีเสือปะจระเข้ชัดๆ คิดแล้วก็อยากจะตะโกนด่าฟ้าดินสักวันละสามครั้งหลังอาหาร
ขับเรือมาเทียบท่าที่ฝั่งได้วาดิมและกลิ่นชวาก็มีรถตู้คันหรูสีดำขับมารับพวกเขาทั้งสองแล้วพาไปที่เซฟเฮ้าส์ทันที กลิ่นชวาไม่รู้เลยว่าตอนนี้เธออยู่ที่ไหน ให้เดาก็รู้แค่ว่าไม่ไกลจากท่าเรือที่เธอเพิ่งขึ้นมานัก เพราะรถวิ่งไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็เข้ามาจอดที่หน้าบ้านชั้นเดียวสีเทาขนาดใหญ่สไตล์โมเดิร์นที่มีรั้วรอบขอบชิด
นี่เธอกำลังจะถูกขังอยู่ที่นี่อย่างนั้นเหรอ “ฉันต้องอยู่ที่นี่ตลอดเลยเหรอคะ แล้วจะออกไปไหนได้บ้างไหม”
“ใช่ คุณจะต้องอยู่ที่นี่จนกว่าจะครบสองเดือน ถ้ามีเหตุจำเป็นจะต้องออกไปข้างนอกจริงๆ คุณก็จะต้องมีผมหรือไม่ก็คนของผมไปด้วยภายในเวลาที่จำกัด”
ได้ยินคำตอบของวาดิมกลิ่นชวาก็หน้าเจื่อนหมดอาลัยตายอยากขึ้นมาทันที แล้วถ้าอีกสองเดือนเธอยังทำให้เขารักเธอไม่ได้ไม่วายถูกรีดลูกในท้องโดยที่ขัดขืนอะไรไม่ได้แน่
“แล้วถ้าฉันอยากคุยกับเพื่อนบ้างล่ะคะ”
“ผมอนุญาตให้คุณคุยได้แค่พิริสา แต่คุยกันได้แค่เดือนละครั้งเท่านั้น การคุยในแต่ละครั้งจะไม่ผ่านโทรศัพท์ ผมจะให้คนไปรับพิริสาแล้วมาหาคุณที่นี่”
“ไม่มีข้อแม้อะไรแล้วใช่ไหมคะ”
“ข้อแม้ก็คือห้ามทำผิดกฎ ไม่อย่างงั้นผมก็จะไม่รักษาสัญญา”
“ค่ะ” หญิงสาวเดินคอตกตามวาดิมเข้ามาในบ้าน สภาพด้านในก็กว้างขวางมีเฟอร์นิเจอร์ทุกอย่างเป็นสีขาวสลับสีเทาสบายตา ทว่าในใจของเธอตอนนี้ไม่ได้สบายเหมือนที่อยู่เลย
“นี่ห้องนอนใหญ่ ผมจะนอนกับคุณทุกคืน ส่วนเสื้อผ้ากับข้าวของเครื่องใช้คนของผมเตรียมเอาไว้ให้คุณหมดแล้ว”
ดวงตาคู่สวยกวาดมองไปยังห้องนอนใหญ่ที่ด้านในกว้างขวาง กลางห้องวางเตียงคิงไซส์สีเทา มีโคมไฟใหญ่ตั้งวางบนตู้ลิ้นชักสีขาวข้างหัวเตียง กำแพงหลังห้องเป็นกระจกทั้งหมด ปิดด้วยผ้าม่านสีเทา
จะว่าไปบ้านหลังนี้หากมีแจกันดอกไม้ตั้งวางไว้ตรงไหนสักที่ก็น่าจะเพิ่มความสดใสให้กับบ้านได้ไม่น้อย เธอต้องอยู่ที่นี่สองเดือน เดินไปเดินมาในอาณาเขตรอบบ้านซ้ำไปซ้ำมาคงน่าเบื่อมากแน่นอน
“มีมือถือให้เล่นไหมคะ”
“มี แต่ผมขอบอกเอาไว้ก่อนว่าไม่ว่าคุณจะทำอะไรในมือถือ ผมจะรู้ความเคลื่อนไหวของคุณทุกอย่าง”
“งั้นขอสมุดไดอารี่เล่มหนา แล้วก็สมุดภาพระบายสีแล้วก็หนังสือเอาไว้ให้ฉันอ่านหลายๆ เล่มด้วยค่ะ”
“ได้ ผมให้คนเตรียมเอาไว้เรียบร้อยแล้ว”
“คะ?” อีตานี่จับคนมาขังเอาไว้บ่อยจนชำนาญแล้วใช่ไหมเนี่ย
“สงสัยอะไร”
“อ่อ เปล่าค่ะ เอ่อ...ฉันชอบทำอาหาร ฉันขอทำอาหารเองนะคะ”
“ดี จะได้ไม่ต้องรบกวนคนของผม อยากได้อะไรอีกก็บอกอีวานก็แล้วกัน ผมจะไปนั่งที่ห้องทำงาน กรุณาอย่ามารบกวนผมในห้องนั้น”
“คุณไม่คิดจะพักผ่อนหน่อยเหรอ” เอ่ยถามกับคนที่กำลังหันหลังให้
“ไม่”
“แล้วคุณชอบทานอะไรคะ เผื่อว่าฉันจะทำได้”
และแล้ววาดิมก็ไม่คิดจะให้คำตอบอะไรเธอ เขาเดินหายเข้าไปในห้องทำงานที่อยู่ติดกับห้องนั่งเล่นโดยไม่คิดที่จะหันกลับมาสนทนากับเธอแม้แต่คำเดียว
“ตอบมาสักคำไม่ได้รึไง ขอให้แผลติดเชื้อเป็นไข้นอนซมสักอาทิตย์ ชิ!” ถ้าไม่ติดว่าเขาอยู่เหนือกว่าเธออย่าหวังเลยว่าเธอจะมาคอยเอาใจ
กลิ่นชวาเดินเข้ามาในห้อง เธอปิดประตูล็อคกลอนแน่นหนาก่อนจะเดินตรงไปยังโซนแต่งตัวเพื่อหาเสื้อผ้าเปลี่ยน อยากจะรู้ว่าวาดิมจะให้คนเตรียมของทุกอย่างเอาไว้ให้เธอเรียบร้อยจริงหรือเปล่า
หญิงสาวเดินไล่ดูตามตู้เสื้อผ้าที่บิวท์อินที่เปิดเอาไว้โล่งในโซนห้องแต่งตัว เสื้อผ้าที่เขาเตรียมเอาไว้ให้มีทั้งชุดที่เป็นเสื้อยืดกับกางเกงขาสั้นขายาวสีพื้นธรรมดา แต่เป็นของแบรนด์เนมทั้งนั้น
เดินดูจนไปถึงอีกล็อกก็เห็นเป็นชุดเดรสหลากหลายหลายแบรนด์ เธอขมวดคิ้วมุ่นที่เห็นว่าเขาเตรียมของพวกนี้เอาไว้ให้ เพราะการที่อยู่ที่นี่ก็ไม่ได้มีโอกาสแต่งตัวเฉิดฉายที่ไหนอยู่แล้ว
ถัดไปก็เป็นพวกชุดนอนเดรสตัวยาวธรรมดาๆ แต่ทำให้เธอตาค้างชะงักงันไปชั่วขณะก็เพราะเห็นตู้เคาท์เตอร์กระจกที่เต็มไปด้วยชุดชั้นในหลากหลายสีราวกับว่าที่นี่เป็นร้านขายชุดชั้นใน ไม่เข้าใจว่าทำไมชายหนุ่มต้องซื้อมาเยอะจนเกินความจำเป็นด้วย
“ซื้อไม่ถูกก็น่าจะถามกันก่อน” ให้เดาที่เห็นเยอะเชื่อว่าวาดิมคงสั่งคนให้เลือกมาหลายไซส์เพราะไม่รู้ขนาดหน้าอกของเธอแน่นอน ทว่าเมื่อเลื่อนกระจกเปิดดูคร่าวๆ แล้วก็เห็นว่าทุกตัวเป็นขนาดของเธอทั้งนั้น เท่ากับว่าเขาก็รู้ว่าเธอสวมชุดชั้นในไซส์อะไร แล้วทำไมต้องซื้อมาเยอะแยะ
“เป็นพวกคลั่งชุดชั้นในหรือเปล่าเนี่ย”
“ทำอะไร”
“ว๊าย!!” ตกใจนโยนชุดชั้นในลายเสือในมือไปที่หน้าของชายหนุ่ม
วาดิมดึงบราที่หญิงสาวเพิ่งจะปาใส่หน้าของเขาออก จากนั้นก็ปามันลงไปที่ตู้เคาท์เตอร์เช่นเดิม
“ตกใจอะไร”
“ก็ฉันล็อคห้องแล้ว คุณเข้ามาได้ไง”
“นี่มันบ้านผม ถึงคุณจะมุดดินหนีผมก็ไปหาคุณได้”
“แล้วทำไมคุณซื้อชุดชั้นในให้ฉันเยอะแบบนี้ล่ะ”“ก็ผมไม่รู้นี่ว่าคุณใส่แบรนด์ไหน ผมก็เลยให้คนเลือกมาทุกแบบทุกแบรนด์ ชุดชั้นในต้องใส่สบายที่สุดไม่ใช่หรือไง แล้วผมก็ไม่ใช่คนที่คลั่งชุดชั้นในอย่างที่คุณว่า”“ได้ยินด้วยเหรอ”“ผมมีหู”“แล้วคุณเข้าห้องมาทำอะไร ไม่ไปทำงานของคุณแล้วเหรอ” ก่อนที่เขาจะไม่ชอบความปากไวของเธอก็ต้องรีบหาเรื่องอื่นเพื่อคุยกลบเกลื่อน“ผมปวดหัวจะมานอนพัก คุณห้ามรบกวน เข้าใจไหม”“แล้วจะให้ฉันไปอยู่ตรงไหน”“จะอยู่ในนี้ก็อย่ารบกวนผม หรือไม่ก็ไปนั่งเล่นข้างนอก”“คุณไปนอนเถอะ ฉันจะดูเสื้อผ้าอยู่ในนี้ รับรองว่าไม่กวนคุณแน่”วาดิมมองตาคนตัวเล็กครู่หนึ่งแล้วจึงหันหลังออกไปจากโซนแต่งตัว สายตาเจ้าเล่ห์เมื่อครู่ของเธอทำให้เขาไม่ค่อยรู้สึกไว้ใจสักเท่าไหร่นัก แต่ตอนนี้ก็รู้สึกปวดหัวหนักจนไม่อยากจะระวังอะไรกับผู้หญิงตัวเล็กๆ เดาว่าเธอคงไม่กล้าคิดทำอะไรนอกเหนือคำสั่งของเขาขณะที่ตัวเองเสียเปรียบให้หลังวาดิมเธอก็ถือวิสาสะเดินไปดูที่โซนเสื้อผ้าของเขา เปิดผ้าม่านที่ขวางกั้นเสื้อผ้าได้ก็ขมวดคิ้วมุ่นอีกรอบ “เค้าไม่คิดจะมีความสดใสในชีวิตบ้างเลยรึไงกัน” เสื้อผ้าของเขาไม่ว่าจะเป็นชุดสูททำงานห
เธอเริ่มขมวดคิ้วเมื่อเห็นสีหน้าของชายหนุ่มซีดเซียวริมฝีปากเริ่มเห่อแดงผิดปกติ ทั้งยังเริ่มสั่นสะท้านน้อยๆ ให้เธอได้เห็น ไม่ใช่ว่าตอนนี้ชายหนุ่มถูกพิษไข้เล่นงานเสียแล้วล่ะ คิดได้เช่นนั้นพลันมือก็ยื่นไปวัดอุณหภูมิที่หน้าผากชายหนุ่มอัตโนมัติ“ตัวร้อนจี๋เลย บอกแล้วให้ไปหาหมอก็ไม่เชื่อ”กลิ่นชวารีบออกไปหาอีวานให้พาเจ้านายของเขาไปหาหมอ เมื่อแจ้งความต้องการกับบอดี้การ์ดหนุ่มได้เธอก็ต้องขมวดคิ้วฉงนกับคำตอบที่บอดี้การ์ดหนุ่มตอบกลับมา“ทำไมพาไปหาหมอไม่ได้ล่ะคะ”“ตอนนี้อันตรายอยู่รอบตัวของนายครับนายหญิง ถ้าจะให้เจ้านายปลอดภัยที่สุดต้องให้หมอที่มาที่นี่”“ก็โทรเรียกมาสิคะ แถวนี้คลินิกเยอะแยะ”“ไม่ได้ครับ นายมาที่นี่อย่างไม่ได้เตรียมตัวเลยถูกคนร้ายตามเล่นงาน ตอนนี้เราจะพาคนนอกที่ไหนมาไม่ได้ เราไม่รู้ว่าตอนนี้คนร้ายที่รู้ว่านายอยู่ไทยมีกี่พวก หากพาหมอมาที่นี่จะไม่ใช่แค่พวกเราที่เป็นอันตราย แต่จรวมถึงหมอด้วยครับ ต้องรอให้คาเรฟกับเดมากลับมาที่นี่ก่อน ทุกอย่างถึงจะอยู่ในปลอดภัยครับ”“แล้วทำไมพวกคุณหาซื้อของมาให้ฉันได้ แต่พาหมอมาไม่ได้ล่ะคะ”“ของก็แค่โทรสั่งแล้วก็จ่ายเงิน แต่หมอเราต้องไปพาตัวของเค้ามาท
“ซุปครีมแซลมอนร้อนๆ ค่ะ ฉันทำสุดฝีมือเลยนะคะ”“ขอบคุณ” วาดิมเดินออกจากเตียงมานั่งตรงข้ามหญิงสาวที่เพิ่งวางถาดอาหารลงบนโต๊ะตัวเล็ก เมื่อนั่งลงได้ก็เริ่มตักซุปร้อนๆ เป่าครู่หนึ่งแล้วเริ่มลิ้มลอง“เป็นไงคะ” ยิ้มอย่างมีความหวังว่าเขาจะชมสักคำ“อืม ก็อร่อยดี”“เห็นไหมล่ะ ว่าฉันทำอาหารอร่อย ไม่ว่าคุณจะอยากทานอะไรบอกได้เลยนะคะ เดี๋ยวฉันจะทำให้คุณเอง”“เอาใจผมทำไม”“เอ่อ...เอาใจอะไรกันคะ” สาวเจ้าค่อยๆ ลดรอยยิ้มลงมาเล็กน้อย แปลกใจที่จู่ๆ เขาก็ถามออกมาแบบนี้ หรือว่าเธอกำลังตั้งใจเอาใจเขาจนออกหน้าออกตาเกินไป“เอาใจผมแบบนี้ต้องการอะไรหรือเปล่า”“เปล่านี่คะ ฉันแค่เห็นคุณป่วยก็แค่อยากดูแลให้คุณหายเร็วๆ”“นึกว่าคุณอยากให้ผมตายซะอีก”ตายงั้นเหรอ จริงสินะ ถ้าเขาตาย เธอก็หมดห่วงเรื่องที่เขาจะทำร้ายลูกของเธอ แหม! ตอนที่เขาตัวร้อนเธอไม่น่ารีบไปบอกกับอีวานเลย จะว่าไปเธอก็คงปล่อยให้เขาตายต่อหน้าไม่ได้อยู่ดี เธอไม่ใช่คนใจดำอย่างเขาเสียหน่อย“กำลังผิดหวังกับการกระทำของตัวเองอยู่เหรอ”“พูดอะไรของคุณ ฉันไม่ได้อยากให้ใครมาตายต่อหน้าสักหน่อย” ใครจะไปยอมรับว่าตัวเองคิดง่ายๆ ในเวลาที่จ้องจะเอาหัวใจของเขา“แต่ตายลั
“มองแบบนั้นทำไม หรืออยากให้ผมชมคุณกลับ ผมไม่ทำแบบนั้นหรอก”“ก็ไม่ได้บอกให้ทำซะหน่อยนี่คะ” สะบัดหน้าหนีชายหนุ่มแล้วก้มหน้าก้มตาลากเส้นมนสมุดวาดรูปต่อ คราวนี้ไม่มีอารมณ์จะลงเงาอะไรเพิ่มเติมแล้ว เธอเขียนคำว่า กวนประสาท เป็นภาษาไทยตัวใหญ่อยู่บนหัวรูปของวาดิมเพื่อเป็นการระบายอารมณ์แทน“ผมอ่านภาษาไทยออก ไม่พอใจก็อย่าไปลงที่ผลงานสวยๆ สิ”“ไม่พอใจอะไร นี่เป็นคำชมค่ะ คำชมที่ฉันชอบชมผู้ชายน่ารัก”“เหรอ”“ใช่สิคะ คนกวนประสาท” ยื่นหน้าเข้าไปพูดใกล้ๆ หูของเขาหน้าระรื่น ถูกใจที่ได้ต่อว่าเขาเต็มปากวาดิมหันกลับไปสนใจงานของเขาต่อ เขาก็ไม่ไช่ไม่รู้ประสาว่ากำลังถูกหญิงสาวต่อว่า แต่ก็ไม่ได้อยากจะต่อความกับเธอมากกว่า ไม่รู้ว่าใครกันแน่เลยที่ชอบกวนประสาททั้งยังพาเจ้าตัวปัญหาในท้องมาปั่นประสาทของเขาอีกคน จากที่จะหายดีจากอาการบาดเจ็บแล้วใช้ชีวิตได้ปกติ กลับต้องมานั่งแพ้ท้องด้วยอาการแปลกๆ ที่ไม่รู้ว่าจะหายเมื่อไหร่ตั้งแต่ออกจากห้องน้ำมาได้ กลิ่นชวาในชุดคลุมอาบน้ำสีขาวก็มีวาดิมตามหลังอยู่ไม่ห่าง แม้กระทั่งตอนที่เธอเดินเข้ามาในโซนแต่งตัว จนตอนนี้เธอไม่กล้าจะขยับเขยื้อนตัวหยิบจับอะไรเลย“ให้ฉันแต่งตัวเสร็จก่อ
พิริสากับกลิ่นชวาเจอหน้ากันได้ก็กอดกันกลม ก่อนที่พิริสาจะเริ่มเปิดประเด็นพูดคุยสารทุกข์สุกดิบเพราะความเป็นห่วงกลิ่นชวา คิดว่าเพื่อนเธอจะผอมโซเหมือนไม้เสียบผีไปแล้วเสียอีก เมื่อเห็นว่ากลิ่นชวายังคงสดใสก็โล่งใจ“นึกว่าแกจะถูกขังอยู่ในกรง ได้ทานแต่อาหารขยะซะอีก”“แกก็คิดมากไป ตอนนี้คุณวาดิมเค้าติดฉันยังกับแตงเม”“จริงเหรอ แกทำให้เค้ารักได้สำเร็จแล้วเหรอ”“เปล่า เค้าแพ้ท้องแทนฉันเลยเวียนหัวตลอดเวลา แต่จะหายอาการพวกนั้นเมื่อตอนอยู่ใกล้ฉัน”“โถ่เอ้ย ไอ้เราก็คิดว่าทำให้เค้ารักสำเร็จ”“แต่ฉันก็ว่าเค้าคงรู้สึกดีกับฉันบ้างแหละ เค้าตามใจฉันหลายอย่างอยู่นะ แถมเวลาฉันหอมแก้มเค้า เค้าก็ไม่ว่าด้วย”“พูดถึงเค้าตาเป็นประกายขนาดนี้ไม่ใช่ว่าชอบเค้าไปแล้วเหรอ”“ถ้าใช่ล่ะ”“อืม ก็ดีนะ ถ้าแกชอบเค้า แล้วเค้าชอบแก เรื่องลูกที่แกอยากจะเก็บเอาไว้ก็จะได้คุยกับเค้าได้ง่ายขึ้น ถ้าเค้าชอบแกเค้าก็น่าจะตามใจแกนะ แต่ถ้าจะให้ดีแกก็รีบถามเค้าไปตามตรงว่าคิดยังไงกับแก ถ้าเค้าชอบแกจริงๆ ก็จะได้รีบคุยเรื่องลูกในท้องไปเลย”“แล้วถ้าเค้าไม่ได้ชอบฉันล่ะ”“ก็เหลือเวลาอีกตั้งเดือนนึงแกก็พยายามเข้าสิ”กลิ่นชวาคิดหนักกับการที่จะคุ
“ความลับมันไม่มีในโลกหรอก คุณพ่อผมไม่เคยเปิดเผยว่ามีลูกกี่คน แต่ทุกคนที่เป็นพี่น้องผมก็ถูกเอาชีวิตไป ถึงเราจะรู้ตัวคนร้ายแล้วจัดการส่งพวกมันไปลงนรก มันก็มีศัตรูในที่มืดค่อยๆ ออกมาเพิ่มอยู่ดี”“เป็นไปได้ไหมว่าถ้าคุณรักฉัน คุณจะยอมให้ฉันเก็บลูกเอาไว้”“มันไม่เกี่ยวกัน”“คุณตอบตอนนี้ไม่ได้หรอก เพราะคุณยังไม่รู้สึกดีกับฉัน ฉันพูดถูกไหมล่ะ” เธอเอ่ยเสียงสั่นเครือ ก่อนจะค่อยๆ มีน้ำตาไหลลงมาที่แก้มเธอเชื่อว่าถ้าชายหนุ่มรักเธอ เขาก็จะต้องยอมทำตามใจเธอทุกอย่าง ถ้าหากไม่มีใครรู้ว่าเธอมีลูกกับเขา ลูกเธออาจจะไม่เป็นอันตรายอย่างที่เขาคิดในแง่ร้ายไปก่อนก็ได้วาดิมได้แต่นั่งหันหลังให้กลิ่นชวา เขาไม่ชอบเห็นน้ำตาของใคร ตอนนี้เธอกำลังไม่เข้าใจความสูญเสียที่เขาพูดถึง เพราะเธอไม่เคยเห็นคนที่รักจากไปต่อหน้าต่อตาอย่างทรมานโดยที่ตัวเองทำอะไรไม่ได้ ความทรมานที่เหมือนตายทั้งเป็นแบบนั้นเธอไม่เคยได้รับรู้เศษเสี้ยวความรู้ของการเจ็บปวด แล้วเธอจะไปเข้าใจอะไรวาดิมนั่งหันหลังให้คนตัวเล็กนานเท่าไหร่นับเวลาไม่ได้ เพราะสมองเอาแต่คิดวกไปวนมาถึงเรื่องครอบครัว หากไม่จำเป็นเขาก็ไม่ได้อยากพูดเรื่องอดีตแม้แต่นิดเดียว เพราะย
“เรียบร้อยแล้วใช่ไหมคะคุณหมอ ฉันขอตัวออกไปเข้าห้องน้ำหน่อยนะคะ” ตอนนี้เธอไม่รีรออะไรทั้งนั้น ชีวิตของลูกสำคัญที่สุด แม้จะเสียใจที่ไม่สามารถพิชิตใจพ่อของลูกได้ แต่อย่างน้อยก็ให้เธอได้ให้โอกาสเด็กคนหนึ่งที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรด้วยได้เกิดมาบนโลก“คุณวาดิมคะ”“มีอะไรครับ” เริ่มขมวดคิ้วมุ่นเมื่อเห็นพยาบาลสาววิ่งเข้ามาหาตัวเองหน้าตาตื่น“เห็นภรรยาคุณไหมคะ เธอบอกว่าเธอจะเข้าห้องน้ำ แล้วตอนนี้เธอก็หายไปแล้วค่ะ”“อะไรนะครับ” สีหน้าของวาดิมเริ่มเผยอาการโกรธ เมื่อมีโอกาสก็คิดหนี ที่ผ่านมาคำพร่ำบอกว่ารักเขา เธอพูดจริงหรือพูดเพียงเพื่อให้เขาไว้ชีวิตลูกในท้องอย่างเดียวกันแน่แกร๊ก “แก้ว”เสียงประตูที่เปิดพร้อมกับเสียงเรียกที่คุ้นหูทำชบาแก้วดีดตัวผึงขึ้นมากะทันหัน “พี่ว่าน” ชบาแก้วน้ำตารื้นรีบวิ่งโผเข้าไปกอดกลิ่นชวาเอาไว้แน่น“ทำไมหายไปเลยล่ะพี่ว่าน รู้ไหมว่าแก้วเป็นห่วงแค่ไหน” ชบาแก้วพร่ำด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้นกลิ่นชวาเองก็ได้แต่เงียบลูบหลังปลอบน้องสาว หลังจากที่ร้องให้กอดพี่อยู่ครู่ใหญ่ชบาแก้วก็สงบลง กลิ่นชวาถึงได้โอกาสพูดคุยกับน้อง“พี่ขอโทษที่หายไป ตอนนี้พี่กลับมาแล้ว แล้วพี่ก็จะไม่ไปไหนแล้ว”
“เป็นอะไรพี่ว่าน แล้วทำไมผู้ชายคนนั้นเหมือนจะเดินมาหาเราเลย” ชบาแก้วเห็นพี่สาวยืนตัวแข็งทื่อก็รีบเขย่าแขน ตอนนี้เธอค่อนข้างเริ่มกลัว เพราะผู้ชายต่างชาติร่างสูงใหญ่ที่สวมเชิ้ตสีขาวปลดกระดุมลงมาจนแทบจะถึงสะดือ เผยให้เห็นรอยสักอันน่ากลัว ดูยังไงคนพวกนี้ก็น่าจะเป็นกลุ่มมาเฟีย แถมตอนนี้เขายังจ้องพวกเธอไม่วางตาขณะที่สาวเท้าตรงมายังพวกเธอด้วย“เค้าเป็นพ่อของลูกพี่” กลิ่นชวาพูดจบก็ดึงน้องสาวให้หลับที่ข้างหลังเธอ“นั่นพี่เขยแก้วเหรอ หล่อเหมือนกันนะเนี่ย แต่... ทำไมเหมือนพวกมาเฟียเลย”“ไง...” เสียงทุ้มกังวานจากหนุ่มต่างชาติที่ทักทายเป็นภาษาไทยทำชบาแก้วขนลุกขนชัน ไม่อยากจะเชื่อว่าพี่สาวเธอจะมีสเปคผู้ชายที่แสนโหดเช่นนี้ เธอที่ทำอะไรไม่ถูกก็ได้แต่ปั้นหน้ายิ้มแล้วทักทายอีกฝ่ายอย่างเป็นมิตรที่สุดเท่าที่จะทำได้“สวัสดีค่ะ ฉันแก้วค่ะ เป็นน้องพี่ว่าน” จำได้ว่าพี่สาวบอกว่าแยกทางกับสามีแล้ว แต่ทำไมเขาถึงมาอยู่ตรงนี้ได้ คงไม่ใช้ความรุนแรงในการขอคืนดีกับพี่ของเธอหรอกนะ“ผมวาดิม ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ” วาดิมยิ้มอ่อนทักทายชบาแก้วอย่างเป็นมิตรกลับ ทว่าสายตาที่มองกลิ่นชวายังดูโกรธเคืองไม่หาย“แก้วรอพี่ที่ล็อบ
“ริสา”“สรุปว่าพวกคุณรู้ตั้งแต่แรกว่าฉันจะมีลูกไม่ได้หลังจากใช้ยาถอนพิษเหรอคะ”“ผมขอโทษริสา แต่ที่ผมไม่บอกเพราะกลัวว่าคุณจะไม่ยอมรักษาตัว ถ้าปล่อยให้พิษนั่นอยู่ในร่างกายนานๆ มันทำลายระบบประสาทหลายอย่าง”พิริสาไม่คิดจะฟังอะไรทั้งนั้น เมื่อเห็นเซรเกย์เข้ามาใกล้ เธอก็รีบวิ่งหนี หากเขาบอกเธอถึงความจริงของผลข้างเคียง วันนั้นเธอก็อาจจะทำใจยอมรับเรื่องที่จะมีลูกไม่ได้ก็ได้ แต่ตอนนี้เธอมีความหวังจนไม่อาจจะผิดหวังได้แล้ว ทำไมเรื่องมันต้องกลายมาเป็นแบบนี้ด้วย“ฮื่อ ฮือ ฮือ ฮือ...” เธอวิ่งไปไม่รู้จุดหมาย พร้อมน้ำตาพรั่งพรูและเสียงสะอึกสะอื้น เมื่อหัวใจถูกบีบรัดมากเข้าเธอก็เริ่มหูอื้อตาลาย และหมดสติไป“ริสา” เซรเกย์วิ่งไปรับร่างของพิริสาได้ทันท่วงที จากนั้นก็รีบสาวเท้าพาเธอเข้าไปให้โอเว่นดูอาการพิริสายังนอนให้หมอตรวจโดยที่น้ำตายังคงไหลไม่หยุด ทั้งยังไม่คิดที่มองหน้าทั้งหมอโอเว่นและสามีของเธอ เพราะยังโกรธเรื่องที่พวกเขาไม่ยอมบอกเธอถึงผลข้างเคียงทุกอย่างของการใช้ยาถอนพิษ ทำให้เธอต้องรู้สึกผิดหวังมากๆ ในตอนนี้“ผมว่าเรากำลังจะมีข่าวดีแล้วล่ะ” จากการที่โอเว่นได้เริ่มศึกษาแพทย์แผนจีน เขาก็พอจะจับชีพจ
ตั้งแต่มาถึงร้านสมุนไพรได้ พิริสาก็ถูกหมอจีนตรวจชีพจรอยู่พักใหญ่ เพราะไม่เคยเจอคนที่เลือดลมเดินทางแปลกๆ เช่นหญิงสาวมาก่อน“อืม...แปลกๆ” หมอสมุนไรวัยเกือบแปดสิบสีหน้าเคร่งเครียดเป็นพิเศษ ก่อนจะปล่อยมือจากชีพจรของหญิงสาวและหยิบตำราใจใต้ลิ้นชักขึ้นมาดูเซรเกย์ที่เห็นว่าได้จังหวะเขาจึงเริ่มออกอุบายที่วางแผนเอาไว้ “ผมลืมเอามือถือมาจากในรถ ริสาไปเอาให้ผมหน่อยได้ไหม”“ได้สิคะ”ให้หลังพิริสาไปได้ เซรเกย์ก็ถือโอกาสพูดคุยรายละเอียดทุกอย่างกับหมอจีน หวังว่าเขาจะเป็นที่พึ่งให้กับคนที่ลูกยากได้จริงๆ อย่างที่ริโอะได้พูดเอาไว้ทางด้านพิริสาเธอก็เอาแต่หาโทรศัพท์มือถือของเซรเกย์อยู่ครู่ใหญ่ สุดท้ายก็เจอมันก็ตกอยู่ที่ใต้เบาะที่นั่งของเขา กว่าจะกลับเข้าไปในร้านยาได้ เธอก็เห็นหมอจีนเตรียมสมุนไพรเอาไว้ให้เธอเรียบร้อยแล้ว“หมอจัดยาให้เรียบร้อยแล้วนะริสา”“เหรอคะ ไวดีจังเลย”“คุณต้องดื่มยาต้มนี่ทุกวัน วันละสามเวลาเป็นเวลาสามเดือน”“แค่นี้จะพอเหรอคะ” ดวงตาคู่สวยเริ่มเพ่งมองไปยังห่อสมุนไพรเล็กๆ ที่ตั้งอยู่สามห่อ“แล้วผมจะส่งสมุนไพรตามไปให้ทุกครึ่งเดือน ระหว่างนี้ก็งดอาหารหมักดอง แล้วก็ต้องทานอาหารที่ทำสดใหม่เ
“ริโอะ”ขณะที่กำลังนั่งคิดอะไรเพลินๆ เสียงที่แสนคุ้นหูก็ดังแว่วมาแต่ไกลทำให้ริโอะรีบหันไปยังต้นเสียงด้วยความรวดเร็ว “อ้าวคุณริสา มาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่คะ”“เพิ่งมาถึงเมื่อกี้นี้เอง ทำไมมานั่งอยู่ตรงนี้ล่ะ”“มานั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อยค่ะ เราเข้าบ้านกันดีกว่าค่ะ ริโอะทำขาหมูไว้ให้คุณริสาด้วยนะคะ”“คุณเรนบอกแล้วล่ะ ตอนนี้ฉันยังไม่อยากเข้าไปในบ้าน อยากคุยกับริโอะก่อน”“มีอะไรเหรอคะ”“ริโอะกำลังงอนคุณเรนอยู่ใช่ไหม”สีหน้าที่กำลังเปื้อนยิ้มเริ่มเจื่อนลง ไม่ผิดหรอกที่เรนเข้าใจเช่นนั้น แต่นั่นก็เป็นเพราะเขาสร้างข้อจำกัดให้เธอจนเธอรู้สึกอึดอัด“ฉันรู้ว่าที่คุณเรนห้ามริโอะทุกอย่างก็เพราะเป็นห่วง แล้วฉันก็รู้ว่าริโอะรู้ตัวว่าริโอะทำทุกอย่างได้ ฉันก็เลยบอกให้คุณเรนกับริโอะแก้ปัญหากันคนละครึ่งทาง”“ยังไงเหรอคะ” แววตาของริโอะในตอนนี้เต็มไปด้วยความสงสัย การแก้ปัญหาคนละครึ่งทางหมายความว่ายังไง“ลองคุยกับคุณเรนอีกรอบสิ” พิริสาหันหน้าไปมองเรนที่กำลังยืนดูเธอและริโอะอยู่ห่างๆ“ฉันขอตัวไปรอในบ้านนะ”หลังจากพิริสาลุกออกไป เรนก็เข้ามานั่งแทนที่ของเธอ เพราะเรนต้องการที่จะคุยกับริโอะตามที่พิริสาและเซรเกย์แนะนำ
“อื้อ...” ดวงตาคู่สวยหลับตาปี๋ เสียงครางของความเจ็บจุกถูกดูดเข้าไปในลำคอสามี หลังจากนั้นเธอก็หัวสั่นหัวครอนไปกับแรงกระกระทั้นจากการมอบบทสวาทของสามีตัวโตเซรเกย์บดสะโพกส่งเจ้าแท่งร้อนมโหฬารเข้าออกร่องสวาทถี่รัวไม่มีผ่อนอยู่นานสองนาน เสียงครางของคนทั้งสองที่กำลังแลกลิ้นถูกดูดกลืนเข้าไปในลำคอของกันและกัน เมื่อร่องสวาทดูดกลืนแท่งร้อนมโหฬารหนักเข้าก็เริ่มตอดรัดรุนแรงเพราะใกล้จะถึงจุดสุดยอดอีกครั้ง“อื้อ.. อื้อ...” และแล้วพิริสาก็บิดเกร็งแอ่นเร่าตาปรือเยิ้ม มือไม้จิกอยู่ที่ลำแขนแกร่งของคนเป็นสามีจนแทบจะฝังเนื้อเซรเกย์เสียบเจ้าแท่งร้อนคาร่องสวาทเอาไว้ไม่ขยับ เพราะต้องการปล่อยให้คนตัวเล็กได้ผ่อนคลาย ในขณะเดียวกันเขาก็ยังบดจูบด้วยลีลาเร่าร้อนเพื่อเล้าโลมคนตัวเล็กให้พร้อมรับกับลีลาสวาทของเขาอีกรอบเมื่อจับจังหวะการหายใจของภรรยาตัวเล็กว่าเป็นปกติเขาก็เริ่มสาวแท่งร้อนดึงออกจนสุดกดเข้าจนมิดไปกับร่องสวาทที่ชุ่มฉ่ำไปด้วยน้ำรักอีกรอบให้เร็วและแรงกว่าเดิม จนเกิดเป็นเสียงเนื้อที่กำลังเปียกแฉะกระทบกันดังสนั่นไปทั่วห้อง“เซรเกย์ อื้อ...” พิริสาหัวสั่นหัวครอน ความเสียวซ่านพุ่งเข้ามาในร่างกายจนเริ่มจะแตะข
“อ๋อ ฉันว่าหาของบำรุงสักพักแกก็คงจะกลับมาแข็งแรงเองนั่นแหละ อย่าลืมสิว่าแกเพิ่งผ่านการรักษาตัวมานะ เดี๋ยวอีกสักพักลองไปตรวจร่างกายใหม่ก็ได้”“เซรเกย์ก็บอกฉันแบบนั้น”“จุนน้า...”“ยัยหนู” เห็นหลานสาวตัวกลมวัยเกือบสองขวบก็รีบเข้าไปรวบอุ้มมานั่งที่ตัก ก่อนจะหอมไปที่พวงแก้มย้วยๆ อีกฟอดใหญ่“คิดถึงจังเลย คิดถึงจังเลย” พิริสากอดรัดฟัดเหวี่ยงกับลูกสาวของกลิ่นชวากันจนหายคิดถึง ยิ่งเห็นหลานก็อยากจะมีลูกใจจะขาด ทว่าก็ต้องทำใจเพราะไม่รู้ว่าร่างกายของเธอจะสามารถมีลูกได้เมื่อไหร่ทางด้านสองหนุ่มที่กำลังคุยกันอยู่ด้านนอก เมื่อมองผ่านกระจกเห็นพิริสากำลังเล่นอยู่กับเจ้าตัวกลมด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสุขก็หันมามองหน้ากันด้วยสายตาที่กำลังบ่งบอกถึงความเป็นกังวล โดยเฉพาะเซรเกย์“ดูท่าริสาคงอยากจะมีลูกมากๆ ฉันรู้ว่าริสานิสัยเหมือนว่าน ทางที่ดีนายควรรีบบอกเรื่องที่เธอควรรู้จะดีกว่า” วาดิมเสนอความเห็นหลังจากรับรู้ความจริงว่าเพราะอะไรกันแน่พิริสาถึงยังมีลูกไม่ได้“ฉันยังไม่พร้อมเห็นริสาผิดหวัง เอาเป็นว่าหลังจากการตรวจร่างกายครั้งหน้าไม่ดีขึ้นก็ค่อยบอกเธอตอนนั้น”“อืม ถือว่าฉันเตือนแล้วนะ”เซรเกย์ยืนถอนหายใ
“แล้วริสาจะไปเที่ยวหานะคะคุณพ่อคุณแม่” พิริสาเข้าไปกอดพ่อกับแม่ในขณะที่พวกเขากำลังจะเดินทางกลับอิตาลีหลังจากที่เบาใจเรื่องอาการเจ็บป่วยของเธอแล้ว“ยายจ๋า รักษาสุขภาพด้วยนะ แล้วริสาจะพาเจ้าตัวเล็กไปวิ่งเล่นด้วย” เธอผละออกมาจากดันเต้และรสสุคนเข้ามากอดสอางค์“เราก็ดูแลตัวเองดีๆ ล่ะ แล้วยายจะส่งสมุนไพรบำรุงร่างกายมาให้นะ”“ขอบคุณค่ะ” ฟอด ฟอด สาวเจ้าหอมซ้ายหอมขวาคนเป็นยายฟอดใหญ่ๆ เป็นประจำทุกครั้งที่ต้องจากกัน ไม่ว่าเธอจะโตมากแค่ไหนเธอก็ยังชอบทำตัวเป็นเด็กกับยายของเธอเสมอ เพราะรู้ว่ายายนั้นชอบเห็นความสดใสของเธอ และเธอเองก็ชอบที่จะเห็นรอยยิ้มของคนเป็นยายรวมไปถึงพ่อกับแม่ไปนานๆ“แล้วก็ดูแลลูกฉันให้ดีล่ะ ถ้ามีเรื่องให้ลูกฉันเจ็บตัวอีก ฉันพาลูกฉันกลับไปดูแลเองจริงๆ ด้วย” ดันเต้หันมาส่งเสียงดุให้เซรเกย์ส่งท้ายก่อนกลับ เชื่อว่าเซรเกย์จะดูแลลูกสาวของเขาได้ดี ทว่าก็อดที่จะกำชับอีกครั้งตามประสาพ่อที่หวงและห่วงลูกไม่ได้สิ้นเสียงแข็งของคนเป็นพ่อ พิริสาก็รีบเข้าไปกอดเอวเซรเกย์เอาไว้แน่น “ไม่นะคะคุณพ่อ ริสารักเซรเกย์ม๊ากมาก ไม่ยอมไปไหนหรอกค่ะ”รสสุคนและสอางค์ต่างก็ส่ายหน้าให้กับคำพูดของดันเต้ ทว่าก็อม
“คิดอะไรอยู่” เดินออกมาจากห้องแต่งตัวได้ก็เข้ามาสวมกอดคนตัวเล็กที่กำลังยืนกอดอกเหม่อมองท้องฟ้ายามค่ำคืนด้วยอาการเหม่อลอยพิริสารีบผลักคนที่เปลือยท่อนบนโชว์แผงกล้ามออกจากตัว “ทำไมไม่ใส่เสื้อคะ” มองกล้ามเนื้อคนที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีครู่เดียวก็ต้องหลบสายตาไปมองทางอื่น เพราะตอนนี้เธอกำลังหน้าร้อนผ่าวเพราะไม่ชินกับการมองผู้ชายถอดเสื้อ“คุณเขินเหรอ” ริมฝีปากหนาอมยิ้มกรุ่มกริ่ม“ใครจะไม่เขินล่ะ”“หันมาดูให้เต็มตาสิ มันเป็นของคุณนะ คุณจะเขินทำไม” เขาดึงมือเธอมาลูบบนเนินอกที่มีกล้ามเนื้อเป็นมัดๆ“ของฉันเหรอ” แม้จะเคอะๆ เขินๆ แต่แผงกล่ามของเขามันก็น่าสัมผัสอยู่ไม่น้อย เลยถือวิสาสะลูบๆ คลำๆ อยู่เช่นนั้นจนรับรู้ได้ว่าตัวของเขาไม่มีไขมันแม้แต่นิดเดียว“ใช่ ก็ผมเป็นของคุณ เป็นสามีคุณ จะดูตรงอื่นด้วยไหม”“ไม่ต้องค่ะ” รีบถอยห่างพร้อมยกมือทั้งสองข้างปิดตา เธอไม่รู้หรอกว่าคนที่เธอมองว่าเขาเจ้าเล่ห์จะพูดจริงหรือพูดเล่น ทว่าเธอก็ไม่เสี่ยงเปิดตาเอาไว้ แค่เห็นแผงกล้ามของเขาเธอก็เขินจนปั้นหน้าไม่ถูกแล้ว หากเห็นอย่างอื่นคงได้วิ่งออกไปข้างนอกแน่“เวลาคุณเขิน น่ารักมากเลยรู้ไหม”“แกล้งฉันใช่ไหมคะ” มือทั้งสองค่อ
พิริสาสะดุ้งตกใจเมื่อตื่นมาแล้วเห็นเซรเกย์อยู่ข้างกาย ทว่าก็ต้องยกมือทาบอกค่อยๆ ผ่อนลมหายใจ เพราะเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตัวเองนั้นแต่งงานกับเซรเกย์แล้วดวงตาคู่สวยค่อยๆ จ้องไปที่ใบหน้าคมครู่นึง เธอไปหลงรักคนที่สายตาเจ้าเล่ห์หัวปักหัวปำได้อย่างไร เขาทำอะไรให้เธอรักมากมายขนาดนั้นได้ ทั้งเธอก็ปฏิเสธไม่เชื่อไม่ได้ เพราะทุกคนต่างก็ยืนยันว่าเธอหวงเซรเกย์อย่างกับจงอางหวงไข่“อยากกินผมเหรอ” ลืมตาขึ้นได้ก็เอ่ยยียวนกวนประสาทคนตัวเล็ก“อุ้ย ตกใจหมดเลยคุณเนี่ย”“ก็จ้องผมตั้งนานแล้ว จะจูบก็ไม่จูบซะที” พูดจบก็ตวัดแขนหมายจะโอบรั้งคนตัวเล็กเข้ามากอด แต่พิริสาก็ไหวตัวทัน เธอรีบพลิกตัวลงจากเตียง แล้วสาวเท้าเข้าไปห้องน้ำเพื่ออาบน้ำล้างหน้าล้างตาจะได้ลงไปอยู่กับแม่เซรเกย์มองตามหลังภรรยาตัวเล็กด้วยความขบขัน จะว่าไปการที่เธอจำเขาไม่ค่อยได้ก็ทำให้เธอน่าแกล้งเหมือนกัน ตอนนี้เขาไม่ค่อยกังวลเรื่องความจำของเธอแล้ว ด้วยรู้ว่าอีกไม่นานเธอก็จะจำช่วงเวลาที่มีกับเขาได้ทุกเรื่อง เพราะสมุนไพรทุกอย่างที่หมอโอเว่นจะต้องใช้สกัดเป็นยาถอนพิษตอนนี้ได้มาครบแล้ว เหลือเพียงแค่รอให้ทุกคนนำกลับมาให้กับมือของหมอโอเว่นเท่านั้น“พวกคุณ
“ผมคงต้องขอคุยกับคุณริสาอย่างละเอียดอีกพักใหญ่เลยครับ” หมอโอเว่นเอ่ยก่อนที่พิริสาจะรู้สึกฉงนหนักไปมากกว่านี้“คุณเป็นใครคะ?”“ผมหมอโอเว่นครับ ยินดีที่ได้รู้จักอีกครั้งนะครับ”ดวงตาคู่สวยมองจ้องมายังหมออาวุโสแปลกหน้า คำว่ายินดีที่ได้รู้จักอีกครั้ง เขาเคยรู้จักเธอ หรือ เธอเคยรู้จักเขามาก่อนเช่นนั้นหรือเมื่อทุกคนอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา หมอโอเว่นก็เริ่มอธิบายความเป็นมาเป็นไปของอาการหญิงสาว ก่อนจะซักถามความจำของเธอว่าตอนนี้จำอะไรได้บ้างสรุปแล้วก็ได้ความว่าตอนนี้พิริสาจำทุกคนที่อยู่ที่นี่ได้ ทว่าเธอก็จำได้เพียงแค่ตอนที่เพิ่งได้เจอกับพ่อของเธอไม่เท่าไหร่นัก ซึ่งนั่นมันก็เป็นช่วงเวลาที่เธอเพิ่งจะเริ่มคบหากับเซรเกย์เป็นแฟนทั้งยังตกใจมากที่จู่ๆ รู้ตัวว่าตัวเองได้แต่งงานกับเซรเกย์ในเวลาอันรวดเร็ว จนต้องขอคุยกับเซรเกย์เป็นการส่วนตัวอีกรอบหลังจากคุยกับทุกคนเรียบร้อย“ฉันแต่งงานกับคุณแล้วจริงๆ เหรอ อะไรที่ทำให้ฉันแต่งกับคุณได้เร็วขนาดนั้น”“คุณรักผมมากไง”“ฉันน่ะเหรอคะ ฉันยอมรับว่ารู้สึกดีกับคุณมาก แต่ก็ยังไม่ถึงกับรักมากนะคะ”“อย่าพูดให้ผมใจเสียสิ”“ก็ฉันจำไม่ได้จริงๆ นี่คะ แต่จะว่าไปเรื่องราวท