บทที่ 4
โจรปล้นจูบ
เพียงต้องการจะป่วนประสาท เธอถึงกับยอมล้มลงเพื่อให้ดูเหมือนพลัดตกบันได เพื่อให้แดนไตรปฏิเสธนัดที่มีต่อสิรินนภาและมาเฝ้าไข้เธอที่มีอาการบาดเจ็บ ทั้งๆที่เขาสัญญาจะพาอีกฝ่ายกลับบ้าน
ผลการรักษาพบว่าคนเจ็บไม่เป็นอะไรมากแต่เนื่องจากบัวหอมซึมลงอย่างเห็นได้ชัดจนแดนไตรร้อนใจและอยากให้เฝ้าดูอาการอีกคืนหนึ่งจึงขอหมอให้เธอแอดมิด
“น้องบัวเป็นยังไงบ้าง เจ็บตรงไหนไหมครับพี่จะไปตามหมอมาให้” เกือบค่อนคืนเขานั่งเฝ้าไม่ไปไหน แม้แต่เสียงโทรศัพท์ที่ดังยังไม่ยอมลุกขึ้นไปรับ
“เจ็บค่ะ”
“เจ็บตรงไหน เจ็บมากไหมพี่จะไปตามหมอนะ” รีบลุกกระวีกระวาดแต่มือบางจับคว้าแขนเขาไว้พร้อมทั้งออกแรงบีบแน่น ยิ่งเขาถามด้วยท่าทีอ่อนโยนเป็นห่วง ก็ยิ่งมีความสับสนมากขึ้น
“ทำไมต้องทำเหมือนเป็นห่วงกันทั้งๆที่ถ้าไม่มีฉันสักคนคุณก็เป็นเจ้าของบริษัทได้โดยไม่มีใครตั้งคำถามหรือข้อครหาอยู่แล้ว คุณควรจะดีใจนะที่เห็นฉันเจ็บยิ่งฉันตายยิ่งต้องดีใจเพราะทุกๆอย่างมันจะเป็นของคุณโดยสมบูรณ์ไม่ต้องมาคอยทำท่าทางไม่ต้องการบริษัทฉันอย่างที่ทำอยู่ทุกวัน” เค้นเสียงอย่างอัดอั้น ยิ่งมองหน้ายิ่งสับสนละคนผิดหวัง ชายหนุ่มไม่ตอบเพราะในใจรู้ดีว่าคุณหนูบัวหอมมีสิทธิที่จะต่อว่าอะไรกับเขาก็ได้เพราะอย่างไรก็ถือเป็นเจ้าชีวิต
“ใจเย็นๆก่อนนะครับ” หลังจากเงียบมานานถึงยอมเอ่ยอะไรออกมา
“ฮึ! ไม่ต้องทำเป็นหวังดีกับฉันได้ไหม คุณไม่ได้หวังดีต่อฉันเท่าไหร่หรอกเพียงแต่ไม่อยากให้ใครว่า ยิ่งออกงานด้วยกันแล้วฉันเจ็บตัวแบบนี้ยิ่งต้องรักษาหน้า” ตัดพ้อโวยวายใส่ไม่หยุดหย่อน “แย่งทุกอย่างไปจากฉัน ตอนนี้ชีวิตฉันล้มเหลวมันเลวบัดซบไปหมด กลายเป็นพนักงานกระจอกๆในบริษัทของตัวเอง คนขี้โกง” ว่าเขาแย่งทุกอย่างไป แดนไตรพยายามอดทนไม่ถือสา
“เดี๋ยวผมปอกผลไม้ให้กินดีกว่านะ” เขาใจเย็น เปลี่ยนเรื่องเพื่อให้เธอหลุดพ้นจากความรู้สึกเจ็บปวดทั้งหลายโดยการเดินไปที่ตู้เย็นค้นหาผลไม้เตรียมจะทำมาปอกให้หญิงสาว
บัวหอมจ้องเขาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ยิ่งเขาทำราวไม่ทุกข์ร้อน เธอยิ่งทุกข์ร้อน ร่างบางปีนลงจากเตียงผู้ป่วย พุ่งตรงไปที่โต๊ะวางของซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกล ก่อนจะหยิบคว้ามีดปลอกผลไม้ที่วางไว้ รอจังหวะที่เขาหันมา โชคดี เดชะบุญ สตินำพาที่ชายหนุ่มเป็นคนก้าวเดินโดยมีสตินำเลยหันกลับมาถูกคมมีดเฉี่ยวหน้าอกไปเล็กน้อย ไม่ได้ฝังลึกในอกอย่างที่หญิงสาวจงใจ
“คุณหนูจะทำอะไร” เขาถามหวังจะเรียกสติ แต่เธอไม่ฟังและไม่ตอบอะไรมุ่งที่จะประทุษร้ายเขาให้รับรู้ถึงความเจ็บปวดของเธอบ้าง “อย่าทำแบบนี้นะครับไม่อย่างนั้นคุณหนูจะถูกมองไม่ดีที่ผมทำทุกอย่างผมมีเหตุผลนะครับ”
“เหตุผลบ้าบออะไรมาแย่งทุกสิ่งทุกอย่างของฉัน อาศัยตอนแม่ฉันป่วยยึดทุกอย่างไปงั้นเหรอ ไอ้คนขี้โกง ไอ้เด็กกำพร้า ไอ้คนไม่เจียมตัว” บัวหอมยิ่งสติแตกที่เขาบังอาจหลอกลวงโกหกซึ่งๆหน้า
“ผมทำทุกอย่างเพื่อคุณหนูจริงๆ ผมยังบอกรายละเอียดตอนนี้ไม่ได้แต่เชื่อผมเถอะนะครับ ที่ทำแบบนี้เพราะผมรักและหวังดีกับคุณนายและคุณหนูจริงๆ” แดนไตรยังคงเชื่อว่าความรักที่เขามีมันจะช่วยให้คุณหนูคนงามใจอ่อนลงได้ แต่เขาคิดผิด
“เห็นฉันโง่นักหรือไง คนไม่เจียมตัวอย่างนายน่ะมันเลวที่สุด อย่าอยู่เลย!”
สิรินนภายังคงรอให้แดนไตรกลับมารับที่งานประมูล แม้จะรอเนิ่นนานกว่าสามชั่วโมงแล้ว แต่ยิ่งเข็มนาฬิกาหมุนเดินมากเท่าไหร่น้ำตาก็ยิ่งเอ่อคลอเพราะเขาไม่มีทีท่าว่าจะกลับมาและตอนนี้ก็ไม่สามารถติดต่อได้แล้ว ร่างบางเริ่มออกเดินเท้าเพื่อจะไปจับแท็กซี่กลับบ้าน พยายามทำใจและเข้าใจเพราะมันเป็นอีกครั้งที่เขาทิ้งให้เธอต้องรอเก้อ เหมือนไม่สนใจกันเลย เดินเงียบๆไม่ปริปากบ่นเพราะเป็นทางเลือกที่ตนเองเลือกเองแต่ต้น
เดินห่างออกมาถึงหน้าโรงแรม รถสปอร์ตคันหรูสีแดงเพลิงเลี้ยวปาดหน้าเข้ามาจอดจนแท็กซี่ที่ขับตามหลังมารีบเบรก กระจกฝั่งข้างคนขับถูกเลื่อนลงทำให้เห็นว่าคนขับคือนพพล
“รอใครหรือเปล่าครับ” ชายหนุ่มร้องถามจากในรถ
“ฉันรอแท็กซี่น่ะค่ะ” เธอกระทบกระเทียบไปถึงโอกาสขึ้นแท๊กซี่ที่หลุดลอยไปเพราะถูกเขาขับรถจอดตัดหน้าเมื่อครู่
“ขึ้นรถมาด้วยกันดีกว่าครับ เดี๋ยวผมจะไปส่งคุณเอง”
“ขอบคุณมากนะคะคุณเบล ถ้าไม่ได้คุณเบลน่ะรีนได้เกินกลับแน่ๆค่ะ” พยายามชวนคุยให้ตนเองรู้สึกผ่อนคลาย ไม่ให้คิดถึงแดนไตรที่ผิดนัดมากนัก
“แล้วแดนไตรเขาไปไหนล่ะครับ เห็นคุยกันว่าจะให้เขาไปส่งทำไมกลายเป็นให้คุณเดินแบบนี้ล่ะครับ” ต่อให้เจ้าตัวไม่คิดแต่นพพลก็พร้อมจะซ้ำเติมราวกับรู้อยู่แล้วว่าคนที่พูดถึงไม่มีทางกลับมา รู้ดีเพราะเห็นกับตาของตัวเองว่าบัวหอมทิ้งตัวลงกับพื้นอย่างเจตนาเรียกร้องความสนใจ แต่เขาฉลาดพอที่จะเงียบเสียงและคอยปรากฏตัวในฐานะผู้พิทักษ์คนตกทุกข์ได้ยาก และได้เข้าใจความสัมพันธ์ของบุคคลทั้งสาม ได้เห็นว่าแดนไตรห่วงหวงหญิงสาวอีกคนพร้อมกับทั้งปฏิเสธสิรินนภาไม่ได้ งานนี้ชักจะสนุกเข้าไปใหญ่แล้ว
“คุณบัวหอมตกบันไดค่ะสงสัยต้องไปดูแล” ตอบส่งๆไป
“คุณกับแดนไตรเป็นแฟนกันเหรอ” คำถามตรงๆเสียมารยาทแบบนี้
“เปล่าคะ เราเป็นเพื่อนกัน”
“งั้นเหรอครับ ดีแล้วล่ะที่ไม่ได้เป็นอะไรกัน เพราะคนที่ไม่ได้มีใจให้คุณแบบนั้นมีแต่จะทำให้คุณเสียเวลา รักมันกินไม่ได้หรอกนะคุณ” ผู้ชายปากเสีย! แต่โกรธแค่ไหนก็ยังคงต้องยิ้มไว้เพราะถึงยังไงก็อาศัยรถของเขากลับบ้าน สิรินนภาได้แต่โมโหอยู่ในใจ
“ตุ่นเขาเป็นคนดีและน่ารักค่ะ เขาสุภาพอ่อนโยนกับรีนและกับทุกคน ใครๆก็อยากจะฝากอนาคตไว้ด้วย เพราะเขาทำเพื่อสังคมตลอดเวลา คุณก็ต่างจากตุ่นนะคะ ทั้งๆที่เป็นนักธุรกิจเหมือนกัน แต่เหตุผลในการทำธุรกิจต่างกัน ดูอย่างตุ่นที่ทุกๆการลงทุนของเขาจะวางแผนในการช่วยเหลือสังคม มี CHR ต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ทำธุรกิจอย่างรู้จักให้รู้จักเอื้อเฟื้อแบ่งปันให้คนอื่นๆที่ด้อยโอกาสและเป็นสุภาพบุรุษ แล้วคุณล่ะคะทำธุรกิจหรือลงทุนอะไรสักอย่าง ได้มองไปถึงการตอบแทนสังคมหรือสิ่งแวดล้อมบ้างไหม” เขามาพูดจากระทบกระเทียบแดนไตรของเธอก่อน จึงตอกกลับไปแบบนั้น นพพลเริ่มหน้าตูมแต่ก็ยังอยากจะเอาชนะ
“ความรักมันเป็นเรื่องไร้สาระ มันกินไม่ได้หรอกครับเราจะไปทำเพื่อคนอื่นทำไมมากมาย คนเราลงทุนอะไรไปก็ต้องหวังผลกำไรทั้งนั้น”
“ทุนนิยมจริงๆนะคุณ” ว่าเบาๆ “ความคิดคุณต่างกับตุ่นนะคะ สำหรับตุ่นแล้วความรักและหวังดีเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เป็นความคิดแบบสุภาพอ่อนโยน เขาคิดถึงและเห็นอกเห็นใจคนอื่นและมอบผลกำไรให้กับมูลนิธิเด็กกำพร้า เด็กด้อยโอกาส เป็นทุนการศึกษา แค่นี้ก็รู้แล้วค่ะว่าทัศนคติแบบไหนที่ผู้หญิงเราควรจะฝากอนาคตไว้ ความรักมันกินไม่ได้ก็จริงค่ะเพราะยังไงผู้หญิงก็ต้องรู้จักหาเลี้ยงตัวเอง แต่ความรักมันหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณได้ความภาคภูมิใจมันต่างกันค่ะ”
คนเสียหน้ายิ่งอยากจะเอาชนะมากขึ้น “รักของคุณคงจะหมายถึงแต่ไอ้ตุ่นสินะ ผมจะบอกอะไรคุณนะรีน รักมันเรื่องไร้สาระ มันกินไม่ได้ คุณเองก็เหมือนกันอย่าจมปลักกับผู้ชายที่มันไม่ได้มีสายตาไว้มองคุณหน่อยเลย เห็นชัดเจนจะตายว่ามันเสน่หาคุณบัวหอมขนาดไหน!” เขามองว่าผู้หญิงคนนี้น่ารำคาญเสียยิ่งกว่าอะไรพูดอะไรไปก็เถียงเหมือนกับไม่ยอมรับความจริงก่อนจะหักรถจอดริมทาง หันหน้ามาเตรียมจะสู้รบกับอาการสรรเสริญเยินยออีกฝ่ายจนหักหน้ากันขนาดนี้
“ตุ่นเขาเป็นคนดี” ยังเถียงกระปอดกระแปดแต่ตนเองน้ำตารื้น เจ็บไม่ชินกับความจริงที่ยอมรับอย่างยากลำบาก เธอโง่อย่างที่เขาสื่อนั่นแหละ ไม่ยอมรับความจริง
“ดูเหมือนอะไรก็จะมีแต่นายตุ่นนะครับ ในเมื่อคุณเฝ้ารักนายตุ่นแบบถวายชีวิตขนาดนี้แล้วแม่ของคุณทำไมถึงต้องการให้เราแต่งงานกันนัก รักมันเป็นเรื่องไร้สาระนะคุณรีน เอาเวลาไปทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์กว่านี้ดีกว่าไหม” หันมาถามตรงๆด้วยท่าทีฉุนโกรธ
สิรินนภาขยับตัวหนีด้วยความระแวดระวัง เมื่อครู่ด้วยความฉุนที่เขาบังอาจมาดูถูกความรักของเธอ ความรักใคร่สนิทสนมยาวนานนับสิบปี ความรักที่เฝ้ารอให้เขาหันมาอีกหกปีกว่า มันไม่ใช่สิ่งที่จะดูถูกกันได้ “ฉันจะรู้สึกยังไงมันก็เรื่องของฉัน คุณอย่ามาเอาทัศนคติติดลบของตัวเองมายัดเยียดให้คนอื่นนะ” ว่าเข้าให้ ยิ่งคุยกันก็เหมือนว่าคุยไม่รู้เรื่อง แล้วอะไรคือความเหมาะสมที่จะให้เธอตกล่องปล่องชิ้นแต่งงานกับคนทัศนคติเลวร้ายแบบนี้
“ปล่อยนะคุณเบล” รีบร้องห้ามเสียงหลงเมื่ออยู่ๆข้อมือบางถูกจับมาบีบไว้แน่น เนื่องจากสภาพรถที่เรียวเล็กตามแบบรถสปอร์ตมันเลยไม่เอื้ออำนวยให้ขยับตัวหนี เพียงคนขี้โมโหเอื้อมมือเข้ามาก็รั้งให้ร่างบางมาดิ้นขลุกขลักอยู่ตรงหน้าเขาได้แล้ว
“เท่าที่พูดมาทั้งหมด ผมมันไม่มีอะไรดีสู้ไอ้ตุ่นมันเลย” ต่างฝ่ายต่างจดจ้องกันด้วยสายตาร้อนแรงและไม่มีการยอมแพ้ สำหรับสิรินนภาไม่ยอมให้เขามาดูถูกความรักและคนดีๆอย่างแดนไตร ในขณะที่นพพลนั้นอิจฉาริษาอยากจะแย่งชิงทุกอย่างที่ไอ้เด็กกำพร้านั้นมี ทั้งๆที่เขาเหนือกว่าอีกฝ่ายทุกอย่าง ฐานะ ชาติตระกูลแต่เขากลับเป็นที่สองต่อจากแดนไตรนับตั้งแต่ไปเรียนที่มหาวิทยาลัยในอเมริกา ถึงจะต่างคนต่างอยู่แต่มันก็ข่มข้ามหน้าข้ามตากันอยู่ ไม่ว่าจะเรื่องการเรียน เกรด จนเรียนจบก็ยังมีการแข่งขันด้านการลงทุน แต่ก็ยังลำพองใจอยู่ได้บ้างที่เรื่องความเจ้าชู้นั้น แดนไตรไม่มีวันชนะเขาได้จนบางครั้งยังถูกครหาว่ามีรสนิยมแบบไม่ชอบผู้หญิง ที่ไหนได้ กลับมากิ๊กกั๊กกันอยู่กับอาจารย์สาวสวยอย่างสิรินนภาและคุณหนูแห่งเศวต กรุ๊ปที่เหลือแต่เปลือกนี้เอง
“ใช่!” แต่ยิ่งตอบยิ่งถูกรั้งให้เข้ามาใกล้มากยิ่งขึ้น ยิ่งขึ้นไปอีก แดนไตรต่างหากที่ไม่มีทางสู้เขาได้ เด็กกำพร้าที่ได้ใจสิรินนภาไปครอง แต่ก็ไม่รู้จักเห็นคุณค่า เอาเถอะยิ่งอีกฝ่ายมีปฏิกิริยาว่าไม่ต้องการเขา มันก็ยิ่งสนุกที่จะรีบจัดงานแต่งงานและทรมานใจผู้หญิงโง่เง่าจมปลักคนนี้ ที่คิดว่าตัวเองสวยเลือกได้เสียเต็มประดาถึงได้กล้าเอ่ยปากปฏิเสธเขาครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งๆที่บรรดานางเอกและนางแบบไฮโซมากมายเข้าแถวรอขึ้นเตียงกับเขา
“แต่มีสิ่งหนึ่งที่เขากับผมมีเหมือนๆกันและเผลอๆผมมีมากกว่า ความเป็นผู้ชายไงล่ะ” มือเรียวตะปกไปที่ท้ายทอยของอีกฝ่ายก่อนจะออกแรงรั้งเธอเข้ามาใกล้ชิดจนคนที่ไม่เคยเข้าใกล้ผู้ชายที่ไม่สนิทขนาดนี้รู้สึกสะพรึง เริ่มฝืนตัวเองจะหนีแต่ก็เหมือนจะไม่ทันการเสียแล้ว
“ยะ...อย่า” ร้องห้ามยังไม่เต็มเสียงดีศีรษะสวยก็ถูกตรึงไว้ พร้อมๆกับริมฝีปากหยักได้ประกบเข้ามาปกปิดเสียงไม่ให้เล็ดลอดออก มืออีกข้างบีบรวมข้อมือบางไว้แน่นยามที่ความนุ่มลื่นพยายามแทรกแซงเข้ามาปัดป่ายชิมรสชาติละมุนออกขมอ่อนๆด้วยรถของเบียร์สดที่สิรินนภาดื่มไปเมื่อต้นชั่วโมงก่อน
ยิ่งดิ้นรนเขาก็ยิ่งงัดกลยุทธ์ของเทคนิคใหม่ๆมาใช้ในการปราบให้สาวพยศอยู่กับที่ แต่นพพลเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วว่าสำหรับอาจารย์สาวสุดสวยคนนี้ต้องใช้แรงให้มากขึ้นจนปลายลิ้นได้กลิ่นคาวเลือด จวบตนพอใจถึงจะถอนจูบออกริมฝีปากอิ่มถูกกระแทกบดเบียดจนมีเลือดสีแดงสดซึมออกมาให้เห็น คนถอนจูบไปยังมีการเย้ยเยาะด้วยการเค้นยิ้มพร้อมทั้งยกนิ้วโป้งลูบคลึงริมฝีปากบางที่กำลังบวมเจ่อเพราะถูกบดเบียดจุมพิตแรงๆ
พอได้หายใจเข้าลึกๆ เริ่มเจ็บที่ริมฝีปากจึงรู้ว่าตนเองสมควรโกรธและตะบันหน้าเขาสักสามที แต่สติก็ช่วยยั้งชั่งใจไว้ หญิงสาวโกรธจนสัมผัสได้ว่าปลายประสาทมันมีไฟฟ้าสถิต ความเครียดแล่นในสมองเป็นริ้วๆจนหายใจกระชั้น มือบางกำเข้าหากันแน่นด้วยความโกรธและตกใจ ริมฝีปากที่ถนอมไว้ให้ชายผู้ที่อยู่ในใจ กลับถูกฉวยโอกาส
ผู้ชายฉวยโอกาสแบบนี้ ต้องถูกสั่งสอน นพพลคิดว่าจะถูกตบตามตำราหญิงตบชายจูบ แต่เปล่าเลยสิรินนภานั่งเงียบเสมองไปด้านนอกตลอดเวลาจนกระทั่งส่งเธอถึงบ้าน เธอยกมือไหว้เป็นการขอบคุณที่มาส่งและลงจากรถไป ก้าวเข้าบ้านอย่างรวดเร็วโดยไม่หันมาส่งสายตาตัดพ้อหรือมองกลับมาเลยสักนิด หมาป่าเจ้าเล่ห์เกิดย่ามใจที่เอารัดเอาเปรียบได้และหญิงสาวไม่โวยวาย ข่มเหงได้ครั้งแรกมันก็จะมีครั้งต่อไป เอาเปรียบได้ตั้งแต่ต้นก็จะเอาเปรียบได้ตลอด เขาเชื่ออย่างนั้น
ยิ่งเขาเอาคำว่ารักและเป็นห่วงมาอ้าง ยิ่งทำให้คุณหนูบัวหอมโกรธแค้น จนมือที่จับมีดเกร็งสั่น
“อย่าเอาคำว่ารักและคำว่าห่วงมาอ้างกับฉัน คุณมันคนเห็นแก่ได้ คนขี้โกง” ความผิดหวัง สิ้นหวังและเจ็บปวดจากความรู้สึกที่ถูกแย่งชิงทรยศทำให้เค้นเสียงใส่เขาอย่างยากลำบาก ยิ่งด่า ยิ่งย้ำยิ่งเจ็บปวด เขาทำให้เธอผิดหวังมาก ไม่คาดคิดมาก่อนว่าพี่ตุ่นที่แสนดีจะเติบโตขึ้นมาเป็นคนฉ้อโกงแย่งชิงทุกอย่างไปจากเธอแบบนี้
“คุณหนูใจเย็นๆก่อนนะครับ” ตัดสินใจเข้าชาร์จเพื่อจะแย่งมีด แต่คนโกรธรู้ตัวก่อนรีบกลับหลังหันเพื่อไม่ให้เขาเข้าแย่งชิงได้
“อะไรที่อยู่ในมือฉันคุณไม่มีทางแย่งไปได้ทุกอย่างหรอกนะ” ตวาดข่มขวัญ ร่างบางเงียบเสียงลงเมื่อมือแข็งขยับเข้ามาสวมกอดบริเวณเอวคอดกิ่วของตนแทนการยื้อยุด
“ผมรักคุณหนูจริงๆ ผมหวังดีกับคุณหนูจริงๆ เชื่อผมเถอะนะ” ใจชายเจ็บปวดร้าวราน อึดอัดกับสิ่งที่กำลังเป็นอยู่
“รักเหรอ ฮึ! โกหกหน้าไม่อายปล่อยฉันนะอย่ามาแตะตัวฉัน” ยิ่งดิ้นรนอ้อมแขนที่กอดไว้อยู่ก็ยิ่งรัดแนบแน่นขึ้น และความรู้สึก รัก สับสน ผิดหวัง โกรธแค้นมันยิ่งชัดเจน
“พี่ตุ่นรักน้องบัวที่สุด พี่ตุ่นรักน้องบัวเสมอ” ร่างบางหยุดหอบหายใจ คำว่ารักทำให้หัวใจไหวเอน เสียงทุ้มกังวานอยู่ในใจคนฟังมันอบอุ่นจนไม่อยากจะเชื่อว่ามันคือความจริง แต่เรี่ยวแรงพยศก็เริ่มหมดไปตามใจที่มันอ่อนยวบลง
“แล้วทำไมถึงทำกับบัวแบบนี้ ทำไมถึงทำให้บัวไม่เหลืออะไรเลยแบบนี้” ไม่มีคำตอบแต่ร่างสูงกอดซบไหล่บางแน่นขึ้น ฝังจมูกลงบริเวณนวลเนื้อหอมหวานของซอกคอขาว แอ่งชีพจรนั้นกำลังเต้นอยู่ด้วยความทรมาน บัวหอมได้แต่น้ำตาร่วงเงียบๆ คนๆนี้ คนที่ทั้งรัก ทั้งแค้นและผิดหวัง เธอสู้อดทนเก็บกักความคิดถึงไม่เรียกร้องที่จะพบเจอเขาตลอดเวลาสิบกว่าปีเพื่อให้ต่างคนต่างถึงเวลาเหมาะสมที่จะกลับมาพบกัน แต่พอพบกันอีกครั้งทุกอย่างที่เป็นของเธอกลับถูกชายที่ไว้ใจที่สุดนั้นพรากไป
“พี่ขอโทษ” คำตอบเดียว คำตอบเดิมของเขายังคงเป็นคำว่าขอโทษ และคำนี้มันทำให้อารมณ์โกรธที่เบาลงกลับปะทุขึ้นมาใหม่และพุ่งสูงขึ้นกว่าเดิม ร่างบางสะบัดตัวจนหลุดก่อนจะหันมาพยายามประทุษร้ายชายหนุ่มอีกครั้ง และคราวนี้มันไม่พลาด
เกิดการยื้อยุดอีกหน ในจังหวะที่แดนไตรอ่อนแอนั่นยิ่งทำให้คนอาละวาดได้เปรียบ ร่างบางโถมแรงเข้าหาเขามากขึ้นจนมีดปลายแหลมมันฝังเข้าไปในเนื้อหนังของกายกำยำ เลือดซึมออกมาจากปากแผลบริเวณหน้าท้องที่มีดบาดทะลุเข้าไป ร่างสูงก้าวถอยหลังก่อนจะทรุดตัวลงนั่งกับพื้น หน้าซีดหน้าเสียที่ได้รับบาดเจ็บและเข้าใจแล้วว่าคุณหนูบัวหอมเกลียดชังเขาขนาดไหน
“พะ...พี่ตุ่น” พอเห็นเลือดอีกฝ่ายถึงเริ่มได้สติ
ทิ้งมีดในมือลงพร้อมๆกับทิฐิและความแค้นก่อนจะรีบถลาเข้ามาดูอาการคนเจ็บ “พี่ตุ่นคะ” เสียงสั่นด้วยความตกใจกลัว ยิ่งเห็นเลือดทะลักออกมายิ่งกลัว
“พี่ตุ่นคะ น้องบัวขอโทษพี่ตุ่นเจ็บไหม” ใบหน้าคมคายซีดเผือดเพราะตกใจและเสียเลือด หญิงสาวไม่ใช่แค่ขู่แต่เธอเชือดเขาจริงๆ
“ถ้ามันทำให้คุณหนูสบายใจขึ้น ผมขอชดใช้ในสิ่งที่ทำลงไปทั้งหมด คุณหนูจะฆ่าจะแกงผมก็ได้แต่ขอร้องให้เชื่อผมว่าทุกอย่างที่ทำไปผมมีเหตุผล” ปลงตกกับชีวิตแบบนี้ ชีวิตที่ถูกตราหน้าคาดโทษว่าเป็นไอ้ขี้โกง
“ไม่ต้องพูดแล้วนะคะ” คนฟังสายหน้าพรืด สติแตกไปหมดกับคำพูดเหมือนการสั่งเสียสั่งลาแบบนี้ “น้องบัวขอโทษที่ทำให้พี่เจ็บนะคะ บัวจะรีบไปตามหมอมาให้ค่ะ” ร่างบางรีบวิ่งออกไปตามพยาบาลเวรที่อยู่นอกห้อง ทำให้แดนไตร บรรดาพยาบาลเวร แม้แต่เจ้าตัวได้รู้ว่า แท้จริงแล้วการตกบันไดเมื่อตอนหัวค่ำไม่ได้ทำให้บัวหอมบาดเจ็บอะไรมากมาย หรือไม่ก็ไม่ได้บาดเจ็บตรงไหนเลย
ผลปรากฏว่าคืนนี้คนที่นอนเฝ้าไข้กลับกลายเป็นบัวหอม เธอนอนผวาอยู่บนเตียงคนป่วย ตกใจกับการเห็นเลือดของอีกฝ่าย รู้แก่ใจดีว่าไม่ได้อยากจะเห็นเขาเลือดทะลักขนาดนี้แต่ความแค้นมันยังคงบังตา กุมมือเขาไว้ตลอดเวลาไม่ยอมห่าง รู้สึกผิดและเฝ้าขอโทษตลอดเวลา ร้องไห้จนไม่มีน้ำตาเสียขวัญที่เห็นเลือดของเขาทะลัก
“ไม่ร้องนะครับน้องบัวพี่ไม่เป็นอะไรแล้ว” คอยยกมือเช็ดน้ำตาออกให้ บัวหอมไม่ตอบอะไรอีกเลย เอาแต่ร้องไห้ จนแดนไตรใจคอไม่ค่อยดี แต่เขาไม่มีทางรู้ภายในใจของอีกฝ่ายว่าม่านน้ำตา นั้น ซุกซ่อนแผนการที่จะทวงคืนทุกๆอย่างและรอคอยจังหวะเวลาที่เหมาะสมในการทวงคืนทุกสิ่งไว้อย่างเป็นระบบแบบแผน
“พักผ่อนเถอะนะ ไม่ต้องร้องแล้ว” ปลุกปลอบอย่างอ่อนโยนจนในที่สุดก็เงียบเสียงร้องไห้ ชายหนุ่มอมยิ้มน้อยๆด้วยความเอ็นดูเมื่อสาวเจ้ายกแขนทั้งสองข้างขึ้นมา เป็นสัญลักษณ์ที่ทั้งคู่ใช้กันตั้งแต่ยังเป็นเด็กว่าให้เขาอุ้มแต่พอเติบโตขึ้นมาหน่อยจะกลายเป็นสัญลักษณ์ให้อีกฝ่ายเข้ามากอดแทน คุณหนูคนดีของเขากลับมาแล้ว น้องบัวที่รักพี่ตุ่นที่สุดกลับคืนมาแล้ว ร่างสูงขยับขึ้นมานอนด้วยกันที่เตียงคนป่วย สอดแขนกำยำให้อีกฝ่ายซุกซบต่างหมอน ลูบไหล่บอบบางเบาๆปลอบใจ ความรักใคร่เสน่หาหวนกลับคืนสู่กลางใจของชายหนุ่มผู้มองโลกในแง่ดีเสมอ
“น้องบัวขอโทษนะคะพี่ตุ่น” อ้อมกอดที่คิดถึงยังอบอุ่นเสมอ แต่มันเจ็บปวดใจเพราะความแค้นมันกดดันเข้ามา แต่หญิงสาวพยายามเก็บอารมณ์โกรธแค้นให้ลึกสุดใจไว้ก่อน ให้อีกฝ่ายตายใจ
“ไม่เป็นไรครับ” เป็นฝ่ายชายเองที่ขัดเขิน แต่ก็แอบสูดกลิ่นหอมสะอาดสะอ้านของหญิงสาวในดวงใจเข้าเต็มปอด กลิ่นของเธอค่อนข้างแปลกใหม่สำหรับคนที่ไม่ได้เจอกันตั้งแต่อายุสิบกว่าขวบ มันกลายเป็นกลิ่นเฉพาะของหญิงสาวที่เติบโตขึ้นและไม่ได้พบเจอกันนานนับสิบกว่าอีก วูบหนึ่งพลันเปลี่ยนแปลงจากความรักและเอ็นดูแบบพี่ชายและน้องสาว ซึ่งเป็นครอบครัวที่มีพระคุณต่อเขาล้นเหลือ กลายเป็นหญิงงามพราวเสน่ห์ที่ชวนให้ตื่นเต้นกระชุ่มกระชวยจิตใจที่ไม่เคยมีหญิงใดแทรกซึมเข้ามาก่อน บัวหอมอยู่ในใจของเขามาเนิ่นนาน เขารักเธอมากยิ่งเธอเติบโตก็ยิ่งรัก
คืนนั้นทั้งคืนแดนไตรนอนเข้าสู่ห้วงแห่งกาลเวลาอย่างสบายใจ ลืมหมดความเจ็บปวดจากบาดแผล แต่กว่าจะหลับลงได้คนที่เป็นสุภาพบุรุษเสมอมากลับต้องใช้สมาธิอย่างมากในการข่มใจไม่ให้จมูก ปากและมือไปทำอะไรลุ่มล่ามกับร่างบางที่กอดซบอยู่ ในเมื่อเธอไว้ใจให้เขากอดขนาดนี้ ใกล้ชิดเท่านี้ก็ดีมากที่สุดแล้วสำหรับนางฟ้าในดวงใจของหมาวัดตัวนี้
รอจนลมหายใจของเขาสม่ำเสมอแววตาหวานเชื่อมคู่งามที่จดจ้องเขาทั้งคืนจึงโชนแสงแรงกล้าความเครียดแค้นที่รอคอยวันสะสาง ‘อะไรที่เป็นของฉัน ฉันจะทวงกลับคืนมาให้หมด!’ บัวหอมมีปณิธานในใจต่อคนที่เธอกำลังกอดซบ รู้และเข้าใจว่าแดนไตรรักเธอ ไม่ใช่รักเพียงเพราะแค่เธอเป็นลูกสาวผู้มีพระคุณ แต่เขารักเธอมาแต่ไหนแต่ไร ดังนั้น เธอจะใช้ความรักของเขาเป็นหมากในการเดินหน้าชิงทุกอย่างที่เป็นคนของเธอกลับคืน คนไม่เจียมอย่างเขาจะต้องผิดหวังและกลับออกไปตัวเปล่า!
วันนี้แทบจะทำงานไม่รู้เรื่อง นพพลเอาแต่เฝ้าคิดถึงความนุ่มลื่นเปียกชื้นที่เขานั้นได้มีโอกาสสัมผัสมันเมื่อคืน ไม่น่าเชื่อว่าปากที่คอยพูดแต่หลักการและวิชาการกลับมีรสชาติหวานล้ำชวนให้หวนคิดถึงทั้งคืนทั้งวันจนแทบจะไม่เป็นอันทำงาน
ก๊อกๆๆ เสียงเคาะประตูดังสามครั้งติดก่อนที่ร่างเพรียวสวยของเลขาหน้าห้องจะเดินเข้ามาด้วยสีหน้าไม่ค่อยสู้ดีนัก
“คุณเบลคะ ตำรวจมาขอพบค่ะ” เลขาสาวอ้อมๆแอ้มๆบอก เกรงว่าเจ้านายตนจะเสียหน้าเพราะมีตำรวจบุกมาหาถึงบริษัท หากเรื่องนี้รู้เข้าถึงหูท่านประธานใหญ่และคุณนาย เธอคงไม่วายถูกตำหนิหรืออาจถึงขั้นไล่ออก ข้อหาปล่อยให้ตำรวจพร้อมหมายจับเข้ามาหาท่านรองประธานรูปหล่อหรือลูกชายของท่านประธานใหญ่ถึงในห้องทำงาน
นพพลลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ใบหน้านิ่งสงบเมื่อเห็นตำรวจสองนายเดินเข้ามาพร้อมเลขาสาว “มาพบผมโดยที่ไม่นัดก่อนแบบนี้ มันเกิดอะไรขึ้นเหรอครับ” ถามด้วยเสียงเย็นๆ ไม่ได้กังวลอะไรเพราะเชื่อว่าไม่ได้ทำอะไรผิดหรือก่อเหตุร้ายแรง การซื้อขายหุ้นของเขาถูกกฎหมายและเสียภาษีถูกต้อง แม้เขาจะมีมุมมองที่เห็นแก่ได้แต่สาบานได้ว่าธุรกิจของเขาใสสะอาดแน่นอน ก่อนจะขรึมลงเมื่อเข้าใจสถานการณ์ในทันทีที่ร่างสูงโปร่งก้าวตามเข้ามาเป็นคนสุดท้าย
“ฉันพาตำรวจมาจับผู้ก่อเหตุอนาจารค่ะ” หญิงสาวอีกคนเดินเข้ามาในห้องทำงานเป็นคนสุดท้ายเป็นฝ่ายพูดขึ้น ท่าทางของเธอยังทระนงไม่ยินยอมให้ผู้กระทำผิดข่มเหงได้ง่ายๆและจะขอเรียกร้องในฐานะเหยื่อของผู้ชายมักมากให้เขาได้รับโทษอย่างสาสม ก่อนจะหันไปทางนายตำรวจยศจ่าทั้งสองเพื่อชี้ตัวผู้ก่อเหตุ “คนนี้แหละค่ะคุณตำรวจ คือนายนพพลผู้ที่ก่อเหตุลวนลามกระทำอนาจารกับดิฉัน” น้ำเสียงของสิรินนภาฉะฉานฟาดฟันคนผิด ในช่วงเช้าที่ผ่านมา เธอเดินเข้าสน.ใกล้บ้านเพื่อแจ้งความดำเนินคดีกับนพพลข้อหาล่อลวงและพาบุคคลอื่นไปทำอนาจารในทันทีที่ถึงเวลาราชการ ความโกรธที่ถูกเขาชิงจูบแรกไปทำให้ไม่มีความอายที่จะเล่าเหตุการณ์ให้ร้อยเวรบนโรงพักฟังเลยสักนิด อาจารย์สาวเป็นผู้หญิงยุคใหม่ ที่พบเจอเรื่องกดขี่ทางเพศแล้วจะไม่เหนียมอายในการเรียกร้องสิทธิสตรีให้ตนเอง
แววตาคมกล้าของนพพลยังคงเรียบเฉยแต่ภายในนั้นโชนแสงแห่งความโกรธและเสียหน้าอยู่ลึกๆที่เขาจูบเธอเมื่อคืน เช้าวันนี้เธอไปแจ้งความจะจับเขาให้ได้ ผู้หญิงคนนี้ช่างพยศได้อย่างน่าปราบปรามให้สิ้นลายแม่เสือสาว
“ผมคงต้องขอเชิญตัวคุณนพพลไปให้ปากคำที่โรงพักตามที่มีการแจ้งความลงบันทึกประจำวันไว้” นายตำรวจหมายถึงเหตุลวนลามอนาจาร
“ครับ เอาตามนั้นเลยครับ” นักธุรกิจหนุ่มจ้องตาหญิงสาว ก่อนจะยอมเดินตามนายตำรวจทั้งสองงและสิรินนภาเพื่อไปโรงพักโดยง่าย แต่ในเมื่อเธอเล่นงานเขาขนาดนี้มันต้องมีการถอนทุนคืนแน่นอน
เป็นที่กล่าวถึงทั่วทั้งบริษัทเมื่อมีตำรวจบุกเชิญตัวท่านรองประธานของพวกเขาถึงห้องทำงาน ร้อนรนถึงประธานบริษัทและคุณนายผู้เป็นพ่อเป็นแม่ที่เห็นลูกถูกตำรวจพาไป สน. แล้วคนที่แจ้งความจับก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นสิรินนภาลูกสาวคนโตของเพื่อนรักที่ไปพูดคุยทาบทามสู่ขอกันใหญ่โตเมื่อไม่กี่เดือนก่อนนี้เอง เห็นแบบนี้นางวิมลรีบต่อสายโทรศัพท์หาอลิสาเพื่อนรัก
“ยัยรีนลูกสาวของหล่อนแจ้งความจับลูกชายฉันข้อหาไปลวนลามกระทำอนาจาร!” น้ำเสียงร้อนรนบอกกับปลายสาย
สุดท้ายแล้วคดีก็สิ้นสุดอยู่ที่การลงบันทึกประจำวันด้วยอำนาจของประธานใหญ่แห่งรัตนาสกุลและการถูกบีบบังคับจากคนเป็นแม่ของสิรินนภา จากกระทำอนาจารกลับกลายเป็นการเข้าใจผิดกัน
“หนูรีนจ๊ะ ป้าว่ามีอะไรเราค่อยๆตกลงกันก่อนเถอะนะ” ถึงแม้จะทำให้อีกฝ่ายถอนแจ้งความได้แต่ตอนนี้ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายรวมทั้งชายหญิงยังต้องมานั่งคุยกันในห้องรับแขกของบ้านอาจารย์สาว
“นั่นสิยัยรีน ถึงยังก็จะเป็นทองแผ่นเดียวกันอยู่แล้วงอนอะไรพี่เขาก็พูดกันดีๆก็ได้ ไม่เห็นต้องเรียกร้องความสนใจขนาดนี้เลย” คนหลงลูกเขยถึงขนาดดุด่าลูกตัวเองยังทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้กับการยัดเยียดงานแต่งคลุมถุงชน ก็นางถูกใจลูกเขยคนนี้ถึงจะเจ้าชู้ไปหน่อยแต่ก็เหมือนสิรินนภาได้เข้าไปเป็นหนูในถังข้าวสาร มีกินมีใช้ไม่หมดแน่นอนและอีกอย่าง เป็นคนเจ้าชู้อย่างนพพลยังอยู่ในสายตาและมีค่าเพราะได้แต่งงานกว่าอยู่อย่างไม่มีสถานะกับนายแดนไตรนั่น
“แม่คะ” อาจารย์สาวเรียกแม่ด้วยความตกใจ เพียงเพราะเธอกำลังจะขึ้นคาน เพียงเพราะเธอชัดเจนว่ารอคอยแดนไตรแม่ถึงกับประเคนเธอใส่พานให้คนอื่น ทั้งๆที่แม่ควรจะให้กำลังใจและส่งเสริมให้เธออยู่คนเดียวให้ได้อย่างเข้มแข็งหากไม่มีชายที่พึงเชยจริงๆ หนำซ้ำยังทำราวกับว่าเธอเป็นเด็กชอบเรียกร้องความสนใจที่ไปแจ้งความจับนพพลเพราะถูกเขาจูบอีกด้วย “เขาล่วงเกินลูกสาวแม่นะคะ แม่ต้องโกรธเขาสิไม่ใช่โกรธรีน”
นพพลที่ฟังอยู่ถึงกับยกมุมปากกระหยิ่มยิ้ม งานนี้มีแต่คนเข้าข้างเขาและตำหนิติเตียนสิรินนภา “ผมยอมรับครับว่าผมล่วงเกินคุณรีน ผมชอบคุณรีนมากและเธอก็สวยงามน่ารักเลยอดใจไม่ไหวต้องจูบเธอ ความจริงแล้วมันก็เป็นเรื่องปรกติของผู้ชายผู้หญิงที่กำลังจะแต่งงานร่วมชีวิตกันนิครับ” คำพูดของนพพลทำให้ทุกคนทั้งสองบ้านส่งเสียงเห็นด้วย ไม่มีอะไรเสียหายเพราะอย่างไรก็ต้องตกล่องปล่องชิ้นกันอยู่แล้ว
“นี่คุณ!” ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อเจอแบบนี้ แล้วไหนจะท่าทีเห็นด้วยสุดฤทธิ์ของบรรดาผู้ใหญ่ที่มีเวลาว่างเหลือเฟือ คอยจับคู่ให้ลูกหลานอย่างไม่สนใจยุคสมัย และเธอจะไม่มีวันยอมให้ร่างกาย ชีวิต จิตใจของเธออยู่ใต้บงการใครเด็ดขาด!
“รีนไม่ได้อยากแต่งงาน มันไม่ใช่ทางออกนะคะ รีนต้องการให้คนฉวยโอกาสนั้นเข้าไปนอนในคุก ตุ่นรู้จักกับรีนมาเป็นสิบปี เขายังไม่เคยทำอะไรแบบนี้กับรีนเลยแล้วเขาเป็นใครอยู่ๆมาลวนลามกันแบบนั้น”
“อะไรก็ตุ่น อะไรก็ผู้ชายคนนั้น แม่ถามจริงๆเถอะนะรีนถ้าตาเบลเขาเจตนาจะล่วงเกินแบบมักง่ายจริงๆเขาจะถือพานขอขมาและขอรับผิดชอบโดยการแต่งงานทำไม อย่าเรื่องมากได้ไหมยายรีน แต่งๆไปเถอะเสียหายขนาดนี้” คนเป็นแม่ยังคิดว่าตนเองหาสิ่งที่ดีที่สุดให้ลูกอยู่และตรรกะเริ่มผิดเพี้ยนเพราะลูกสาวต่อต้านสุดแรงฤทธิ์
“รีนเป็นเหยื่อนะแม่ ทำไมทุกคนทำเหมือนเป็นคนผิดล่ะคะ” ยังคงเรียกร้องให้เห็นหัวกันบ้าง แต่เปล่าเลยพวกผู้ใหญ่ยุคหลังสงครามยังคงมองมาอย่างเอือมระอาเหมือนเธอเป็นเด็กเรียกร้องความสนใจที่เฝ้าแต่เรียกร้องมากขึ้นๆ
“คุณรีน ใจเย็นๆก่อนเถอะเรื่องมันมาถึงขนาดนี้แล้ว ผมขอแสดงความรับผิดชอบโดยการดูแลคุณไปตลอดชีวิตนะ” นพพลเหมือนรู้จังหวะว่าช่วงเวลานี้อาจารย์สาวโกรธขั้นสุด เขายอมถูกเธอต่อว่าถึงได้พูดแบบนี้ และมันก็ได้ผล สิรินนภาลุกขึ้นยืนเต็มความสูง สีหน้าบึ้งตึงโมโหจนพูดไม่ออกได้แค่ตวัดสายตาดุดันไปที่ว่าที่คู่หมั้น ยังโกรธจัดที่เขาลานลามเธอเมื่อคืน และโมโหตัวเองที่ไม่น่าหละหลวมไว้ใจคนที่มีสายตาหมาป่าเจ้าเล่ห์อย่างเขาจนเปลืองเนื้อเปลืองตัว
“ฉันไม่แต่ง!” ตวาดก้องก่อนจะวิ่งหนีขึ้นห้องพักส่วนตัว
“ยัยรีน! เสียมารยาท!”
นางอลิสาต่อว่าตามหลังก่อนจะมองมาที่นพพลเป็นเชิงอนุญาตให้เขาตามสาวเจ้าขึ้นไป หวังจะให้ชายหญิงได้ปรับความเข้าใจในสิ่งที่ยังไม่เข้าใจกัน คนเป็นแม่รู้นิสัยลูกสาวดีที่สุด สิรินนภาเป็นคนรักใครรักจริงและยึดมั่นในคำพูดของตัวเอง ลองยื่นมือเข้าไปช่วยมีหวังได้จมปลักอยู่กับรักไม่สมหวังกับนายแดนไตรนั่นทั้งชาติ ทั้งๆที่อีกฝ่ายยังคงวางให้เธอเป็นเพื่อนสนิท ชาตินี้ลูกสาวคนโตคงจะขายไม่ออกเพราะมีแนวคิดที่น่ากังวลว่าจะอยู่เป็นโสดจนตาย
“ขออนุญาตนะครับ” ชายหนุ่มรีบลุกขึ้นค้อมหัวอย่างสุภาพ ก่อนจะก้าวเดินตามหญิงสาวไปอย่างรวดเร็วหลังจากที่แม่ของฝ่ายหญิงเอ่ยปากอนุญาต
“วิ่งหนีกันแบบนี้จะดีเหรอ” เสียงยียวนดังมาตามหลังในจังหวะที่หญิงสาวกำลังจะเข้าห้อง ร่างบางชะงักก่อนจะหันกลับมาเอาเรื่องผู้บุกรุก
“นี่คุณขึ้นมาได้ยังไง...นี่เข้ามาทำไมออกไปนะ” ออกปากไล่แต่ผู้บุกรุกยังย่างสามขุมเข้ามาพร้อมทั้งเบียดเข้ามาในห้องนอนส่วนตัวของเธอ
“คุณหนีผมไม่พ้นอยู่แล้ว!” ลอยหน้าลอยตาตอบก่อนจะทิ้งตัวนอนลงบนเตียงนุ่มเป็นการยียวน
“อย่ามานอนเตียงนี้คนสกปรก”
“ทีนายตุ่นยังนอนได้แล้วทำไมผมจะนอนไม่ได้” เคลมตัวเองว่าเป็นคู่หมั้นคู่หมายและเจ้าข้าวเจ้าของทุกอย่างที่เป็นของเธอ เขาเป็นเจ้าของเธอจริงๆเพราะทาบทามสู่ขอเรียบร้อยโรงเรียนผู้ดีไปแล้ว
“มันไม่เคยมีใครขึ้นมาทั้งนั้น ออกไป” ไล่ยังไม่พอ มือบางยังเข้ามาดึงรั้งให้ร่างสูงลุกออกจากเตียงของตน รำคาญลูกตาจนอยากจะกรี๊ดใส่
นพพลจัดการเรี่ยวแรงอันน้อยนิดที่พยายามดึงรั้งให้เขาลุกขึ้น โดยการดึงเธอลงมาหาแทน “ปล่อยนะ!” ยิ่งได้ยินคำสั่ง แขนเรียวยิ่งกอดรัดร่างนิ่มไว้แน่นขึ้น “อยากโดนอีกกระทงเหรอไงคนฉวยโอกาส”
“ถ้ามีอีกข้อหาหนึ่ง มะรืนก็ได้จัดงานแต่งงาน คุณแม่ของคุณปลื้มลูกเขยคนนี้จะตาย อย่าลืมสิครับ” เขาเอาความเห็นชอบของผู้ใหญ่มาต่อรอง “ยังไงคุณก็ต้องแต่งงานกับผม จะช้าจะเร็วก็ต้องแต่ง” กล่าวทิ้งท้ายแล้วผลักร่างบางออกห่างก่อนจะลุกขึ้นเดินจากไปด้วยความอารมณ์ที่ดีขึ้นผิดหูผิดตา ยิ่งเธอทำราวกับไม่ต้องการแต่งเขาก็ยิ่งต้องการที่จะทำให้เกิดงานแต่งงานมากขึ้นเท่านั้น
บทที่ 6ก่อนหน้านั้น...บทรักอ่อนหวานที่กินเวลาจนย่ำรุ่งไม่ได้ทำให้สาวที่พึ่งสูญเสียความบริสุทธิ์และก้าวผ่านความเจ็บปวดฉีกขาดนั้นจับไข้หรือเป็นอะไร แต่ทว่ากลับเป็นฝ่ายชายหนุ่มที่มีอาการหนักหัวจนลุกจากหมอนไม่ได้ เขาคิดจนหัวแทบระเบิดว่าเมื่อวานทำกิจกรรมอะไรที่ส่งผลให้มีอาการครั่นเนื้อตัวและหนักหัวคล้ายจะเป็นไข้หวัดแบบนี้ก็ยังคิดไม่ออก เพราะถ้ากิจกรรมเข้าจังหวะแนบชิดเมื่อคืนคงจะไม่ใช่สาเหตุหลักเพราะเขาทำกับหญิงสาวคนอื่นๆมานับครั้งไม่ถ้วนแล้วจนกระทั่งคิดออกว่าเมื่อวานตอนมื้อค่ำ เขาได้กินกุ้งทะเลและหอยนางรมเข้าไป เนื่องจากตอนเด็กเป็นเด็กวัด ถูกเลี้ยงมาด้วยข้าวก้นบาตรจากพระอาหารดีๆหรูๆจึงคล้ายกับเป็นของแสลงท้อง โดยเฉพาะกุ้งทะเลตัวใหญ่ๆและหอยนางรมสดๆที่ตั้งแต่แรกเกิดกำพร้าพ่อแม่ก็ยังไม่เคยเอาเข้าปาก จนถึงทุกวันนี้อาหารประจำของเขายังเป็นอะไรที่ง่ายๆไม่พิสดาร เมื่อคืนพอได้กินอะไรพิสดารขึ้นหน่อยสงสัยจะมีอาการแพ้ขึ้นมา“ความจริงแล้วควรจะเป็นบัวมากกว่านะคะที่ป่วยแล้วพี่ตุ่นต้องดูแล” พยาบาลจำเป็นบ่นกระปอดกระแปดในระหว่างที่เตรียมน้ำเต้าหู้นมสดสูตรร้อนใส่แก้วให้คนป่วย เมื่อตอนสายตื่นขึ้นมาแล้วพบว่า
บทที่ 7ผู้เสียหายบัวหอมแทบจะกรีดร้องด้วยความโกรธเมื่ออยู่ๆเธอกลายเป็นเป้าประเด็นทางสังคม หนังสือพิมพ์ชื่อดังทุกฉบับจะมีภาพข่าวเธอในหน้าข่าวสังคมเศรษฐกิจ เธอตกเป็นประเด็นล้อเลียนขำขันในฐานะลูกสาวของอดีตเจ้าของเศวต กรุ๊ปที่ยิ่งใหญ่ย่องขึ้นคอนโดหรูของนักธุรกิจเทพบุตรสุดหล่ออย่างแดนไตรผู้เป็นเจ้าของเศวต กรุ๊ปคนใหม่“ย่อง? ใช้คำว่าย่องขึ้นคอนโดงั้นเหรอ” ความโมโหไม่ได้อยู่ที่เธอเป็นข่าวหรือรู้สึกราวกับกลายเป็นคนสาธารณะทั้งๆที่เธอไม่ใช่ แต่มันโกรธตรงที่คำพูดพาดหัวข่าวที่ทำเหมือนเธอเป็นพวกลักกินขโมยกิน “คนอย่างบัวหอมทำไมต้องแอบ ลงข่าวแบบนี้หมายความว่ายังไง หมายถึงฉันเอาตัวไปแลกกับผลประโยชน์งั้นเหรอ” โวยลั่นสักพักก่อนจะเงียบเสียงลง เอาตัวเข้าแลก ใช้มายายั่วยวนเพื่อหวังผลประโยชน์จากบริษัท เธอทำและเป็นทุกอย่างแบบที่ข่าวลงทั้งนั้นร่างบางค่อยๆนั่งลงนิ่งเงียบ น้ำตารื้นขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่เมื่อนึกถึงศักดิ์ศรีความเป็นลูกผู้หญิงที่แทบจะหมดลง เจ้าตัวทำอะไรลงไปก็พอจะรู้อยู่แล้ว แต่พอถูกเน้นย้ำถูกสะกิดแผลขึ้นมามันก็อดที่จะสะเทือนจิตใจไม่ได้ เหนืออื่นใดถ้าหากคุณแม่เห็นข่าวนี้ท่านจะรู้สึกอย่างไร คงจะเจ็
บท 8อีกสองเดือนถัดมางานแต่งงานเล็กๆได้ถูกจัดขึ้น ในสนามหญ้าหน้าบ้านถูกเนรมิตขึ้นให้เป็นบรรยากาศอบอุ่น ในงานเชิญแต่บรรดาเพื่อนสนิทนักธุรกิจที่คบหากันและแขกผู้หลักผู้ใหญ่ของฝ่ายเจ้าสาว งานสงบเงียบมีเพียงคนรู้จักมักคุ้นตามความประสงค์ของนางอุบลผู้เป็นแม่เจ้าสาว ในงานคนที่มีความสุขคือนางอุบลที่เห็นลูกสาวอยู่ในอ้อมแขนของคนที่ไว้ใจได้ แต่ทว่าเบื้องลึกในใจของเจ้าบ่าวจะสาวนั้นหน้าชื่นอกตรม เพราะตั้งแต่ตกเป็นข่าว ตั้งแต่เห็นเขากอดกับสิรินนภาทั้งคู่ก็ยังไม่ได้พูดคุยปรับความเข้าใจกัน ให้หลังวันที่เธอไปแจกการ์ดเชิญให้กับสิรินนภาวันนั้นเธอถูกแดนไตรฉุดกระชากขึ้นรถทันทีที่เลิกงาน มือที่เคยกอบกุมให้ความอบอุ่นตอนนี้บีบรัดจนกระดูกแทบแตก เขาพาเธอไปที่คอนโดและเปิดฉากทะเลาะกันอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน พี่ตุ่นคนเย็นใจดีขึ้นเสียงใส่เธอเพื่อปกป้องผู้หญิงคนอื่น พี่ตุ่นที่เคยสัญญาว่าจะปกป้องเธอกลับใช้สายตาดุดันสังหารจิตใจเธอเพื่อปกป้องผู้หญิงคนอื่น เขามองเธอด้วยสายตาผิดหวังที่เธอกลายเป็นผู้หญิงงี่เง่าหึงหวงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ด้วยความโมโหเลยตอกหน้าเขากลับไปว่าจะไปกอดกับเพื่อนผู้ชายบ้าง นั่นยิ่งทำให้คุยกั
บทที 9นพพลยืนเซ็งๆพร้อมกับถุงหนังสือพวงใหญ่ ทั้งหนัก ทั้งเมื่อยแต่หญิงสาวที่เขาตามเฝ้าทั้งวันกลับยังมีทีท่าตื่นเต้นเมื่อได้เปิดหนังสือเล่มแล้วเล่มเล่า วันนี้หลังจัดการเรื่องแหวนหมั้นและชุดแต่งงานรวมถึงคุยกับออแกไนซ์รับจัดงานวิวาห์ ว่าที่เจ้าสาวขอของขวัญสละโสดเป็นการไปเดินห้าง แต่การเดินห้างของอาจารย์สาวนั้นแปลกประหลาดเพราะมันไม่ใช่การไปเลือกเสื้อผ้าและของสวยๆงามๆแต่เป็นการเดินเลือกหนังสือ ทั้งตำราเรียน หนังสืออ่านทั่วไปและนิยาย“รีนครับ ผมว่าเราไปนั่งร้านกาแฟตรงนั้นก่อนดีไหม” เขาหมายถึงร้านกาแฟสัญชาติอเมริกันชื่อดัง เขาต้องการจะพักบ่าและมือที่แบกหนังสือร่วมสามสิบกิโลมาค่อนวัน หญิงสาวมองตามก่อนจะทำปากยื่นไม่เห็นด้วยกับความคิดเขา เธอจะไม่เข้าร้านนั้นเด็ดขาด ร้านที่กาแฟแก้วหนึ่งมีราคาเทียบเท่าค่าแรงหนึ่งวันของแรงงานบางคนในประเทศ“ไม่เอาค่ะ รีนอยากเลือกหนังสือแต่ถ้าคุณเบลเหนื่อย ก็ไปนั่งรอที่นั่นก่อนได้นะคะ เดี๋ยวรีนช๊อปปี้งเสร็จจะตามไปค่ะ” ยิ้มหวานน่ารักก่อนจะหันหน้าไปสนใจกองหนังสือต่อ เทศกาลหนังสือทั้งที หนอนหนังสืออย่างเธอไม่อยากจะเสียโอกาส แม้จะเป็นเทศกาลที่ละลายทรัพย์ไปมากโข แต่ทุกเ
บทที่ 10หวาน...ขมสุดท้ายแล้วโปรเจกขายน้ำตาลให้กับอเมริกาของเศวต กรุ๊ปมีอันพ่ายแพ้ให้กับการเจรจาขายของบริษัทนพพล เขาจัดซื้อและรวบรวมน้ำตาลจากโรงงานอื่นๆที่ไม่ใช่เศวต กรุ๊ปและเสนอราคาขายให้กับอเมริกาในราคาที่ถูกกว่า ทำให้บริษัทที่แดนไตรบริหารกำลังประสบปัญหาไม่มีตลาดรับซื้อสินค้า บริษัทขาดดุลการค้าเกือบพันล้านเนื่องจากซื้อสินค้าและผลิตสินค้ามาแล้วไม่สามารถนำไปส่งขายต่อได้กว่าสองอาทิตย์ที่ชายหนุ่มตรากตรำทำงานหนัก ไม่ได้กลับบ้านกลับช่อง อาศัยนอนพักในห้องทำงานและเดินทางคุยธุรกิจการลงทุนจนหลงลืมวันเวลา ทุกอย่างมันสูญสลายไร้ค่าเพราะสุดท้ายข้อมูลทุกอย่างตกอยู่ในมือของบริษัทคู่แข่งอย่างนพพล ให้มันไปดำเนินการซื้อขายตัดหน้าเขาจนสร้างกำไรมหาศาลพร้อมๆกับลดความน่าเชื่อถือด้านการลงทุนให้กับตัวแดนไตร ไม่เฉพาะกรรมการบริษัทที่เริ่มหวั่นใจกับการบริหารงานอันล้มเหลว บรรดาพนักงานเริ่มรวมตัวกันเรียกร้องความมั่นใจจากนักบริหารหนุ่ม เนื่องจากสินค้าไม่สามารถระบายขายให้ใครได้ ต้องลดอัตราการผลิต ส่งสัญญาณการปลดการจ้างงานให้พนักงานในบริษัทผวาอยู่เป็นระยะงานแต่งงานสุดยิ่งใหญ่ของสิรินนภาและนพพลถูกจัดขึ้นในช่วงกลา
ชายหนุ่มถึงกับครางหือตื่นเต้นไปทั้งตัวเมื่อถูกเรี่ยวแรงน้อยนิดสัมผัสที่ซอกคอสีน้ำผึ้งจนเกิดรอยวงสีแดงช้ำๆ เหมือนเป็นการล้างแค้นกันไปมาที่เขาจูบเธอแรงๆเมื่อครู่ แต่ช่างเป็นทัณฑ์ทรมานอันแสนหวานล้ำเหลือ ร่างสูงผละออกห่างพร้อมทั้งรั้งรูดกระโปรงชุดนอนสีหวานจนเปิดเปลือยความขาวผ่องงดงามของนวลเนื้อน้องน้อย จดจ้องร่างนุ่มด้วยสายตาร้อนแรงไปด้วยไฟเสน่หาจนร่างบางแทบจะหลอมละลาย ทิฐิและความบาดหมางกินใจแต่ก่อนมาคล้ายจะถูกสายตาพิศวาสของเขาสลายลงหมดหรือไม่ก็ อารมณ์ของทั้งคู่ไม่มีที่ว่างพอที่จะไปคิดเรื่องอื่นในระหว่างนี้ในคืนเข้าหอ ภายหลังจากที่ผู้ใหญ่ส่งคู่บ่าวสาวให้นั่งบนเตียงเรียบร้อยแล้ว แทนที่จะเกิดบรรยากาศหวานชื่นของคืนแต่งงาน กลับมีเสียงโต้เถียงและทะเลาะกันของทั้งคู่ทันทีที่อยู่ในห้องพักเพียงลำพังและฝ่ายชายกระทบกระเทียบเหยียบใจฝ่ายหญิงขึ้นก่อน “แต่งงานกับผมแล้วจะไปปล่อยเนื้อปล่อยตัวกับไอ้ตุ่นเหมือนที่เคยทำไม่ได้แล้วนะ จะทำอะไรกับมันก็ไว้หน้ากันบ้าง ไปกอดลาอาลัยเหมือนผู้หญิงสาธารณะ”เพราะหึงหวงโดยไม่รู้ตัวเลยพูดออกมาแบบนั้น“รีนกับตุ่นเราสนิทกันแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว คุณเบลต้องทำใจยอมรับให้ได้เพ
นับแต่วันที่เขาโอนทุกอย่างคืนให้กับผู้เป็นทายาทและเจ้าของที่แท้จริงของเศวต กรุ๊ป แดนไตรไม่เหยียบย่างเข้าไปในบริษัทแห่งนั้นอีกเลย ปล่อยให้บัวหอมจัดการร่วมกับที่ปรึกษาใหม่อย่างนพพล นอกจากนี้เขาเริ่มหมางเมินเย็นชากับภรรยา วันทั้งวันแม้จะอยู่ร่วมบ้านกันกลับไม่มีบทสนทนาใดๆร่วมกันเลย แดนไตรเอาแต่นั่งหน้าคอมพิวเตอร์ ทำงานและโทรศัพท์และช่วยดูแลนางอุบลเท่าที่ทำได้ แต่ทั้งคู่จะแสดงความรักใคร่กลมเกลียวเอาใจใส่เพื่อให้นางอุบลสบายใจ ถึงเวลาไม่มีบุคคลอื่นเขาจะไม่พูดจาหวานหูด้วยสักคำ แม้กระทั่งมองหน้ายังเมินหลบไม่สบตาจริงอยู่ว่าตอนนี้สามีภรรยาต่างใช้ชีวิตเหมือนเป็นคนแปลกหน้าที่อยู่ร่วมบ้านกัน ยามปรกติหมางเมินเย็นชาแต่พอแผ่นหลังสัมผัสเตียงนอนถึงเข้ามาแนบชิด กิจกรรมต่างๆยังคงทำอะไรๆกันเหมือนเดิมเหมือนครั้งเป็นสามีภรรยา เหตุผลเดียวคือเขายังรักและเสน่หาในตัวภรรยามากล้นไม่เสื่อคลาย เพียงแต่มันมีเหตุการณ์ที่ทำให้เกลียดชังกันมากขึ้นเท่านั้นเอง เป็นแบบนี้ใช่ว่าคนเจ็บปวดจะมีเพียงฝ่ายชาย จากที่มั่นอกมั่นใจและสาแก่ใจที่ทวงทุกอย่างคืนจากคนเนรคุณและทรยศหักหลังเขาเป็นการแก้แค้นคืนได้ ตอนนี้เริ่มเจ็บปวดในใจแปลบๆเ
ความสัมพันธ์ติดลบของแดนไตรและบัวหอมเริ่มเป็นที่รับรู้และส่งผลกระทบต่อคนกลางอย่างสกาวเดือน เด็กสาวรับรู้ความผิดปรกติเหล่านี้ดีแต่ไม่อาจช่วยอะไรได้ วันที่พ่อบุญธรรมเก็บของย้ายออกจากบ้านของอดีตภรรยา คืนนั้นทั้งคืนเขากลับมานั่งชันเข่าอยู่บ้านและร้องไห้อย่างหมดยางอายลูกผู้ชายและหลังจากร้องจนสาแก่ใจก็เปลี่ยนเป็นคนนิ่งขรึมแต่ดูอมทุกข์และเหนื่อยล้าตลอดเวลา“อย่าคิดมากเลยนะ” เสียงนุ่มนวลปลอบประโลมเด็กสาวตรงหน้าหลังจากเห็นเธอถอนใจรอบที่ร้อยของวันนี้ไม่อาจรวบรวมสมาธิตั้งใจติวหนังสือเตรียมพร้อมสำหรับการเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้“หนูสงสารพี่ตุ่นค่ะพี่รีน” เด็กสาวบอกกับเพื่อนสนิทของแดนไตรที่พักนี้กลายเป็นแขกประจำของบ้านอีกครั้ง หลังจากที่เขาย้ายกลับมาพักประจำที่บ้านของตนเองตามคำร้องขอของสกาวเดือนที่ต้องการติวเนื้อหาวิชาต่างๆก่อนเข้าเรียนระดับมหาวิทยาลัยโดยให้อาจารย์สาวมาช่วยติวเข้มเตรียมความพร้อมสำหรับนิสิตคณะบริหารธุรกิจ วันนี้ก็เช่นกันที่สิรินนภามาเยี่ยมและอยู่เป็นเพื่อนคนอกหักพึ่งหย่าเมีย เธอรู้ว่าช่วงนี้เพื่อนรักต้อการกำลังใจมากที่สุด พร้อมๆกับต้องการหม้อไฟแมงกะพรุนของโปรดของเขาด้วย“ไม่ต้องคิดมา