บท 2
บัวหอมเข้ามาทำงานในบริษัทในตำแหน่งกรรมการฝ่ายการตลาด ด้วยความที่เธอชำนาญการใช้ภาษาต่างประเทศถึงหกภาษา ทำให้การทำงานกับตลาดต่างประเทศของบริษัทเศวต กรุ๊ป มีความคล่องตัวมากขึ้นด้วยความครอบคลุมภาษาประเทศหลัก ญี่ปุ่น สเปน จีนกลาง อังกฤษ ฝรั่งเศสและเยอรมัน และความละเอียดรอบครอบด้านเอกสาร ไม่ถึงหนึ่งเดือนเธอได้รับคำชื่นชมในการทำงาน จากกรรมการบริหารทุกคน จะมีข้อตำหนิก็อยู่ที่เป็นคนขี้โวยวายและทำตัวหักหน้าไม่ให้เกียรติประธานบริษัทคนใหม่อย่างแดนไตร
สำหรับแดนไตร ประธานบริษัทคนใหม่พิสูจน์ตัวเองจนได้รับการยอมรับโดยการทำให้สองไตรมาสแรกของปีงบประมาณไม่อยู่ในภาวะขาดทุน ผลของการนำเงินเก็บส่วนตัวมาอัดฉีดลงทุนกับการโปรโมทให้เศวต กรุ๊ปกลับมาโดดเด่น โด่งดังอีกครั้ง บวกกับความเป็นคนรุ่นใหม่ที่เก่งกาจจากดีกรีปริญญาเอกการเงินและการลงทุนจากวอชิงตันอเมริกา และยังติดโผหนุ่มโสดเนื้อหอมที่มีแฟนคลับตามติดแม้ไม่ได้เป็นดารานายแบบ ยิ่งช่วยให้บริษัทภายใต้การบริหารของคนรุ่นใหม่ไฟแรงเป็นที่น่าสนใจในการลงทุนร่วมหุ้นมากขึ้น
บ่อยครั้งที่หนังสือพิมพ์หน้าข่าวสังคมลงภาพและข่าวคราวของแดนไตรในเรื่องของกิจกรรมสาธารณประโยชน์มากมาย ด้วยความที่เขาเป็นเด็กกำพร้า เติบโตจากวัดและหลวงตาทำให้เขาอ่อนไหวพิเศษในการให้ความช่วยเหลือเด็กกำพร้าและด้อยโอกาส และแน่นอนว่าการบริจาคทุนต่างๆ แม้จะเป็นเงินส่วนตัวที่เขาหามาเอง ก็ยังยินดีที่จะบริจาคในนามของบริษัทเศวต กรุ๊ป เพื่อให้ภาพลักษณ์บริษัทดูดี
“เอาหน้า! เงินที่บริจาคก็เงินจากบริษัทฉันทั้งนั้น” บัวหอมขบเขี้ยวฟันด้วยความโมโหกรุ่น เธอไม่รู้ตื้นลึกหนาบางและด้วยความอคติเธอไม่คิดที่จะค้นหาความจริงหรือสอบถามอะไรจากเขา ลึกๆแล้วเกิดกลัวว่าคำตอบมันจะไม่ใช่อย่างที่เธอคิดและเผลอที่จะภูมิใจในตัวของเขา ที่ทุ่มเทเพื่อมอบโอกาสให้แก่คนอื่น มือบางกระแทกปิดหนังสือพิมพ์ พร้อมทั้งวางมือจากมื้อเช้าที่พึ่งกินไปได้เพียงสามคำ ใครจะเป็นกินลง เช้ามาเจอประโยคอวยยศคนเนรคุณพันธุ์นั้นให้คลื่นเหียน
“ทำไมกินน้อยนักล่ะลูก” น้ำเสียงแหบแห้งของผู้เป็นแม่ทำให้คนเป็นลูกสาวรู้สึกตัวว่าเผลอหงุดหงิดบนโต๊ะอาหาร
“วันนี้หนูไม่ค่อยหิวค่ะ” ตอบยิ้มๆให้กับคนป่วยที่นั่งพับอยู่บนวีลแชร์ บัวหอมยิ้มหวานอ้อนคุณแม่เพื่อให้ท่านไม่ต้องกังวลในตัวเธอมากนัก ตอนนี้ท่านป่วยหนักช่วยเหลือตัวเองลำบาก ต้องการกำลังใจจากลูกสาวอย่างเธอมากกว่าสิ่งใด
“พี่ตุ่นเป็นยังไงบ้างลูก เขาสบายดีใช่ไหมคะ การทำงานมีปัญหาอะไรกันหรือเปล่า” นางอุบลถามต่อ เนิบช้า ยังคงมีอาการเจ็บปวดใจร้าวเหมือนเดิมยามเมื่อนึกถึงผู้บริหารบริษัทคนใหม่ คนที่นางเห็นแก่ตัวยกเอาบุญคุณมาอ้างเพื่อให้ทำหน้าที่ที่กดดันหนักหน่วง คนแก่ที่ทำผิดพลาดซ้ำยังป่วยใกล้ตายรู้สึกผิด
“ค่ะ เราทำงานด้วยกันอย่างเข้าใจ” ซึ่งอาการเงียบลงแบบนั้นบัวหอมตีความว่าเกิดจากความเจ็บใจที่ถูกเด็กในอุปการะเนรคุณยึดบริษัทไป ยิ่งเพิ่มความโกรธแค้นให้เธอ
“แม่ขอโทษนะลูก ตำแหน่งประธานบริษัทมันควรจะเป็นของหนูอย่างชอบธรรม แต่แม่ก็ทำให้หนูพลาดโอกาสนั้น” คนเป็นแม่รู้สึกผิด ถ้านางเก่งกว่านี้ ถ้าทันตลาดโลกมากกว่านี้ ก็คงไม่ทำลายกรรมสิทธิ์ทุกอย่างของลูกสาวจนเกือบจะต้องสูญเสียทุกอย่างให้คนอื่น ซ้ำยังติดหนี้จนแทบจะถูกฟ้องล้มละลาย
“แม่คะ ไม่เป็นไรเลยค่ะ หนูบัวไม่อยากเป็นประธานบริษัทหรอกค่ะ งานเยอะ หนูบัวไม่ไหว” รีบพูดให้แม่สบายใจ แต่เข่นเขี้ยวโกรธแค้นคนเนรคุณที่แย่งบริษัทไปจากเธอและแม่มากขึ้นเท่าทวีคูณ
“แม่ขอโทษนะหนูบัว” หญิงชรามีน้ำตา ก่อนจะไอออกมาโขลกใหญ่จากการร้องไห้สำลัก ต้องใช้เวลาปลอบใจกันอยู่สักพัก จึงเป็นปรกติ
“คุณแม่อย่าคิดมากนะคะ เดี๋ยวหนูจะเข้าบริษัทนะคะ วันนี้มีส่งของล็อตใหญ่ จะไปดูความเรียบร้อยของเอกสารอีกทีก่อนจัดส่งค่ะ” พาคนเป็นแม่เข้ามาที่เตียงนอนก่อนจะสะพายกระเป๋าทำงานขึ้นมา
“บุญรักษานะหนูบัว” นางอุบลอวยพรก่อนจะค่อยๆกระเถิบกายขึ้นนอนบนเตียง รอจนลูกสาวเดินออกจากบ้านไปทำงานถึงเริ่มร้องไห้โศกเศร้าอีกครั้ง
“ทำไมฉันไม่ตายไปให้พ้นๆอยู่เป็นภาระลูกทำไมกัน” นางอุบลเริ่มร้องไห้เสียงดัง จนพยาบาลพิเศษที่แดนไตรจัดหารมาให้เข้ามาดูแล กลัวนางจะช็อกไป
“ใจเย็นๆนะคะคุณ”
ชีวิตที่ติดเตียงเพราะปัญหาเนื้องอกในมดลูกและลามเป็นเชื้อร้าย ซ้ำเชื้อยังลามเข้ากระดูกเชิงกรานและกัดกินจนถึงกระดูกสันหลัง เจ็บปวดทรมานทั้งรักษาและไม่รักษา แต่ต่อหน้าลูกต้องกัดฟันข่มสู้ความเจ็บปวดและทำเหมือนป่วยด้วยอาการคนแก่แข้งขาอ่อนแรง ทั้งๆที่จริงแล้วนั้น นางคงมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน อาจจะเดือนหน้า ปีหน้า หรือไม่กี่วันข้างหน้า ก็ไม่อาจเดาได้
เช้านี้มีประชุมคณะกรรมการบริหารบริษัทและหุ้นส่วนในเครือ หุ้นส่วนทุกคนตอนนี้เปลี่ยนใหม่จนไม่มีใครสักคนที่บัวหอมคุ้นหน้า จะคุ้นก็แต่กรรมการบริหารรุ่นเก่าๆที่เคนทำงานร่วมกับคุณพ่อและคุณแม่ของหญิงสาว
การประชุมครั้งนี้มีเพียงการสรุปที่เธอจับใจความได้สั้นๆว่า ยังไม่มีผลกำไรมากมาย แต่ก็ไม่ขาดทุนแล้ว ด้วยการอัดฉัดเม็ดเงินลงทุนจากแดนไตร ท่านประธานบริษัทคนใหม่ ซ้ำยังเป็นเจ้าของบริษัทคนใหม่ ที่กำลังพาให้ผลกำไรบริษัทงอกเงย แล้วยังจะขยับขยายไปลงทุนเกี่ยวกับการแปรรูปอ้อยน้ำตาลอีก
ทั้งห้องประชุมต่างอวยยศและสรรเสริญกันเกือบชั่วโมงจนลูกสาวอดีตเจ้าของบริษัทอย่างบัวหอมเอียนอยากจะอ้วก แต่อยู่ต่อหน้าคนอื่น หญิงสาวทำได้แค่ปั้นหน้ายิ้มแย้มอ่อนหวาน ยินดีกับความสำเร็จอีกขั้นของเศวต กรุ๊ปภายใต้การกุมบังเหียนของ Dr.แดนไตร พ่อมดตลาดหลักทรัพย์และนักบริหารมือฉมัง ดีกรีปริญญาเอกบริหารธุรกิจจากอเมริกา ผู้มีวิสัยทัศน์เฉียบแหลมและลึกล้ำ
การประชุมจบลง บัวหอมแทบจะเก็บอาการคันไม้คันมือและคันปากอยากจะเล่นงานคนเนรคุณอย่างเขาไม่ไหว จนต้องเสียมารยาทขออนุญาตออกจากห้องประชุมก่อนใคร ด้วยข้ออ้างว่าต้องการเข้าห้องน้ำ และเหมือนความเป็นแดนไตรจะตามหลอกหลอนกันได้ถึงในห้องส้วม เมื่อนักธุรกิจหญิงวัยกลางคนมาเข้าห้องน้ำพร้อมกันถึงสามคน พวกเธอเป็นบรรดาคณะกรรมการ และแน่นอนว่าการเข้ามาในห้องน้ำยังนำมาความเอ็นดูและชื่นชมในตัวของเด็กวัดพันล้านอย่างแดนไตรเข้ามาให้บัวหอม ซึ่งกำลังใช้ห้องน้ำอยู่ได้ยินได้ฟังด้วย
“คุณแดนไตรนี่เขาเก่งนะ อายุยังน้อยแต่ติดอันดับนักธุรกิจรุ่นใหม่ไฟแรงมีอิทธิพลลำดับต้นๆของประเทศ”
“ไม่เก่งได้ยังไงล่ะคะคุณ ตอนแรกน่ะดิฉันทำใจไว้แล้วว่าหุ้นบริษัทนี้ที่ถืออยู่น่ะขาดทุนยับเยินจมดินแน่ๆถ้าคุณนายอุบลยังดื้อดึงบริหารต่อ จนขายต่อยังไม่มีคนอยากจะซื้อ กัดฟันขาดทุนเก็บไว้เอง แล้วอีท่าไหนไม่รู้ได้คุณแดนไตรเขามาเทคโอเวอร์บริษัท ตอนนี้ผลกำไรกำลังกลับเข้ามาแล้วค่ะ แล้วยังจะพาเราไปทำกำไรกับธุรกิจแปรรูปอ้อยน้ำตาลอีก ไม่ทนแต่จะรับทรัพย์” พูดติดขำโลกสวย ทั้งที่ยังไม่รู้ว่าธุรกิจตัวใหม่ที่จะเอามาเสริมทัพเศวตร กรุ๊ปจะประสบความสำเร็จกี่มากน้อย
“แต่จะพูดถึงคุณอุบล ตอนนี้เห็นว่าป่วยหนักจนลุกเดินเหินไม่ได้แล้วนิคะ มีลูกสาวอยู่กับเขาคนเดียว ได้มาเป็นกรรมการบริหาร ทั้งๆที่ดูจากสัดส่วนหุ้นแล้วน่ะ เขาไม่มีสิทธิ์มาบริหารบริษัทอีกต่อไปแล้ว ถ้าจะอยู่ในบริษัทต่อ ก็คงจะได้เป็นพนักงานธรรมดา แต่วงในลือว่าคุณแดนไตรเห็นแก่คุณอุบลเลยยังให้เข้ามาร่วมเป็นกรรมการบริหารอยู่ แต่ดิฉันว่า ยังไงก็น่าจะมีนอกหรือมีในมากกว่านั้นค่ะ ผลประโยชน์เป็นร้อยๆพันๆล้าน คงไม่ใช่แค่เกรงใจกันเฉยๆ แล้วลูกสาวคุณอุบลก็สวยจัดขนาดนั้น”
“ยังไงเหรอคะคุณพี่” ประเด็นชู้สาว เป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจมากยิ่งกว่าประเด็นใดๆ แม้ผู้ที่อยู่ในวงสนทนาจะเป็นนักธุรกิจพันล้านก็ตามที
“คิดดูเถอะค่ะ หนุ่มหล่อ สาวงาม เดิมพันกันด้วยผลประโยชน์ สำหรับสาวนักเรียนนอกหัวสมัยใหม่อย่างหนูบัวหอมทำไมเขาจะแลกไม่ได้คะ กับการอยู่สุขสบายแล้วยังได้ทำงานมีเกียรติในบริษัทนี้อยู่”
“คุณพี่หมายถึงเอาตัวเข้าแลกเหรอคะ” หนึ่งในนั้นขึ้นเสียงด้วยความตื่นเต้น ทำหน้าเอือมระอาแต่แววตาซุกซน คล้ายกับถูกใจที่บัวหอมเป็นแบบนั้น
“ก็คงจะไม่พ้นแบบนั้นหรอกค่ะ มีอย่างที่ไหน แม่ตัวเองทำขาดทุนตั้งหลายร้อยล้านแทบจะถูกฟ้องล้มละลาย จะมีอัศวินขี่ม้าขาวที่ไหนมาช่วยฟรีๆ ซ้ำยังให้งานให้เงินเดือนเป็นแสนๆ ผลกำไรประกอบการอีกเท่าไหร่ มันก็มีท้วงท่าลีลาการตะแคงอะไรสักอย่างที่ถูกใจแหละค่ะ” บรรดาสาวใหญ่ไร้ผัวทั้งสามพูดส่อเสียดให้ร้ายกันสนุกปาก เพราะเธอคิดว่าไม่มีใครใช้ห้องน้ำ แต่ถ้าสังเกตให้ดี ประตูห้องน้ำห้องในสุดมันถูกปิดล็อกจากด้านในเพราะมีคนเข้าใช้งานอยู่
บัวหอมกำมือแน่นด้วยความโกรธแค้น ทีแรกที่พวกป้านั้นเข้ามา มาชมแดนไตรให้เธอได้ยินว่ารับไม่ได้แล้ว แต่อยู่ๆกลับเบี่ยงประเด็นมาว่าร้ายแม่และเธอ มันยอมไม่ได้
“สงสัยว่าจะอยู่กันดีๆไม่ได้” ถึงกับรีบออกจากห้องน้ำด้วยความทนฟังต่อไม่ไหว เตรียมจะเล่นงานคนที่บังอาจนินทาเธอและแม่ลับหลัง ซ้ำยังนินทาว่าร้ายส่อเสียดไปถึงการเอาตัวเองเข้าแลกกับผลประโยชน์จากคนเนรคุณพันธุ์อย่างนั้นด้วย
“นะ...หนูบัวหอม” นักธุรกิจสาวแกร่งทั้งสามกลับใบ้กินกะทันหันเมื่อเห็นร่างบางเดินออกมาจากห้องน้ำ แล้วยังก้าวตรงมายังพวกเธอช้าๆแต่มั่นคง สายตาจดจ้องมาดมั่นว่าจะต้องได้เห็นดีกันแน่นอน ตลอดเวลาที่เธอให้ความเคารพและวางตัวดีๆ อ่อนโยน อ่อนหวานมีสัมมาคารวะ มันคงไม่ได้ทำให้ใครมองภาพเธอดีไปกว่าคนจนตรอก ที่ครอบครัวบริหารงานพลาด และเอาตัวเข้าแลกกับงานอย่างจมไม่ลง
“ทำไมล่ะคะ หยุดทำไม ทำไมไม่พูดต่อ เรื่องที่มโนกันไปเองกลับพูดกันได้อย่างสนุกสนานลื่นปาก สนุกกันจนลืมตัวแล้วหรือเปล่าคะ ว่าอายุอานามก็เยอะกันแล้ว มาพูดจาสองแง่สามง่ามให้เด็กมันถอนหงอกแบบนี้ มันไม่คุ้มค่ะ” หญิงทั้งสามอ้าปากค้างในสิ่งที่เด็กรุ่นลูกบอก แม้ไม่มีคำหยาบแต่มันแสบสันจนแทบจะเถือกระดูกไปด้วย
“ประสาทจะกิน” บัวหอมสะบัดหน้าไล่อารมณ์ขุ่นก่อนจะเดินปั้นปึงกลับห้องทำงานของตน ผู้ใหญ่ประเภทนี้ไหว้เสียมือเปล่าจริงๆ
ในระหว่างทางที่เดินผ่านออฟฟิศของฝ่ายการตลาดและฝ่ายขาย ที่ตอนนี้กำลังวุ่นวายกับงานเอกสารปึกใหญ่ ฉับพลันนั้นเธอนึกอะไรบ้างอย่างขึ้นมาได้ บางอย่างที่จะทำให้เธอรู้สึกบันเทิงอย่างแน่นอน
สายตาคู่สวยมองรอบๆเพื่อประเมินสถานการณ์ ก่อนจะมองเห็นผู้จัดการฝ่ายการตลาดและฝ่ายขาย ร่างบางรีบตรงเข้าไปหาทันที
“เอกสารประกอบการจัดส่งสินค้า เอามาให้ฉัน ฉันจะจัดการเอง” หญิงสาวเดินฉับมาคว้าเอกสารในมือของฝ่ายจัดส่งสินค้า ยกยิ้มกับแผนปั่นป่วนชีวิตของแดนไตร
“เปลี่ยนจากส่งของไปแคนาดาเป็นส่งไปเยอรมันแทน”
พนักงานชั้นผู้น้อยถึงกับผงะต่อคำสั่งที่ได้ยิน ออเดอร์ส่งสินค้าถูกสลับเปลี่ยนคิวกะทันหันแบบนี้ คงจะเกิดเรื่องวุ่นวายตามมาไม่น้อย “แต่ว่าคุณบัวหอมคะ” พยายามจะทักท้วงแต่เจอกับสายตากดจิกที่พุ่งเข้ามา
“มีปัญหาอะไรหรือยังไง จะคิวแรกหรือคิวสุดท้าย ยังไงเขาก็ได้สินค้าอยู่ดี นี่! จัดคิวใหม่ บริษัทไหนคิวสุดท้าย ส่งของให้ก่อน เจ้าไหนยังไม่โอนเงิน ก็ส่งไปตามออเดอร์ ให้เขาเอาของไปขายก่อน เดี๋ยวถึงกำหนดจ่ายเงิน เขาก็จ่ายเองแหละ มันไม่ใช่หน้าที่เราแล้วที่ต้องไปเดือดร้อนว่าจะทวงค่าสินค้าได้หรือเปล่า”
สำหรับบัวหอม เธอไม่สนหรอกว่าจะมีปัญหาอะไรตามมา เพราะปัญหานั่นแหละ คือสิ่งที่เธอต้องการให้เกิดขึ้น ขอแค่ให้แดนไตรทุกข์ร้อนบ้าง แม้จะเรื่องเล็กน้อยอย่างสลับคิวส่งของก็เป็นเรื่องที่บัวหอมยินดีทำอย่างสนุกสนาน
“แต่ว่า...”
“ทำตามที่ฉันสั่งถ้ายังอยากอยู่ในบริษัทนี้!” ขึ้นเสียงทิ้งท้ายก่อนจะเชิดหน้า พักหลังมานี้เธอเริ่มเสพติดคำว่า ‘ลูกเจ้าของบริษัท’ และการเป็นคนที่ท่านประธานคนใหม่ให้ความเกรงอกเกรงใจ จนเกิดย่ามใจว่าต่อให้ทำอะไรก็ไม่มีใครกล้ากล่าวโทษอย่างแน่นอน
“ค่ะ ขอประทานโทษค่ะ ดิฉันจะทำตามที่คุณบัวหอมสั่งค่ะ” ฝ่ายจัดส่งถึงกับหน้าถอดสี จะปฏิเสธคนสั่งก็เป็นลูกสาวของคุณอุบล จะทำตามก็รู้ทั้งรู้ว่าจะเกิดผลเสียแน่นอน เพราะสำหรับอาหารกระป๋อง ถ้ามีการพลาดคิวจัดส่งไป นั่นหมายถึงลูกค้าต้องรอสินค้าใหม่อีกหลายเดือน บริษัทต้องโดนฟ้องแน่นอนที่ไม่มีของส่งให้เขา
“ดีมากค่ะ” ยิ้มร่า หญิงสาวถึงกับถอนหายใจแรงด้วยความสนุกสนานชื่นปอดกับการกลั่นแกล้งปั่นป่วนคนในยามเช้าอันสดชื่น จะคอยดูว่าจะไปได้สักกี่น้ำ!
บัวหอมเข้ามาสะสางงานตนเองต่อในห้องทำงาน เช้านี้เธอได้แกล้งไอ้เนรคุณคนนั้น มันทำให้อารมณ์ดีจนถึงกับฮัมเพลงเบาๆ ยิ่งนึกถึงผลงานปั่นประสาทเขาก็ยิ่งภาคภูมิใจ
“เก่งนักเหรอไอ้คุณแดนไตร” เบะปากหมั่นไส้ที่ตลอดเวลาเขาได้รับคำชมมากมาย ตั้งแต่ก่อนเธอจะเข้ามาร่วมทำงานจนกระทั่งเธอเข้ามาร่วมงาน คำชมที่เขาได้รับมันก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นจนลูกสาวประธานบริษัทและผู้ก่อตั้งแท้ๆอย่างเธอ แทบไม่มีความหมาย ซ้ำยังถูกมองเป็นเด็กมุทะลุเหลือขอ
กว่าสองอาทิตย์ ที่ผลของการสลับออเดอร์ลูกค้าที่เธอสั่งให้ฝ่ายขายทำจะเริ่มส่งผลกระทบ ตลอดทั้งเช้าจนใกล้จะพักเที่ยงแดนไตรเข้ามานั่งร่วมโต๊ะกลมกลางออฟฟิศขายซึ่งถูกจัดให้เป็นออฟฟิศเฉพาะกิจสำหรับแก้ไขปัญหาออเดอร์ที่ผิดสัญญา เป็นเรื่องวุ่นวายน่าดูมีทั้งฝ่ายบุคคล ฝ่ายกฎหมาย เข้าร่วมคุยงานด้วย แล้วยังมีผู้จัดการและบรรดาหัวหน้างานต่างๆของฝ่ายขายและตลาดต่างประเทศเข้าร่วมวงโต๊ะกลม ที่สำคัญคือคนจากฝ่ายขายต่างมีสีหน้าซีดเผือดและมองมาทางเธอเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่บัวหอมกลับเมินเฉยและนิ่งราวกับไม่รับรู้ปัญหา
แดนไตรถอนหายใจเพื่อระบายความตรึงเครียดออกมา พร้อมทั้งมองที่ประตูห้องกระจกของหญิงสาวด้วยสีหน้าหนักใจ ราวกับรู้อยู่แล้วว่าใครเป็นคนก่อเรื่องทั้งหมด เขาแก้ไขปัญหาจนเสร็จเรียบร้อยก่อนจะลุกขึ้นเดินกลับห้องทำงานใหญ่ของตน
จากนั้นไม่ถึงสิบนาที ได้มีสายเรียกเข้าจากห้องของประธานบริษัท ให้บัวหอมเข้าไปพบ ทีแรกหญิงสาวอิดออดเพราะกลัวกับการกระทำของตัวเองว่าเขาอาจจะตำหนิและไล่เธอออก ตอนนี้เริ่มกลัวในการมีอำนาจของเขาในฐานะประธานบริษัท
“คุณแดนไตรเรียกพบดิฉัน มีธุระอะไรเหรอคะ” ถามเขาด้วยน้ำเสียงเหินห่างและท่าทีหมางเมิน ไม่เจอกันเป็นสิบปีความคิดถึงใจแทบขาดระหว่างกันและกันถูกแทนที่ด้วยความโกรธแค้นกับความเนรคุณเลี้ยงไม่เชื่อง
“คุณบัวครับ คุณเป็นคนแก้ออเดอร์ส่งของลูกค้าให้เป็นเยอรมันแทนที่จะไปส่งที่แคนาดาเหรอครับ” แดนไตรตั้งคำถามด้วยความสุภาพ เจียมตัวเหมือนที่เคยทุกครั้ง ในขณะที่บัวหอมเชิดหน้าจองหอง เขาถามจนได้ความว่าทุกอย่างเป็นการขู่บังคับจากเธอรวมทั้งเป็นคนแก้ไขปัญหาเหล่านี้จนเรียบร้อย และในตอนนี้เขาต้องการคำอธิบายว่าเธอจะทำลายบริษัทที่เป็นหม้อข้าวหม้อแกงของตนเองทำไม
“ค่ะ ฉันเอง มีปัญหาอะไรไหมคะคุณแดนไตร” ยอมรับในสิ่งที่จงใจทำลงไปอย่างท้าทาย ตั้งแต่วินาทีที่รู้ว่าเขาคือคนที่พรากสิทธิ์ในบริษัทของเธอไป ก็ไม่มีวันไหนที่จะแทนตัวเองและเรียกเขาเป็นพี่ๆน้องๆน่ารักๆอย่างที่เคยทำในอดีตอีกเลย
“คุณทำแบบนี้ทางแคนาดาตำหนิเราด้วยความไม่พอใจมากนะครับ เขาถือว่าเราไม่ให้เกียรติและละเมิดสัญญาส่งของที่ตกลงกันไว้ว่าจะส่งสินค้าเมื่อสัปดาห์ก่อน”
ด้วยความไว้ใจว่าหญิงสาวจะจัดการได้ เลยมอบหน้าที่กรรมการฝ่ายการตลาดและจัดส่งให้เธอช่วยดูแล แต่เธอกลับสลับออเดอร์มั่วไปหมดจนหลายประเทศส่งหนังสือทวงสินค้าที่ชำระเงินเรียบร้อย ซ้ำบางที่ที่เคร่งครัดต่อสัญญายังทำเรื่องฟ้องร้องข้ามชาติ อย่างเช่นกรณีของประเทศแคนาดา ที่ดันเบี้ยวส่งสินค้าให้ห้างสรรพสินค้าที่ใหญ่ที่สุดในประเทศนั้น และตอนนี้ อีเมล์แจ้งฟ้องร้องก็เข้ามาถึงบริษัทและเมล์ส่วนตัวของเขาเรียบร้อยแล้ว
“แล้วยังไงล่ะคะ ไหนๆก็รอมาห้าเดือนแล้วนิ รออีกสักสองเดือนจะเป็นอะไรไป”
ลอยหน้าลอยตาตอบ ทำเอาคนใจเย็นอย่างแดนไตรความดันแทบพุ่ง ชายหนุ่มถอนใจสั้นๆหนักๆก่อนจะคว้าร่างบางเข้ามาเผชิญหน้า
“ถ้าทางแคนาดาเขาฟ้องร้องขึ้นมา สิ่งแรกที่พวกเราจะทำก็คือไล่พนักงานฝ่ายการตลาดออกเพื่อหาคนรับผิดชอบ” เขาเอาความเป็นอยู่และอาชีพคนอื่นมาขู่ หวังว่าจะได้รับรู้ความสำนึกผิดจากเธอบ้าง แต่ปากเชิดยังคงเชิดเด่นท้าทาย
“แล้วไง”
ชายหนุ่มนิ่งอึ้งไปพักใหญ่เพราะผิดหวังในตัวน้องน้อยเหลือเกินที่เธอไร้น้ำใจได้ขนาดนี้ เพื่อกลั่นแกล้งปั่นป่วนเธอทำได้ถึงขนาดเอาความเป็นอยู่ของคนหรือครอบครัวคนอื่นมาเป็นหมากในการต่อรอง
“ทำไมใจดำแบบนี้!!” เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาผลุสวาทด่าเพศแม่อย่างสติขาดขนาดนี้ แต่อารมณ์โมโหยิ่งนับวินาทีกลับมีแต่จะเพิ่มขึ้น
“นี่!” หญิงสาวอึ้งเพราะไม่มีสักครั้งที่เขาจะกล้าทำขนาดนี้ต่อเธอ ไม่มีสักครั้งที่เขาจะเข้ามาถูกเนื้อต้องตัวเธอแบบนี้ “ปล่อยฉันนะ เรื่องอะไรมาว่าฉันใจดำ” คนทำผิดพอถูกด่าจริงๆก็รับไม่ได้ พี่ตุ่นไม่เคยใช้คำพูดทำร้ายจิตใจเธอ
“ทำไมน้องบัวทำแบบนี้ ทำไมทำลายเครดิตบริษัทตัวเองล่ะครับ” เขาจับเธอเขย่าพร้อมทั้งถามเพื่อให้คิด แต่คนที่ความงี่เง่าบังตามีหรือจะฟัง
“ฉันทำลายคุณต่างหากล่ะ คนที่จะเสียไม่ใช่บริษัทแต่เป็นประธานบริษัทที่แย่งตำแหน่งคนอื่นไปแบบคุณ” ยังดื้อรั้นอวดฉลาด
“ผมจะเสียหายอะไร แค่ผมชี้แจงในที่ประชุมว่าทุกอย่างเป็นเพราะคุณหนู กรรมการบริหารทุกคนก็จะตำหนิคุณหนู”
เสียงเข้มข้นดุๆนั้นทำให้คนบ้าได้สติ ร่างบางชะงักไปกับสิ่งที่ไม่ทันได้คิดให้ดีก่อนจะทำ แต่ด้วยทิฐิทำให้สาวนักเรียนนอกยังเชิดหน้าทระนง
“แล้วไง?”
แววตาอาทรของชายหนุ่มเปลี่ยนไปเล็กน้อยเพราะเริ่มรู้สึกได้ว่าคุณหนูคนงามที่อ่อนโยน หัวอ่อนของเขาได้หายไปจากโลกนี้แล้ว มีแต่คุณหนูบัวหอมที่งี่เง่า ยังยิ้มเยาะเขาอยู่ได้ทั้งๆที่ทำบริษัทปั่นป่วนและโดนฟ้องร้องเป็นสิบๆล้านเหรียญ อีกทั้งใจจืดใจดับท้าทายให้ไล่พนักงานฝ่ายขายออก เธอไม่มีน้ำใจแบบนี้จะปกครองคนได้ยังไง
ทั้งคู่จ้องตากันอยู่นานอย่างไม่มีใครคิดที่จะยอมแพ้ บัวหอมเบะปากทำหน้ายิ้มเยาะท้าทาย ลดทอนสติและความชั่งใจของแดนไตรจนหลวงตาหรือพระเจ้าก็เอาไม่อยู่ วินาทีนั้นเขาตัดสินใจที่จะสั่งสอนเด็กนิสัยไม่ดี วิธีการเดียวที่นึกออก คือวิธีการเดียวกันกับที่เขาใช้ลงโทษเด็กในปกครอง
“มานี่!” กระชากเสี่ยงห้วนจัดพร้อมทั้งออกแรงรั้งร่างบางที่ดีดดิ้นไปยังโซฟา หวังจะทำโทษเด็กงี่เง่าที่ถูกตามใจตั้งแต่เด็กจนคิดว่าทำเรื่องเสียหายอย่างไรก็ได้
“ทำอะไรน่ะ ปล่อยฉันนะ ไอ้คุณแดนไตร ไอ้บ้าทำอะไร” กรีดเสียงลั่นด้วยความตกใจระทึก อยู่ๆเขาก็กระชากลากถูกเธอมาที่โซฟา ที่ตัวลงนั่งและจับเธอคว่ำหน้าพาดอยู่กับตักแข็งแรง “ทะ...ว้าย!” ยังไม่ทันได้ตั้งหลักดีๆ ฝ่ามือหนักๆก็เหวี่ยงฟาดเข้ามาที่สะโพก มันดังฉาดใหญ่จนเจ้าของก้นงามงอนสะดุ้งเฮือก ความเจ็บแล่นตุบๆจนลามไปถึงขา
“ไอ้เด็กกำพร้า กล้าดียังไงมาตีฉัน” ร่างบางดิ้นรนจะหนี ทั้งเจ็บทั้งตกใจที่เขาทำรุนแรงแบบนี้ เกิดมาแม้แต่คุณแม่ยังไม่เคยตีเธอสักแปะ เขากล้าดียังไงก็แค่เด็กวัด!
“ทำอะไรลงไป คุณหนูรู้ตัวบ้างไหม!”
“เจ็บนะ” ยิ่งโวยวาย ยิ่งดิ้นรนฝ่ามือยิ่งฟาดลงมาแรง อีกสัก 2-3 ที จนร่างบางสงบนิ่งทิ้งร่างลงกับตักอย่างสิ้นหวัง จึงยอมคลายมือปล่อยร่างบางออก เจตนาต้องการจะสั่งสอนเหมือนกับผู้ใหญ่ลงโทษเด็ก เขาเองก็โตมากับไม้เรียวหลวงตาและบรรดาแม่ชีในวัด วิธีลงโทษคนทำผิดแล้วไม่รู้จักสำนึกคือการหวดฟาดจนกว่าจะสำนึก
“ไอ้พี่ตุ่นบ้า ไอ้คนบ้า” บัวหอมถึงกับโซเซ เบะปากน้ำตาซึมกับความเจ็บปวดและเจ็บใจ แดนไตรมีท่าทีนิ่งเฉย แม้เมื่อครู่จะลงแรงฟาดก้นเธอแรงมาก แต่พอใช้กำลังสั่งสอนก็เห็นแล้วว่ามันไม่ได้ช่วยให้หายโมโห เขายังโกรธในสิ่งที่เธอทำอยู่ คงต้องหาวิธีใหม่ในการสั่งสอนผู้หญิงงี่เง่าคนนี้
“น้องบัวจะฟ้องคุณแม่ ฮึก น้องบัวจะฟ้องว่าพี่ตุ่นรังแกน้องบัว” คนเจ็บเริ่มมีตรรกะเพี้ยน ทั้งๆที่ตนเองเป็นคนทำผิดที่พอถูกจับได้และโดนลงโทษกลับมาเรียกร้องสิทธิให้ตนเอง
แดนไตรถอนหายใจช้าๆ รวบรวมสติกลับมา ยกฝ่ามือหยาบกร้านทำงานหนักของตนขึ้นมาพิจารณา ฝ่ามือของเขาแดงเถือกจากแรงปะทะเมื่อครู่ สะโพกงามงอนของร่างบางจะขนาดไหน เธอคงระบมน่าดู
“น้องบัว” ความโมโหและอยากจะส่งสอน ทำให้เลือกใช้วิธีรุนแรง เธอเจ็บปวดเขารู้ เพราะเขาเองก็เจ็บที่ใจยามเห็นน้องน้ำตาร่วงหล่น ร่างสูงก้าวเข้ามาใกล้ ค่อยๆรั้งร่างบางที่กำลังสั่นเทาเข้ามาในอ้อมแขน ทีแรกเธอตัวสั่นเพราะกลัวแต่พอถูกความอบอุ่นจากอ้อมแขนแกร่งโอบล้อมก็เริ่มคลายกังวล
“พี่ตุ่นบ้า คนบ้า บ้าที่สุด” กำปั้นน้อยออกแรงทุบอกอีกฝ่าย แต่กำแพงแข็งแกร่งยังคงไม่สะเทือนสะท้าน เขากอดรัดร่างบางแน่นขึ้น สูดหายใจรับกลิ่นหอมหวานที่ทำให้ความรู้สึกมากมายปะทุ ทั้งรัก คิดถึง ห่วงหาและโมโห เมื่อครู่เขาลงโทษเธอ มันเจ็บราวกับว่าทุบตีตัวเอง บัวหอมคือทุกสิ่งทุกอย่างเขาของ แรงผลักดันสำคัญที่ทำให้หมั่นเพียรสร้างอนาคต วันนี้เขากลับลงไม้ลงมือกับเธอ แม้จะทำในนามของความหวังดีและลงโทษเพื่อเตือนสติก็ตาม
จวบจนประทุษร้ายหนำใจ ถึงยอมคลายอาการพยศแข็งขืน สงบเสงี่ยมในอ้อมกอดอบอุ่น คือถึงเหลือเกินกับผู้ที่เป็นเหมือนญาติ เหมือนพี่ชาย คนที่เป็นรักแรกของเธอ แต่ยิ่งรักและคิดถึงมากเท่าไหร่ ใจก็ยิ่งเจ็บปวดกับการถูกแก่งแย่งทรยศมากเท่านั้น
เสียงหวานสะอื้นโหย แขนเรียวยกกอดเอวสอบไว้หมดแรง หมดพลังและสิ้นหวัง ถูกหักหลังแย่งชิงทุกอย่างจากคนที่คิดว่าจะช่วยเธอรักษาทุกอย่างในชีวิต ยิ่งคิดยิ่งสิ้นหวังและแค้นเคือง
“พี่ตุ่นแย่งของน้องบัว แย่งของน้องบัวไปหมดเลย ฮือๆ” มือบางยกขึ้นขยี้หูตางอแงเป็นเด็ก แดนไตรทั้งสงสารละคนเห็นใจ แต่ด้วยสัญญาลูกผู้ชายก็เลยไม่อาจทำให้เธอผิดหวังในตัวแม่บังเกิดเกล้าได้
“พี่ตุ่นขอโทษนะคะน้องบัว” นับครั้งไม่ถ้วนในชีวิตของแดนไตรที่เอ่ยคำขอโทษต่อน้องน้อยยามเมื่อเห็นน้ำตาของเธอ น้ำตาของบัวหอมมีอิทธิพลต่อใจของเขาเสมอ ตั้งแต่เธออายุไม่กี่เดือน จนกระทั่งตอนนี้ ฝ่ามือบางลูบเรือนผมหอมนุ่ม ก่อนจะค่อยๆประครองอีกฝ่ายเพื่อจะพาไปยังโซฟา ให้เธอได้พักก่อนค่อยคุยกันใหม่
แต่ในระหว่างที่ทั้งคู่กำลังประครองกันอย่างแนบชิด บานประตูห้องทำงาน ซึ่งเป็นพื้นที่ส่วนตัวของแดนไตรและไม่ได้มีไว้คุยงานหรือรับแขกก็ถูกเปิดออก คนที่เข้ามาใหม่คือสาวหุ่นนางแบบที่กำลังยิ้มร่าเริง “ตุ่นคะ ไปกินข้าวกันค่ะ” ใบหน้าเนียนเกลี้ยงค่อยๆหุบยิ้มเมื่อพบกับภาพบาดใจ
“เอ่อ...ขอโทษค่ะ เดี๋ยวรีนกลับก่อนก็ได้” หญิงสาวคนสวยที่เปิดประตูเข้ามาเห็นฉากชวนให้เข้าใจผิด เธอรีบกลับหลังหันเตรียมจะเดินหนี เพื่อให้พื้นที่ส่วนตัวแก่ผู้เป็นเขา กอดกันแนบชิดขนาดนั้นคงจะเป็นสาวๆที่ตามมาติดพันเขา แม้จะแปลกใจอยู่มากว่าทำไมเขาถึงยอมให้ผู้หญิงขึ้นมาถึงที่ทำงาน อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“เดี๋ยวก่อนครับรีน” แดนไตรเป็นฝ่ายร้องเรียก “คุณกำลังเข้าใจผิดนะครับ” รีบพยายามอธิบาย เจตนาของเขาคือไม่ต้องการให้บัวหอมถูกมองไม่ดี แต่สิรินนภาจินตนาการไปไกลว่าเขาห่วงใยความรู้สึกของตน
“เข้าใจผิดอย่างนั้นเหรอคะ” สาวเจ้าเก็บอาการไม่เก่งนัก ในแววตามีความร้าวลึกในใจปนกับความหึงหวงยามเห็นเขาใกล้ชิดผู้หญิงคนอื่น
“คนนี้คือคุณบัวหอม ลูกสาวของคุณอุบล แม่พระที่มอบโอกาสจนผมมีทุกอย่างในชีวิตวันนี้ครับ” เขารีบแนะนำเธออย่างภาคภูมิใจ
“สวัสดีค่ะคุณบัวหอม” สิรินนภาผ่อนคลายลงอย่างเห็นได้ชัด หญิงสาวยิ้มหวานให้กับแขกของคนสำคัญ
“คุณหนูครับ นี่คุณรีน สิรินนภา เพื่อนของผมเอง” เขาพยายามสร้างบรรยากาศดีๆ เผื่อวันข้างหน้าหญิงสาวทั้งสองจะเป็นเพื่อนกันได้ สิรินนภาหน้าเจื่อนเล็กน้อยที่เขาใช้คำว่าเพื่อนแนะนำตัวเธอต่อหน้าหญิงอื่น ซึ่งอาการแบบนี้แดนไตรรู้ดีว่าเธอกำลังคิดมากกับการเสียเขาไป “เพื่อนที่ผมสนิทที่สุด” ต้องเพิ่มคำว่าสนิทที่สุด เพื่อรักษาน้ำใจออกไปแบบนั้น แม้สุดท้ายแล้วเขาก็เหมือนเดิม ไม่กล้าชัดเจนว่าปฏิเสธสิ้นเชิงกลัวเธอเสียน้ำใจแต่ก็รู้เต็มอกว่าผลกระทบจากการรักษาน้ำใจคือทำให้สาวช่างฝันยังคงอยู่ในโลกแห่งความฝัน ไม่ยอมรับความจริงเสียทีว่ามันจะไม่มีวันเป็นมากไปกว่าเพื่อนสนิท
“กำลังแปลกใจอยู่เชียวค่ะ ว่าตุ่นจะพาสาวที่ไหนขึ้นห้องทำงาน รีนเกือบจะทำตัวไร้เหตุผลใส่ตุ่นเสียแล้ว ขอโทษด้วยนะคะตุ่น” เธอค่อยมีสีหน้าที่ดีขึ้นหน่อย เมื่อรู้ว่าผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่คนที่เขาจะนอนด้วย แต่เป็นลูกของคนที่มีพระคุณ ที่แดนไตรรักและเคารพมากที่สุดในชีวิต
“ไม่เป็นอะไรครับ” แดนไตรยิ้มหวานตอบด้วยความไม่ถือสา ในขณะที่สิรินนภา คนที่รักเขาอีกคน นั้น ไม่ได้ทำอะไรผิดที่เขาต้องโกรธเลย แม้จะไม่ได้ชัดเจนว่าเขากับเธอเป็นแฟนหรือผัวเมียกัน แต่ก็ยังถือว่ากำลังทดกันไว้ในใจรอให้เขาเปิดตามองใครอื่นนอกจากบัวหอมบ้าง รอให้เขารู้สึกรักในตัวเธอมากเกินกว่าเพื่อนบ้าง
“วันนี้รีนมีสอนตอนเช้าแล้วตอนบ่ายว่างค่ะ เลยมาชวนคุณไปกินข้าวเที่ยงหรือก็ดื่มกาแฟด้วยกันที่ร้านของยายมุก เชิญคุณบัวหอมด้วยนะคะ” ยิ่งอาจารย์สาวอยู่ใกล้แดนไตรมากเท่าใด รอยยิ้มของเธอยิ่งสดชื่นแจ่มใสและอ่อนหวานมากเท่านั้น เป็นรอยยิ้มที่ทำให้หญิงสาวอีกคนรู้สึกร้อนรนและหงุดหงิดใจมากขึ้นเรื่อยๆแต่เธอตอบโต้ไปได้เพียงแค่รอยยิ้มบางๆ
“ดีครับ ตั้งแต่เช้าผมยังไม่ได้กินข้าวเลย” ตอบรับเหมือนอย่างเคยนับตั้งแต่รู้จักกันมา เขาปฏิเสธเธอเพียงเรื่องเดียวคือเรื่องหัวใจ และนั่นยิ่งทำให้บัวหอมหงุดหงิดมากยิ่งขึ้นไปอีก เขาทำเสียงดุใส่เธอแต่กลับพูดจาสุภาพเรียบร้อยต่อหญิงสาวอีกคน
“แอ่ม” บัวหอมต้องกระแอมเบาๆให้ชายหนุ่มที่เป็นคนกลางได้ยิน รู้สึกฉุนโกรธในตัวชายหนุ่มมากขึ้นที่ให้ความสนใจผู้หญิงคนอื่นนอกเหนือจากเธอ ทั้งๆที่เป็นคนที่แย่งทุกอย่างไปจากเธอ
“อ้อ คุณหนูไปทานข้าวกับผมนะครับ” เขาหันมาเชิญชวนด้วยคน แต่สาวเจ้ากับแอบค้อนเข้าให้ แดนไตรไม่ถือสาเขายังยิ้มหวานให้เธออยู่เช่นเดิม “ไปด้วยกันนะครับ ร้านของน้องมุกน้องสาวคุณรีนทำอาหารอร่อยนะ”
บัวหอมหน้าตายังบึ้งตึง ยิ่งมาเห็นภาพการสนทนาด้วยความสนิทสนมและอ่อนโยนของพวกเขา ดูก็รู้ว่าสายตาของผู้หญิงสาวสวยคนนี้รักนายแดนไตร และท่าทางของเขาเองก็ดูเกรงอกเกรงใจ เธอเป็นผู้หญิงฉลาด แดนไตรให้ความสำคัญต่อเธอมาก เธอรู้ดีที่สุด ถ้าหากตอนนี้สิรินนภาอาจจะเป็นผู้หญิงที่สำคัญต่อใจของเขา แต่เธอจะต้องเป็นคนที่สำคัญต่อชีวิตของเขามากที่สุดให้ได้!
“ไม่ไปค่ะ” ปฏิเสธบึ้งตึงไร้เยื่อใย จากนั้นค้อมหัวให้สิรินนภาเป็นการอำลาและเดินออกจากห้องทำงานของผู้บริหารหนุ่ม
“รีนอย่าถือสาเลยนะ เมื่อครู่นี้ผมพึ่งดุคุณหนูไปน่ะ” รีบมาแก้ต่าง เขาไม่อยากให้ใครมองคุณหนูของเขาไร้มารยาท เมื่อครู่เธอถูกตีก้นหลายทีซ้ำยังถูกดุที่ทำผิด ไม่แปลกและไม่ผิดที่จะกระฟัดกระเฟียดใส่เขาไม่เก็บอาการ
“ค่ะ เราไปกันเถอะค่ะตุ่น” ยิ้มหวานใจกว้างแต่ในหัวคิดจนว้าวุ่นถึงอาการให้ความสำคัญต่อคุณหนูคนงามคนนั้นจนในตอนนี้ไม่มีเธอในสายตาของเขาเลย
“เดี๋ยวผมขอเวลาสักครู่นะ ขอจัดการเอกสารแฟ้มนี้ก่อน” ในเมื่อคุณหนูบัวหอมไม่ไปด้วยก็ไม่จำเป็นต้องรีบ
“ค่ะ” สุดท้ายแล้วสิรินนภาก็ต้องนั่งรอเขา แต่ไหนแต่ไรมีแต่เธอที่เป็นฝ่ายรอและไม่ปริปากบ่น เธอจะต้องรอเสมอ อย่าคิดว่าเรื่องการรอแม้ระยะเวลาสั้นๆมันจะไม่มีผลต่อความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ เพราะมันสะท้อนว่าเธอไม่ได้เป็นสิ่งสำคัญอันดับหนึ่งในชีวิตของเขา
บัวหอมยืนมองคู่หญิงชายเดินหัวร่อต่อกระซิกจากบริเวณบันไดวนของบริษัท สายตาโกรธแค้นถูกส่งไปแผดเผาทั้งคู่ แดนไตรสุภาพอ่อนโยนเวลาอยู่ต่อหน้าสิรินนภา ผิดกับเวลาเผชิญหน้ากับเธอที่มีแต่ความเฉยชา เขาพร้อมที่จะดูถูกเหยียดหยามเธอทางสายตา ผิดกับมองไปที่เพื่อนสนิทของเขาอย่างหวานซึ้ง
“เพื่อนสนิทสินะ” ความสนิทสนมของเขาทั้งคู่ทำให้ในหัวนึกแผนปั่นหัวเขาขึ้นมาใหม่ได้อีกแผน ถ้าให้ปั่นป่วนบริษัทก็เท่ากับทำไม่ดีกับหม้อข้าวหม้อแกงของตัวเอง งั้นก็สั่นประสาทเขาด้วยเหตุผลหึงหวงดีกว่า
แดนไตรกับสิรินนภาออกไปกินข้าวเที่ยงด้วยกันร่วมสองชั่วโมงแล้ว และไม่นานนักฝ่ายชายก็ติดต่อกลับมาทางเลขาหน้าห้องว่าวันนี้จะไม่กลับเข้าออฟฟิศแล้ว และภาระงานที่เหลือขอมอบอำนาจให้กรรมการบริหารบริษัทอย่างบัวหอมมีอำนาจในการจัดการแทนในวันนี้เพียงวันเดียว ซ้ำยังกำชับว่าให้ระมัดระวังการจัดการสินค้าที่จะจัดส่งไม่ให้ไปผิดประเทศซ้ำอีก นักธุรกิจสาวโมโหขึ้นไปอีกที่เขาลงโทษเธอตอนสายไม่พอซ้ำยังทิ้งภาระงานให้เธอทำอีก
“แย่งชิงบริษัทฉันไปแล้วยังมีหน้าให้ฉันทำงานเป็นทาสอีกเหรอ คนทุเรศ” ด่าด้วยความจงเกลียดจงชังและอคติ ถึงอย่างไรก็ไม่มีทางมองเขาในแง่ดีว่านี่คือโอกาสแก้ตัวที่เขามีให้เพื่อทดแทนสิ่งที่ทำผิดพลาดไปครั้งก่อน
บท 3ในวันหยุดยาวชดเชยวันสำคัญของคนชาวไทย บ้านของสิรินนภายามนี้ถูกจับตกแต่งราวกับราชวังในนิทาน เพื่อเป็นการต้อนรับปลัดกระทรวงมหาดไทย ผู้หลักผู้ใหญ่ที่ทางครอบครัวฝ่ายชายขอความกรุณามาเป็นธุระเรื่องการทาบทามสู่ขอลูกสาวบ้านนี้อย่างเป็นทางการ อาจารย์สาวไม่ค่อยแปลกใจกับการต้อนรับแขก เธอเข้าใจว่าเป็นการทาบทามสู่ขอน้องสาวคนเดียวของเธอที่ตอนนี้คงจะคบหากับแฟนหนุ่มจนความรักสุกงอมหอมหวาน เธอมีแก่ใจช่วยทำน้ำใบเตยเย็นชื่นใจต้อนรับแขกเหรื่อที่แม่ตื่นเต้นนักหนา“แขกรับน้ำดื่มเรียบร้อยแล้วค่ะคุณรีน เดี๋ยวทางนี้ป้ารับผิดชอบต่อเอง คุณรีนขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนผ้าเถอะนะคะ” ป้าจอมบอกกับคุณหนูน้อยคนงามด้วยรอยยิ้มหวาน วันหยุดว่างจากการสอนทั้งทีคนอย่างอาจารย์สิรินนภายังไม่ยอมอยู่เฉย ตื่นแต่เช้าลงมาช่วยหยิบจับงานครัวจนเรียบร้อย หลังจากที่ได้ยินคนเป็นแม่บอกถึงนัดหมายว่าจะมีแขกสำคัญมาเยี่ยมเยียนและพูดเรื่องสำคัญ“จ่ะป้า” หญิงสาวรับคำยิ้มๆ ถอดผ้ากันเปื้อนและเดินกลับห้องนอนของตนที่อยู่ชั้นสองของตัวบ้าน แต่ไม่อายแอบมองไปที่โถงใหญ่รับแขก ซึ่งตอนนี้มีแขกคนสำคัญของคุณแม่นั่งอยู่เต็มไปหมด“เอ...แล้วเจมส์ไปไหน” ถามกับตัวเ
บทที่ 5 บ่วงเสน่หาบริษัทเศวต กรุ๊ปได้รับคำเชื้อเชิญให้ร่วมพิธีเปิดอาณาจักรโรงงานอาหารแปรรูปข้ามชาติในจังหวัดหนึ่งติดทะเลอ่าวไทย พิธีการถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่เพราะเป็นอภิมหาโครงการที่มีการลงทุนในระดับข้ามชาติ ดังนั้น เศวต กรุ๊ปและแดนไตร ในฐานะที่ปรึกษาโครงการต้องเข้าร่วมงานเลี้ยงฉลองการพัฒนาอีกขั้นของอุตสาหกรรมอาหารแปรรูปครั้งนี้ด้วย ทีแรกบัวหอมไม่ประสงค์ที่จะร่วมเดินทางมางานเลี้ยงครั้งนี้เพราะถือว่าตนไม่ได้มีส่วนร่วมอะไรกับการลงทุนครั้งนี้ แต่ก็มีบัตรเทียบเชิญในนามบริษัทและเธอไม่ยินยอมหากแดนไตรจะได้ไปร่วมงานในนามของบริษัทแต่เพียงผู้เดียว เพราะเศวต กรุ๊ปคือบริษัทของเธอ‘ถ้าไม่ได้ชื่อเสียงของเศวต กรุ๊ป ก็ไม่มีใครเขาจ้างเศรษฐีหน้าใหม่อย่างแกมาให้คำปรึกษาหรอก’ คุณหนูคนงามยังคงมองด้านเดียว เธอไม่ได้มองว่าแดนไตรเป็นฝ่ายทำทุกอย่างเพื่อสร้างเครดิตให้กับบริษัทของเธอ และเขาได้ช่วยทำให้บริษัทที่ใกล้จะถึงจุดล่มสลายได้กลับกลายเป็นที่รู้จักในตลาดหลักทรัพย์และในแวดวงศ์ธุรกิจอีกครั้ง ทั้งๆที่เขาจะอ้างถึงเพียงชื่อของเขา นายแดนไตร วิริยะกิจ เจ้าพ่อตลาดหลักทรัพย์ที่ประสบความสำเร็จในทางธุรกิจและการลงท
บทที่ 4โจรปล้นจูบเพียงต้องการจะป่วนประสาท เธอถึงกับยอมล้มลงเพื่อให้ดูเหมือนพลัดตกบันได เพื่อให้แดนไตรปฏิเสธนัดที่มีต่อสิรินนภาและมาเฝ้าไข้เธอที่มีอาการบาดเจ็บ ทั้งๆที่เขาสัญญาจะพาอีกฝ่ายกลับบ้านผลการรักษาพบว่าคนเจ็บไม่เป็นอะไรมากแต่เนื่องจากบัวหอมซึมลงอย่างเห็นได้ชัดจนแดนไตรร้อนใจและอยากให้เฝ้าดูอาการอีกคืนหนึ่งจึงขอหมอให้เธอแอดมิด“น้องบัวเป็นยังไงบ้าง เจ็บตรงไหนไหมครับพี่จะไปตามหมอมาให้” เกือบค่อนคืนเขานั่งเฝ้าไม่ไปไหน แม้แต่เสียงโทรศัพท์ที่ดังยังไม่ยอมลุกขึ้นไปรับ“เจ็บค่ะ”“เจ็บตรงไหน เจ็บมากไหมพี่จะไปตามหมอนะ” รีบลุกกระวีกระวาดแต่มือบางจับคว้าแขนเขาไว้พร้อมทั้งออกแรงบีบแน่น ยิ่งเขาถามด้วยท่าทีอ่อนโยนเป็นห่วง ก็ยิ่งมีความสับสนมากขึ้น“ทำไมต้องทำเหมือนเป็นห่วงกันทั้งๆที่ถ้าไม่มีฉันสักคนคุณก็เป็นเจ้าของบริษัทได้โดยไม่มีใครตั้งคำถามหรือข้อครหาอยู่แล้ว คุณควรจะดีใจนะที่เห็นฉันเจ็บยิ่งฉันตายยิ่งต้องดีใจเพราะทุกๆอย่างมันจะเป็นของคุณโดยสมบูรณ์ไม่ต้องมาคอยทำท่าทางไม่ต้องการบริษัทฉันอย่างที่ทำอยู่ทุกวัน” เค้นเสียงอย่างอัดอั้น ยิ่งมองหน้ายิ่งสับสนละคนผิดหวัง ชายหนุ่มไม่ตอบเพราะในใจรู้ดีว
บทที่ 6ก่อนหน้านั้น...บทรักอ่อนหวานที่กินเวลาจนย่ำรุ่งไม่ได้ทำให้สาวที่พึ่งสูญเสียความบริสุทธิ์และก้าวผ่านความเจ็บปวดฉีกขาดนั้นจับไข้หรือเป็นอะไร แต่ทว่ากลับเป็นฝ่ายชายหนุ่มที่มีอาการหนักหัวจนลุกจากหมอนไม่ได้ เขาคิดจนหัวแทบระเบิดว่าเมื่อวานทำกิจกรรมอะไรที่ส่งผลให้มีอาการครั่นเนื้อตัวและหนักหัวคล้ายจะเป็นไข้หวัดแบบนี้ก็ยังคิดไม่ออก เพราะถ้ากิจกรรมเข้าจังหวะแนบชิดเมื่อคืนคงจะไม่ใช่สาเหตุหลักเพราะเขาทำกับหญิงสาวคนอื่นๆมานับครั้งไม่ถ้วนแล้วจนกระทั่งคิดออกว่าเมื่อวานตอนมื้อค่ำ เขาได้กินกุ้งทะเลและหอยนางรมเข้าไป เนื่องจากตอนเด็กเป็นเด็กวัด ถูกเลี้ยงมาด้วยข้าวก้นบาตรจากพระอาหารดีๆหรูๆจึงคล้ายกับเป็นของแสลงท้อง โดยเฉพาะกุ้งทะเลตัวใหญ่ๆและหอยนางรมสดๆที่ตั้งแต่แรกเกิดกำพร้าพ่อแม่ก็ยังไม่เคยเอาเข้าปาก จนถึงทุกวันนี้อาหารประจำของเขายังเป็นอะไรที่ง่ายๆไม่พิสดาร เมื่อคืนพอได้กินอะไรพิสดารขึ้นหน่อยสงสัยจะมีอาการแพ้ขึ้นมา“ความจริงแล้วควรจะเป็นบัวมากกว่านะคะที่ป่วยแล้วพี่ตุ่นต้องดูแล” พยาบาลจำเป็นบ่นกระปอดกระแปดในระหว่างที่เตรียมน้ำเต้าหู้นมสดสูตรร้อนใส่แก้วให้คนป่วย เมื่อตอนสายตื่นขึ้นมาแล้วพบว่า
บทที่ 7ผู้เสียหายบัวหอมแทบจะกรีดร้องด้วยความโกรธเมื่ออยู่ๆเธอกลายเป็นเป้าประเด็นทางสังคม หนังสือพิมพ์ชื่อดังทุกฉบับจะมีภาพข่าวเธอในหน้าข่าวสังคมเศรษฐกิจ เธอตกเป็นประเด็นล้อเลียนขำขันในฐานะลูกสาวของอดีตเจ้าของเศวต กรุ๊ปที่ยิ่งใหญ่ย่องขึ้นคอนโดหรูของนักธุรกิจเทพบุตรสุดหล่ออย่างแดนไตรผู้เป็นเจ้าของเศวต กรุ๊ปคนใหม่“ย่อง? ใช้คำว่าย่องขึ้นคอนโดงั้นเหรอ” ความโมโหไม่ได้อยู่ที่เธอเป็นข่าวหรือรู้สึกราวกับกลายเป็นคนสาธารณะทั้งๆที่เธอไม่ใช่ แต่มันโกรธตรงที่คำพูดพาดหัวข่าวที่ทำเหมือนเธอเป็นพวกลักกินขโมยกิน “คนอย่างบัวหอมทำไมต้องแอบ ลงข่าวแบบนี้หมายความว่ายังไง หมายถึงฉันเอาตัวไปแลกกับผลประโยชน์งั้นเหรอ” โวยลั่นสักพักก่อนจะเงียบเสียงลง เอาตัวเข้าแลก ใช้มายายั่วยวนเพื่อหวังผลประโยชน์จากบริษัท เธอทำและเป็นทุกอย่างแบบที่ข่าวลงทั้งนั้นร่างบางค่อยๆนั่งลงนิ่งเงียบ น้ำตารื้นขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่เมื่อนึกถึงศักดิ์ศรีความเป็นลูกผู้หญิงที่แทบจะหมดลง เจ้าตัวทำอะไรลงไปก็พอจะรู้อยู่แล้ว แต่พอถูกเน้นย้ำถูกสะกิดแผลขึ้นมามันก็อดที่จะสะเทือนจิตใจไม่ได้ เหนืออื่นใดถ้าหากคุณแม่เห็นข่าวนี้ท่านจะรู้สึกอย่างไร คงจะเจ็
บท 8อีกสองเดือนถัดมางานแต่งงานเล็กๆได้ถูกจัดขึ้น ในสนามหญ้าหน้าบ้านถูกเนรมิตขึ้นให้เป็นบรรยากาศอบอุ่น ในงานเชิญแต่บรรดาเพื่อนสนิทนักธุรกิจที่คบหากันและแขกผู้หลักผู้ใหญ่ของฝ่ายเจ้าสาว งานสงบเงียบมีเพียงคนรู้จักมักคุ้นตามความประสงค์ของนางอุบลผู้เป็นแม่เจ้าสาว ในงานคนที่มีความสุขคือนางอุบลที่เห็นลูกสาวอยู่ในอ้อมแขนของคนที่ไว้ใจได้ แต่ทว่าเบื้องลึกในใจของเจ้าบ่าวจะสาวนั้นหน้าชื่นอกตรม เพราะตั้งแต่ตกเป็นข่าว ตั้งแต่เห็นเขากอดกับสิรินนภาทั้งคู่ก็ยังไม่ได้พูดคุยปรับความเข้าใจกัน ให้หลังวันที่เธอไปแจกการ์ดเชิญให้กับสิรินนภาวันนั้นเธอถูกแดนไตรฉุดกระชากขึ้นรถทันทีที่เลิกงาน มือที่เคยกอบกุมให้ความอบอุ่นตอนนี้บีบรัดจนกระดูกแทบแตก เขาพาเธอไปที่คอนโดและเปิดฉากทะเลาะกันอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน พี่ตุ่นคนเย็นใจดีขึ้นเสียงใส่เธอเพื่อปกป้องผู้หญิงคนอื่น พี่ตุ่นที่เคยสัญญาว่าจะปกป้องเธอกลับใช้สายตาดุดันสังหารจิตใจเธอเพื่อปกป้องผู้หญิงคนอื่น เขามองเธอด้วยสายตาผิดหวังที่เธอกลายเป็นผู้หญิงงี่เง่าหึงหวงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ด้วยความโมโหเลยตอกหน้าเขากลับไปว่าจะไปกอดกับเพื่อนผู้ชายบ้าง นั่นยิ่งทำให้คุยกั
บทที 9นพพลยืนเซ็งๆพร้อมกับถุงหนังสือพวงใหญ่ ทั้งหนัก ทั้งเมื่อยแต่หญิงสาวที่เขาตามเฝ้าทั้งวันกลับยังมีทีท่าตื่นเต้นเมื่อได้เปิดหนังสือเล่มแล้วเล่มเล่า วันนี้หลังจัดการเรื่องแหวนหมั้นและชุดแต่งงานรวมถึงคุยกับออแกไนซ์รับจัดงานวิวาห์ ว่าที่เจ้าสาวขอของขวัญสละโสดเป็นการไปเดินห้าง แต่การเดินห้างของอาจารย์สาวนั้นแปลกประหลาดเพราะมันไม่ใช่การไปเลือกเสื้อผ้าและของสวยๆงามๆแต่เป็นการเดินเลือกหนังสือ ทั้งตำราเรียน หนังสืออ่านทั่วไปและนิยาย“รีนครับ ผมว่าเราไปนั่งร้านกาแฟตรงนั้นก่อนดีไหม” เขาหมายถึงร้านกาแฟสัญชาติอเมริกันชื่อดัง เขาต้องการจะพักบ่าและมือที่แบกหนังสือร่วมสามสิบกิโลมาค่อนวัน หญิงสาวมองตามก่อนจะทำปากยื่นไม่เห็นด้วยกับความคิดเขา เธอจะไม่เข้าร้านนั้นเด็ดขาด ร้านที่กาแฟแก้วหนึ่งมีราคาเทียบเท่าค่าแรงหนึ่งวันของแรงงานบางคนในประเทศ“ไม่เอาค่ะ รีนอยากเลือกหนังสือแต่ถ้าคุณเบลเหนื่อย ก็ไปนั่งรอที่นั่นก่อนได้นะคะ เดี๋ยวรีนช๊อปปี้งเสร็จจะตามไปค่ะ” ยิ้มหวานน่ารักก่อนจะหันหน้าไปสนใจกองหนังสือต่อ เทศกาลหนังสือทั้งที หนอนหนังสืออย่างเธอไม่อยากจะเสียโอกาส แม้จะเป็นเทศกาลที่ละลายทรัพย์ไปมากโข แต่ทุกเ
บทที่ 10หวาน...ขมสุดท้ายแล้วโปรเจกขายน้ำตาลให้กับอเมริกาของเศวต กรุ๊ปมีอันพ่ายแพ้ให้กับการเจรจาขายของบริษัทนพพล เขาจัดซื้อและรวบรวมน้ำตาลจากโรงงานอื่นๆที่ไม่ใช่เศวต กรุ๊ปและเสนอราคาขายให้กับอเมริกาในราคาที่ถูกกว่า ทำให้บริษัทที่แดนไตรบริหารกำลังประสบปัญหาไม่มีตลาดรับซื้อสินค้า บริษัทขาดดุลการค้าเกือบพันล้านเนื่องจากซื้อสินค้าและผลิตสินค้ามาแล้วไม่สามารถนำไปส่งขายต่อได้กว่าสองอาทิตย์ที่ชายหนุ่มตรากตรำทำงานหนัก ไม่ได้กลับบ้านกลับช่อง อาศัยนอนพักในห้องทำงานและเดินทางคุยธุรกิจการลงทุนจนหลงลืมวันเวลา ทุกอย่างมันสูญสลายไร้ค่าเพราะสุดท้ายข้อมูลทุกอย่างตกอยู่ในมือของบริษัทคู่แข่งอย่างนพพล ให้มันไปดำเนินการซื้อขายตัดหน้าเขาจนสร้างกำไรมหาศาลพร้อมๆกับลดความน่าเชื่อถือด้านการลงทุนให้กับตัวแดนไตร ไม่เฉพาะกรรมการบริษัทที่เริ่มหวั่นใจกับการบริหารงานอันล้มเหลว บรรดาพนักงานเริ่มรวมตัวกันเรียกร้องความมั่นใจจากนักบริหารหนุ่ม เนื่องจากสินค้าไม่สามารถระบายขายให้ใครได้ ต้องลดอัตราการผลิต ส่งสัญญาณการปลดการจ้างงานให้พนักงานในบริษัทผวาอยู่เป็นระยะงานแต่งงานสุดยิ่งใหญ่ของสิรินนภาและนพพลถูกจัดขึ้นในช่วงกลา
“ผมไม่ยอมนะลูกจัน” น้ำเสียงเข้มข้นและสายตาตื่นตระหนกของเขาทำให้ทั่วทั้งบ้านหัวเราะครื้นเครง ถึงคราวมารร้ายโดนหลอกหลอนคืนบ้างยาม“เป็นไงล่ะคุณอาร์ต ของแบบนี้ถ้าไม่มีลูกสาวไม่เข้าใจหรอก เริ่มกลัวหรือยังว่าตอนลูกจันผมเจ็บใจคุณขนาดไหน”“กลัวแล้วครับ นี่ให้ผมมีความสบายใจหน่อยเถอะ ต้องหวงทั้งเมียต้องห่วงทั้งลูกแบบนี้” มืออีกข้างคว้าเอวคอดกิ่วของสกาวเดือนเข้ามากอดไว้แน่นทั้งยังหอมแก้มนวลฟอดใหญ่ไม่มีเขินอายสาตาอีกหลายคู่มองมา“ปะป๊าคิสมะม๊า” ยัยหนูเพียงดาวพูดอ้อแอ้ตามที่เห็น ตาแป๋วใสซื่อก่อนจะหัวเราะชอบใจแม้ว่าไม่เข้าใจความหมายอะไรนอกจากปะป๊ารักมะม๊า ก่อนจะโน้มตัวเอียงคอซบไหล่พ่ออาร์ตออดอ้อนให้เขาแสดงความรักต่อเธอด้วย เรียกเสียงหัวเราะจากทุกคนในบ้าน“เดี๋ยวคุยกันไปก่อนนะ เดี๋ยวจะไปซื้ออาหารวันนี้เดี๋ยวกินข้าวเย็นด้วยกัน บัวไปกับพี่นะ” อยู่ๆก็เกิดอาการอยากจูบภรรยาจึงต้องหาข้ออ้างชวนเธอมาอยู่ตามลำพัง กลัวว่าจะน้อยหน้าคนอื่นๆ รีบอุ้มหนูน้อยอัยยามาวางใส่แขนของนพพลผู้เป็นพ่อทูนหัว “อยู่กับลุงเบลห้ามดื้อนะอัยยา เดี๋ยวปะป๊าไปซื้ออาหารอร่อยๆมาให้กินนะ” เด็กหญิงว่านอนสอนง่ายพูดอะไรไปก็เข้าใจเป็นอย่างดี
วันหยุดยาวสิ้นปี บ้านวิริยะกิจวันนี้คึกคักไปด้วยคุณพ่อคุณแม่ที่ต่างก็พาครอบครัวมารอต้อนรับสกาวเดือนกลับจากอังกฤษ หนูน้อยอัยยาลูกสาวคนเดียวของแดนไตรและบัวหอมมีการแสดงโชว์เล็กๆเป็นการร้องเพลงแบบเด็กๆสร้างสีสันให้บรรยากาศอบอุ่นสนุกสนานมากยิ่งขึ้น ตอนนี้แดนไตรมีสถานะเป็นคุณตาทันทีที่ลูกสาวบุญธรรมให้กำเนิดทารกเพศหญิง เด็กหญิงเพียงดาว เด็กไทยที่ถือกำเนิดที่ประเทศอังกฤษในระหว่างที่พ่อและแม่ของเด็กไปเรียนต่อ เด็กหญิงเป็นขวัญใจของคุณตาและคุณปู่คุณย่าที่เฝ้ารอหลานมาถึงสามปีและอีกปีกว่าที่อติชนจะยอมพาลูกสาวมาเมืองไทย เพราะรอให้สกาวเดือนเรียนจบปริญญาโทก่อน “อัยยา รักน้องให้มากๆนะหนูเป็นพี่คนแล้วรู้ไหม” แดนไตรสอนลูกสาวด้วยเสียงที่สอง อ่อนโยน ออดอ้อนแก้วตาดวงใจของพ่อ เด็กหญิงอัยยาวัยห้าขวบพยักหน้าเข้าใจ ก่อนจะโน้มตัวไปจุมพิตน้องน้อยวัยขวบเศษที่กำลังนั่งทำหน้างงว่าคนพวกนี้เป็นใครและยังเจ็ตแหลกจากการบินข้ามทวีปมาถึงเมื่อเช้า จากนั้นหนูน้อยหันมาจุ๊บปากปะป๊าตุ่นสลับกับหม่ามี๊บัวเพื่อให้เสมอกันทุกคนความน่ารักของหนูน้อยอัยยาทำให้นพพลและสิรินนภาที่ไม่มีลูกสาวตื่นเต้นระคนอิจฉา “วันนี้ทำลูกสาวกันนะ” จนชา
จดจ้องชายหนุ่มด้วยความโกรธเคือง “คุณเบล...รีนท้อง” เค้นเสียงเจ็บใจที่สุดท้ายเป็นเธอเองที่คว้างงูไม่พ้นคอ ตั้งใจจะตัดขาดกับเขาอีกสักหนึ่งปีเพื่อให้ต่างคนต่างไปทบทวนตัวเอง ก็พังไม่เป็นท่าเพราะผลพวงจากค่ำคืนนั้นเขายัดลูกเข้ามาในท้องเธอด้วย!“อะไรนะ?” เหมือนฝันไปที่ได้ยินเรื่องท้อง “รีนท้องเหรอ”อึ้งสักพักก่อนจะลำพองใจยิ้มกว้างขนาดตอนนั้นป่วยอยู่แท้ๆยังน้ำยาแรงขนาดนี้ ครั้งเดียววันนั้นส่งผลต่อวันนี้ พอได้สติว่าไม่หูฝาดก็ถึงกับกระโดดโลดเต้นดีใจอึกทึก ยกร่างบางขึ้นอุ้มก่อนจะหมุนไปรอบๆ “ไชโย” ดีใจจนเก็บอาการไม่ได้ “ผมดีใจที่สุดเลยรีน ขอบคุณรีนมากเลยนะที่เอาข่าวดีแบบนี้มาบอกผม” ก่อนจะระดมจูบทั่วใบหน้านวลที่กำลังชื้นไปด้วยน้ำตา ในความทรงจำลางๆเขายังนึกได้ถึงความรู้สึกตอนนั้นว่ามันตื่นเต้นดีใจขนาดไหนที่รู้ว่าชุดทดสอบได้ปรากฏผลว่าตั้งครรภ์ แต่ตอนนั้นเขาก็ดีใจได้อยู่ไม่ทันข้ามคืนเพราะเข้าใจว่าเธอเข้าโรงแรมกับชายชู้เสียก่อน“คุณไม่ว่าเป็นลูกคนอื่นแล้วเหรอ” ถามด้วยความแค้นไม่หาย “คราวนี้จะว่าลูกในท้องฉันเป็นลูกของตุ่นไหม” ทำท่ายกกำปั้นขู่ชายหนุ่มรีบยกมือเช็ดน้ำตาให้อีกฝ่ายพร้อมทั้งรวบมือบางที่ต้อง
หนึ่งปีที่ตั้งมั่นให้นพพลพิสูจน์ตัวเอง เอาเข้าจริงคนที่ตั้งกฎขึ้นมาเองกลับทำได้เพียงแค่สองเดือน เพราะอยู่ๆเช้าวันนี้เธอตื่นขึ้นมาด้วยอาการหนักหัวและอาเจียนมากกว่าทุกวัน เลยตัดสินใจลางานเพื่อไปพบแพทย์ พอไปโรงพยาบาลกลับต้องตกใจกับคำวินิจฉัยจากหมอหลังตรวจอาการและขอปัสสาวะ มือบางกำผลตรวจไว้แน่นด้วยความโมโหอยากจะฆ่าคน ก่อนจะรีบเดินทางไปหานพพลถึงบริษัท หญิงสาวเดินอาดๆมาหาเขาถึงห้องทำงาน ทันทีที่มาถึงก็อาละวาดโวยวายขว้างปาข้าวของใส่คนที่กำลังตกใจและทำอะไรไม่ถูก“คนใจร้าย! คนเห็นแก่ตัว คุณเบลร้ายกาจที่สุด คนใจร้าย ไม่คิดถึงใจคนอื่น” รัวเสียงดุด่าเป็นชุดพร้อมทั้งร้องไห้โฮๆไม่อายเลขาสาวที่วิ่งตามเข้ามานพพลหน้าเหวอที่ถูกบุกมาโวยวายถึงห้องทำงาน ก่อนจะหันไปโบกมือเป็นสัญญาณให้เลขาสาวคนนั้นออกไปก่อนที่เขาจะก้าวเข้ามาหานางร้องไห้ที่คุ้มดีคุ้มร้ายด้วยท่าทีกล้าๆกลัวๆ“ใจเย็นก่อนครับ มีอะไรค่อยๆพูดกันนะคนดี” บอกเสียงอ่อนยอมแพ้คนเจ้าน้ำตา ชายหนุ่มเปลี่ยนไปมากในช่วงเวลาไม่กี่เดือนนี้จากหมาป่าล่าเนื้อกลายมาเป็นลูกหมากลัวเมีย การที่เธอมาเจอเขาแบบนี้จะถือว่าผิดกฎการลงโทษหนึ่งปีที่เธอวางไว้หรือเปล่า แล้วถ้าผ
“คุณเบลคะ เรื่องของเรามันจบแล้วนะคะ” เสียงหวานหยดใจเย็นแต่หนักแน่นเด็ดเดี่ยวจนหัวของคนฟังชาหนึบ“จบ จบอะไร เมื่อกี้เรายัง...” เป็นนักธุรกิจหนุ่มที่รู้สึกเหมือนใจจะขาด แทนที่จะเป็นฝ่ายหญิง จะจบได้ยังไงในเมื่อชั่วโมงก่อนเธอยังโอนอ่อนตามใจเขาอยู่เลยสิรินนภาถอนใจยาว “รีนไม่ห้าม ถ้าคุณเบลเขาจะมาพบลูก เพราะลูกเป็นของพ่อแม่อยู่แล้ว แต่เราเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่ของกันและกันอีกแล้ว ตั้งแต่วันที่คุณขับไล่รีนออกจากบ้าน”“ทำไมต้องทำแบบนี้ละรีน ผมนึกว่าเราจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม” ครางเสียโหยกับคมมีดที่ย้อนกลับมาสร้างแผลให้ตนเอง“คุณคิดว่าแค่การนอนด้วยกันคืนเดียว ทุกอย่างที่คุณทำกับรีนมันจะจบเหรอคะ รีนทำแบบนี้กับคุณเพราะอยากจะให้คุณเข้าใจอะไรใหม่ว่ามันไม่ใช่เฉพาะผู้ชายนะคะที่จะต่อรองหรือจัดการอะไรกับผู้หญิงก็ได้ บางเรื่องผู้หญิงก็ไม่ได้อยู่เฉยรอคอยเป็นฝ่ายถูกเรียกหาเสมอไป”“อย่าพูดแบบนั้นเลยนะรีน คุณมีค่าสำหรับผม วันนี้ผมเลยไมอยากเสียคุณไป”“สำหรับคุณ ถ้ารักของรีนมีค่ามากพอ คุณคงไม่ทำเรื่องวันนั้นตั้งแต่แรก และอีกอย่าง รีนไม่อยากให้คุณเสียเวลากับคนที่คุณไม่ได้รักแต่แต่งงานกันเพราะหน้าที่และเพื่ออำนาจที
สิรินนภาห่อกายหลบความหนาวร้อนสลับกันยามเมื่อฝ่ามือร้อนๆลูบไล้ผิวกายนวลนุ่มของเธอ ความเย็นของเครื่องปรับอาการทำให้รู้สึกตัวว่าตอนนี้กายของเธอเปล่าเปลือย เสื้อผ้าที่สวมมาถูกเขาปลดเปลื้องออกตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ยังไม่รู้เวลาที่แน่ชัด หรืออาจจะเป็นเธอเองที่ปลดเสื้อผ้าออก“หนาว...” ส่งเสียงผะแผ่วทักท้วงออกมา พร้อมทั้งพยายามคว้าผ้านวมหนามาห่มคลุมร่างกายและซุกหน้าลงกับกองผ้าห่มรกๆ ไม่ได้หนาวอะไรมากมายนักแต่ร่างกายมันสั่นสะท้านเพราะเขินอายสายตาลึกล้ำจากเขาต่างหาก“ก็กอดผมแน่นๆสิ” รั้งมือบางขึ้นมากอดคล้องบ่าของตน สายตาของเขาเจ้าชู้เจ้าเล่ห์ยิ่งกว่าหมาป่าแต่ก็เสน่ห์ล้นเหลือจะทัดทาน เพียงสบตามากเสน่ห์กล้ามเนื้อทุกส่วนของหญิงสาวก็เหมือนกับไร้เรี่ยวแรง ยินยอมให้เขาเข้ามาจัดระเบียบร่างกายตามอำเภอใจ ชายหนุ่มฮึกเหิมย่ามใจเมื่ออีกฝ่ายไร้เรี่ยวงแรงขันขืนและไร้เสียงทักท้วง ไฟพิศวาสถูกจุดติดอย่างง่ายดายเพราะความโหยหาห่างหาย เรียวขาบางถูกชันตั้งขึ้นให้ได้มุมเหมาะสมสำหรับการสัมผัสแนบชิดสิรินนภาสะดุ้งเฮือกเจ็บแปลบกับกิจกรรมลึกซึ้งที่ห่างหายไปนานปี สัมผัสของเขามันทำให้อบอุ่นละคนเหน็บหนาวที่ใจ คนๆนี้ที่เห็นเธอ
“ไม่ได้ค่ะ คณบดีโทรตามโครงการวิจัยที่ฉันกำลังรับผิดชอบอยู่” ตอบอย่างไร้เยื่อใยก่อนจะเดินออกจากห้องไป“รีนครับ” พยายามร้องเรียกแต่เสียงก็แผ่วลงเหลือเกินร่างบางเดินกลับมายืนหน้าประตู มองเขาเล็กน้อยก่อนจะเอ่ย กับเขาดีๆ “อาหารอยู่ในตู้เย็น คุณเอามาอุ่นไมโครเวฟแล้วกินนะคะ อย่าลืมกินยาให้ครบตามที่หมอสั่งนะคะ”แต่ไหนแต่ไรนพพลไม่เคยที่จะทำตามคำบอกของใครง่ายๆ แม้จะเกรงใจหญิงสาวแต่ก็ไม่อยากจะรีบหายจากอาการบาดเจ็บนักเพราะยังต้องการพยาบาลสาวเนื้อหวานอยู่ วันนี้ทั้งวันนพพลเลยเอาแต่นอนอยู่บนเตียง ไม่ลุกไปไหน ไม่กินข้าวและไม่กินยา รอคอยให้เธอกลับมาป้อนและดูแลนพพลพึ่งรู้ว่าตนมีความอดทนค่อนข้างสูงก็วันนี้ เขาสามารถรอจนตกเย็นและมีเสียงรถเลี้ยวเข้ามาจอดในโรงรถข้างบ้าน จากนั้นตามด้วยเสียงรองเท้าส้นสูงของสตรีที่เข้ามาในตัวบ้าน“คุณเบล คุณเบลคะ” สิรินนภาเรียกเขาไปตามทาง แต่ไม่มีเสียงตอบรับกลับมา วันนี้ตลอดทั้งวันอ่านหนังสือไม่รู้เรื่อง ทำงานไม่มีสมาธิ สอนหนังสือก็ยังพะวงแต่คนป่วยว่าเขาจะเจ็บแผลไหม กินข้าวหรือยังได้กินยาบ้างหรือเปล่า อาการเหมือนเมื่อครั้งตอนคลอดน้องโรมช่วงแรกๆที่ยังปรับตัวไม่ได้ไม่มีผิด“
นพพลปรือตามองไปรอบๆเพื่อหาอดีตภรรยา ปวดหัวระบมราวกับถูกทุบด้วยของแข็ง แน่ล่ะเขาโดนของแข็งมา จนเย็บหลายเข็มด้วย “เอาไว้ก่อนเถอะครับ ผมกินไม่ไหว” ตอบเหนื่อยๆ ปวดตึงสลับกับรวดร้าวไปตั้งแต่กลางหัวจรดสันกราม ไม่อยากขยับอ้าปากด้วยซ้ำ“เดี๋ยวรีนป้อนค่ะ กินสักหน่อยเถอะนะคะ” เป่าข้าวต้มเพื่อคลายความร้อนก่อนจะค่อยๆป้อนช้าๆ“มันร้อน เอาไว้ก่อนนะครับ” หลับตาตอบหลังกินไปหนึ่งคำสิรินนภาอ่อนใจ รู้สึกผิดมากขึ้นที่ทำเขาเลือดตกยางออก นพพลเป็นผู้ชายเจ้าสำอาง บอบบางเพราะถูกเลี้ยงมาอย่างประคบประหงมประสาลูกชายคนเดียวตระกูลเชื้อสายขุนนางในรั้วในวัง เขาไม่เคยถูกทำร้ายให้เจ็บปวดเพราะมีแต่ทำให้คนอื่นเจ็บ แต่เรื่องในอดีตก็ส่วนอดีตแม้มันจะมีผลต่อปัจจุบันแต่ก็ไม่ต้องทำร้ายกันจนถึงขั้นนี้ก็ได้ เป็นอีกครั้งที่เธอเอาอารมณ์อยู่เหนือเหตุผลนั่งเฝ้าไข้ไปสักพักคนเจ็บเริ่มเพ้อเพราะยาชาหมดฤทธิ์ แผลอักเสบขึ้นจนมันเริ่มปวดตุบๆ หญิงสาวจัดยาแก้อักเสบให้กินแล้ว แต่ดูเหมือนมันจะไม่เพียงพอ “หนาว...หนาวรีนครับ ผมหนาว รีนอยู่ไหน รีน” ห่อกายกอดตัวเองเพื่อบรรเทาความหนาวเหน็บ พิษไข้เล่นงานจนตัวสั่นน่าสงสาร“คุณเบล รีนอยู่นี่นะคะ” รี
“ริ...รีนครับ” มือสั่นเทาจับปากแผลที่ถูกสันแฟ้มอลูมิเนียมหนาๆฟาดลงมาจนเนื้อปริ เจ็บปวดกายแต่ไม่โกรธและไม่ถือโทษเพราะที่เขาทำมันหนักหนากว่าที่เธอประทุษร้ายมากนัก“รีน...” เสียงทุ้มพึมพำเรียกชื่อหญิงสาวไม่หยุดปากจนอีกฝ่ายหันมาดู เห็นเลือดออกมากกว่าที่คิดไว้มาก มันไหลย้อยตามซอกนิ้วที่กำลังอุดบาดแผลจนเปรอะนพพลรีบคว้ามือเรียวมาบีบไว้ เขาเจ็บไม่เป็นไร แต่ขอให้เธอไม่ไปไหน “อย่าทิ้งผมนะ อย่าทิ้งผมไป” สติพร่าเลือนกับเลือดเป็นสายที่พรั่งพรูออกมาเรื่อยๆ แฟ้มสมัยเก่ามีขอบแฟ้มทำมาจากอลูมิเนียม สร้างแผลและเรียกเลือดจากคนเคยเลวมากมายสิรินนภาไม่สนใจ ออกแรงสะบัดตัวให้หลุดจากการเกาะกุมและผลของการหลีกหนีจากเขาสุดแรงนั้นทำให้ร่างเพรียวสอบของนพพลก้าวถอยไปเหยียบพรมเช็ดเท้า เสียหลักลื่นล้มหงายลงจนหัวไปกระแทกเข้าที่ขอบของชั้นหนังสือเหล็กโครมใหญ่และเลือดตกออกจากบาดแผลเป็นกอง“คุณเบล...” ยืนมองผลของการกระทำนั้นด้วยใจระทึกตื่นเต้น ยิ่งเห็นอดีตสามีหน้าซีดเจ็บปวดยิ่งนิ่งทำอะไรไม่ถูก ไม่ได้เจตนาจะให้เขาบาดเจ็บแบบนี้ มันเป็นอุบัติเหตุ“รีนครับ...” พยายามกัดฟันข่มความเจ็บปวดเรียกหาฝ่ายหญิง เอื้อมมือไขว่คว้าแต่อีกฝ