อวี่ เหวินห่าวพูดตอบอย่างเฉยชาว่า “ถ้าเจ้าไม่เชื่อ เจ้าก็ลองเอากล่องนี้เข้าวัง ข้าจะดูว่าหัวของเจ้าจะวางบนคอเจ้าได้อย่างปลอดภัยไหม?”ที่จริงแล้ว หยวน ชิงหลิงไม่เคยคิดเลยว่าการเป็นพระชายาในยุคสมัยโบราณ จะเป็นงานที่อันตรายเช่นนี้ ในประวัติศาสตร์ พวกพระชายาทั้งหลายไม่ใช่ว่าใช้ชีวิตอยู่อย่างสงบสุขร่ำรวยหรือ? ทำไมเธอช่างน่าอเนจอนาถถึงเพียงนี้?ย้อนอดีตมาไม่ถึงครึ่งเดือน เธอรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะเป็นบ้าให้มันรู้แล้วรู้รอดอย่างไรเสีย เมื่อนึกถึงความตาย ชั่วขณะเดียวนั้นในใจเธอก็รู้สึกท้อแท้ขึ้นมา เธอยกกล่องยาขึ้น กล่องยาหดจนเหลือขนาดเล็กเธอเก็บกล่องนั้นใส่แขนเสื้อ แล้วเงยหน้ามอง “ข้ายอมหักไม่ยอมงอ ภายหลังถ้าท่านรังแกข้า ข้าจะบีบท่านให้ตายเลย”กล่องยาที่เล็กลงนั้นทำให้ อวี่ เหวินห่าวตกใจอีกครั้ง เขาสัมผัสคำพูดของนางดูเย่อหยิ่ง รู้สึกไม่ค่อยน่าโกรธ “เจ้าเอามีดหั่นผักมาไล่ฟันคนอื่น ฟันคนอื่นก็ไม่ได้ ยังกล้ามาขู่ข้า? เจ้านี่หน้าไม่อายเลยหรือ?”“ไม่อาย ข้ามีอะไรต้องอายอีก หน้าไม่อาย ไร้อารยะ ไร้ศีลธรรม สรุปคือถ้าข้าตายหัวหลุดจากบ่า ท่านเองต้องเป็นคนแรกที่จะซวยก่อนใคร” อวี่ เหวินห่าวรู้ส
แน่นอนว่า หยวน ชิงหลิงไม่รู้ว่าในใจเขาคิดอะไรอยู่ แต่ก็คิดว่าเขาเองก็ไม่ได้ไร้จริยธรรมไปซะทีเดียว มองดูจากรูปการณ์แล้ว เขาแต่งกับฉู่หมิงหยางก็ไม่ได้ทำให้เขาเสียหาย แต่เขาเอง ก็ไม่ได้อยากทำลายทั้งชั่วชีวิตของฉู่หมิงหยางไป ดังนั้นถือว่าเหมือนสละอำนาจวาสนาที่ยิ่งใหญ่ทิ้งในตอนนี้ก็ไม่ถือว่าเป็นผู้ชายเลวร้าย แต่ก็เป็นผู้ชายที่ชอบใช้ความรุนแรงในบ้าน “หายกัน ตกลงไหม?” อวี่ เหวินห่าวมอง หยวน ชิงหลิงแล้วถามนางน้ำเสียงของเขาให้ความรู้สึกดีมาก ไม่มีการแสดงอำนาจยกตนข่มกัน หยวน ชิงหลิงมองไปที่ อวี่ เหวินห่าวด้วยความจริงใจเธอในตอนนี้เต็มไปด้วยศัตรูรอบด้าน ตอนนี้เธอไม่จำเป็นต้องสู้รบกับ อวี่ เหวินห่าวอีก เธอจับหน้าตัวเองตั้งสติปรับสายตามอง อวี่ เหวินห่าวชัดแล้วพูดกับเขาอย่างจริงจังว่า “คืนดีก็ได้ แต่ข้ามีเงื่อนไข”“ว่ามา!” อวี่ เหวินห่าวพูดออกมาอย่างง่าย ๆ สบาย ๆ“ข้อแรก อย่าลงไม้ลงมือทำร้ายข้า”“ตกลง!”“ข้อสอง อย่าเอาข้าไปเป็นโล่รับหน้าเรื่องการแต่งสนมอีก ถ้าเรื่องนี้ทางนั้นยังคงต้องการ”อวี่ เหวินห่าวคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ตกลง!”“ข้อสาม อย่ามาก้าวก่ายในอิสระของข้า”“นั่นมันก็ได้” เขาเองก
ที่จริงสองสามวันมานี้ หยวน ชิงหลิงเองก็คิดถึงเรื่องของกล่องยานี้ กล่องยาจะใหญ่จะเล็กขึ้นอยู่กับความคิดของเธอ คงพูดได้ว่าเป็นการสั่งการทางจิต เธอในยุคปัจจุบันได้ตายไปแล้ว เพราะเธอฉีดยากระตุ้นพัฒนาสมองให้ตัวเองตอนทดลองยาตัวนี้ ทดลองฉีดกับลิงแล้วพบว่าลิงสามารถฟังภาษามนุษย์เข้าใจได้ ในระหว่างการค้นคว้าเพิ่มเติม เพราะลิงตัวนี้ไปขโมยกินไวน์นำเข้าที่ส่งมาให้ผู้อำนวยการ เมาแล้ววิ่งออกไปถูกรถชนตาย เธอกล้าสรุปได้เลยว่า สมองของเธอเองอาจพัฒนาจนไปถึงขั้นเป็นจิตวิญญาณ ที่หลุดมาในอยู่ในยุคนี้ เรื่องนี้ยังคงต้องศึกษาสังเกตุการณ์ต่อไปแน่นอนอย่างไรก็ตามก็ไม่มีกรณีศึกษาให้ได้ศึกษา และไม่มีแผนสังเกตการณ์ อีกทั้งยุคนี้การใช้ชีวิตมันยุ่งยากซับซ้อน ความเป็นตายเท่ากันเจ้ากล่องยาที่น่าประหาดใจนี่ ทำให้ทั้งคู่เลิกโต้เถียงกันไม่ว่าอย่างไรก็ตาม บรรยากาศจวนอ๋องฉู่กลับรู้สึกกลมกลืนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน สามีภรรยาคู่นี้ได้ร่วมโต๊ะทานอาหารด้วยกันเป็นครั้งแรกบรรยากาศกลมกลืนรื่นรมย์เช่นนี้ แต่บรรยากาศที่จวนฉู่กลับดุเดือดเสียเหลือเกินวันนี้ พระชายาฉีกลับบ้านแม่ อ๋องฉีออกไปธุระโดยไม่มีผู้ติดตาม ฉู่โซ่วฝ
ใบหน้าโกรธเกรี้ยวของฉู่โซ่วฝูค่อย ๆ จางหายไป เขานั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวประธานของห้องนี้ สีหน้าดูมืดมน “นี่จะเป็นโอกาสสุดท้ายของเจ้า ถ้าเจ้าไม่พูด เจ้าก็เตรียมตัวกระเด็นออกจากตำแหน่งพระชายาฉีของเจ้าไปได้เลย ในตระกูลฉู่ยังมีคุณหนูที่เชื่อฟังข้าอีก”“ท่านปู่ฟังหลานก่อน หลานไม่ได้ตั้งใจ” นางร้องไห้สะอึกสะอื้น น้ำตาที่ไหลออกจากหางตา ดูแล้วน่าสงสารอย่างบอกไม่ถูก ใครเห็นก็คงไม่อาจทำใจแข็งอยู่ได้ช่างน่าเสียดาย ฉู่โซ่วฝูไม่รู้สึกเช่นนั้นเลย เขาไม่เคยเชื่อน้ำตานางอยู่แล้ว “เก็บน้ำตาเจ้าไว้ แล้วไสหัวออกไปซะ!” ฉู่โซ่วฝูพูดไล่อย่างเย็นชาฉู่ หมิงชุ่ยแสดงสีหน้าหวาดกลัวและเสียใจออกมา และรีบพูดกับท่านปู่ “ท่านปู่ ข้าผิดไปแล้ว ข้าผิดเอง ข้าไม่ควรใช้ประโยชน์จากมิตรภาพของท่านกับนางข้าหลวงสี่ เรื่องนี้หลานเป็นคนสั่งให้นางวางยาไท่ซ่างหวงเอง หลานแค่กลัวว่าไท่ซ่างหวงดีขึ้น อ๋องฉู่ได้ขึ้นมามีอำนาจอีกครั้ง หลานก็แค่คิดถึงสถานการณ์โดยรวมเท่านั้น”“เจ้ารู้ความสัมพันธ์ของนางข้าหลวงสี่กับข้าได้อย่างไร?” ฉู่โซ่วฝูพูดด้วยน้ำเสียงดำมืดและเย็นชา ทุกคนในนี้ตกลงในบรรยากาศดำมืดเย็นยะเยือกฉู่ หมิงชุ่ยไม่เคยเจอสีหน้า
คน ๆ นั้นเป็นชายชรารูปร่างสูงโปร่ง ใบหน้าผอมเรียว เมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาก็หลุบตาลง “เช่นนั้นพระชายาล่ะขอรับ?”“นางเป็นคนฉลาด นางจะหุบปากแน่น เมื่อได้เห็นจุดจบของย่านาง” ฉู่โซ่วฝูหลับตาข่มความโกรธและรังสีอมหิตในแววตาตัวเอง ฉู่ หมิงชุ่ยออกจากห้องหนังสือ ก็ไม่ได้ออกไปทันที แต่นางไปหาน้องสาวฉู่หมิงหยางที่เรือนของนางเมื่อต้นปีที่ผ่านมาฉู่หมิงหยางอายุครบสิบห้าปีพึ่งผ่านพิธีปักปิ่นไป มีส่วนละม้ายคล้ายฉู่หมิงชุ่ยมากนัก แต่ฉู่หมิงหยางมีความเหย่อหยิ่งมากกว่า ต่างจากฉู่หมิงชุ่ยที่นิ่งสงบและอดทนมากกว่ามากตอนที่ฉู่หมิงหยางเกิด ท่านปู่ที่เพิ่งหายป่วย รีบลุกขึ้นมาดูหลาน ดังนั้น ตั้งแต่เด็กฉู่หมิงหยางเป็นที่รักใคร่โปรดปรานไม่น้อยไปกว่าลูกชาย ที่เกิดจากภรรยาเอกในจวนเลยฉู่ หมิงชุ่ยนึกสงสัย จริง ๆ แล้วท่านปู่ตั้งแต่เริ่มก็ไม่คิดให้น้องสาวไปแต่งเป็นพระชายารอง ถ้าน้องสาวแต่งเข้าจวนอ๋องฉู่ ไม่ช้าหรือเร็ว น้องสาวนางต้องได้ตำแหน่งพระชายารองมาอยู่ในมือแน่ดังนั้น นางไม่สามารถให้ฉู่หมิงหยางแต่งมาเป็นพระชายารองอ๋องฉีได้ นั้นคือภัยคุกคามต่อตำแหน่งพระชายาของนาง ท่านปู่ใช้งานนางเพราะนางสงบเสงี่ยม ถ้าตอนน
ฉู่หมิงหยางรู้สึกโศกเศร้า “วันก่อนท่านแม่พูดให้ข้าแต่งกับอ๋องฉู่ แต่ข้าไม่อยากแต่งกับอ๋องฉู่ และไม่อยากแต่งเป็นพระชายารอง ข้าไม่อยากแต่ง”ฉู่ หมิงชุ่ยกระพริบตาแล้วพูดต่อไปว่า “อ๋องฉู่ไม่เป็นไรหรอก ไทเฮาเองก็ไม่กล่าวอะไรสร้างความยากลำบากให้พระชายาฉู่ พระมารดาของอ๋องฉู่ พระสนมเสียนเฟยเองก็เป็นหลานของไทเฮา ในความสัมพันธ์นี้ ไทเฮาใจกว้างต่อคนในจวนอ๋องฉู่มากนัก เจ้าดูพระชายาฉู่สิ หลังจากแต่งงานแล้ว เข้าไปถวายพระพรในวังน้อยมาก ไทเฮาเองไม่ได้พูดอะไร”“อ๋องฉู่...” ภาพชายหนุ่มรูปงามที่ปรากฏในความทรงจำของฉู่หมิงหยาง ครั้งสุดท้ายที่เห็นเขา ที่ประตูเมือง ตอนนั้นเขากลับมาอย่างผู้มีชัย ขี่ม้าศึกตัวสูงใหญ่ สวมชุดเกราะทองคำ ช่างสง่างามยิ่งนักที่จริงนางก็รู้จักอ๋องฉู่มาตั้งแต่เด็ก เขามาที่จวนนี้บ่อย ๆ แต่ใคร ๆ ก็รู้ว่าเขามาพบพี่สาวนางพูดตอบอย่างเรียบไปว่า “ข้าไม่ตกลงแต่งกับอ๋องฉู่”ฉู่ หมิงชุ่ยตกใจ “ทำไมหรือ?” ที่จริงนางรู้ความในใจของน้องสาวนาง ย้อนไปตอนที่อ๋องฉู่มาหา น้องก็จะแอบมองจากหลังประตูเสมอ“เขาแต่งกับลูกสาวตระกูลหยวน เขาแต่งกับ หยวน ชิงหลิงผู้หญิงพรรค์นั้น ข้ารับไม่ได้” ฉู่หมิงหยางพูดต
พูดไม่ได้? ฉู่หมิงชุ่ยมีอาการราวกับปีศาจ ร้องไห้อยู่แล้วจู่ ๆ ก็หัวเราะขึ้นมา “โหดร้ายเกินไป โหดร้ายเกินไป” อ๋องฉีมองเธอด้วยความสงสัย “เกิดอะไรขึ้น? ใครโหดร้าย?”ฉู่หมิงชุ่ยคิดถึงดวงตาที่เย็นชาของท่านปู่ และก็คิดถึงความชั่วร้ายของเขา เป็นภรรยามาหลายปี แค่พูดจาไม่ดีเกี่ยวกับนางข้าหลวงสี่ ในที่สุดก็ต้องทนพิษจากการเป็นใบ้ทันใดนั้นนางก็รู้สึกกลัวมาก ขดตัวอยู่ในอ้อมแขนของอ๋องฉี นางก็ร้องไห้ “ท่านย่าแก่มากแล้ว เจอเรื่องไม่คาดคิดอย่างนี้ ใจจืดใจดำจริง ๆ” อ๋องฉีลูบผมของนางเพื่อปลอบนาง “ข้าถามมาแล้ว เป็นเด็กรับใช้ในจวนจงใจใช้ยาชูกำลังทำเป็นซุป และนำไปให้ท่านย่าเจ้า ไม่มีการตอบสนองร่างกายของท่านย่าเจ้า ทำให้สูญเสียเสียง วันหลังข้าจะเชิญหมอหลวงมาทำการตรวจรักษา ไม่ต้องห่วง” ในใจฉู่หมิงชุ่ยดุด่าอ๋องฉีสำหรับความโง่เขลา คำแก้ตัวที่ไร้สาระอย่างนี้เขาก็เชื่อหมด คนที่ไร้เดียงสาและโง่เขลาเช่นนี้ ในอนาคตจะให้นางพึ่งพาได้อย่างไร? อีกทั้งยังจะยึดอำนาจตำแหน่งองค์รัชทายาทได้หรือไม่? เป็นครั้งแรกที่ฉู่หมิงชุ่ยรู้สึกว่านางอาจจะเลือกคนผิดแล้ว ถ้าเป็นพี่ห่าว เกรงว่าเขาจะรู้แจ้งด้วยสัญชาตญาณความไม
วันนี้หมอหลวงเฉ่ายังคงมารักษาบาดแผลให้อวี่เหวินห่าวเหมือนเดิม ถามว่าจะจัดการกับไหมเส้นนี้อย่างไร ถังหยางสั่งให้คนไปเชิญหยวนชิงหลิงมาที่นี่ หยวนชิงหลิงพูดกับหมอหลวงเฉ่าว่า “นี่เป็นเส้นไหมไข่ขาวซึ่งร่างกายมนุษย์สามารถดูดซึมได้และไม่จำเป็นต้องตัดออก” “ไข่ขาวสามารถทำเป็นเส้นไหม น่าทึ่งมาก น่าทึ่งมาก!” หมอหลวงเฉ่าอุทานชื่นชม อวี่เหวินห่าวรู้สึกหดหู่ใจมาก “ถ้าอย่างนั้น ต่อไปข้าคงต้องอยู่ร่วมกันและตายร่วมกันกับเส้นไหมเหล่านี้หรือไม่?” “ใช่สิ เส้นไหมอยู่คนก็อยู่ เส้นไหมสลายคนก็สลาย” หยวนชิงหลิงยิ้มเยาะเย้ยในช่วงสองวันที่ผ่านมา เขาและเธอเข้ากันได้ค่อนข้างดี เพราอย่างนี้บางครั้งก็มีเสียดสีกันบ้าง ซูยี่นับถือทักษะทางการแพทย์ของหมอหลวงเป็นอย่างมาก และใช้ประโยชน์จากการรักษาบาดแผลของท่านอ๋อง รีบเข้าไปเพื่อขอคำแนะนำ “หมอหลวง ช่วงนี้ข้ารู้สึกไม่สบาย ท่านช่วยดูให้ข้าหน่อยได้ไหม? “องครักษ์ซูรู้สึกไม่สบายตรงไหน?” หมอหลวงเฉ่าเข้าถึงคนง่าย ไม่ได้ดูถูกซูยี่ในฐานะองครักษ์จวนอ๋อง “ช่วงนี้ข้าง่วงนอนตลอดเวลา, สมองค่อนข้างสับสน, ข้ามักจะผายลมที่มีกลิ่นเหม็นมาก, กลิ่นปากก็เหม็น, ผมมักจะมัน และมีตุ
ซูยี่อยู่ในห้องของสุนัขป่าเช่นกัน เมื่อเห็นอวี่เหวินห่าวและหยวนชิงหลิงเข้ามา เขาพูดอย่างกังวล "องค์รัชทายาท พระชายา นายน้อยสุนัขป่าไม่กินอะไรเลย หาหมอหลวงดีไหมพ่ะย่ะค่ะ?"อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "เขารักษาอาการป่วยของสุนัขป่าไม่ได้ จะพาเขาไปทำไม?"เขาดูสุนัขป่าน้อยสามตัวนอนอยู่บนเตียงเล็ก ร่างเล็ก ๆ ของพวกมันเบียดเสียดกัน ดูเซื่องซึม บางทีอาจเป็นเพราะพวกมันไม่ได้กินอะไรจึงดูอ่อนแอและซูบผอมเป็นพิเศษ อวี่เหวินห่าวพูดด้วยความประหลาดใจว่า "ผอมลงมากขนาดนี้เลยรึ? สุนัขป่าคงหิวมากแน่ ๆ""สุนัขป่าที่โตเต็มวัย เวลาหิวนั้นกินอาหารหนึ่งมื้อสามารถอยู่ได้นานถึงครึ่งเดือน ตอนนี้พวกมันยังเด็กและต้องกินเนื้อ" ซูยี่เลี้ยงสุนัขป่า และได้ศึกษาการเลี้ยงมามากมายอวี่เหวินห่าวหยิบหนึ่งในนั้นขึ้นมา เห็นสุนัขป่าหิมะตัวน้อยนอนนิ่งอยู่ในมือของเขาเหมือนก้อนสำลีเบาหวิวไม่มีน้ำหนัก "ตัวนี้ของใครกัน?""ของเสี่ยวลั่วหมี่" หยวนชิงหลิงกล่าว "ตัวเล็กที่สุดคือของเสี่ยวลั่วหมี่ ท่านดูสิแยกออกได้เลยเห็นไหม ของ เปาจื่อปากจะแหลมมาก ของทังหยวนก็หน้ากลมกว่า มันแปลกที่จะบอกว่าสุนัขป่าพวกนี้ ทั้งลักษณะนิสัยหรือรูปร่างหน้าตา พว
อวี่เหวินห่าวไม่ได้อธิบายอะไรแทนจิ้งถิง เขาแค่พูดว่า "เขาจะอยู่ในจวนสักพัก ดังนั้นเจ้าควรเปิดตาของเจ้าดูสิว่าเขาจริงใจหรือเสเเสร้ง เจ้าฉลาดมากขนาดนี้ ย่อมต้องดูออกอยู่แล้ว”หยวนชิงหลิงได้ยินถึงความไม่พอใจในน้ำเสียงของเขา ดูเหมือนว่าเขาใส่ใจมิตรภาพนี้จริง ๆหยวนชิงหลิงลองคิดดูแล้ว หลังจากใช้เวลาร่วมกับจวิ้นจู่มาสองสามวัน จวิ้นจู่ก็เป็นคนตรงไปตรงมาและเปิดเผย ดังนั้นนางคงไม่หาสามีที่มีจิตใจล้ำลึกซับซ้อนหรอกนางจึงขอโทษเขา "ข้าคิดมากไป ในอนาคตข้าจะไม่พูดอะไรแบบนี้อีก"อวี่เหวินห่าวเอื้อมมือไปเชยคางนาง และมองหน้านาง "เหล่าหยวน ข้าเองก็เห็นว่านิสัยของเจ้าช่างเถรตรงจริง ๆ แม้ว่าบางครั้งเจ้าจะดุร้าย เผด็จการ และไม่มีเหตุผล แต่ถ้าเจ้าทำอะไรผิด เจ้าจะต้องขอโทษอย่างแน่นอน เกรงว่าแม้จะเป็นคนรับใช้ก็ยังกล่าวคำขอโทษได้ เจ้านี่นิสัยดี ใช้ได้จริง ๆ"“ข้าเป็นคนไร้เหตุผลตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” หยวนชิงหลิงหัวเราะ “ท่านจะชมข้าก็ชมสิ ทำไมต้องดุกันก่อน”อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "รางวัลและบทลงโทษต้องแยกให้ออกจากกันอย่างชัดเจน หากเจ้าทำสิ่งที่ถูกต้อง เจ้าควรได้รับคำชมเชย หากเจ้าทำอะไรผิด ก็ต้องบอกกล่าวตักเตือ
เขากลับมาที่จวนอย่างไม่สบอารมณ์ หยวนชิงหลิงเห็นว่าเขาขมวดคิ้ว นางรู้ว่าเป็นเพราะเรื่องลงนามพันธมิตรอีกเป็นแน่ ดังนั้นนางจึงปลอบเขาอวี่เหวินห่าวพูดด้วยความโกรธ "เสด็จพ่อจงใจทำให้ข้าลำบาก จูกั๋วกงเห็นด้วยหรือไม่นั้นเป็นเรื่องสำคัญขนาดนั้นเลยรึอย่างไร?"หยวนชิงหลิงหัวเราะ "ท่านอยู่ในเกมและกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเกินไป จึงไม่เข้าใจความหมายของเสด็จพ่อ เสด็จพ่อต้องการให้ท่านเอาแรงสนับสนุนจากจูกั๋วกงมาให้ได้ ไม่ใช่แค่แรงสนับสนุนเรื่องนี้เท่านั้น แต่มันจะเป็นแรงสนับสนุนงานในอนาคตทั้งหมดของท่าน เพราะตอนนี้เขาเป็นคนที่สามารถปราบปรามตี้เว่ยหมิงอย่างออกหน้าได้ นั้นก็คือตัวเขาที่เป็นพ่อตา”อวี่เหวินห่าวตกตะลึงไปครู่หนึ่ง "เจ้าหมายความว่า เสด็จพ่อก็มองตี้เว่ยหมิงออกด้วยหรือ?"หยวนชิงหลิงยืนพิงเขา "เสด็จพ่อย่อมต้องรู้มากกว่าท่านอยู่แล้ว เหมือนที่ท่านเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ว่าพระองค์ลำเอียงเข้าข้างพี่ใหญ่เสมอ จริง ๆ แล้วพระองค์ทรงรู้อยู่แก่ใจ พระองค์แค่ให้โอกาสพี่ใหญ่เสมอ แต่เมื่อเจอโอกาสที่เหมาะสม ก็ควรจัดการไม่ใช่หรอกหรือ? ความคิดของพระองค์ชัดเจนอยู่แล้ว ดังนั้นจงทำตามที่พระองค์ต้องการเถอะ จัดก
พระชายาจี้พูดจบก็กลับไปนั่งลงบนเก้าอี้เก้าอี้ที่นางนั่งนั้นใหญ่มาก แต่นางผอมมากเนื่องจากป่วยมาเป็นเวลานาน เก้าอี้นั้นยังมีพื้นที่เหลืออีกมาก ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนนั้นนั่งบนเก้าอี้กว้างตัวใหญ่ประจัญหน้ากับพวกขุนนางกว่าสิบคนที่อยู่ตรงนั้นแม่ทัพซุยไม่กล้าพูดอะไรอีกต่อไป ความโกรธบนใบหน้าของเขาก็ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัวคนที่เหลือก็เงียบและก้มหน้าเช่นกันพระชายาจี้รออยู่สักพัก ก่อนที่จะกล่าวอย่างใจเย็นว่า "องค์รัชทายาทคือผู้กำหนดชะตา ถ้าเจ้าปฏิบัติตามให้ดี เจ้าจะมีชีวิตอยู่อย่างมั่งคั่งและมั่งคั่งในภายภาคหน้า วันนี้ข้าพูดได้เพียงเท่านี้ ทุกคนไปเถอะ รักษาตัวด้วย"หลังจากพูดจบ นางก็ยืนขึ้น และเดินออกไปโดยเอามือไพล่หลัง แผ่นหลังบาง ๆ ของนางตั้งตรงดูยิ่งใหญ่ราวกับว่าสามารถแบกท้องฟ้าได้ครึ่งหนึ่งแรงสนับสนุนของอวี่เหวินห่าวสูงขึ้นเรื่อย ๆอย่างไรก็ตาม มีคน ๆ หนึ่งที่มีความคิดเห็นเป็นปฏิปักษ์อยู่เสมอ ถึงกับตำหนิเขาตรง ๆ ต่อหน้าท้องพระโรงทำให้บรรยากาศของวันนั้นแย่เป็นอย่างยิ่ง แม้แต่จักรพรรดิหมิงหยวนก็ยังกริ้วจนหน้าดำจูกั๋วกงคนนี้คือ จูหรูเพ่ย เป็นพ่อตาของตี้เว่ยหมิงเมื่อก่อน
มีแม่ทัพแซ่ซุยอยู่ที่นี่ ซึ่งเคยอยู่กับตี้เว่ยหมิงมาก่อน และตี้เว่ยหมิงได้ติดต่อเขาแล้ว เมื่อได้ยินสิ่งที่พระชายาจี้พูด เขาพูดอย่างเฉยเมยว่า "ข้อเสนอขององค์รัชทายาทที่จะจัดตั้งพันธมิตรกับต้าโจว ไม่ต่างอะไรไปกว่าการกระทำของคนขี้ขลาด คิดว่าด้วยการสนับสนุนของต้าโจว เป่ยถังของเราจะสามารถดำรงอยู่ได้อย่างสงบสุขรึ และเช่นกันด้วยวิธีนี้ เป่ยถังของเราจะต้องมองสีหน้าท่าทีของต้าโจวในทุก ๆ เรื่องงั้นหรือ? นี่คิดว่ามันคงไม่เหมาะกระมั่ง”พระชายาจี้มองเขา น้ำเสียงของนางเย็นชาเล็กน้อย “แม่ทัพซุย แม้ว่าข้าจะเป็นผู้หญิง แต่ข้าก็รู้ด้วยว่าสิ่งที่องค์รัชทายาทเสนอเป็นพันธมิตร มิใช่การยอมจำนน ทำไมเจ้าต้องสังเกตสีหน้าท่าทางต้าโจวทุกอย่างด้วย?”แม่ทัพซุยพูดอย่างแข็งกร้าว "พระชายาคงไม่เข้าใจสินะ? เมื่อพันธมิตรถูกจัดตั้งขึ้น ก็จะมีข้อจำกัดซึ่งกันและกัน ข้อจำกัดทางทหารไม่ใช่เรื่องที่ดี"พระชายาจี้ถึงกับขำ แววตาของนางดูเย็นชาขึ้นมา "จริงหรือ? แล้วทำไมข้าถึงได้ยินว่าสนธิสัญญานี้หมายถึงการไม่รุกรานกัน? หรือว่าแม่ทัพซุยมีความคิดที่จะรุกรานแคว้นอื่น"แม่ทัพซุยตกตะลึง "นี่...ข้าย่อมไม่มีอยู่แล้ว"“ในเมื่อไม่มี เจ
หยวนชิงหลิงไม่สบายใจ อย่างไรก็ตาม เสี่ยวลั่วหมี่ยังมีไข้อยู่นางยิ้มและพูดว่า "เสด็จย่า พวกเขาอาจจะงอแง เกรงว่าจะทำให้พระองค์ทรงเหนื่อยได้เพคะ"ไทเฮาทรงมีสีพระพักตร์นิ่งเฉย และตรัสอย่างไม่พอใจว่า “เกรงว่าคนแก่อย่างข้าจะอ่อนล้า หรือไม่วางใจให้ข้าดูแลพวกเขากัน? กลัวว่าพวกเขาอยู่กับข้าแล้วจะดูแลไม่ดี ไม่มีนมให้กินอย่างนั้นรึ” หยวนชิงหลิงยิ้มและพูดว่า "ดูพระองค์พูดสิเพคะ พระองค์จะปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างเลวร้ายได้อย่างไร? พระองค์ออกจะรักเหมือนเป็นหัวแก้วหัวแหวน... "“บุ้ย ๆ ๆ หัวแก้วหัวแหวนอะไรกัน ไม่ใช่ลูกสาวสักหน่อย แต่เป็นทองคำต่างหาก ทองคำของข้า” ไทเฮาทรงตรัสแปลก ๆ ขณะอุ้มเสี่ยวลั่วหมี่ไว้นางเงยหน้าขึ้นและมองไปที่หยวนชิงหลิงและพูดอย่างเย็นชาว่า "อย่าพูดไร้สาระ แค่อยู่ในวังสักสองสามวัน ไว้หายดีแล้วค่อยให้เจ้ามารับไป หากยังกังวลใจ ให้ไปหาไท่ซ่างหวงให้รับรองให้เจ้าเถอะ”หยวนชิงหลิงได้ยินว่านางถึงกับยกไท่ซ่างหวงออกมาแบบนี้ นางจะกล้าปฏิเสธได้อย่างไร นางจึงจำใจต้องส่งลูกที่เพิ่งครบเดือนให้ห่างอกนางเท่านั้นอย่างไรก็ตาม เมื่อนึกถึงเรื่องการจัดตั้งโรงเรียนแพทย์ ทุกวันนี้นางก็แทบไม่มีเวลา
ในเมื่อเสด็จพ่อเห็นด้วย จะให้เขามาหารือกับเหล่าขุนนางเพื่อเรียกแรงสนับสนุน แล้วทำไมเขาต้องไปหาเสียงเห็นชอบด้วยจักรพรรดิหมิงหยวนมองเขาอย่างแฝงความนัย เขายังเด็กเกินไปจริง ๆ "ไปซะ"อวี่เหวินห่าวออกไปคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ และทันใดนั้นก็ตระหนักได้ว่า มันยังเป็นความเคลื่อนไหวอันเฉียบแหลมของเสด็จพ่อ ที่ไม่ได้แสดงจุดยืนของพระองค์ออกมา และเฝ้าดูความเคลื่อนไหวของเหล่าขุนนางอย่างเงียบ ๆ หากพระองค์แสดงจุดยืนออกมา หลายคนจะเอียนเอียงคล้อยตามพระองค์ทันที ถ้าพระองค์ไม่พูดอะไร พระองค์ก็จะรู้ความคิดทุกคนจริง ๆ ว่าใครอยู่ข้างตี้เว่ยหมิงอย่างไรก็ตาม หลังจากที่เขาจากไป จักรพรรดิหมิงหยวนก็คิดว่าเรื่องนี้มีข้อดีมากมาย แต่ก็มีข้อเสียเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยเช่นกัน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้นักประวัติศาสตร์ในอนาคตเขียนส่งเดชให้เขาเป็นแพะรับบาป การแสร้งทำเป็นบีบบังคับให้ทำในสิ่งที่ไม่น่าทำได้น่าจะเป็นการดีกว่าเขากำลังกินหมานโถ่วและกังวลใจเกี่ยวกับเสี่ยวลั่วหมี่วันนี้เสี่ยวลั่วหมี่มีไข้ อันที่จริงไม่ใช่แค่เสี่ยวลั่วหมี่ แต่เด็กทั้งสามคนมีอาการไอเล็กน้อยเพียงแต่ร่างกายของเสี่ยวลั่วหมี่นั้นไม่ค่อยแข็งแรง เขาจึงมี
หลังจากเลิกว่าราชกิจแล้ว อวี่เหวินห่าวก็ไม่ย่อมไม่พอใจ ดังนั้นเขาจึงไปหอตำราหลวงหาจักรพรรดิหมิงหยวนจักรพรรดิหมิงหยวนมักจะกินอาหารเช้าหลังจากเลิกว่าราชกิจในยามเช้า มีโจ๊กและหมานโถ่วอยู่ในห้องทำงานของจักรพรรดิ หลังจากกินโจ๊กชามหนึ่ง ก็พูดอย่างเรียบเฉยว่า"เป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่าเจ้ากับแม่ทัพเฉินแห่งต้าโจว? ถึงเป็นเหตุผลให้เจ้าวิ่งเต้นขนาดนี้?”อวี่เหวินห่าวไม่ได้กินอาหารเช้าเช่นกัน และตอนนี้เขาหิวมาก เมื่อเห็นว่าเขาหยุดกินโจ๊กแล้ว เขาคิดว่าเขาไม่เอาหมานโถ่วแล้ว จึงเอื้อมมือไปหยิบหมานโถ่ว “ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อม..."จักรพรรดิหมิงหยวนหยิบตะเกียบขึ้นมาและชี้ไปที่เขา "วางลงซะ!"อวี่เหวินห่าวถึงกับอ้าปากค้าง เมื่อเห็นสายตาพ่อตัวเองเป็นประกายเช่นนั้น เขาแอบบ่นว่าขี้งกและวางหมานโถ่วกลับที่เดิมจักรพรรดิหมิงหยวนหยิบหมานโถ่วขึ้นมาเช็ด จากนั้นค่อย ๆ ปอกลอกเปลือกนอกออกและกินมัน โดยทิ้งอวี่เหวินห่าวที่อยู่ข้าง ๆอวี่เหวินห่าวพูดอย่างเศร้าใจ "กระหม่อมก็หิวเหมือนกัน เมื่อเช้านี้ตื่นมา แม่นมบอกว่าเสี่ยวลั่วหมี่ตัวร้อนเล็กน้อย กระหม่อมจึงรีบไปดูก่อน ไม่ได้สนใจที่จะกินอาหารเช้า"เมื่อได้ยินว
เขาพูดเสียงดังในท้องพระโรง "เป่ยโม่และเสียนเป่ยเป็นดั่งหมาป่าทะเยอทะยาน พวกเขาจับตามองเป่ยถังมานานแล้ว แต่เป็นเพราะทหารม้าที่แข็งแกร่งของเป่ยถั งและเหล่ายอดนักรบจึงขับไล่พวกเขากลับไปได้เป็นการชั่วคราว แต่ไม่มีอะไรมารับประกันได้ว่าพวกเขาจะไม่กลับมารุกรานอีกตอนนี้ต้าโจวได้พัฒนาอาวุธและรถออกศึกได้ หากทั้งสองแคว้นเป็นพันธมิตรกัน ต้าโจวสามารถช่วยเป่ยถังปรับปรุงอาวุธและยุทโทปกรณ์ ซึ่งสามารถเสริมสร้างการป้องกันทางทหารของเป่ยถังได้ และร่วมกับการพัฒนาเศรษฐกิจ นี่เป็นประโยชน์ระยะยาวสำหรับเป่ยถัง รัชทายาททรงมีพระวินิจฉัยที่ลึกซึ้ง นั่นเป็นผลดีต่อราษฏร และเขายังคิดถึงระยะยาวสำหรับเป่ยถัง ส่วนแม่ทัพตี้เว่ยหมิงที่เจตนาพูดจาให้คนอื่นตกใจนั้นก็มีส่วนต้องรับผิดชอบด้วย ว่าไปแล้วเป่ยถังไม่ได้ไปรุกรานโม่เป่ยกับเสียนเป่ย หากพวกเขาไปรุกรานต้าโจว มีหรือจะปล่อยเป่ยถังไว้? หรือถึงตอนนั้นต้องยกแคว้นให้เพื่อสงบศึกกัน? "ในตอนนั้นเป่ยถังพ่ายแพ้ให้กับเป่ยโม่ ถูกทหารสามหมื่นนายล้อมไว้ ในท้ายที่สุด แม่ทัพตี้เว่ยหมิงถูกส่งไปเจรจาสงบศึก ยกเมืองที่เป่ยโม่ต้องการถึงจะยอมถอยทัพนี่เป็นความอัปยศอดสูของเป่ยถังเสมอ และม