บท 8
อีกสองเดือนถัดมางานแต่งงานเล็กๆได้ถูกจัดขึ้น ในสนามหญ้าหน้าบ้านถูกเนรมิตขึ้นให้เป็นบรรยากาศอบอุ่น ในงานเชิญแต่บรรดาเพื่อนสนิทนักธุรกิจที่คบหากันและแขกผู้หลักผู้ใหญ่ของฝ่ายเจ้าสาว งานสงบเงียบมีเพียงคนรู้จักมักคุ้นตามความประสงค์ของนางอุบลผู้เป็นแม่เจ้าสาว ในงานคนที่มีความสุขคือนางอุบลที่เห็นลูกสาวอยู่ในอ้อมแขนของคนที่ไว้ใจได้ แต่ทว่าเบื้องลึกในใจของเจ้าบ่าวจะสาวนั้นหน้าชื่นอกตรม เพราะตั้งแต่ตกเป็นข่าว ตั้งแต่เห็นเขากอดกับสิรินนภาทั้งคู่ก็ยังไม่ได้พูดคุยปรับความเข้าใจกัน ให้หลังวันที่เธอไปแจกการ์ดเชิญให้กับสิรินนภา
วันนั้นเธอถูกแดนไตรฉุดกระชากขึ้นรถทันทีที่เลิกงาน มือที่เคยกอบกุมให้ความอบอุ่นตอนนี้บีบรัดจนกระดูกแทบแตก เขาพาเธอไปที่คอนโดและเปิดฉากทะเลาะกันอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน พี่ตุ่นคนเย็นใจดีขึ้นเสียงใส่เธอเพื่อปกป้องผู้หญิงคนอื่น พี่ตุ่นที่เคยสัญญาว่าจะปกป้องเธอกลับใช้สายตาดุดันสังหารจิตใจเธอเพื่อปกป้องผู้หญิงคนอื่น เขามองเธอด้วยสายตาผิดหวังที่เธอกลายเป็นผู้หญิงงี่เง่าหึงหวงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ด้วยความโมโหเลยตอกหน้าเขากลับไปว่าจะไปกอดกับเพื่อนผู้ชายบ้าง นั่นยิ่งทำให้คุยกันไม่รู้เรื่อง เขาขึ้นเสียใส่เธออย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
เมื่อไม่เข้าใจกันวิธีการของแดนไตรที่จะดัดหลังคนนิสัยเสียคือการหมางเมินเย็นชา ในขณะที่หญิงสาวเองก็เลือกใช้วิธีหาตัวช่วยที่จะทำให้เธอได้บริษัทเร็วขึ้นและหนีจากเขาที่ไม่ได้รักเธอแล้วให้เร็วขึ้นไปอีก
จนแล้วจนรอดงานแต่งงานได้ดำเนินไปอย่างราบรื่น ในงานแต่งงาน นางอุบลอวยพรสั้นๆแต่กำชับกับลูกสาวเป็นคำเดิม “อย่าทำอะไรพี่เขานะลูก” คนเป็นลูกสาวรับฟังนิ่งๆ ไม่ยอมรับคำสั่งและไม่ปฏิเสธอะไร ในหัวของคนผิดหวังไม่มีอะไรมากไปกว่าความต้องการที่จะถอดถอนความชอกช้ำนี้ออกมาและผลักไสไปให้คนอื่น
“บัว ผมยินดีด้วยนะ” ในตอนงานเลี้ยงเลิกรา แขกคนสุดท้ายเข้ามาอวยพรเจ้าสาวเป็นการส่วนตัว หญิงสาวยิ้มรับยินดีที่เห็นอติชนหน้าตาสดใสขึ้นกว่าเดิมที่พบเจอกันครั้งก่อน หนุ่มหล่อรูปงามดีกรีอดีตพระเอกหนังวัยรุ่นที่ออกจากวงการบันเทิงเพื่อไปเรียนต่อและทำธุรกิจส่วนตัวคนนี้เป็นเพื่อนของฝ่ายเจ้าสาวและเป็นชายหนุ่มคนเดียวกับที่ติดตามจีบหญิงสาวตั้งแต่เมื่อครั้งยังเรียนอยู่ออสเตรเลีย แต่สุดท้ายก็ถูกขอให้เป็นเพียงเพื่อนกันและเธอก็ได้กลับมาไทยจนกระทั่งแต่งงาน
“อาร์ต คุณกลับมาเมื่อไหร่”
“มาเมื่อวานน่ะ นี่โกรธมากเลยนะที่ปฏิเสธผมแล้วมาแต่งงานที่ไทย ถ้าผมไม่เห็นข่าวในสื่อโซเชียลคุณก็คงไม่บอกผมใช่ไหม” ตัดพ้อทีเล่นทีจริงก่อนจะส่งยิ้มอบอุ่นให้บรรยากาศผ่อนคลายเป็นกันเองไม่ให้เกิดช่องว่างระหว่างสาวที่เขาตามจีบอยู่เป็นปี คนอย่างอติชนฉลาดพอที่จะเข้าใจสำนวนไทยที่ว่า ‘น้ำขุ่นไว้ในน้ำใสไว้นอก’ เขายังหวังและต้องการในตัวของคุณหนูบัวหอมแม้วันนี้จะถูกไอ้เศรษฐีหน้าใหม่อย่างแดนไตรปาดหน้าเค้กไป แต่เขาจะทวงเธอคืนมาสักวัน
สาวเจ้ายิ้มล้อเลียน ท่าทางสนิทสนมของทั้งคู่ตกอยู่ในสายตาของเจ้าบ่าวป้ายแดง ร่างสูงในชุดสูทสีงาช้างไม่รีรอที่จะเดินเข้ามายืนขนาบข้างภรรยาคนงามพร้อมทั้งยกมือขึ้นโอบบ่าบอบบางแสดงความเป็นเจ้าของเพชรเม็ดงามนี้ไว้ กิริยาของชายหนุ่มแม้จะยิ้มแย้มแต่ประหัตประหาร สายตาของไอ้หมอนี่คาดหวังอะไรบางอย่างจากภรรยาของเขา
“เพื่อนน้องบัวเหรอครับ แนะนำให้พี่รู้จักหน่อยสิ” หันมาบอกกับคนในอ้อมแขน
ทั้งคู่ทำความรู้จักกันตามที่บัวหอมแนะนำ ภายนอกยิ้มแย้มแจ่มใสให้กันแต่ภายในใจของผู้ชายนั้นสุดจะหยั่งรู้ แดนไตรไม่คิดระแวงเพราะเชื่อมั่นในตัวน้องน้อยภรรยาของเขา แต่ทว่าอติชนเป็นคนนิสัยเสียอยู่อย่างหนึ่ง เขาเป็นลูกชายคนเดียวที่พ่อแม่ซึ่งเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่นั้นตามใจ หากอยากได้อะไรก็ต้องได้อย่างนั้นแม้ว่าสิ่งที่เขาต้องการจะมีเจ้าของแล้ว เขาก็จะแย่งมาให้ได้ไม่ว่าด้วยวิธีการอะไร และบัวหอมคือสิ่งที่เขาต้องการมากที่สุดในยามนี้ และคนอย่างนายอติชน อยากได้อะไรก็ต้องได้
ทักทายพร้อมกับอวยพรอีกสักพัก แขกผู้ร่วมยินดีจึงขอตัวลากลับ ร่างสูงเตรียมจะขึ้นรถคันหรูที่จอดอยู่บริเวณรั้วหน้าบ้านแต่สายตาพลันเห็นเงาร่างตะคุ่มๆที่กำลังนั่งอยู่ริมบาทวิถี สายตาเข้มเพ่งมองไปที่ร่างเล็กๆของผู้หญิงที่นั่งข้างรถของตน ด้วยความสงสัยปนกับไม่ไว้ใจกลัวว่าอีกฝ่ายจะทำให้รถคันหรูป้ายแดงที่มีเพียงสามคันในประเทศเป็นรอยขีดข่วน ร่างสูงเปลี่ยนทิศทางจากอ้อมไปฝั่งถนนเพื่อด้านคนขับมาเป็นเดินมาข้างถนนเพื่อสอบถามผู้หญิงที่นั่งก้มหน้าอยู่ตรงประตูรถของตน
“ทำอะไรน่ะ” ในใจที่เชื่อว่าเป็นคนเก็บขยะร้อยเปอร์เซ็นต์ต้องเปลี่ยนความคิด เพราะคนที่นั่งอยู่ข้างถนนนั้นดูสะอาดสะอ้าน แล้วยิ่งยามเมื่อเธอเงยหน้ามองเขามันยิ่งทำให้คนเห็นแทบจะลืมจังหวะหายใจ หน้าเรียวพวงแก้มเกลี้ยงเกลารับเข้ากับจมูกเชิดรั้นที่บอกความอ่อนเยาว์ของหญิงสาวกองขยะคนนี้ได้เป็นอย่างดี “เป็นอะไรหรือเปล่าครับ” เปลี่ยนคำถามโดยไม่รู้ตัวเพียงแค่เห็นดวงตากลมโตหวานเชื่อมนั้นมีน้ำตาเอ่อคลออยู่ พระเอกหนุ่มอย่างอติชนเห็นสาวสวยมามาก แต่นอกจากบัวหอมแล้วยังไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนทำให้เขาเหมือนอาการตกหลุมอากาศได้เท่ากับเด็กสาวคนนี้ ใบหน้าจิ้มลิ้มแก้มป่องกับริมฝีปากสีแดงเย้ายวน
เธอส่ายหน้าไม่ยอมพูดก่อนจะรีบเช็ดน้ำตาพร้อมกับลุกขึ้นเดินหนีด้วยท่าทีไม่ไว้วางใจ เมื่อสักครู่เธอสติแตกวิ่งออกมาจากงานแต่งงานของผู้เป็นพี่ชายและควบตำแหน่งพ่อบุญธรรมในตอนที่เขากำลังสวมแหวนหมั้นให้เจ้าสาวคนงามของเขา
สกาวเดือนถูกแดนไตรแนะนำให้บัวหอมรู้จักในนามของลูกบุญธรรมที่จดทะเบียนรับบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายเพื่อหวังจะส่งเสริมให้เด็กสาวที่เขารักเหมือนน้องสาวแท้ๆได้เรียนสูงๆ ได้รับโอกาสดีๆอย่างที่ชายหนุ่มเคยได้รับ วันหนึ่งที่พ่อบุญธรรมต้องแต่งงานมีครอบครัว เธอรู้สึกเคว้งคว้างเหมือนถูกแย่งความรักความอบอุ่นเดียวที่ยังเหลือชิตไป เด็กจากมูลนิธิที่พ่อแม่ต้องโทษประหารและกลายมาเป็นเด็กวัดตั้งแต่อายุแค่สองขวบ แม้จะรู้ว่าต้องมีสักวันที่แดนไตรแต่งงานมีครอบครัวและรักคนอื่นมากกว่าตน แต่มันก็ไม่อาจทนรับความจริงได้ในตอนนี้
“เดี๋ยวสิ” เสียมารยาทจับรั้งเรียวแขนเล็กไว้ให้เธอไม่ไป เด็กผู้หญิงคนนี้กล้าดียังไงถึงไม่ยอมพูดกับเขา
“ปล่อยนะ” ขึ้นเสียงพร้อมทั้งสะบัดแขนให้หลุดจากการเกาะกุมด้วยความตกใจ แต่มือกาวไม่ยอมปล่อยเธอ “บอกให้ปล่อยไง” ก่อนจะเริ่มร้องหาพ่อบุญธรรมของตนที่เมื่อสักครู่ก่อนเธอแอบออกมานั่งร้องไห้เขายังยืนอยู่ขอบคุณแขกอยู่หน้าประตูรั้ว “พี่ตุ่น พี่ตุ่นช่วยหนูด้วย พี่ตุ่น” แต่กลับต้องตกใจจนตัวชาเพราะอีกฝ่ายเข้ามาตะปบไหล่เธอไว้
“อย่าส่งเสียงไม่งั้นฉันจะจูบเธอ” มารร้ายข่มขู่ “ฉันแค่จะถามอะไรเธอนิดหน่อย เมื่อกี้ได้ยินที่เธอเรียกหาพี่ตุ่น เธอหมายถึงคนเป็นเจ้าบ่าวของงานนี้ใช่ไหม เธอเป็นอะไรกับเขา” ทำรุ่มร่ามแล้วยังคาดคั้นให้ตอบคำถาม
“พะ...พี่ตุ่นเป็นพ่อบุญธรรมของหนู” ตอบอย่างขลาดกลัวก่อนจะก้มหน้า เด็กที่ถูกเลี้ยงมาในสังคมปิด ใช้ชีวิตอยู่แต่มูลนิธิและพอโตเป็นสาวหน่อยก็มีพ่อบุญธรรมใจดีคอยประคบประหงมทะนุถนอม เด็กสาวจึงมีความขลาดกลัวที่จะเข้าใกล้คนอื่นที่ไม่สนิท ความสนิทสนมถึงขั้นเป็นบุตรบุญธรรมทำเอาคนฟังแววตาวาววับคิดจะใช้ประโยชน์จากความเป็นบุตรบุญธรรมของผู้หญิงคนนี้เพื่อแย่งชิงบัวหอมกลับมา ดูท่าทางเด็กหัวอ่อนคนนี้คงจะหลอกง่าย ชักจูงอะไรให้ทำก็คงจะทำอย่างง่ายดาย
“ฉันชื่ออติชน เรียกว่าคุณอาร์ตก็ได้” แนะนำตัวอย่างเย่อหยิ่ง “แล้วเธอชื่ออะไร”
เมื่อเด็กสาวไม่ยอมตอบ คนชวนคุยถึงกับอดไม่ไหวสบถหยาบคาย เด็กผู้หญิงคนนี้ทำเหมือนเขาเป็นผู้ร้ายก่อเหตุข่มขืนพรากผู้เยาว์ ร่างเล็กบางสั่นงันงกทั้งยังพยายามจะยกมือไหว้เหมือนอ้อนวอนให้ละเว้นเธอ “หยุดตัวสั่นสักทีได้ไหม ฉันมาดี!” ตั้งสติสักพักก่อนจะเริ่มต้นใหม่ เด็กสาวที่ออกมาร้องไห้คนเดียวในวันแต่งงานของพ่อบุญธรรมต้องมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นกับครอบครัวนี้ เขาโชคดีที่ได้เจอลูกบุญธรรมของเสี้ยนหนามหัวใจขนาดนี้แล้ว หากปล่อยไปเฉยๆไม่ใช้ประโยชน์อะไรเลยก็ดูจะเป็นคนโง่งม คนในที่รู้จักนายแดนไตรดีขนาดนี้อยู่ตรงหน้าแล้ว
“ละ...สกาวเดือนค่ะ”
“ยาวไป มีสั้นๆไหม”
“เรียกว่าลูกจันก็ได้ค่ะ” เด็กสาวมองหาพี่ตุ่นผู้ที่คอยปกป้องเธอสุดชีวิต แต่จนแล้วจนรอดเขาก็ไม่มา เพราะเขามีผู้หญิงอีกคนที่ต้องรัก ดูและและทะนุถนอม ผู้หญิงที่สวยงามหมดจดอย่างคุณหนูบัวหอม คนที่ได้ใจของเขาไปครอบครองจนไม่อาจมอบความรักความอบอุ่นให้เธอได้อีกต่อไป
เพราะช้ำรักและต้องการจะรื้อถอนความรู้สึกทุกสิ่งทุกอย่าง สิรินนภาถึงตกลงรับคำเชิญชวนไปเที่ยวกลางคืน ดูหนัง ฟังเพลงจากนพพลเป็นครั้งแรกอย่างที่ปฏิเสธมาตลอดตั้งแต่ผู้ใหญ่พูดคุยเรื่องทาบทามสู่ขอ
การไปเที่ยวกันครั้งนี้ นพพลพาเธอเข้าผับ ที่ดนตรีดังกระหึ่มทำให้คุยกันไม่รู้เรื่อง เขาไม่มีเรื่องต้องคุยกับหล่อนและหล่อนเองก็คงไม่มี และแน่นอนเมื่ออยู่ในสถานที่ปิดทึบและมีไฟแสงสีดนตรีดังๆ นักธุรกิจหนุ่มผู้น่าเชื่อถือก็ออกลาย เขากระหยิ่มยิ้มในใจวันนี้เป็นวันของเขาที่จะล่าเนื้อกระต่ายสาว
ตั้งแต่ตอนที่แม่ของเขาคุยกับน้าอลิสาเป็นเรื่องเป็นราวถึงงานแต่งแล้ว เขากำลังจะได้สาวสวยอีกคนมาสะสมไว้ในกรุ ที่เงียบเฉย ยอมให้พวกผู้ใหญ่บงการงานแต่งกันเข้าไปเพราะผู้หญิงอย่างสิรินนภาสวยถูกใจ ฉลาดเฉลียวเรียนจบสูง และยิ่งเธอประกาศว่าไม่อยากแต่งงานและมีคนรักอยู่แล้ว ก็ยิ่งกระตุ้นสันดานดิบอยากเอาชนะนั้นขึ้นมา หมาป่าเจ้าเล่ห์ไม่เก็บอาการสักนิด วันนี้เป็นวันสำคัญที่เขาจะทำให้หญิงสาวตอบตกลงแต่งงานง่ายขึ้น ไม่เชื่อฝีมือก็รอดูต่อไป
“คุณเบล!” ร่างบางสะดุ้งเมื่อชายหนุ่มอาศัยความมืดสลัวของผับในการเข้ามาสัมผัสก้นและสะโพกของเธอ ซ้ำยังโอบโน้มเข้ามาเสียใกล้ชิดจนกลายเป็นล่วงเกิน มีอย่างที่ไหนก้มเข้ามาแนบชิดจนได้กลิ่นลมหายใจและน้ำหอมผู้ชายเต็มปอดขนาดนี้
“อะไรนะครับ” แสร้งทำทีไม่ได้ยินและขยับแนบแก้มและหูเข้ามาชิด ก่อนที่ใครจะทำอะไรยังฉวยโอกาสหอมแก้มนวลเสียฟอดใหญ่
“คุณ!” สิรินนภาแทบจะสาดเหล้าใส่แต่เหมือนเจ้าตัวจะรู้ดีจึงรีบยั้งมือบางเธอไว้ก่อน
“ขอโทษนะครับ ผมไม่ได้ตั้งใจอย่าถือสาเลยนะ เสียงดนตรีมันดัง ผมไม่ได้ยินคุณพูดจริงๆ” ตะโกนแข่งกับเสียงเพลงบอก หน้ามึนทำเนียนกับสิ่งที่ทำผิดต่อเธอ
หญิงสาวยอมลดแก้วเครื่องดื่มลงก่อนจะเป็นฝ่ายขยับออกไปยืนห่างๆเสียเอง แต่ก็มีอันต้องถูกเบียดกลับมายืนข้างเขาเหมือนเดิมเนื่องจากในผับมันยุ่งเหยิงและคนเยอะมาก เวลาขยับกายเต้นจึงมีการเบียดกันขึ้นเรื่อยๆ นพพลอาศัยจังหวะนั้นในการรวบร่างบางเข้ามาไว้ในอ้อมแขน
“อีตาคนฉวยโอกาส” สุดท้ายก็ต้องด่าเข้าให้แต่อีกฝ่ายกลับทำหน้าตาเฉย ไม่ยี่หระกับคำดุด่า
“ชื่อรีน แปลว่าอะไรในภาษาอะไรเหรอครับ” ยิ่งมีคำถาม หน้าคมๆยิ่งยื่นเข้ามาใกล้ ผู้หญิงคนอื่นๆอาจจะมองว่าใบหน้านี้หล่อเหลาเจ้าเสน่ห์ แต่สำหรับหญิงสาวแล้วมันดูเจ้าเล่ห์ ร้ายกาจควรผลักใสไปให้พ้นๆ
“รีนเป็นคำแรกในภาษาอังกฤษของคำว่าเรเนซองน่ะค่ะ (Renaissance) คุณพ่อได้ชื่อนี้ตอนที่ไปฮันนีมูนกับคุณแม่ที่อิตาลี พวกท่านเอามาแปลเป็นภาษาอังกฤษแล้วนำมาตั้งชื่อให้เป็นรีนค่ะ” พยายามตอบเขาให้ชัดเจนเพื่อที่ชายหนุ่มจะได้ไม่โน้มหน้าเข้ามาใกล้เสียจนเป็นคุกคามเธออีก
“ฟื้นฟูใหม่สินะ ยุคเรเนซอง ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ”
หญิงสาวส่งยิ้มน้อยๆท่ามกลางความสลัว เมื่อไม่ต้องอธิบายอะไรเพิ่มเติมเพราะเขาเข้าใจถูกแล้ว แต่กลับต้องตาโตเมื่ออยู่ๆคนที่หมดคำถามกลับชวนเธอคุยด้วยภาษากาย ริมฝีปากคมประกบเข้ามาอย่างอหังการและแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ หญิงสาวหลับตาแน่นกับความอุ่นร้อนระอุและกลิ่นอายของเครื่องดื่มมึนเมาที่เขากรอกเข้าไปอย่างเอาเป็นเอาตาย นพพลยิ้มในใจกับความฉ่ำชื่นหวานผสมกับรสชาติเตกิล่าที่อยู่ในปากของคู่หมั้นคู่หมาย
“รีนครับ” ขยับไปกระซิบข้างหู หวังจะชักชวนให้หาที่สงบเงียบ ‘คุยกันต่อ’
“คะ” เสียงอ่อนบาง ทั้งเมาและเคลิ้มกับเสน่หาของเขา
“คืนนี้ผมเมาแล้ว คงไปส่งคุณที่บ้านไม่ไหว เราเปิดโรงแรมนอนนะครับ” เขาบอกออกมาตรงๆทำเอาคนฟังโกรธจนปากสั่น
“รีนจะขับรถให้เองค่ะ” เธอจะไม่เสียเวลาถามว่าผีห่าอะไรดลให้เขามีไอเดียจะพาเธอนอนโรงแรม
“ไปกับผมเถอะนะ หาที่สงบๆคุยกัน” เสียงทุ้มสั่นระทวยจิตใจอ่อนบางที่กำลังว้าเหว่ แววตาคู่สวยสั่นหวั่นไหวในความมืดสลัว มือบางที่ดันกลั้นหน้าอกเขาไว้อยู่เริ่มหมดแรงฝืน เพียงจูบเดียวที่ทำให้สมองว่างเปล่า เพียงจูบเดียวที่ทำให้ระลึกได้ว่าเธอเสียเวลารอคอยแดนไตรมานานเกินไป ท้ายสุดแล้วไม่ได้อะไรเลย พอคุณหนูบัวหอมกลับมา เขาก็ผลักใสทอดทิ้งเธอ การรอคอยเขามันทรมานใจ มันรับรู้ได้ว่าใจของตนกำลังอยู่ผิดที่ แต่ว่าเมื่อไหร่ที่หัวใจของเธอจะอยู่ถูกที่ถูกทางเสียที
สุดท้ายก็ได้เปิดโรงแรมนอนพัก ซ้ำยังพักห้องและเตียงเดียวกับเขาเพราะเป็นช่วงเทศกาลงานบุญและทัวร์จีน ห้องหับที่เคยว่างเปล่าตามโรงแรมหรูๆกลับเต็มแน่นไปหมด หนุ่มสาวสั่งรูมเซอร์วิสเป็นวิสกี้ขวดใหญ่และองุ่นอบแห้ง เพื่อเล่นเกมถามตอบสลับกับแบ่งปันกันดื่ม ภายใต้ท่าทียียวนของเพลย์บอยหนุ่ม เขาเริ่มจับสังเกตและเรียนรู้รสนิยมของอีกฝ่ายไปด้วย สิรินนภาชอบการดื่มวิสกี้กับผลไม้รสเปรี้ยวอมหวาน
ใบหน้านวลของทั้งคู่แดงเรื่อจากฤทธิ์เดชของน้ำเมา แต่ด้วยความโตเป็นผู้ใหญ่ทำให้ยังนั่งกันได้นิ่งและจ้องหน้ากันอยู่อย่างนั้น เรียนรู้และจดจำกันไปว่าเค้าโครงหน้าของอีกฝ่ายเป็นอย่างไร เหล้าจอกเล็กตรงกลางโต๊ะหนนี้เป็นรอบของฝ่ายชาย เขาไม่ยอมดื่มมันเสียทีเพราะยังมัวคิดคำถามที่จะถามเธอ
“จ้องหน้ารีนมาเป็นสิบนาทีแล้วนะคะ คิดคำถามได้หรือยัง”
“คุณรักนายตุ่นมาสิบปี ทำไมถึงยังไม่ได้คบหาเป็นแฟนกันอีก” คำถามนี้เขารู้คำตอบดี ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับแดนไตร นพพลนั้นล่วงรู้อย่างปรุโปร่งเพราะอาจารย์สาวและครอบครัวเป็นคนเปิดเผย ไม่ใครก็จะมีใครสักคนเล่าอย่างละเอียดเสมอเกี่ยวกับประเด็นของแดนไตร ผู้ชายใจแข็งที่เอาใจใส่ดูแล ห่วงหวง รักและหวังดีต่อสิรินนภา ยกย่องให้เธอเป็นทุกอย่างเว้นเพียงแค่ ไม่สามารถเป็นคนรักได้ เหตุผลเพราะยังรักและรอคอยผู้หญิงอื่นอยู่
“เขามีความรักให้ฉันมากมายนะคุณเบล” ใบหน้างามเบือนหนีก่อนจะทอดมองไปยังกระจกใสที่กลั้นระหว่างวิวทิวทัศน์ภายนอกและห้องนอนหรู “แต่แค่มีให้ฉันน้อยกว่าคนที่อยู่ในใจเขาแค่นั้นเอง ฉันตามเขามาสิบปีและถูกเขาปฏิเสธทั้งสิบปี ฉันเข้าใจตรงนี้ดีว่าเขามีคนที่รักอยู่แล้วแต่ฉันแค่ยังทำใจไม่ได้” อาจารย์สาวเข้าใจได้ดี แต่มันแค่ยังตัดใจไม่ได้ แดนไตรทำเหมือนให้ความหวังเธอมาตลอดจนชิน
นพพลพยักหน้ารับทราบ รู้ทั้งรู้เพียงแต่อยากจะให้เธอพูดออกมาจากปากเท่านั้น อยากจะให้เธอระบายมันออกมาบ้าง ความรักที่ไม่สมหวังนั้น
“ไม่ร้องไห้เหรอ” กระเซ้ายียวน ใบหน้างามค้อนควับ
“ร้องจนไม่มีความรู้สึกอะไรกับความรักครั้งนี้แล้ว”
“เชื่อผมเถอะนะรีน คนเราต่างเกิดมาเพื่อใครสักคนทั้งนั้นแหละ เรามีค่าพอที่จะรอคอยคนที่เหมาะสมกับเราและเขาเกิดมาเพื่อตามหาเรา” เขาจบคำถามก่อนจะยกแก้ววิสกี้ขึ้นดื่มจนหมด จากนั้นเทเติมลงไปพร้อมทั้งเลื่อนแก้วให้หยุดอยู่ตรงหน้าหญิงสาวที่กำลังนั่งจ้องหน้าเขาอึ้งๆ ไม่คาดคิดมาก่อนว่าผู้ชายเจ้าชู้อย่างนพพลจะมีแนวคิดทำนองนี้
“อะไร?” คนถูกมองเริ่มเขิน
“ไม่น่าเชื่อ ว่าจะได้ยินคำพูดทำนองนี้จากปากคุณเบล”
“ฮึ” ยกยิ้มละมุนก่อนจะปล่อยประโยคเด็ดที่ทำให้สิรินนภาถึงกับเปลี่ยนมุมมองต่อเขาใหม่ “คนเราทำตามใจตัวเองได้ แต่ต้องรู้ตัวว่าหัวใจของเรามันอยู่ตรงไหน อยู่ถูกที่หรือเปล่า คุณรักนายตุ่นก็ไม่ผิด แต่ถ้าใจของเขาไม่ได้มีไว้ตอบแทนใจของคุณมันจะมีความหมายอะไร เราเอาใจของเราไปไว้กับคนที่ไม่ได้ต้องการ มันผิดที่หรือเปล่าล่ะ” มันจะไปยากอะไรกับการทำคะแนน แค่เขาพูดในสิ่งที่อีกฝ่ายอยากฟัง ตอนนี้เธอต้องการคำปลอบโยนและกำลังใจ แม้จะอยากเยาะเย้ยถากถางสมน้ำหน้าขนาดไหนก็ต้องเงียบไว้
เธอเรียนจบปริญญาเอกยังไม่คาดคิดถึงจุดนี้เลย คิดเพียงแต่ว่าคนเรามีหน้าที่ที่จะต้องทำ และมีหน้าที่ทำทุกอย่างตามหัวใจเรียกร้อง “ฉันคิดว่าฉันฉลาด ฉันดี ฉันสวยพอที่จะทำให้ตุ่นรักฉันในแบบชู้สาว เหมือนที่ฉันหลงรักเขามาตลอด ฉันกล้าพอที่จะชัดเจนว่าต้องการความรู้สึกอย่างไรจากเขา แต่สุดท้ายที่ผ่านมาเป็นสิบปีที่เขาทำทั้งหมด ก็แค่เกรงใจฉัน เห็นแก่ความเป็นเพื่อนไม่อยากหักหาญน้ำใจปฏิเสธเท่านั้นเอง ในใจของเขายังมีคุณหนูคนดีคนนั้นไม่เสื่อมคลาย”
“แค่สิบปีเองคุณ มันเทียบไม่ได้เลยนะกับชีวิตที่เหลือของคุณ” ฝ่ามือหนายื่นมาตรงหน้า รออยู่อย่างนั้นจนหญิงสาวยื่นมือบางวางลงไป “เอาใจออกมาเถอะนะรีน กลับมารักตัวเอง ผมไม่อยากเห็นคุณทรมานเพราะคนอื่นอีกต่อไปแล้ว” ว่าพร้อมกับกุมมือบางไว้สลับกับบีบเบาๆให้กำลังใจ เป็นอีกครั้งที่เขาทำให้เธอประหลาดใจ จากที่คิดมาตลอดว่าคนอย่างเขาคงไม่สามารถช่วยเหลือหรือปกป้องอะไรเธอได้ แต่กลับมีคำพูดและวิธีคิดที่ทำให้เธอผ่อนคลาย พร้อมที่จะเข้าใจอะไรหลายๆอย่างที่ยึดติดมานาน
“ขอบคุณนะคะคุณเบลสำหรับแนวคิดดีๆ คุณทำให้ฉันรู้สึกตัวว่าตัวเองมาค่าขนาดไหน” ทั้งคู่ยิ้มหวานให้กัน แววตากรุ้มกริ่มที่เขาจ้องมองตลอดเวลาทำให้สิรินนภารู้สึกเขินอายขึ้นมาค่อนข้างมาก จากเมื่อก่อนที่มีแต่ความรำคาญ
“ครับ”
ด้วยความเมาที่ลดทอนสติทำให้หญิงสาวลุกจากที่นั่ง เดินข้ามไปหาอีกฝ่ายที่โซฟาตรงข้าม ก่อนที่ใครจะคิดอะไรต่อสิรินนภากลับเป็นฝ่ายนั่งลงกับตักของเขา จากนั้นโผตัวเข้าไปกอดอีกฝ่ายแนบแน่น นพพลตกใจเพราะไม่คาดคิดว่าสาวเจ้าจะทำแบบนี้กับตน ไม่ใช่มันไม่ดีแต่เพราะนึกเจ็บใจตัวเองว่าวางแผนมากมาย ลงทุนเฝ้ารอเนิ่นนานให้อีกฝ่ายเผลอตัวต่อเขา แต่บทที่เธอจะเข้าหาก็ง่ายดายแทบไม่ต้องทำอะไรแค่พูดประโยคหล่อๆสักสามสี่ประโยค
“คุณ” แอลกอฮอล์เริ่มซึมและสูบฉีดเข้าไปในกระแสเลือดภายหลังการดื่มมาราธอนตั้งแต่ช่วงหัวค่ำจนเวลานี้ตีสอง อาจารย์สาวเริ่มเมาพูดจาไม่ชัดเจน มือไม้เริ่มสะเปะสะปะ ร่างกายเริ่มเสียการควบคุม จนสุดท้ายได้กอดเกี่ยวที่รอบลำคอของฝ่ายชาย
“ครับ” นพพลปล่อยให้เธอทำทุกอย่างตามที่ต้องการจะทำอย่างใจเย็น ราวกับจระเข้ที่ซุ่มรอเหยื่อริมแม่น้ำ
“ตุ่น...ตุ่นคะ” ละเมอด้วยความเคยชิน นานๆครั้งที่จะดื่มและทุกครั้งที่ดื่มเธอจะดื่มกับเพื่อนๆโดยมีแดนไตรร่วมด้วย พอมึนเมาเขาจะเป็นคนดูแล ยอมเฉยให้เธอเข้ามากอด สารภาพรักและขอโอกาสจากเขาและก็เป็นทุกครั้งที่ลงท้ายด้วยเขาปฏิเสธอย่างแบ่งรับแบ่งสู้
สายตาคมแข็งกร้าวด้วยความโกรธละคนหมั่นไส้ ก่อนจะขบเขี้ยวเคี้ยวฟันถามคนที่พูดคุยไม่รู้เรื่องเต็มทน “เวลาอยู่กับไอ้ตุ่นคุณเมาสิ้นสภาพแบบนี้สินะ” แค้นใจที่อีกฝ่ายเพ้อชื่อศัตรูคู่แข่งทางธุรกิจที่เขาชังน้ำหน้ามันนักหนา
ใบหน้าหวานพยายามเงยขึ้นเพ่งมองคนที่กำลังใช้หน้าตักต่างเก้าอี้ “รักรีนนะ ตุ่นรับรักรีนเถอะอย่าไปสนใจคุณหนูบัวหอมคนนั้นนักเลย”
นพพลยังคงฟังนิ่งๆ ปล่อยเธอเพ้อพกเรื่อยๆกับแผลในใจ ผ่านไปสักพักถึงเริ่มเห็นความผิดปรกติของคนเมามากขึ้น เธอเริ่มไอและจากนั้น.... “เฮ้ย!” ร่างสูงรีบพาร่างบางลุกขึ้นยืน สิรินนภายืนโงนเงนไม่พอยังอาเจียนเอาเตกิล่าและวิสกี้ที่ดูดซึมไม่หมดออกมาปนกับองุ่นอบแห้งด้วย ชายหนุ่มโมโหกับอาเจียนร้อนๆของสาวงามขี้เมาที่ราดรดลงมาตั้งแต่หัวไหล่ หญิงสาวคายวิสกี้ออกมาอีกสักพักก่อนจะภาพขาดคอพับคออ่อนไปกับอ้อมแขนของเขา
“ตัวแสบ” นพพลถอนใจเฮือกใหญ่ก่อนจะช้อนอุ้มอีกฝ่ายไปยังห้องน้ำ จับเธออาบน้ำสระผมจนสะอาดหอมเหมือนเดิม จากนั้นรีบอาบให้ตนเองบ้าง
ร่างบางถูกวางลงบนเตียงอย่างเบามือ ก่อนที่ชายหนุ่มจะปีนเตียงตามขึ้นมานอนพักบ้าง เขาเองก็เมามากต้องการจะนอนหลับพักผ่อนให้เต็มที่เสียหน่อย กลิ่นแอลกอฮอล์โชยออกมาจากลมหายใจของทั้งคู่จนหมดอารมณ์พิศวาส ต้องหันหน้าหนีกันและอีกอย่าง คนอย่างนพพลไม่จำเป็นที่จะต้องทำอะไรใครถ้าเขาไม่เต็มใจหรือไม่ได้สติ
แสงสว่างที่ลอดม่านเข้ามาทำให้แพขนตายาวไหวสั่นปริบๆ แสบตาตามการรู้สึกตัวของเจ้าของ ร่างบางบิดไปมาอย่างเกลียดคร้าน เมื่อคืนเธอนอนดึกมาก และยังอยากจะนอนต่ออีกสักพัก แต่พอปรือตาขึ้นกลับพบเจอสภาพแวดล้อมห้องนอนที่หรูหราระยิบระยับ ผิดกับห้องนอนของตนที่เน้นโทนฟ้าโล่งๆสบายตา
“อืม!” ส่งเสียงเบาๆด้วยความเมื่อยเนื้อตัวก่อนจะลืมตื่นเต็มตาขยับมองสำรวจไปมา เห็นแล้วว่าเสื้อที่สวมเมื่อคืนก็หายไปถูกแทนที่ด้วยชุดคลุมอาบน้ำของโรงแรมเพียงชุดเดียว พอจะเข้าใจว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น จากนั้นถอนใจเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเมื่อคืนเปิดโรงแรมนอนกับนพพล เธอกับเขาสั่งรูมเซอร์วิสให้นำวิสกี้ขึ้นมาบริการ นั่งดื่มกับเขา เปิดใจคุยกันเพื่อจะรู้จักกันมากขึ้น แน่ล่ะ คนอย่างนายนพพล ไม่มีทางที่จะปล่อยผู้หญิงให้นอนร่วมห้องเฉยๆ แต่เอ๊ะ? เมื่อคืนใครกันแน่ที่เริ่มเข้ามาหาอีกฝ่ายก่อน มันคุ้นๆว่าเขานั่งอยู่เฉยๆและเธอเดินเข้าไปกอดเขาเองนะ
“คุณเบล” มาชะงักที่ใบหน้าคมคายซึ่งนอนชันศอกจ้องเธออยู่ เขาอยู่ในสภาพไม่ได้สวมอะไรสักชิ้น เหมือนพร้อมที่จะ ‘จัดการ’ เธออยู่ก่อนหน้านั้นนานแล้ว “ตื่นแล้วเหรอคะ” ทักทายเล็กน้อยก่อนจะดึงรั้งผ้าห่มให้ขึ้นมาปิดปาก ไม่อยากให้เขาเห็นตอนหน้าสดตอนตื่นนอนและป้องกันกลิ่นปากอันไม่พึงประสงค์ของยามเช้าที่แบคทีเรียเติบโต
“ตื่นสักพักแล้วล่ะ” ชายหนุ่มตอบยิ้มๆก่อนจะขยับเข้ามาลูบแก้มนวลใส หน้าสวยๆใสๆของสาววัยสามสิบกว่าปีคนนี้ทำให้เขากระชุ่มกระชวยจิตใจจนเผลอไม่ได้ทุกที
“อย่าค่ะ” รีบปัดไม้ปัดมือเขาออกก่อนจะปิดหน้าหนี “อย่านะคุณเบล” หัวเราะเสียงใสเมื่อเขาเข้าใช้ปลายคางที่มีไรเคราเข้ามาจั๊กจี้ซอกคอ แสดงความสนิทสนมที่เกินเหตุก่อให้เกิดความรู้สึกเขินอายและสับสนขึ้นภายในใจอย่างทัดทานไม่อยู่ แต่วูบหนึ่งเกิดภาพซ้อนทับของชายอีกคนที่ประทับอยู่ภายในใจ เธอคงจะมีความสุขกว่านี้ถ้าผู้ชายที่หยอกเย้าเธออยู่เป็นแดนไตร แต่ไม่มีเวลาคิดนานเพราะอาการบ้าจี้กำเริบจากคมหนวดของเขาที่บดเบียดเข้ามาในผิวนุ่ม
“ผิวคุณสวยจัง ตรงนั้นก็นิ่ม ตรงนี้ก็นุ่ม” กดจมูกดอมดมราวกับเจอมะลิกลีบบางที่ถูกใจ ดอกไม้ที่เขาชื่นชอบ
“พอเถอะค่ะ ฉันจะต้องกลับบ้านแล้ว” หันหลังให้เตรียมจะลุกแต่กลับถูกรั้งให้ตกเข้ามานอนในอ้อมแขนอีก “ปล่อยสิคะ”
“ไม่ปล่อย ผมไม่ปล่อยคุณไปเฉยๆหรอก” แขนใหญ่กอดรัดร่างบางเข้ามาแนบกายมากขึ้น ซุกหน้าลงกับเรือนผมหอมนุ่มที่เพียงได้กลิ่นโชยอ่อนก็กระตุ้นอารมณ์หวามจนแทบจะฉุดไม่อยู่ ร่างกำยำพลิกกายขึ้นมาทาบทับ ก่อนจะอาศัยความว่องไวฉกจูบลงมาเคล้าคลึง ไม่เปิดทางให้สิรินนภาปฏิเสธอีกต่อไป เมื่อคืนที่เขาพาเธอนอนเฉยๆเพราะสาวเจ้าชิงเมาหลับไปก่อนและเขาก็ไม่ค่อยชอบความอ่อนนุ่มของคนไร้สติเท่าใดนัก
“คนขี้โกง” ตัดพ้อเอียงอายยามที่ฝ่ามือใหญ่แหวกสาบเสื้อคลุมให้เคลื่อนหลุดออก เปิดเผยผิวนวลกระจ่างใสที่ยังไม่เคยต้องตาชายใด
“โกงตรงไหน อุตส่าห์อดไว้นอนกอดเฉยๆทั้งคืนแล้วนะ” พูดจาสองแง่สามง่าม อย่างได้ใจ ในขณะเดียวกันมือเรียวเฝ้าวนเวียนเคล้นคลึงที่เนินอกอวบสัมพันธ์กับใบหน้าหล่อเหลาคมคายซึ่งการก้มเข้าไปแนบจูบที่กลีบดอกไม้นุ่มหยุ่นครั้งแล้วครั้งเล่า
ร่างบางบิดเกลียวด้วยความทรมาน หวนคิดตลอดเวลาว่าอะไรทำให้เธอพบเจอกับหมาป่าเจ้าเล่ห์ที่ยามนี้เซ็กซี่ที่สุดแบบนี้ มีความเจ็บปลาบเล็กน้อยกับความอึดอัดอลังการที่เสียดแทงเข้ามา ทว่าไม่ได้มากมายจนต้องให้ความสำคัญ สายตาลึกลับเลื่อนลงมองรอยร้าวที่เกิดจากการพยายามประสาน ความฝืดเฝื่อนที่อธิบายไม่ได้ว่าเจ็บแสบหรือสุขสม แต่ไม่นานนักกลับโปร่งโล่งในหัวจนชื่นชอบความรู้สึกอึดอัดปนสุขสมที่กำลังเกิดขึ้นนี้ รอจนร่างกายปรับรับสภาพของกันและกันได้เอวสอบจึงค่อยขยับเร่งเร้าให้อีกฝ่ายสั่นสะท้านจนมือเรียวต้องคว้าจิกแขนของเขาจนจมคมเล็บ
“รีน รีนครับ” เสียงทุ้มกังวานเรียกชื่อไม่หยุดหย่อนและเสียงหวานก็ตอบรับอย่างรัญจวนใจ นพพลสื่อความรู้สึกถูกใจชัดเจนทางสายตาคมกล้า สายตาร้อนแรงที่แผดเผาลงมาทำให้สิรินนภาเขินอายจนต้องเบี่ยงหน้าหลบ
ร่างบางลุกขึ้นนั่งหลังจากจบเรื่องปวดเนื้อตัวทุกอย่าง อาการปวดร้าวกลางร่างแล่นเป็นริ้วจนต้องนิ่วหน้า เรียวแขนบอบบางสั่นเทากระชับกอดผ้านวมที่ห่อหุ้มร่างกายไว้ ถอนใจเฮือกใหญ่กับสิ่งที่เกิดขึ้น รู้อยู่แล้วว่าสักวันจะต้องเป็นอย่างนี้แต่ก็อดใจหายไม่ได้ที่ความสุขของเธอไม่ได้มีคนที่อยู่ในใจเป็นผู้ร่วมสร้าง
“รีน” เสียงทุ้มติดงัวเงียเรียกเมื่อควานหาร่างหอมนวลไม่เจอ
“อยู่นี่ค่ะ” หันมาสบตาอีกฝ่ายยิ้มๆ เขินอายกับหุ่นของอีกฝ่ายที่ดูแบบบางไม่แพ้กันแต่ยามขยับกายเคลื่อนไหวกลับดุดันราวกระทิงพันธุ์ดุ เมื่อคืนเมามากจากผับแต่ผู้หญิงคอแข็งอย่างเธออยากจะดื่มต่ออีกหน่อยจึงเรียกร้องให้เขาสั่งเครื่องดื่มเพื่อมาดื่มต่อ แต่ไปๆกลับลงเอยด้วยการ ‘ลึกซึ้ง’ ทุกซอกทุกมุมอย่างละมุนหวานในตอนท้ายที่สร่างจากอาการเมาด้วยซ้ำ
“ตกลงว่า เราแต่งงานกันนะ”
นพพลขับรถมาส่งหญิงสาวที่บ้าน จุมพิตแผ่วเบาเป็นการอำลาพร้อมกับนัดหมายครั้งต่อไปจะพาไปเที่ยวเชียงใหม่ ทันทีที่คล้อยหลัง ริมฝีปากคมยกยิ้มเล็กน้อยคล้ายแค่นหยัน ในที่สุดเขาก็หาตัวช่วยที่จะทำให้สงครามการลงทุนระหว่างแดนไตรนั้นง่ายขึ้น โอกาสลงทุนและได้ผลกำไลมากขึ้น โอกาสที่บริษัทเก่าแก่อย่างเศวต กรุ๊ปจะตกมาอยู่ในมือของเขาโดยมีความร่วมมือจากบัวหอมและสิรินนภา เขาจะใช้ความสนิทสนมของทั้งคู่เป็นสะพาน และเขาก็จะได้ผู้หญิงที่ค่อนข้างมีระดับมาเป็นเมียแต่งให้ไม่ถูกครหานักว่าเป็นเหมือนสายลมพัดไปเรื่อยๆไร้จุดหมาย พร้อมกันก็ยังได้ผู้หญิงสวยๆคนหนึ่งมาเป็นของเล่นแก้เบื่อในระหว่างที่มารดากลับจากอังกฤษและมาคอยคุมประพฤติเขา
บทที 9นพพลยืนเซ็งๆพร้อมกับถุงหนังสือพวงใหญ่ ทั้งหนัก ทั้งเมื่อยแต่หญิงสาวที่เขาตามเฝ้าทั้งวันกลับยังมีทีท่าตื่นเต้นเมื่อได้เปิดหนังสือเล่มแล้วเล่มเล่า วันนี้หลังจัดการเรื่องแหวนหมั้นและชุดแต่งงานรวมถึงคุยกับออแกไนซ์รับจัดงานวิวาห์ ว่าที่เจ้าสาวขอของขวัญสละโสดเป็นการไปเดินห้าง แต่การเดินห้างของอาจารย์สาวนั้นแปลกประหลาดเพราะมันไม่ใช่การไปเลือกเสื้อผ้าและของสวยๆงามๆแต่เป็นการเดินเลือกหนังสือ ทั้งตำราเรียน หนังสืออ่านทั่วไปและนิยาย“รีนครับ ผมว่าเราไปนั่งร้านกาแฟตรงนั้นก่อนดีไหม” เขาหมายถึงร้านกาแฟสัญชาติอเมริกันชื่อดัง เขาต้องการจะพักบ่าและมือที่แบกหนังสือร่วมสามสิบกิโลมาค่อนวัน หญิงสาวมองตามก่อนจะทำปากยื่นไม่เห็นด้วยกับความคิดเขา เธอจะไม่เข้าร้านนั้นเด็ดขาด ร้านที่กาแฟแก้วหนึ่งมีราคาเทียบเท่าค่าแรงหนึ่งวันของแรงงานบางคนในประเทศ“ไม่เอาค่ะ รีนอยากเลือกหนังสือแต่ถ้าคุณเบลเหนื่อย ก็ไปนั่งรอที่นั่นก่อนได้นะคะ เดี๋ยวรีนช๊อปปี้งเสร็จจะตามไปค่ะ” ยิ้มหวานน่ารักก่อนจะหันหน้าไปสนใจกองหนังสือต่อ เทศกาลหนังสือทั้งที หนอนหนังสืออย่างเธอไม่อยากจะเสียโอกาส แม้จะเป็นเทศกาลที่ละลายทรัพย์ไปมากโข แต่ทุกเ
บทที่ 10หวาน...ขมสุดท้ายแล้วโปรเจกขายน้ำตาลให้กับอเมริกาของเศวต กรุ๊ปมีอันพ่ายแพ้ให้กับการเจรจาขายของบริษัทนพพล เขาจัดซื้อและรวบรวมน้ำตาลจากโรงงานอื่นๆที่ไม่ใช่เศวต กรุ๊ปและเสนอราคาขายให้กับอเมริกาในราคาที่ถูกกว่า ทำให้บริษัทที่แดนไตรบริหารกำลังประสบปัญหาไม่มีตลาดรับซื้อสินค้า บริษัทขาดดุลการค้าเกือบพันล้านเนื่องจากซื้อสินค้าและผลิตสินค้ามาแล้วไม่สามารถนำไปส่งขายต่อได้กว่าสองอาทิตย์ที่ชายหนุ่มตรากตรำทำงานหนัก ไม่ได้กลับบ้านกลับช่อง อาศัยนอนพักในห้องทำงานและเดินทางคุยธุรกิจการลงทุนจนหลงลืมวันเวลา ทุกอย่างมันสูญสลายไร้ค่าเพราะสุดท้ายข้อมูลทุกอย่างตกอยู่ในมือของบริษัทคู่แข่งอย่างนพพล ให้มันไปดำเนินการซื้อขายตัดหน้าเขาจนสร้างกำไรมหาศาลพร้อมๆกับลดความน่าเชื่อถือด้านการลงทุนให้กับตัวแดนไตร ไม่เฉพาะกรรมการบริษัทที่เริ่มหวั่นใจกับการบริหารงานอันล้มเหลว บรรดาพนักงานเริ่มรวมตัวกันเรียกร้องความมั่นใจจากนักบริหารหนุ่ม เนื่องจากสินค้าไม่สามารถระบายขายให้ใครได้ ต้องลดอัตราการผลิต ส่งสัญญาณการปลดการจ้างงานให้พนักงานในบริษัทผวาอยู่เป็นระยะงานแต่งงานสุดยิ่งใหญ่ของสิรินนภาและนพพลถูกจัดขึ้นในช่วงกลา
ชายหนุ่มถึงกับครางหือตื่นเต้นไปทั้งตัวเมื่อถูกเรี่ยวแรงน้อยนิดสัมผัสที่ซอกคอสีน้ำผึ้งจนเกิดรอยวงสีแดงช้ำๆ เหมือนเป็นการล้างแค้นกันไปมาที่เขาจูบเธอแรงๆเมื่อครู่ แต่ช่างเป็นทัณฑ์ทรมานอันแสนหวานล้ำเหลือ ร่างสูงผละออกห่างพร้อมทั้งรั้งรูดกระโปรงชุดนอนสีหวานจนเปิดเปลือยความขาวผ่องงดงามของนวลเนื้อน้องน้อย จดจ้องร่างนุ่มด้วยสายตาร้อนแรงไปด้วยไฟเสน่หาจนร่างบางแทบจะหลอมละลาย ทิฐิและความบาดหมางกินใจแต่ก่อนมาคล้ายจะถูกสายตาพิศวาสของเขาสลายลงหมดหรือไม่ก็ อารมณ์ของทั้งคู่ไม่มีที่ว่างพอที่จะไปคิดเรื่องอื่นในระหว่างนี้ในคืนเข้าหอ ภายหลังจากที่ผู้ใหญ่ส่งคู่บ่าวสาวให้นั่งบนเตียงเรียบร้อยแล้ว แทนที่จะเกิดบรรยากาศหวานชื่นของคืนแต่งงาน กลับมีเสียงโต้เถียงและทะเลาะกันของทั้งคู่ทันทีที่อยู่ในห้องพักเพียงลำพังและฝ่ายชายกระทบกระเทียบเหยียบใจฝ่ายหญิงขึ้นก่อน “แต่งงานกับผมแล้วจะไปปล่อยเนื้อปล่อยตัวกับไอ้ตุ่นเหมือนที่เคยทำไม่ได้แล้วนะ จะทำอะไรกับมันก็ไว้หน้ากันบ้าง ไปกอดลาอาลัยเหมือนผู้หญิงสาธารณะ”เพราะหึงหวงโดยไม่รู้ตัวเลยพูดออกมาแบบนั้น“รีนกับตุ่นเราสนิทกันแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว คุณเบลต้องทำใจยอมรับให้ได้เพ
นับแต่วันที่เขาโอนทุกอย่างคืนให้กับผู้เป็นทายาทและเจ้าของที่แท้จริงของเศวต กรุ๊ป แดนไตรไม่เหยียบย่างเข้าไปในบริษัทแห่งนั้นอีกเลย ปล่อยให้บัวหอมจัดการร่วมกับที่ปรึกษาใหม่อย่างนพพล นอกจากนี้เขาเริ่มหมางเมินเย็นชากับภรรยา วันทั้งวันแม้จะอยู่ร่วมบ้านกันกลับไม่มีบทสนทนาใดๆร่วมกันเลย แดนไตรเอาแต่นั่งหน้าคอมพิวเตอร์ ทำงานและโทรศัพท์และช่วยดูแลนางอุบลเท่าที่ทำได้ แต่ทั้งคู่จะแสดงความรักใคร่กลมเกลียวเอาใจใส่เพื่อให้นางอุบลสบายใจ ถึงเวลาไม่มีบุคคลอื่นเขาจะไม่พูดจาหวานหูด้วยสักคำ แม้กระทั่งมองหน้ายังเมินหลบไม่สบตาจริงอยู่ว่าตอนนี้สามีภรรยาต่างใช้ชีวิตเหมือนเป็นคนแปลกหน้าที่อยู่ร่วมบ้านกัน ยามปรกติหมางเมินเย็นชาแต่พอแผ่นหลังสัมผัสเตียงนอนถึงเข้ามาแนบชิด กิจกรรมต่างๆยังคงทำอะไรๆกันเหมือนเดิมเหมือนครั้งเป็นสามีภรรยา เหตุผลเดียวคือเขายังรักและเสน่หาในตัวภรรยามากล้นไม่เสื่อคลาย เพียงแต่มันมีเหตุการณ์ที่ทำให้เกลียดชังกันมากขึ้นเท่านั้นเอง เป็นแบบนี้ใช่ว่าคนเจ็บปวดจะมีเพียงฝ่ายชาย จากที่มั่นอกมั่นใจและสาแก่ใจที่ทวงทุกอย่างคืนจากคนเนรคุณและทรยศหักหลังเขาเป็นการแก้แค้นคืนได้ ตอนนี้เริ่มเจ็บปวดในใจแปลบๆเ
ความสัมพันธ์ติดลบของแดนไตรและบัวหอมเริ่มเป็นที่รับรู้และส่งผลกระทบต่อคนกลางอย่างสกาวเดือน เด็กสาวรับรู้ความผิดปรกติเหล่านี้ดีแต่ไม่อาจช่วยอะไรได้ วันที่พ่อบุญธรรมเก็บของย้ายออกจากบ้านของอดีตภรรยา คืนนั้นทั้งคืนเขากลับมานั่งชันเข่าอยู่บ้านและร้องไห้อย่างหมดยางอายลูกผู้ชายและหลังจากร้องจนสาแก่ใจก็เปลี่ยนเป็นคนนิ่งขรึมแต่ดูอมทุกข์และเหนื่อยล้าตลอดเวลา“อย่าคิดมากเลยนะ” เสียงนุ่มนวลปลอบประโลมเด็กสาวตรงหน้าหลังจากเห็นเธอถอนใจรอบที่ร้อยของวันนี้ไม่อาจรวบรวมสมาธิตั้งใจติวหนังสือเตรียมพร้อมสำหรับการเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้“หนูสงสารพี่ตุ่นค่ะพี่รีน” เด็กสาวบอกกับเพื่อนสนิทของแดนไตรที่พักนี้กลายเป็นแขกประจำของบ้านอีกครั้ง หลังจากที่เขาย้ายกลับมาพักประจำที่บ้านของตนเองตามคำร้องขอของสกาวเดือนที่ต้องการติวเนื้อหาวิชาต่างๆก่อนเข้าเรียนระดับมหาวิทยาลัยโดยให้อาจารย์สาวมาช่วยติวเข้มเตรียมความพร้อมสำหรับนิสิตคณะบริหารธุรกิจ วันนี้ก็เช่นกันที่สิรินนภามาเยี่ยมและอยู่เป็นเพื่อนคนอกหักพึ่งหย่าเมีย เธอรู้ว่าช่วงนี้เพื่อนรักต้อการกำลังใจมากที่สุด พร้อมๆกับต้องการหม้อไฟแมงกะพรุนของโปรดของเขาด้วย“ไม่ต้องคิดมา
“มันก็อร่อยพอๆกับที่คุณกินจากฉันกับตุ่นแหละค่ะ” เถียงกลับหวังจะให้เขาโกรธจนเต้นเหมือนเธอบ้าง จ้องตาประสานกันร้อนแรงแผดเผา ทีเขายังไปมาหาสู่และติดต่อกับบัวหอมได้และเธอยังไม่ได้คิดอกุศลแบบนั้น แล้วทำไมเธอจะติดต่อกับแดนไตรไม่ได้ ในเมื่อเธอกับเพื่อนคนนี้สนิทกันมากกว่าสิบปี “ฉันรักตุ่นและสนิทสนมกับเขามาเป็นสิบปี นานเสียยิ่งกว่าจะรู้ว่ามีคนอย่างคุณอยู่บนโลกใบนี้เสียอีก” หวังจะให้เขาเจ็บแสบบ้างแต่นั่นมันเหมือนดาบสองคมที่จะย้อนกลับมาทำร้ายเธอทีหลัง“รีน” เสียงเข้มข้นเรียกชื่อหญิงสาว เป็นการปรามว่าเธอดูถูกผู้ชายอย่างเขามากเกินไป จนลืมตัวไปว่า ตนนั้นก็ดูถูกเธอด้วยประโยคความหมายเดียวกัน แต่แค่เปลี่ยนรูปประโยคเท่านั้น แต่อย่างว่า ด้านตัวเองมักสว่างเสมอ“เรียกทำไมคะ กลัวจะลืมชื่อเมียตีทะเบียนคนนี้เหรอ ฮึ! ฉันเคยเชื่อมาตลอดว่าให้ฟังและทำตามสิ่งที่แม่เตือนฉันอยู่ซ้ำๆ แต่พอฉันทำตามแม่เรื่องแต่งงานกับคนอย่างคุณ!” พูดถึงตรงนี้ก็ได้แต่เงียบ จุกอกพูดไม่ออก ส่งได้แค่สายตาอ้างว้างผิดหวัง เหยียดหยามในความโง่เขลาของตัวเอง“โอ้ย!” ร่างบางถูกจับกระชากเข้ามาเผชิญหน้า สายตาจัดจ้าก้มเข้ามาใกล้ คาดคั้นให้เธอปริปาก
บทที่ 1วัดเก่าย่านชุมชนแออัดของเมืองหลวง เป็นสถานที่เงียบสงบที่นางอุบลเลือกมาทำบุญในวันครบรอบวันเกิดอายุหกสิบปี และครบรอบหนึ่งปีของการจากไปของสามีสุดที่รักถึงแม้การแต่งกายหรูหรากับใบหน้าที่แต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางจะฉาบเคลือบความชราจนมิด แต่แววตาอิดโรยจากอาการเจ็บป่วยภายในและความเหนื่อยยากจากการบริหารงานบริษัทแทนสามียังคงฉายชัดออกมาให้ผู้พบเห็นรู้สึกไม่สบายใจ“โยม มาวัดแล้วทำไมทำหน้าเศร้านักล่ะ” หลวงตาเอ่ยทักด้วยความเมตตาหลังจากนั่งลงที่อาสนะ เตรียมพร้อมสำหรับให้ศีลให้พรแก่ญาติโยมที่มาทำบุญที่วัด นางอุบลเป็นญาติโยมที่มักจะนั่งรถจากใจกลางย่านธุรกิจของเมืองหลวงมาสู่ชุมชนแออัดกลางเมืองเพื่อทำบุญที่วัดนี้อยู่เป็นประจำ จนมีความสนิทสนมกับคนในวัดนี้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะลูกสาวของนางที่เป็นเพื่อนเล่นกับเด็กวัดที่นี่อย่างไม่ถือตัว“นมัสการเจ้าค่ะหลวงพ่อ” ก้มลงกราบสามครั้งก่อนจะเก็บกลืนความไม่สบายใจลงคอ ไหนๆ วันนี้ก็เป็นวันคล้ายวันเกิดเลยอยากจะทำจิตใจให้สบาย “วันนี้เป็นวันคล้ายวันเกิดดิฉันค่ะ เลยอยากจะมาทำบุญ แล้วก็อยากมอบทุนการศึกษาให้กับโรงเรียนวัดด้วย จะได้เอาไว้ให้เด็กในชุมชนกับเด็กวัด”“เจร
บท 2บัวหอมเข้ามาทำงานในบริษัทในตำแหน่งกรรมการฝ่ายการตลาด ด้วยความที่เธอชำนาญการใช้ภาษาต่างประเทศถึงหกภาษา ทำให้การทำงานกับตลาดต่างประเทศของบริษัทเศวต กรุ๊ป มีความคล่องตัวมากขึ้นด้วยความครอบคลุมภาษาประเทศหลัก ญี่ปุ่น สเปน จีนกลาง อังกฤษ ฝรั่งเศสและเยอรมัน และความละเอียดรอบครอบด้านเอกสาร ไม่ถึงหนึ่งเดือนเธอได้รับคำชื่นชมในการทำงาน จากกรรมการบริหารทุกคน จะมีข้อตำหนิก็อยู่ที่เป็นคนขี้โวยวายและทำตัวหักหน้าไม่ให้เกียรติประธานบริษัทคนใหม่อย่างแดนไตรสำหรับแดนไตร ประธานบริษัทคนใหม่พิสูจน์ตัวเองจนได้รับการยอมรับโดยการทำให้สองไตรมาสแรกของปีงบประมาณไม่อยู่ในภาวะขาดทุน ผลของการนำเงินเก็บส่วนตัวมาอัดฉีดลงทุนกับการโปรโมทให้เศวต กรุ๊ปกลับมาโดดเด่น โด่งดังอีกครั้ง บวกกับความเป็นคนรุ่นใหม่ที่เก่งกาจจากดีกรีปริญญาเอกการเงินและการลงทุนจากวอชิงตันอเมริกา และยังติดโผหนุ่มโสดเนื้อหอมที่มีแฟนคลับตามติดแม้ไม่ได้เป็นดารานายแบบ ยิ่งช่วยให้บริษัทภายใต้การบริหารของคนรุ่นใหม่ไฟแรงเป็นที่น่าสนใจในการลงทุนร่วมหุ้นมากขึ้นบ่อยครั้งที่หนังสือพิมพ์หน้าข่าวสังคมลงภาพและข่าวคราวของแดนไตรในเรื่องของกิจกรรมสาธารณประโยชน์