อวี่เหวินห่าวพลิกตัวกลับมา สีหน้าที่ไม่เป็นมิตร “เจ้า...เครื่องนอนของข้าเอาไปซัก” ซูยี่ปิดตาข้างหนึ่งและมองไปด้วยความตกใจ อีกหมัดถูกยื่นออกมา และตาอีกข้างก็มืดมิดทันที อวี่เหวินห่าวดื่มน้ำเย็นแก้วใหญ่ ถึงจะดับไฟในใจไปได้เล็กน้อย ซูยี่หอบเครื่องนอนออกไปด้วยใบหน้าเศร้า นี่ยังไม่สว่างเลยนะ ชีหลัวเข้ามาจัดที่นอน และมองดูอวี่เหวินห่าวอย่างระมัดระวัง เพียงเห็นเขานั่งอยู่บนโซฟาไม้ด้วยใบหน้าที่โกรธเกรี้ยว ดวงตาของเขาจ้องมาที่นางอย่างเฉียบคม จ้องมองขึ้นและลง จ้องจนทำให้นางขนลุก วันนี้ท่านอ๋องเป็นอะไร?ชีหลัวตกใจกลัว จัดที่นอนเสร็จก็รีบออกไปอวี่เหวินห่าวเข้านอนอีกครั้งแต่ก็ไม่สามารถหลับลงได้ไม่เคยถูกทรมานเช่นนี้มาก่อนซูยี่กำลังทุบผ้าอยู่ข้างบ่อน้ำ ร้องไห้ฮือ ๆ และถังหยางก็เข้ามาพร้อมโคมไฟในมือ “เกิดอะไรขึ้น? ไม่คัดหลี่อี้เหลียนฉื่อแล้วเหรอ จึงเปลี่ยนมาซักเครื่องนอนแทน” ซูยี่ทำตาเศร้า ๆ เหมือนสตรีตัวน้อย “ทำไมใต้เท้าถังยังไม่นอนอีก?” “หลับแล้ว ก็นี่ไง เจ้าทำให้ข้าตื่นไม่ใช่เหรอ?” ถังหยางนั่งอยู่ข้างเขา “เจ้าเป็นอะไร? ทำไมถึงทำให้ท่านอ๋องไม่พอใจอยู่ตลอดเลยล่ะ?”ซูยี่ก็รู้สึก
ซูยี่กล่าวอย่างมั่นใจ “เงินไม่มี แล้วข้าจะไปเอาสตรีมาได้อย่างไร? สถานที่ต้องนั้นใช้เงินเป็นจำนวนมาก” “พรุ่งนี้มาถอนที่ห้องบัญชี” ถังหยางเดินออกไปช้า ๆ “ซักเครื่องนอนของเจ้าต่อไปเถอะ”ซูยี่พบวิธีแก้ปัญหา ไม่ต้องพูดถึงความดีใจที่อยู่ในใจ ซักเครื่องนอนก็มีความสุขมาก ทุบลงไปเสียงดังผับ ๆ หยวนชิงหลิงคืนนี้ก็นอนไม่หลับเช่นกันพลิกไปพลิกมา ดวงตาที่แผดเผาของเขาส่องประกายอยู่ต่อหน้าต่อตาจะบ้าไปแล้ว! นางทั้งปิดหน้าทั้งกุมหัว เขาคิดอย่างไรกันแน่?หยวนชิงหลิงแล้วเจ้าล่ะคิดอย่างไร?แล้วสามารถเชื่อได้จริงหรือ? อย่าลืมว่าเมื่อไม่นานมานี้เจ้าเคยถูกเขาทุบตีจนลุกจากเตียงไม่ไหว แต่ทำไมเจ้าถึงชอบจูบของเขามากขนานนั้น? ตอนที่นั่งรถม้ากลับมา ศีรษะของนางอยู่บนบ่าของเขา ฟังเสียงหัวใจของเขา นางรู้สึกว่าเป็นเวลาที่สงบที่สุดและสบายใจมากที่สุดตั้งแต่มายุคโบราณนี้ แม้ว่ามันจะถูกรบกวนด้วยการจูบในตอนท้าย หากรถม้ายังขับต่อไป พวกเขาอยู่บนรถม้าจะ...หรือไม่ หยวนชิงหลิงรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะเป็นบ้า ลมหายใจของเขา การเต้นของหัวใจเขา รสชาติจูบของเขา ริมฝีปากและฟันของเขา ทุกรูปแบบของเขา ทั้งหมดกลายเป็นสิ
อ๋องหวยยังไม่ตื่น หยวนชิงหลิงก็ได้ถามคนรับใช้เมื่อคืนนี้ข้างนอกนิดหน่อย หนุ่มน้อยบอกว่าเมื่อคืนนี้ เขาไอเป็นเลือด แต่เห็นได้ชัดว่าไอน้อยกว่าเมื่อก่อนนางข้าหลวงสี่รายงานเรื่องการกินยา หลังอาหารเย็นกินหนึ่งครั้ง ตื่นนอนกลางดึกหลังไอเป็นเลือดก็กินอีกหนึ่งครั้ง เช้านี้ยังไม่ได้กินยาหยวนชิงหลิงพยักหน้า “แม่นมลำบากแย่เลย ไปนอนสักหน่อยเถอะ ตอนกลางวันข้าเฝ้าก็พอแล้ว”นางข้าหลวงสี่ส่ายหัวแล้วพูดว่า “ไม่จำเป็น เมื่อคืนบ่าวก็หลับไปเหมือนกัน เพียงแต่ตอนกินยาบ่าวถึงลุกขึ้นไปให้เขากินยา ส่วนเวลาอื่น พระสนมหลู่เฟยส่งคนมารับใช้โดยเฉพาะ และไม่จำเป็นต้องใช้บ่าว”“ดีแล้ว พระสนมหลู่เฟยอยู่ที่ไหน?” หยวนชิงหลิงถาม“บรรทมแล้ว เมื่อคืนก็เฝ้าทั้งคืนเพคะ”หยวนชิงหลิงประหลาดใจเล็กน้อย วันนี้พระสนมหลู่เฟยไม่จับตาดูนางแล้วเหรอ?แม้ว่าพระสนมหลู่เฟยเมื่อวานนี้จะแสดงความไว้วางใจออกมา แต่หยวนชิงหลิงรู้ว่านางไม่ได้วางใจได้ทั้งหมดหรือว่าเป็นเพราะเมื่อคืนนี้อ๋องหวยอาการดีขึ้น นางถึงเปลี่ยนความคิดอ๋องหวยยังไม่ตื่น แต่เมื่อได้ยินเสียงหยวนชิงหลิงกับนางข้าหลวงสี่คุยกันอยู่ข้างนอก เขาจึงตื่นขึ้น ไอสองครั้ง และหนุ
หลังจากถามถึงอาการหลังการกินยาเมื่อวานนี้ พบว่าผลข้างเคียงไม่มาก วันนี้นางจึงเพิ่มขนาดยา เพื่อควบคุมวัณโรคโดยเร็วที่สุด “นี่คือเข็มอะไร? ทำไมมันถึงไม่เหมือนกับของหมอหลวง?” อวี่เหวินหลิงถามขึ้นมา หยวนชิงหลิงอธิบายว่า “นี่เป็นยาสำหรับโรคฝีในท้องโดยเฉพาะ ขั้นแรกของการรักษาคือครึ่งเดือน หลังจากครึ่งเดือนก็จะเปลี่ยนยา โดยทั่วไปหลังจากครึ่งเดือนการติดเชื้อจะควบคุมได้ การติดเชื้อจะลดลง หลังจากนั้นก็รักษาขั้นต่อไป ประมาณครึ่งปีก็จะหายเป็นปกติ” อวี่เหวิยหลิงเบิกตากว้าง “จะหายเป็นปกติได้จริง ๆ เหรอ? ถ้าเจ้ารักษาพี่หกได้จริง ๆ เป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างยิ่ง” หยวนชิงหลิงยิ้มและชำเลืองมองอ๋องหวย จนถึงตอนนี้อ๋องหวยยังคงไม่ค่อยเชื่อ และยังคงแสดงกิริยาท่าทางเฉย ๆ อยู่ “อาการสรุปได้ดังนี้ แน่นอนว่าเราต้องมีความหวังอันงดงามอยู่ในใจ คนไข้ควรมองโลกในแง่ดีเสียก่อน ข้าเห็นผู้ป่วยจำนวนมากที่ไม่มียารักษาได้ แต่อาศัยกำลังใจ ก็ยังคงอยู่ต่อได้อีกนาน ท่านอ๋อง มีคนมากมายที่เป็นกำลังใจให้ท่าน ท่านไม่มีเหตุผลที่จะยอมแพ้” เมื่ออ๋องหวยได้ยินเช่นนี้ เขาก็เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ราวกับว่ามีอะไรจะพูด แต่ในท้ายที่
ริมฝีปากของหยวนชิงหลิงยกยิ้มบาง ๆ ขึ้นใครจะไปรู้ว่าอ๋องหวยเองก็ได้ยิงเสียงข้างนอกเช่นกัน ถึงจะไม่ได้ฟังให้ดี จึงได้ยินแต่สิ่งที่กระชายาจี้พูดเสียงดังสินะอ๋องหวยยิ้มประชดแบบเหมือนไม่ได้ประชดและพูดว่า “พี่สะใภ้ห้า ได้ยินแล้วใช่ไหม? จริง ๆ แล้วไม่ใช่ข้าที่ท้อแท้ คนข้างนอกจริง ๆ แล้วก็ไม่เชื่อว่าข้าจะดีขึ้นได้”“ไม่ว่าคนข้างนอกจะพูดยังไงล้วนไม่สำคัญ สิ่งสำคัญที่สุดคือข้าพูดอะไร ข้าคือท่านหมอของท่าน” หยวนชิงหลิงลากเก้าอี้มาตัวนึงนั่งลงข้างเตียงอ๋องหวยมองนางและยิ้มกว้างขึ้นเล็กน้อย “พี่สะใภ้ห้าสวมหน้ากากบอกกับข้าว่าสามารถรักษาหายได้? เกรงว่าพี่สะใภ้ห้าเองก็ไม่เชื่อเหมือนกัน?”หยวนชิงหลิงคิดไม่ถึงว่าเขายังจะสนใจเรื่องการสวมหน้ากาก “หน้ากากนี้ ทำให้ในใจท่านอ๋องรู้สึกอึดอัดหรือ?”อ๋องหวยตอบอย่างเรียบเฉย “ไม่อึดอัด เพียงแต่มันทำให้ข้ารู้สึก ข้าคือนักโทษ นักโทษผู้แพร่กระจายความตายคนหนึ่ง”หยวนชิงหลิงพูด “ท่านไม่ใช่ความผิดบาปแต่กำเนิด โรคนี้ต่างหากที่เป็นความผิดบาปแต่กำเนิด ท่านคือผู้รับความทุกข์ทรมาน ท่านคือเหยื่อ สำหรับหน้ากากนี้ จริง ๆ แล้วข้าสามารถถอดมันออกได้ ข้าอาจจะไม่ติดเชื้อ แต่
หยวนชิงหลิงหันตัวออก เดินไปได้สองก้าวก็หยุดอยู่นิ่ง หลังจากยืนอยู่นิ่งครู่หนึ่ง จู่ ๆ นางก็หันกลับมายกเก้าอี้ขึ้น แล้วทุ่มลงกับพื้นเสียงดังเก้าอี้กแตกกระจายเป็นเสี่ยง ๆ นัยต์ตาของนางแดงก่ำ นางพูดด้วยความโกรธเกรี้ยว “ท่านโกรธอะไร? ท่านมีเหตุผลอะไรให้โกรธ? ข้าโกรธไม่ได้ใช่ไหม? ข้าปรารถนาดีมารักษาโรคของท่าน หันกลับมาดูสีหน้าท่าน? รักษาท่านหาย ข้าก็ไม่ได้อะไร แต่ถ้ารักษาท่านไม่หาย เสด็จพ่อท่านยังไงต้องถามถึงความผิดของข้า ท่านคงไม่รู้สินะ ถ้าท่านตาย คนในจวนเท่าไหร่ที่ต้องลงโลงไปกับท่าน? ท่านมีมีสิทธิ์อะไรมาน้อยอกน้อยใจตอนนี้? ยาพวกนี้ราคาแพงแค่ไหน ถ้าท่านใช้เซลล์สมองทั้งหมดคิดท่านก็คิดไม่ถึง สำหรับท่านไม่ได้หายากเลย ผู้ป่วยมากมายข้างนอกที่รอยานี้ไปช่วงชีวิตล่ะ? ข้าขอเตือนท่านนะ นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ตราบใดที่ท่านยังกล้าอาเจียนคายยาออกมาอีก ข้าจะบีบคอท่านให้ตายทันที เท่านี้ท่านก็จะได้ไม่ทำให้ทุกคนรำคาญไม่มีความสุขอีก ท่านคือคนป่วย แต่ใจท่านไม่ได้ป่วย ด้านนอกพระชายาจี้พูดคำเดียวท่านถึงกับอยากตาย ท่านเชื่อคำพูดนาง คิดว่าทุกคนล้วนไม่หวังให้ท่านหาย แต่ท่านตาบอดรึไง? ไม่เห็นคนอื่นนอกจากพระ
กลุ่มคนรีบร้อนเข้ามาช่วยพยุง, ช่วยกดจุด, นวดขมับ, โบกพัดอยู่ครู่หนึ่ง สนมหลู่เฟยจึงค่อย ๆ ลุกขึ้นมา นางพยายามยืนตัวตรง แล้วชี้ไปทางพระชายาจี้ ตาของนางแดงก่ำ พร้อมกับมองด้วยสายตาที่แทบอยากฉีกเป็นชิ้น ๆ “ทำไมเจ้าถึงพูดกับเขาแบบนั้น? เขาเหลือความหวังอยู่เพียงน้อยนิด เจ้าต้องทำร้ายเขาให้ตายถึงจะพอใจใช่ไหม? เขาขวางทางตรงไหนของเจ้า? เขาเป็นแค่คนป่วย ครอบครัวข้าไม่เหลือใครแล้ว ไม่มีอำนาจไม่มีอิทธิพลที่จะมาขวางทางพวกเจ้าด้วย!”คำพูดนี้ของสนมหลู่เฟย เป็นการฉีกหน้าพวกคนเสแร้งใคร ๆ ล้วนก็รู้ว่าอ๋องจี้ทะเยอทะยานในตำแหน่งรัชทายาท เป็นคนเหมือนสนมหลู่เฟย แค่เสแสร้งทำเป็นไม่รู้ ส่วนพวกองค์หญิงอื่น ๆ ไม่จำเป็นต้องแสดงออกมาว่าฉลาดให้มันมากไปฉีกหน้าเสแสร้งของทุกคนทุกคนล้วนคิดว่าพระชายาจี้ต้องอับอายมากเป็นแน่แต่พระชายาจี้ไม่ได้มีความอาย นางเพียงแค่ยืนนิ่งเงียบงันอยู่ตรงนั้น มองพระสนมหลู่เฟย นางถอนหายใจออกกมา “พระสนมหลู่เฟย โบราณว่าไว้คำตักเตือนที่ดีมักขัดหู เจตนาดีของข้า ถ้าพระสนมหลู่เฟยไม่เข้าใจก็เท่านั้น ไม่กี่วันมานี้ข้าปรนิบัติรับใช้อยู่ที่จวนอ๋องหวย ถือว่าข้าคงหลงตัวเองคิดเข้าข้างตัวเองอยู่ฝ่
หยวนชิงหลิงวางมือ “ข้าเองก็จนปัญญาเพราะเพิ่งจะมีปากเสียงกับพระชายาจี้”อวี่เหวินหลิงกล่าว “ทะเลาะได้ดี ” นางเองก็ไม่ชอบพระชายาจี้องค์หญิงหลัวผิงส่ายหน้าถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “ประมาทเกินไปแล้ว พระชายาจี้เองก็ไม่ใช่คนดีอะไร วันนี้เจ้าทำนางขุ่นเคืองใจ ไม่รู้ว่านางจะจัดการเจ้ากับเจ้าห้าเยี่ยงไร”หยวนชิงหลิงคิดในใจ ถึงไม่มีเรื่องนี้ พวกเขาสองสามีภรรยาก็ไม่คิดปล่อยอวี่เหวินห่าวไปการลอบสังหารอวี่เหวินห่าวก่อนหน้านี้ ก็เป็นฝีมือของอ๋องจี้แต่ว่าเรื่องนี้ไม่เหมาะที่จะพูดออกไป นางจึงพูดกับองค์หญิงหลัวผิงว่า “เพลานี้ยังไงก็ได้ขุ่นเคืองใจกันไปแล้ว ที่สำคัญที่สุดคืออาการประชวรของอ๋องหวย รักษาอ๋องหวยก่อนแล้วค่อยว่ากัน”องค์หญิงหลัวผิงพยักหน้าเล็กน้อย “ก็มีเหตุผล งั้นก็จัดการเรื่องนี้กันก่อน แต่ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นจริง ๆ ข้าเองก็คงช่วยเจ้าไม่ได้”“ข้าช่วยเอง!” อวี่เหวินหลิงพูดด้วยความรู้สึกขุ่นเคืองต่อความไม่เป็นธรรมที่เกิดขึ้นนี้องค์หญิงหลัวผิงจิ้มบนหน้าผากนางลงไปเน้น ๆ “เจ้านะ ก็เงียบ ๆ ปากของเจ้าบ้าง จะได้ไม่นำภัยมาสู่ตัวโดยที่ไม่รู้”หยวนชิงหลิงรู้สึกว่าองค์หญิงหลัวผิงมีวิสัยทัศน์กว้างไกล
ซูยี่อยู่ในห้องของสุนัขป่าเช่นกัน เมื่อเห็นอวี่เหวินห่าวและหยวนชิงหลิงเข้ามา เขาพูดอย่างกังวล "องค์รัชทายาท พระชายา นายน้อยสุนัขป่าไม่กินอะไรเลย หาหมอหลวงดีไหมพ่ะย่ะค่ะ?"อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "เขารักษาอาการป่วยของสุนัขป่าไม่ได้ จะพาเขาไปทำไม?"เขาดูสุนัขป่าน้อยสามตัวนอนอยู่บนเตียงเล็ก ร่างเล็ก ๆ ของพวกมันเบียดเสียดกัน ดูเซื่องซึม บางทีอาจเป็นเพราะพวกมันไม่ได้กินอะไรจึงดูอ่อนแอและซูบผอมเป็นพิเศษ อวี่เหวินห่าวพูดด้วยความประหลาดใจว่า "ผอมลงมากขนาดนี้เลยรึ? สุนัขป่าคงหิวมากแน่ ๆ""สุนัขป่าที่โตเต็มวัย เวลาหิวนั้นกินอาหารหนึ่งมื้อสามารถอยู่ได้นานถึงครึ่งเดือน ตอนนี้พวกมันยังเด็กและต้องกินเนื้อ" ซูยี่เลี้ยงสุนัขป่า และได้ศึกษาการเลี้ยงมามากมายอวี่เหวินห่าวหยิบหนึ่งในนั้นขึ้นมา เห็นสุนัขป่าหิมะตัวน้อยนอนนิ่งอยู่ในมือของเขาเหมือนก้อนสำลีเบาหวิวไม่มีน้ำหนัก "ตัวนี้ของใครกัน?""ของเสี่ยวลั่วหมี่" หยวนชิงหลิงกล่าว "ตัวเล็กที่สุดคือของเสี่ยวลั่วหมี่ ท่านดูสิแยกออกได้เลยเห็นไหม ของ เปาจื่อปากจะแหลมมาก ของทังหยวนก็หน้ากลมกว่า มันแปลกที่จะบอกว่าสุนัขป่าพวกนี้ ทั้งลักษณะนิสัยหรือรูปร่างหน้าตา พว
อวี่เหวินห่าวไม่ได้อธิบายอะไรแทนจิ้งถิง เขาแค่พูดว่า "เขาจะอยู่ในจวนสักพัก ดังนั้นเจ้าควรเปิดตาของเจ้าดูสิว่าเขาจริงใจหรือเสเเสร้ง เจ้าฉลาดมากขนาดนี้ ย่อมต้องดูออกอยู่แล้ว”หยวนชิงหลิงได้ยินถึงความไม่พอใจในน้ำเสียงของเขา ดูเหมือนว่าเขาใส่ใจมิตรภาพนี้จริง ๆหยวนชิงหลิงลองคิดดูแล้ว หลังจากใช้เวลาร่วมกับจวิ้นจู่มาสองสามวัน จวิ้นจู่ก็เป็นคนตรงไปตรงมาและเปิดเผย ดังนั้นนางคงไม่หาสามีที่มีจิตใจล้ำลึกซับซ้อนหรอกนางจึงขอโทษเขา "ข้าคิดมากไป ในอนาคตข้าจะไม่พูดอะไรแบบนี้อีก"อวี่เหวินห่าวเอื้อมมือไปเชยคางนาง และมองหน้านาง "เหล่าหยวน ข้าเองก็เห็นว่านิสัยของเจ้าช่างเถรตรงจริง ๆ แม้ว่าบางครั้งเจ้าจะดุร้าย เผด็จการ และไม่มีเหตุผล แต่ถ้าเจ้าทำอะไรผิด เจ้าจะต้องขอโทษอย่างแน่นอน เกรงว่าแม้จะเป็นคนรับใช้ก็ยังกล่าวคำขอโทษได้ เจ้านี่นิสัยดี ใช้ได้จริง ๆ"“ข้าเป็นคนไร้เหตุผลตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” หยวนชิงหลิงหัวเราะ “ท่านจะชมข้าก็ชมสิ ทำไมต้องดุกันก่อน”อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "รางวัลและบทลงโทษต้องแยกให้ออกจากกันอย่างชัดเจน หากเจ้าทำสิ่งที่ถูกต้อง เจ้าควรได้รับคำชมเชย หากเจ้าทำอะไรผิด ก็ต้องบอกกล่าวตักเตือ
เขากลับมาที่จวนอย่างไม่สบอารมณ์ หยวนชิงหลิงเห็นว่าเขาขมวดคิ้ว นางรู้ว่าเป็นเพราะเรื่องลงนามพันธมิตรอีกเป็นแน่ ดังนั้นนางจึงปลอบเขาอวี่เหวินห่าวพูดด้วยความโกรธ "เสด็จพ่อจงใจทำให้ข้าลำบาก จูกั๋วกงเห็นด้วยหรือไม่นั้นเป็นเรื่องสำคัญขนาดนั้นเลยรึอย่างไร?"หยวนชิงหลิงหัวเราะ "ท่านอยู่ในเกมและกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเกินไป จึงไม่เข้าใจความหมายของเสด็จพ่อ เสด็จพ่อต้องการให้ท่านเอาแรงสนับสนุนจากจูกั๋วกงมาให้ได้ ไม่ใช่แค่แรงสนับสนุนเรื่องนี้เท่านั้น แต่มันจะเป็นแรงสนับสนุนงานในอนาคตทั้งหมดของท่าน เพราะตอนนี้เขาเป็นคนที่สามารถปราบปรามตี้เว่ยหมิงอย่างออกหน้าได้ นั้นก็คือตัวเขาที่เป็นพ่อตา”อวี่เหวินห่าวตกตะลึงไปครู่หนึ่ง "เจ้าหมายความว่า เสด็จพ่อก็มองตี้เว่ยหมิงออกด้วยหรือ?"หยวนชิงหลิงยืนพิงเขา "เสด็จพ่อย่อมต้องรู้มากกว่าท่านอยู่แล้ว เหมือนที่ท่านเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ว่าพระองค์ลำเอียงเข้าข้างพี่ใหญ่เสมอ จริง ๆ แล้วพระองค์ทรงรู้อยู่แก่ใจ พระองค์แค่ให้โอกาสพี่ใหญ่เสมอ แต่เมื่อเจอโอกาสที่เหมาะสม ก็ควรจัดการไม่ใช่หรอกหรือ? ความคิดของพระองค์ชัดเจนอยู่แล้ว ดังนั้นจงทำตามที่พระองค์ต้องการเถอะ จัดก
พระชายาจี้พูดจบก็กลับไปนั่งลงบนเก้าอี้เก้าอี้ที่นางนั่งนั้นใหญ่มาก แต่นางผอมมากเนื่องจากป่วยมาเป็นเวลานาน เก้าอี้นั้นยังมีพื้นที่เหลืออีกมาก ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนนั้นนั่งบนเก้าอี้กว้างตัวใหญ่ประจัญหน้ากับพวกขุนนางกว่าสิบคนที่อยู่ตรงนั้นแม่ทัพซุยไม่กล้าพูดอะไรอีกต่อไป ความโกรธบนใบหน้าของเขาก็ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัวคนที่เหลือก็เงียบและก้มหน้าเช่นกันพระชายาจี้รออยู่สักพัก ก่อนที่จะกล่าวอย่างใจเย็นว่า "องค์รัชทายาทคือผู้กำหนดชะตา ถ้าเจ้าปฏิบัติตามให้ดี เจ้าจะมีชีวิตอยู่อย่างมั่งคั่งและมั่งคั่งในภายภาคหน้า วันนี้ข้าพูดได้เพียงเท่านี้ ทุกคนไปเถอะ รักษาตัวด้วย"หลังจากพูดจบ นางก็ยืนขึ้น และเดินออกไปโดยเอามือไพล่หลัง แผ่นหลังบาง ๆ ของนางตั้งตรงดูยิ่งใหญ่ราวกับว่าสามารถแบกท้องฟ้าได้ครึ่งหนึ่งแรงสนับสนุนของอวี่เหวินห่าวสูงขึ้นเรื่อย ๆอย่างไรก็ตาม มีคน ๆ หนึ่งที่มีความคิดเห็นเป็นปฏิปักษ์อยู่เสมอ ถึงกับตำหนิเขาตรง ๆ ต่อหน้าท้องพระโรงทำให้บรรยากาศของวันนั้นแย่เป็นอย่างยิ่ง แม้แต่จักรพรรดิหมิงหยวนก็ยังกริ้วจนหน้าดำจูกั๋วกงคนนี้คือ จูหรูเพ่ย เป็นพ่อตาของตี้เว่ยหมิงเมื่อก่อน
มีแม่ทัพแซ่ซุยอยู่ที่นี่ ซึ่งเคยอยู่กับตี้เว่ยหมิงมาก่อน และตี้เว่ยหมิงได้ติดต่อเขาแล้ว เมื่อได้ยินสิ่งที่พระชายาจี้พูด เขาพูดอย่างเฉยเมยว่า "ข้อเสนอขององค์รัชทายาทที่จะจัดตั้งพันธมิตรกับต้าโจว ไม่ต่างอะไรไปกว่าการกระทำของคนขี้ขลาด คิดว่าด้วยการสนับสนุนของต้าโจว เป่ยถังของเราจะสามารถดำรงอยู่ได้อย่างสงบสุขรึ และเช่นกันด้วยวิธีนี้ เป่ยถังของเราจะต้องมองสีหน้าท่าทีของต้าโจวในทุก ๆ เรื่องงั้นหรือ? นี่คิดว่ามันคงไม่เหมาะกระมั่ง”พระชายาจี้มองเขา น้ำเสียงของนางเย็นชาเล็กน้อย “แม่ทัพซุย แม้ว่าข้าจะเป็นผู้หญิง แต่ข้าก็รู้ด้วยว่าสิ่งที่องค์รัชทายาทเสนอเป็นพันธมิตร มิใช่การยอมจำนน ทำไมเจ้าต้องสังเกตสีหน้าท่าทางต้าโจวทุกอย่างด้วย?”แม่ทัพซุยพูดอย่างแข็งกร้าว "พระชายาคงไม่เข้าใจสินะ? เมื่อพันธมิตรถูกจัดตั้งขึ้น ก็จะมีข้อจำกัดซึ่งกันและกัน ข้อจำกัดทางทหารไม่ใช่เรื่องที่ดี"พระชายาจี้ถึงกับขำ แววตาของนางดูเย็นชาขึ้นมา "จริงหรือ? แล้วทำไมข้าถึงได้ยินว่าสนธิสัญญานี้หมายถึงการไม่รุกรานกัน? หรือว่าแม่ทัพซุยมีความคิดที่จะรุกรานแคว้นอื่น"แม่ทัพซุยตกตะลึง "นี่...ข้าย่อมไม่มีอยู่แล้ว"“ในเมื่อไม่มี เจ
หยวนชิงหลิงไม่สบายใจ อย่างไรก็ตาม เสี่ยวลั่วหมี่ยังมีไข้อยู่นางยิ้มและพูดว่า "เสด็จย่า พวกเขาอาจจะงอแง เกรงว่าจะทำให้พระองค์ทรงเหนื่อยได้เพคะ"ไทเฮาทรงมีสีพระพักตร์นิ่งเฉย และตรัสอย่างไม่พอใจว่า “เกรงว่าคนแก่อย่างข้าจะอ่อนล้า หรือไม่วางใจให้ข้าดูแลพวกเขากัน? กลัวว่าพวกเขาอยู่กับข้าแล้วจะดูแลไม่ดี ไม่มีนมให้กินอย่างนั้นรึ” หยวนชิงหลิงยิ้มและพูดว่า "ดูพระองค์พูดสิเพคะ พระองค์จะปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างเลวร้ายได้อย่างไร? พระองค์ออกจะรักเหมือนเป็นหัวแก้วหัวแหวน... "“บุ้ย ๆ ๆ หัวแก้วหัวแหวนอะไรกัน ไม่ใช่ลูกสาวสักหน่อย แต่เป็นทองคำต่างหาก ทองคำของข้า” ไทเฮาทรงตรัสแปลก ๆ ขณะอุ้มเสี่ยวลั่วหมี่ไว้นางเงยหน้าขึ้นและมองไปที่หยวนชิงหลิงและพูดอย่างเย็นชาว่า "อย่าพูดไร้สาระ แค่อยู่ในวังสักสองสามวัน ไว้หายดีแล้วค่อยให้เจ้ามารับไป หากยังกังวลใจ ให้ไปหาไท่ซ่างหวงให้รับรองให้เจ้าเถอะ”หยวนชิงหลิงได้ยินว่านางถึงกับยกไท่ซ่างหวงออกมาแบบนี้ นางจะกล้าปฏิเสธได้อย่างไร นางจึงจำใจต้องส่งลูกที่เพิ่งครบเดือนให้ห่างอกนางเท่านั้นอย่างไรก็ตาม เมื่อนึกถึงเรื่องการจัดตั้งโรงเรียนแพทย์ ทุกวันนี้นางก็แทบไม่มีเวลา
ในเมื่อเสด็จพ่อเห็นด้วย จะให้เขามาหารือกับเหล่าขุนนางเพื่อเรียกแรงสนับสนุน แล้วทำไมเขาต้องไปหาเสียงเห็นชอบด้วยจักรพรรดิหมิงหยวนมองเขาอย่างแฝงความนัย เขายังเด็กเกินไปจริง ๆ "ไปซะ"อวี่เหวินห่าวออกไปคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ และทันใดนั้นก็ตระหนักได้ว่า มันยังเป็นความเคลื่อนไหวอันเฉียบแหลมของเสด็จพ่อ ที่ไม่ได้แสดงจุดยืนของพระองค์ออกมา และเฝ้าดูความเคลื่อนไหวของเหล่าขุนนางอย่างเงียบ ๆ หากพระองค์แสดงจุดยืนออกมา หลายคนจะเอียนเอียงคล้อยตามพระองค์ทันที ถ้าพระองค์ไม่พูดอะไร พระองค์ก็จะรู้ความคิดทุกคนจริง ๆ ว่าใครอยู่ข้างตี้เว่ยหมิงอย่างไรก็ตาม หลังจากที่เขาจากไป จักรพรรดิหมิงหยวนก็คิดว่าเรื่องนี้มีข้อดีมากมาย แต่ก็มีข้อเสียเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยเช่นกัน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้นักประวัติศาสตร์ในอนาคตเขียนส่งเดชให้เขาเป็นแพะรับบาป การแสร้งทำเป็นบีบบังคับให้ทำในสิ่งที่ไม่น่าทำได้น่าจะเป็นการดีกว่าเขากำลังกินหมานโถ่วและกังวลใจเกี่ยวกับเสี่ยวลั่วหมี่วันนี้เสี่ยวลั่วหมี่มีไข้ อันที่จริงไม่ใช่แค่เสี่ยวลั่วหมี่ แต่เด็กทั้งสามคนมีอาการไอเล็กน้อยเพียงแต่ร่างกายของเสี่ยวลั่วหมี่นั้นไม่ค่อยแข็งแรง เขาจึงมี
หลังจากเลิกว่าราชกิจแล้ว อวี่เหวินห่าวก็ไม่ย่อมไม่พอใจ ดังนั้นเขาจึงไปหอตำราหลวงหาจักรพรรดิหมิงหยวนจักรพรรดิหมิงหยวนมักจะกินอาหารเช้าหลังจากเลิกว่าราชกิจในยามเช้า มีโจ๊กและหมานโถ่วอยู่ในห้องทำงานของจักรพรรดิ หลังจากกินโจ๊กชามหนึ่ง ก็พูดอย่างเรียบเฉยว่า"เป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่าเจ้ากับแม่ทัพเฉินแห่งต้าโจว? ถึงเป็นเหตุผลให้เจ้าวิ่งเต้นขนาดนี้?”อวี่เหวินห่าวไม่ได้กินอาหารเช้าเช่นกัน และตอนนี้เขาหิวมาก เมื่อเห็นว่าเขาหยุดกินโจ๊กแล้ว เขาคิดว่าเขาไม่เอาหมานโถ่วแล้ว จึงเอื้อมมือไปหยิบหมานโถ่ว “ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อม..."จักรพรรดิหมิงหยวนหยิบตะเกียบขึ้นมาและชี้ไปที่เขา "วางลงซะ!"อวี่เหวินห่าวถึงกับอ้าปากค้าง เมื่อเห็นสายตาพ่อตัวเองเป็นประกายเช่นนั้น เขาแอบบ่นว่าขี้งกและวางหมานโถ่วกลับที่เดิมจักรพรรดิหมิงหยวนหยิบหมานโถ่วขึ้นมาเช็ด จากนั้นค่อย ๆ ปอกลอกเปลือกนอกออกและกินมัน โดยทิ้งอวี่เหวินห่าวที่อยู่ข้าง ๆอวี่เหวินห่าวพูดอย่างเศร้าใจ "กระหม่อมก็หิวเหมือนกัน เมื่อเช้านี้ตื่นมา แม่นมบอกว่าเสี่ยวลั่วหมี่ตัวร้อนเล็กน้อย กระหม่อมจึงรีบไปดูก่อน ไม่ได้สนใจที่จะกินอาหารเช้า"เมื่อได้ยินว
เขาพูดเสียงดังในท้องพระโรง "เป่ยโม่และเสียนเป่ยเป็นดั่งหมาป่าทะเยอทะยาน พวกเขาจับตามองเป่ยถังมานานแล้ว แต่เป็นเพราะทหารม้าที่แข็งแกร่งของเป่ยถั งและเหล่ายอดนักรบจึงขับไล่พวกเขากลับไปได้เป็นการชั่วคราว แต่ไม่มีอะไรมารับประกันได้ว่าพวกเขาจะไม่กลับมารุกรานอีกตอนนี้ต้าโจวได้พัฒนาอาวุธและรถออกศึกได้ หากทั้งสองแคว้นเป็นพันธมิตรกัน ต้าโจวสามารถช่วยเป่ยถังปรับปรุงอาวุธและยุทโทปกรณ์ ซึ่งสามารถเสริมสร้างการป้องกันทางทหารของเป่ยถังได้ และร่วมกับการพัฒนาเศรษฐกิจ นี่เป็นประโยชน์ระยะยาวสำหรับเป่ยถัง รัชทายาททรงมีพระวินิจฉัยที่ลึกซึ้ง นั่นเป็นผลดีต่อราษฏร และเขายังคิดถึงระยะยาวสำหรับเป่ยถัง ส่วนแม่ทัพตี้เว่ยหมิงที่เจตนาพูดจาให้คนอื่นตกใจนั้นก็มีส่วนต้องรับผิดชอบด้วย ว่าไปแล้วเป่ยถังไม่ได้ไปรุกรานโม่เป่ยกับเสียนเป่ย หากพวกเขาไปรุกรานต้าโจว มีหรือจะปล่อยเป่ยถังไว้? หรือถึงตอนนั้นต้องยกแคว้นให้เพื่อสงบศึกกัน? "ในตอนนั้นเป่ยถังพ่ายแพ้ให้กับเป่ยโม่ ถูกทหารสามหมื่นนายล้อมไว้ ในท้ายที่สุด แม่ทัพตี้เว่ยหมิงถูกส่งไปเจรจาสงบศึก ยกเมืองที่เป่ยโม่ต้องการถึงจะยอมถอยทัพนี่เป็นความอัปยศอดสูของเป่ยถังเสมอ และม