บทที่ 6
ก่อนหน้านั้น...
บทรักอ่อนหวานที่กินเวลาจนย่ำรุ่งไม่ได้ทำให้สาวที่พึ่งสูญเสียความบริสุทธิ์และก้าวผ่านความเจ็บปวดฉีกขาดนั้นจับไข้หรือเป็นอะไร แต่ทว่ากลับเป็นฝ่ายชายหนุ่มที่มีอาการหนักหัวจนลุกจากหมอนไม่ได้ เขาคิดจนหัวแทบระเบิดว่าเมื่อวานทำกิจกรรมอะไรที่ส่งผลให้มีอาการครั่นเนื้อตัวและหนักหัวคล้ายจะเป็นไข้หวัดแบบนี้ก็ยังคิดไม่ออก เพราะถ้ากิจกรรมเข้าจังหวะแนบชิดเมื่อคืนคงจะไม่ใช่สาเหตุหลักเพราะเขาทำกับหญิงสาวคนอื่นๆมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว
จนกระทั่งคิดออกว่าเมื่อวานตอนมื้อค่ำ เขาได้กินกุ้งทะเลและหอยนางรมเข้าไป เนื่องจากตอนเด็กเป็นเด็กวัด ถูกเลี้ยงมาด้วยข้าวก้นบาตรจากพระอาหารดีๆหรูๆจึงคล้ายกับเป็นของแสลงท้อง โดยเฉพาะกุ้งทะเลตัวใหญ่ๆและหอยนางรมสดๆที่ตั้งแต่แรกเกิดกำพร้าพ่อแม่ก็ยังไม่เคยเอาเข้าปาก จนถึงทุกวันนี้อาหารประจำของเขายังเป็นอะไรที่ง่ายๆไม่พิสดาร เมื่อคืนพอได้กินอะไรพิสดารขึ้นหน่อยสงสัยจะมีอาการแพ้ขึ้นมา
“ความจริงแล้วควรจะเป็นบัวมากกว่านะคะที่ป่วยแล้วพี่ตุ่นต้องดูแล” พยาบาลจำเป็นบ่นกระปอดกระแปดในระหว่างที่เตรียมน้ำเต้าหู้นมสดสูตรร้อนใส่แก้วให้คนป่วย เมื่อตอนสายตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าชายหนุ่มนอนกระสับกระส่ายคล้ายจะจับไข้ เลยขอเลื่อนเวลาเดินทางกลับจากวันนี้ตอนบ่ายไปเป็นพรุ่งนี้ตอนเช้าแทน โดยให้คุณมัญชรีช่วยจัดการส่งแขกและกลับไปเตรียมงานที่บริษัทล่วงหน้า ส่วนทางนี้เธอจะดูแลแดนไตรเอง
“ขอโทษครับ” วันนี้ได้อยู่ทะเลต่อ แต่ไม่ได้อยู่เที่ยว จำต้องอยู่เพราะเขาหนักหัวลุกไม่ขึ้นและหญิงสาวก็คงจะเบื่อที่ต้องมาพยาบาลรักษากัน
“ไม่ได้โกรธค่ะ แต่กำลังงงว่าพี่ตุ่นป่วยได้ยังไง”
“คงเพราะกินกุ้งกับหอยนางรมเมื่อคืน แล้วก็กินน้องบัวล่ะมั้ง” พูดยิ้มๆ เย้าแหย่จนคนฟังอายม้วน แก้วเต้าหู้นมแทบหลุดจากมือ
“กะ...กินน้ำเต้าหู้ก่อนเถอะค่ะ เดี๋ยวบัวจะสั่งข้าวต้มเครื่องให้แล้วก็จะให้ทางที่พักตามหมอมาดูอาการพี่ตุ่นสักหน่อย” สุดท้ายกลายเป็นยิงเข้าประตูตัวเอง ต้องรีบเปลี่ยนเรื่อง
ชายหนุ่มยกน้ำเต้าหู้นมสดขึ้นดื่มจนพร่องไปครึ่งแก้ว ก่อนจะยื่นคืนให้แก่สาวสวยใจดีที่วันนี้มาเฝ้าไข้และคอยตามใจเขาทั้งวัน “ขอบคุณครับ” ตอบรับพร้อมกับยิ้ม “ทำไมเหรอครับ ขำอะไรน่ะ” ก่อนจะถามด้วยความฉงนเมื่อเห็นหญิงสาวยิ้มขำอะไรสักอย่าง
“ก็พี่ตุ่นน่ะสิคะ ปากเรอะหมดแล้ว โตขนาดนี้แล้ว ยังดื่มน้ำเต้าหู้เรอะปากไปหมด” บอกยิ้มๆก่อนจะเอื้อมมือเข้ามา เตรียมจะเช็ดคราบเต้าหู้นมสดที่เรอะรอบปาก แต่ถูกมือหนายั้งไว้ก่อน
“ไม่อยากให้ใช้มือเช็ดเลย” บอกเสียงแผ่วๆพร้อมทั้งทำปากจู๋ขึ้น พยักพเยิดให้เธอจูบ
“ยังไม่รู้ว่าป่วยเป็นอะไร ถ้าเป็นไข้ขึ้นมาเดี๋ยวก็ได้ติดไข้กันพอดี” บัวหอมส่ายหน้าน้อยๆ เอ็นดูกับคนป่วยที่งอแงออดอ้อนแต่มีคำขอทะเล้นๆ แต่พริบตา หญิงสาวกลับยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ก่อนจะใช้ริมฝีปากเช็ดชิมเต้าหู้นมสดที่เลอะอยู่ปากของเขา ลิ้นแดงสดซุกซนปัดป่ายไปทั่วริมฝีปากของคนป่วยจนมั่นใจว่ามันเกินมาตรฐานความสะอาดแต่ก็ยังอ้อยอิ่งอยู่แบบนั้นราวกับจงใจที่จะยั่วเย้าคนป่วยไม่มีแรง
แดนไตรครางหือ อยากจะตอบรับสัมผัสซุกซนหวานชื่นฉ่ำใจแทบขาด แต่เขายังป่วยอยู่และบัวหอมก็รู้ข้อจำกัดนี้ดี เขาป่วยอยู่คงไม่มีเรี่ยวแรงทำอะไรเธอได้แต่ก็ต้องการที่ยั่วเย้าหยอกล้อ อยากจะบริหารเสน่ห์ของตนดูว่ามีอิทธิพลมากที่ที่จะทำให้เขามีปฏิกิริยาทั้งที่ยังป่วยอยู่ไหม ผลปรากฏว่าแม้จะมีเรี่ยวแรงน้อยนิด เขาก็ยังพยายามที่จะสัมผัสเธอให้แนบแน่น ราวกับว่าพยายามจะย้ำให้ชัดเจนว่านี่คือของเขา มีเขาเพียงคนเดียวที่สามารถสัมผัสมันซ้ำแล้วซ้ำอีกได้แบบนี้
ช่วงนี้แดนไตรผูกจิตผูกใจกับบัวหอมเสียงยิ่งกว่าเงาตามตัว แต่โอกาสและเวลาไม่ค่อยเอื้ออำนวยให้ได้อยู่กับเธอตามลำพังเท่าไหร่ หลังกลับจากทะเลชายหนุ่มรู้สึกทุกวินาทีว่าต้องตั้งใจทำงานและใช้เวลาให้คุ้มค่าเพราะตอนนี้เขาไม่ได้ตัวคนเดียว แต่มีคุณหนูคนงามต้องดูแล จนบางครั้งสิรินนภาผู้เป็นเพื่อนได้โทรมาตัดพ้อน้อยใจกับเขาว่าภายหลังจากงานประมูลโรงงานน้ำตาล เธอกับเขาพูดคุยและพบเจอกันไม่ถึงห้าประโยค และคำขอโทษที่ทอดทิ้งเธอให้เผชิญหมาป่าหิวเลือดในวันนั้นก็ยังไม่ได้ยินสักคำ คล้ายว่าแดนไตรได้ลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าลืมทิ้งเธอไว้ที่โรงแรมหรูกลางกรุงแห่งหนึ่ง
วันนี้ก็เช่นกันที่มีสายเรียกเข้าในเบอร์มือถือส่วนตัวของชายหนุ่ม ครั้งแรกมันดังตอนกำลังประชุม แต่เขาก็ไม่ได้โทรกลับจนมันดังซ้ำอีกในตอนที่อยู่ห้องทำงานส่วนตัว
‘ตุ่นลืมรีนไปแล้วเหรอคะ ถึงได้เงียบหายไปแบบนี้’ หญิงสาวโทรศัพท์มาหาเขาแต่เช้า เริ่มต้นสนทนาด้วยคำพูดเชิงตัดพ้อ
“ยังไม่ลืม แต่ช่วงนี้ไปสัมมนาต่างจังหวัดแล้วก็งานยุ่งมาก” แดนไตรยิ้มขำอย่างอารมณ์ดี ผ่อนคลายเมื่อได้พูดคุยกับเพื่อนรักที่รักเขามากและเขาเองก็รักเธอ เพราะมีกันอยู่แค่นี้ เพื่อนที่คบหากันมาตั้งแต่เขายังลำบากยากจนเป็นเด็กวัด สิรินนภาเป็นแบบนี้เสมอ เธอโกรธง่ายแต่ก็หายโกรธได้ด้วยตนเองโดยที่ไม่ต้องเสียเวลาง้อเลย
“ผมขอโทษนะครับรีน เอาอย่างนี้นะเดี๋ยวเย็นนี้ผมจะขอไถ่โทษที่ทำไม่ดีต่อคุณทุกอย่างโดยการพาคุณไปเลี้ยงข้าว ดูหนัง ฟังเพลง ดีไหมครับ” น้ำเสียงของเขายามขอโทษเพื่อนสาวนั้นอบอุ่นอ่อนโยน แววตาอาทรส่งไปถึงอาจารย์สาวที่อยู่ปลายสาย ภายหลังการเอี้ยวตัวไปดูตารางงานที่แน่นจนชวนให้อึดอัด แต่วันนี้ยังพอมีเวลาว่างอยู่บ้างถ้าหากล้มเลิกความตั้งใจว่าจะพาบัวหอมไปดินเนอร์
“อย่าโกรธผมเลยนะช่วงนี้ผมงานยุ่งมากแล้วก็เป็นช่วงสอนงานให้กับคุณหนูบัวหอมด้วยน่ะ รีนไม่โกรธผมก็ดีแล้ว รีนสำคัญต่อผมมากนะถ้าเราทะเลาะกันก็คงจะไม่ดี เดี๋ยวเราไปกินข้าว ดูหนัง ฟังเพลงที่รีนชอบ ผมจะตามใจรีนทุกอย่างเลย จะเป็นเจ้ามือเองด้วยนะ” พอเริ่มมีคนยอมแพ้ บรรยากาศการคุยโทรศัพท์ยิ่งสนุกสนานผ่อนคลาย อาจารย์สาวมีเรื่องเล่าให้แดนไตรฟังมากมายและฝ่ายชายเองก็เบิกบานใจที่ได้หัวเราะเต็มเสียงแบบนี้ตั้งแต่เช้าๆ
แต่ทว่าความสนุกสนานสนิทสนมของเขาได้ทำให้บุคคลอื่นนั้นขุ่นมัว คนแอบฟังที่หน้าประตูได้ยินเขาขอโทษขอโพยและยินดีชดใช้ความผิดให้ทุกอย่างกับผู้หญิงคนอื่น ในใจรู้สึกโกรธเหมือนว่าเขากำลังหักหลังตนอยู่โดยการไปสนิทสนมกับผู้หญิงคนอื่น เห็นทีผู้หญิงที่ชื่อรีน จะเป็นอีกคนที่จะต้องระแวดระวังไว้เสียแล้ว ดูจากที่พี่ตุ่นให้ความสำคัญมากเหลือเกิน
บัวหอมปิดประตูลงเงียบๆก่อนจะก้าวไวๆกลับห้องทำงานของตน ขว้างแก้วกาแฟที่ถืออยู่ลงพื้นจนมันแตกกระจาย กาแฟดำที่ตั้งใจจะชงไปออดอ้อนแดนไตรแต่กลับเป็นสื่อพาให้เธอไปได้ยินบทสนทนาหวานซึ้งเกินเพื่อนของเขา รู้สึกเหมือนตัวเองพ่ายแพ้ที่ทำให้เขารักได้ไม่มากพอ ถ้าในใจของเขายังมีคนอื่นอยู่แสดงว่าโอกาสที่แผนทวงคืนทุกอย่างนี้จะลุล่วงสมบูรณ์แบบก็ถูกลดทอนให้น้อยลง
“ผู้หญิงคนนั้น! สิรินนภาถ้าเธอมาทำให้นายแดนไตรเปลี่ยนใจไปจากฉัน เธอโดนดีแน่!” ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันโกรธจัด โมโหจนหายใจไม่ออกตอบตัวเองไม่ได้ว่าที่รู้สึกไม่พอใจนั้นเป็นเพราะเขามีหน้าไปให้ความสำคัญกับผู้หญิงอื่นทั้งๆที่มีเธออยู่ ทั้งๆที่บอกรักเธอที่สุดหรือโกรธที่ใจของเขายังมีผู้หญิงคนอื่นอยู่ “คิดว่าฉันจะสนใจเหรอ นายมันก็แค่ผู้ชายหน้าโง่คนหนึ่งที่พอฉันได้ทุกอย่างของฉันคืน ก็หมดความหมาย!" ดวงตาทั้งคู่ลุกวาวด้วยไฟโทสะ ขณะที่ตะเบ็งเสียงแหลมอย่างคุ้มคลั่ง
สบถหยาบคายถึงความแสลงใจที่เห็นเมื่อครู่ จนแล้วจนรอดก็ไม่อาจระบายอารมณ์ขุ่นมัวออกจากความรู้สึกได้ จนต้องกดโทรศัพท์ภายในหาแม่บ้านประจำแผนกก่อนจะตะเบ็งเสียงดังเรียกแม่บ้านมาทำความสะอาดแก้วกาแฟแตกที่พื้นเป็นการระบายความโมโหแทน
ทุกเย็นหลังเลิกงานบัวหอมกลับไปดูแลป้อนข้าวป้อนน้ำนางอุบลผู้เป็นแม่ตามปรกติ สีหน้าสดชื่นแจ่มใสกว่าที่เคยทุกครั้งหลังกลับมาจากต่างประเทศทำให้คนเป็นแม่เบาใจว่าลูกสาวตนเองเริ่มปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงได้แล้ว
“วันนี้คุณท่านทานข้าวได้เยอะกว่าทุกวันนะคะ” นางพยาบาลสาวที่แดนไตรจ้างมาเป็นพิเศษรายงานอาการคนป่วยให้แก่บัวหอมได้รู้ ช่วงนี้บริษัทงานยุ่งมากประกอบกับการสัมมนาที่มีแทบจะทุกอาทิตย์ทำให้เวลาว่างในการมาอยู่เป็นเพื่อนผู้เป็นแม่น้อยลง
“ดีจังเลยค่ะคุณแม่ เดี๋ยวก็หายแล้วเราจะกลับไปทำงานที่บริษัทด้วยกันนะคะ”
พยาบาลสาวโค้งกายน้อยๆก่อนจะเดินออกไปจัดเตรียมการดูแลผู้ป่วยติดเตียงขั้นต่อไป ปล่อยให้สองแม่ลูกได้อยู่ด้วยกันตามลำพัง
“พอคุณแม่หาย เรากลับไปทำงานด้วยกันนะคะ” เสียงหวานพูดต่อเอาอกเอาใจเมื่ออยู่ด้วยกันเพียงลำพัง แม่คงจะเหงามากจากคนที่เคยเดินเหินคล่องแคล่วกลายมาเป็นผู้ป่วยติดเตียงแขนขาลีบ
แม่ของเธอชอบการทำงาน ตอนยังแข็งแรงก็ทำงานจนวันสุดท้ายก็จะช็อกหมดสติเข้าโรงพยาบาล ตอนนั้นเธออยู่ระหว่างฝึกงานในบริษัทแห่งหนึ่งของรัฐควีนส์แลนด์ พอได้รับโทรศัพท์จากทางโรงพยาบาลว่าแม่ตนล้มป่วยหนัก อยากจะกลับมาดูอาการแม่ก็ทำไม่ได้เพราะหากละทิ้งการฝึกงานกลางคันมหาวิทยาลัยจะปรับตกให้เธอไม่ผ่านการฝึกงาน โชคดีที่ได้ยินเสียงของแดนไตรรับปากมาว่าจะดูแลแม่ให้เองไม่ต้องเป็นห่วง แต่เพราะคำว่าไม่ต้องเป็นห่วงนั่นแหละ เขาเทคโอเวอร์ยึดบริษัทไปเธอก็ยังไม่รู้ตัว
ร่างบางกอดซบตักของคุณแม่ที่นอนทอดยาวอยู่บนเตียงผู้ป่วย แววตาอ่อนโยนมีความร้าวรานยามนึกถึงชายที่ชื่อแดนไตร ก่อนที่ประกายตาดุดันจะวาบผ่านไป
‘ทุกสิ่งที่แกแย่งชิงไป ฉันจะทวงคืนให้หมด!’
“เป็นยังไงบ้างลูก ทำงานเหนื่อยไหม” วันนี้คนป่วยมีอาการปวดร้าวภายในกระดูกทำให้ต้องร้องขอให้หมอฉีสเตียรอยด์ พอได้ยาค่อยสดชื่นขึ้นจนลืมตามารับการป้อนข้าวป้อนน้ำได้
“ไม่เหนื่อยค่ะแม่” ไฟแค้นในใจค่อยๆถูกเสียงอาทรของแม่มอดดับลงชั่วขณะก่อนจะเผยความยินดีอีกอย่างให้แม่รู้ แผนการทวงคืนทุกอย่างของเธอกำลังเริ่มต้น และมันกำลังไปได้สวยมากเพราะการเอาความสัมพันธ์สนิทสนมเมื่อครั้งยังเด็กมาเรียกร้อง ทำให้แดนไตรติดบ่วงได้ง่ายขึ้น
“บัวกำลังจะทวงคืนทุกอย่างที่เป็นของเรากลับคืนนะคะคุณแม่ ตอนนี้นายแดนไตรเขารักและหลงบัวมากจนพูดเรื่องวางแผนอนาคตด้วยกันแล้ว” ปลายทางของการลงทุนครั้งนี้คือการเซ็นโอนชื่อทุกอย่างกลับคืนมาสู่ทายาทที่แท้จริงอย่างเธอ
“ทะ...ทำไมทำแบบนี้ล่ะลูก” เพียงแค่หายใจแรงๆนางยังเจ็บปวดเนื้อตัวจนน้ำตาคลอ ซ้ำร้ายหัวใจเหี่ยวเฉาตรอมตรมยังพลันเจ็บปวดหนักอึ้งเมื่อได้ยินในสิ่งที่ลูกสาวพูดออกมา ความสดชื่นแจ่มใสของบัวหอมมันเกิดจากการที่เธอคิดแผนการทวงคืนสมบัติได้ ไม่ใช่เกิดจากการปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงได้ คนเป็นแม่ทับถมตัวเองว่าทุกอย่างที่เป็นอยู่ตนนี้เกิดจากตนเอง บัวหอมที่เหมือนดอกไม้แสนสวยบริสุทธิ์ อ่อนโยนแปรเปลี่ยนเป็นคนที่มีจิตอาฆาตรพยาบาทต่อชายหนุ่มที่รักและหวังดีกับพวกเธอที่สุด
“ทุกอย่างมันเป็นของเราค่ะคุณแม่เราต้องทวงคืนมา แต่คุณแม่ไม่ต้องกลัวนะคะว่าบัวจะรักคนอย่างนายแดนไตร บัวอยากจะฆ่าเขาด้วยซ้ำแต่ถ้าไม่ใช้วิธีเข้าใกล้แบบนี้ก็จะไม่มีทางได้ในสิ่งที่ต้องการ”
“อย่าทำอะไรพี่เขานะลูก” นางอุบลพยายามบอก เนื้อตัวสั่นเทาร้องไห้จนน้ำตาแทบเป็นสายเลือด ลูกสาวเธอเสียใจและผิดจนชีวิตและจิตวิญญาณแปรเปลี่ยน บัวหอมที่สดชื่นสดใสตลอดเวลากลับกลายเป็นคนทัศนคติแห้งแล้ง ในใจมีแต่ความคับแค้นริษยารอเวลาทวงคืน
“คนอย่างนายแดนไตรไม่สมควรตายหรอกค่ะ แต่เหมาะสมที่สุดที่จะตายทั้งเป็น” เธอจะเรียกร้องให้เขารักและเมื่อมั่นใจว่าเขารักเธอมากจนยากจะถอนตัว วันนั้นเธอจะมอบบทเรียนที่ราคาแพงที่สุดที่บังอาจทรยศฉ้อโกงทุกสิ่งทุกอย่างไป เธอมั่นใจว่าเสน่ห์ของเธอสามารถทำให้เขารักได้ จิตใจของแดนไตรเธอรู้ดีที่สุด เขาเป็นคนใจอ่อน สงสารและมักเห็นอกเห็นใจผู้อื่น มันเป็นจุดอ่อนสำคัญที่จะช่วยให้ทุกอย่างง่ายขึ้น
เกือบค่อนคืนที่ร่างบางกระสับกระส่ายนอนไม่หลับอยู่บนเตียงนอน คนที่มั่นใจในตัวเองหนักหนาตอนนี้กลับไม่อาจข่มตาลงได้อย่างสบายใจ เพราะตั้งแต่ช่วงเย็นที่แดนไตรขอตัวไปกินข้าวกับสิรินนภา ปล่อยเธอกลับบ้านลำพังจนกระทั่งตอนนี้เขาขาดการติดต่อไปเลย ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆให้เธอได้รู้ว่าตอนนี้ทำอะไรอยู่
ด้วยความร้อนใจหญิงสาวรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ใช้เวลากับหน้าจอสมาร์ทโพนสักพักก่อนจะลุกขึ้นเปลี่ยนเสื้อผ้าและขับรถออกจากบ้านไปยังที่แห่งหนึ่ง ที่ซึ่งแดนไตรจะต้องรีบติดต่อกลับมาอย่างแน่นอนหากรู้ว่าเธออยู่ที่นั่น
ติ๊ง! เสียงข้อความในโทรศัพท์มือถือแจ้งเตือนถึงความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจของแอพพลิเคชั่นชื่อดัง แดนไตรละความสนใจจากสิรินนภาที่กำลังเจื้อยแจ้วสดใสพรรณนาถึงความสนุกสนามของการทำงานตลอดช่วงเวลาหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมา ชายหนุ่มหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูพบว่าเป็นการแจ้งเตือนความเคลื่อนไหวบัญชีเฟชบุ๊กส่วนตัวของบัวหอม ที่มีการเช็คอินปักจุดที่อยู่เป็นโรงพยาบาลใจกลางเมือง ด้วยความร้อนใจสงสัยว่าหญิงสาวไปทำอะไรที่โรงพยาบาล เห็นดังนั้นร่างสูงรีบลุกขึ้นเพื่อหามุมเงียบๆในการโทรติดต่อสาวเจ้า แต่โทรจนสายแทบไหม้ก็ปราศจากการตอบรับ ยิ่งทำให้คนเป็นห่วงร้อนรนใจมากขึ้นๆ
“น้องบัวเป็นอะไรครับ ทำไมไปโรงพยาบาลหรือว่าคุณนายเป็นอะไร” รีบกรอกข้อความสอบถามเป็นห่วงจับใจ ทว่าคำตอบคือความเงียบ เธอเปิดอ่านแต่เธอไม่ตอบ
เขาไม่ต้องการเสียเวลาอีกต่อไป กวักมือเรียกเด็กเสิร์ฟก่อนจะยื่นเงินให้สามพันบาทเพื่อชำระค่าอาหารและฝากสารไปบอกสาวหน้ามนที่นั่งรออยู่โต๊ะว่า เขามีธุระเร่งด่วนที่สำคัญมาก จากนั้นเดินไปที่รถและขับออกไป เป็นอีกหนึ่งครั้งที่ทิ้งสิรินนภาไว้กลางทางเพื่อไปหาคนที่สำคัญและอาจจะต้องการความช่วยเหลือจากเขามากกว่า อาจารย์สาวดูแลตัวเองได้ เธอเก่งเสมอ
“เกิดอะไรขึ้นครับ ทำไมผมถึงติดต่อคุณหนูไม่ได้” ตลอดทางที่ขับรถด้วยความเร็วสูงหวังจะไปหายอดยาใจ เพียรพยายามติดต่อจนโทรศัพท์ร้อนไปหมดอีกฝ่ายก็ไม่รับสาย ย้อนนึกไปถึงตอนที่บอกว่าจะไปกินข้าวกับเพื่อน เธอมีเสียงตุ่นๆและหน้าตึงเล็กน้อยแต่เพราะคิดว่างานที่มอบหมายให้ทำวันนี้หนักเกินไปประกอบกับเกรงใจทั้งสองคนเลยต้องมาเอาอกเอาใจเพื่อนบ้างจะได้ไม่เสียเพื่อน อาจจะทำให้อีกฝ่ายไม่พอใจเข้า แน่ล่ะ! ไม่มีผู้หญิงคนไหนพอใจที่คนของตนออกไปกับหญิงอื่นแม้จะเป็นเพื่อนกัน
ร้านกาแฟที่เปิดบริการตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงของโรงพยาบาลเป็นทางเลือกที่เหมาะสมสำหรับคนเรียกร้องความสนใจ หญิงสาวร้องสั่งลาเต้ร้อนก่อนจะเดินมานั่งรอที่โต๊ะอย่างสงบเรียบร้อย แต่ในสมองกำลังคิดวางแผนการเป็นฉากๆ เธอลงทุนลงแรงไปมากแล้วสำหรับการทวงคืนบริษัท ดังนั้นจะต้องไปให้สุดทางและแย่งชิงกลับมาให้ได้
“กินกาแฟตอนสามทุ่ม เดี๋ยวได้เข้าโรงพยาบาลจริงๆหรอกยัยบัวเอ๋ย” บ่นกับตัวเองอย่างหัวเสียหลังจากที่พนักงานนำกาแฟร้อนมาเสิร์ฟ หญิงสาวเลือกพาตัวเองมาอยู่ในที่ที่แดนไตรจะต้องเดือดร้อนและมาตามหาเธอแน่ๆเพียงแค่เขาได้เห็น
มือบางคนช้อนกาแฟช้าๆ พร้อมๆกับเข้าสู่ภวังค์ สายตาแข็งทื่อเหมือมองลาเต้ร้อนฟองสวยในถ้วย แต่จิตใจล่องลอยไปยังจุดๆหนึ่งที่อยู่ไกลแสนไกล ห้วงแห่งกาลเวลาที่มีเพียงความรัก ความอบอุ่นและสุขใจ
เด็กหญิงบัวหอม เด็กหญิงผิวขาวจัด ร่างเล็กที่มักจะถูกจับตกแต่งเนื้อตัวด้วยชุดกระโปรงน่ารักและผูกผมหยักศกให้เป็นเปียห้อยสองข้าง คอยติดตามแม่มาที่วัดตลอดไม่เคยขาดเว้น เมื่อครั้งยังเด็กเธอเป็นขวัญใจของบรรดานักเรียนโรงเรียนวัด เด็กวัดทุกๆคนตลอดจนแม่ชีที่ทั้งรักและเอ็นดู แต่ความรักความเอ็นดูทั้งหมดทั้งมวลยังไม่อาจเทียบเท่าสิ่งที่พี่ชายคนหนึ่งมีต่อเธอ ด้วยความที่เป็นเด็กในอุปการะของคุณแม่ เขาเลยพลอยเป็นเพื่อนเล่น เป็นพี่เลี้ยงที่ภักดีพร้อมจะมอบให้เธอทั้งชีวิต
“พี่ตุ่นคะ วันนี้น้องบัวจะสอนพี่ตุ่นเต้นรำ” เด็กหญิงวัยหกขวบเข้ามาสวมกอดพี่ชายต่างสายเลือด เด็กชายกอดรับร่างนุ่มไว้ในอ้อมแขนด้วยความรักและเอ็นดู เพื่อนเล่นที่เธอรักมากที่สุดเพราะเขาตามใจเธอทุกอย่าง ทุกๆสุดสัปดาห์ นางอุบลผู้เป็นแม่จะพาหนูน้อยไปที่วัด ทำบุญสวดมนต์และเล่นซนกับเด็กวัดคนอื่นๆอย่างไม่ถือเนื้อถือตัว เหมือนทุกวันที่จะมีเพื่อนเล่น หากแต่วันนี้แตกต่างออกไปเพราะด้วยความซุกซนของเด็กหญิง เธอวิ่งไปชนเข้ากับโต๊ะอาหารเพลที่จัดเตรียมไว้สำหรับถวายพระ
ด้วยความเก่าผุพังของโต๊ะวางของทำให้ขาโต๊ะหนึ่งข้างหักพังลงอย่างง่ายดายด้วยแรงชนเพียงน้อยนิด อาหารที่วางกองไว้ตกร่วงสู่พื้นจนไม่สามารถนำกลับมากินได้ นางอุบลแก้ไขปัญหาโดยการให้คนขับรถจัดหาอาหารกล่องมาใหม่ แต่หลวงตาชราภาพต้องการจะนำคนผิดมาลงโทษเพื่อไม่ให้มีการเล่นซนและเกิดอุบัติเหตุอีก การสอบสวนหาผู้ก่อเหตุจึงเกิดขึ้น และมีการกำหนดบทลงโทษเป็นการเฆี่ยนยี่สิบครั้ง
เด็กหญิงบัวหอมตัวซีดตัวสั่นเพราะกลัวความผิด เธอกอดขามารดาแน่นราวกับซุกตัวในหลุมหลบภัย เริ่มสะอึกสะอื้นร้องไห้กลัวความผิดจนไม่กล้าปริปากยอมรับ เด็กชายแดนไตรผู้เห็นเหตุการณ์ทุกอย่าง เขาโทษตัวเองที่ไม่ดูแลน้องน้อยให้ดีๆจนเธอวิ่งไปชนโต๊ะ เคราะห์ดีที่เธอไม่บาดเจ็บ สายตาอบอุ่นมองสบดวงตาคู่ฉ่ำวาวด้วยน้ำตา ยกยิ้มน้อยๆรื้อฟื้นสัญญาที่เคยให้ไว้เมื่อวันเด็กปีก่อน
‘พี่ตุ่นจะปกป้องน้องบัวเองครับ’
หลังสอบเค้นจนได้ความ บรรดาเด็กวัดนั่งก้มหน้าเงียบๆไม่ยอมรับเพราะไม่ผิดแต่ก็ไม่กล้าซัดทอดเพราะผู้ก่อเหตุคือเด็กหญิงบัวหอมจอมซน ทว่าไม่กี่อึดใจ เด็กชายแดนไตรยกมือขึ้นและยอมรับว่าตนเป็นผู้ก่อเหตุทั้งหมด หลวงตาอดีตเจ้าอาวาสเรียกหาไม้เรียวก่อนจะพร่ำสอนให้เขามีสติและรู้จักระมัดระวังก่อนจะหวดไม้ลงที่ก้นกบของเขาดังวิดๆ เจ็บจนน้ำตารื้นแต่พยายามอดทนเพื่อจะรอจนหลวงตาลงโทษเสร็จ ทว่า
“หยุดค่ะ พอแล้ว” เสียงเล็กแหลมของเด็กหญิงหยุดยั้งไม้เรียวไว้ในครั้งที่สี่
“ฮือๆ” น้องน้อยยกมือไหว้ประลกๆร่ำไห้ร้องขอไม่ให้ลงโทษพี่ชายของเธอพร้อมทั้งวิ่งเข้ามากอดร่างที่สูงกว่าซึ่งกำลังสั่นเทาเพราะความเจ็บระคนปลาบปลื้มใจ น้องน้อยร้องขอความเมตราเพื่อเขา “อย่าตีพี่ตุ่นเลยนะคะหลวงตา น้องบัวเป็นคนทำโต๊ะพังลงเอง อย่าตีพี่ตุ่นนะคะ” การเลี้ยงดูโดยพาไปคลุกคลีที่มูลนิธิเด็กด้อยโอกาสในวัดบ่อยๆหล่อหลอมให้เด็กหญิงเริ่มเรียนรู้ที่จะรู้จักให้และเคารพผู้อื่น
ความซาบซึ้งปลื้มปลาบเปรียบเหมือนเส้นใยบางๆเกี่ยวพันถักทอทั้งคู่ไว้ นางอุบลและลูกสาวเพิ่มพูนความรักความไว้เนื้อเชื่อใจแก่แดนไตรมากขึ้นเพราะเขาเสียสละและปกป้องคนอื่น บัวหอมยิ่งตามติดพี่ตุ่นของเธอและเฝ้ารอสุดสัปดาห์ที่จะได้เล่นด้วยกัน
เด็กน้อยทั้งสองเติบโตผ่านกาลเวลายิ่งทำให้ความรักและความไว้ใจกันพอกพูนมากขึ้นเรื่อยๆแต่ก็ยังอยู่ในขอบเขตและสายตาผู้ใหญ่ จวบจนวันที่เด็กน้อยต้องรู้จักเติบโตแดนไตรในวัยสิบแปดปีสอบชิงทุนรัฐบาลไปเรียนต่อด้านบริหารธุรกิจในประเทศอเมริกา ทั้งคู่จึงแยกจากและขาดการติดต่อกันไปโดยปริยาย
พี่ตุ่นที่แสนดี อบอุ่นและไว้ใจได้ยังตราตรึงในใจบัวหอมเสมอตั้งแต่เด็กจนโต แต่ในยามนี้ วินาทีนี้เธอกลับหวาดระแวงเขามากที่สุด ในยามชิดใกล้ลึกซึ้งมันหวานล้ำแต่รสชาติหวานนั้นมันมีความขมฝาดเจืออยู่ มันรู้สึกเหมือนผู้หญิงไร้ค่า สิ้นไร้ความหวังต้องพลีกายเข้าแลกของที่รักษาไว้ไม่ได้ แต่ต่อให้เจ็บปวดแค่ไหนก็ทำได้แค่กลืนก้อนสะอื้นของความขมขื่นไว้ในเมื่อเลือกแล้วว่าจะแลกเปลี่ยนอะไรกับทุกสิ่งทุกอย่างที่จะช่วงชิงคืนมา
ดวงตาสวยมีน้ำคลอขังฉายแววประกายความผิดหวังก่อนจะวูบวาบด้วยความแค้นยามเมื่อหวนคิดถึงตัวต้นเหตุที่ทำให้ทุกๆวินาทีของเธอไม่มีความสุข ชีวิตของเธอต่อจาก ไม่ว่าจะสูญเสียอะไรไปอีกก็ยินยอมหามันจะแลกกลับมาซึ่งบริษัทและทรัพย์สมบัติที่เป็นความภาคภูมิใจของแม่และของวงศ์ตระกูล
“คนโกหก คนหลอกลวง คนทรยศ”
หญิงสาวนั่งเหม่อลอยจนไม่รู้สึกตัวด้วยซ้ำว่ามีชายร่างสูงคนหนึ่งเดินเข้ามาด้านหลัง กว่าจะรู้สึกตัวก็ขยับหนีไม่ทันก็เผชิญหน้ากับแววตาที่ทำเหมือนอ่านใจเธอออกอย่างทะลุปรุโปร่งและท่าทางเหมือนหาผลประโยชน์จากเธออยู่ตลอด
“คุณนพพล”
“บังเอิญจังเลยนะครับที่มาพบกันที่นี่” ชายหนุ่มเปิดฉากทักทายก่อน เป็นการพูดบังเอิญได้อย่างปราศจากความจริงใจที่สุดจนบัวหอมสัมผัสได้และมันก็เป็นความจริง เขาเล่นโทรศัพท์ไปเรื่อยๆจนพบว่ามีความเคลื่อนไหวในบัญชีเฟชบุ๊คของหญิงสาว ประกอบกับมันอยู่ใกล้คอนโดเพียงเดินข้ามถนนเขาเลยมาดู ถือว่าหญิงสาวยังมีประโยชน์ต่อตนเลยอยากจะแสดงให้เห็นว่ามีน้ำใจเล็กๆน้อยๆ เขาสนใจในตัวหญิงสาวชัดเจนและเป็นพิเศษพอๆกับสนใจในตัวดอกเตอร์สิรินนภา เมื่อรู้ว่าทั้งสองมีความเกี่ยวพันกับแดนไตร และบัวหอมก็ยังเป็นทายาทที่แท้จริงของบริษัทเศวต กรุ๊ป เป็นการลงทุนที่เขาเคลื่อนไหวช้ากว่าแดนไตรไปหนึ่งก้าวจนพลาดการเป็นเจ้าของมันอย่างน่าเจ็บใจ
“มาโรงพยาบาลทำไมเหรอครับ” ร่างสูงถือวิสาสะนั่งลงตรงข้าม กอดอกจ้องหน้าเธอด้วยสายตาค้นหาและประมวลผลทุกวินาทีจนอึดอัด
“มาดื่มกาแฟค่ะ คุณล่ะคะ” สิ้นคำถาม อเมริกาโน่ร้อนก็ถูกวางลงตรงหน้า เป็นการตอบคำถามเสร็จสรรพ
นพพลประเมินอีกฝ่ายสักพักก่อนจะเริ่มพูดต่อ “นอนไม่หลับเหรอครับ การเข้าไปทำงานในฐานะลูกจ้างทั้งๆที่เป็นบริษัทของตัวเองคงทำให้คุณมีอาการเครียดจนนอนไม่หลับพอสมควร” ข้อมูลเขาแน่นจนเจ้าตัวยังทึ่ง พอเห็นสาวเจ้าไม่ตอบก็ยิ่งรัวข้อมูลที่รวบรวมไว้ออกมาให้เจ้าตัวฟัง ถ้าหากไม่ใช่เธอจะได้แย้งในสิ่งที่ถูก “คุณไม่ได้ยินดีนักหรอกที่กลายเป็นแค่พนักงานกินเงินเดือนในบริษัทที่ควรจะเป็นของคุณ แดนไตรเขาเก่งก็จริงครับ แต่บริษัทไม่ใช่ของเขามันเป็นของที่เขาเทคโอเวอร์มาต่างหาก” แววตาล้ำลึกของชายหนุ่มมองทะลุปรุโปร่ง ท่าทางของเขาทระนงและมั่นใจในตัวเองจนเป็นหญิงสาวที่สับสนเสียเอง
“อย่ามาทำเป็นรู้ดีนะ!” ขึ้นเสียงขุ่นมัวใส่ ไม่ชอบใจที่เขาทำเหมือนรู้ทันเธอทุกอย่าง ขนาดพี่ตุ่นของเธอที่รู้จักกันตั้งแต่เด็กยังไม่สามารถอ่านเธอออกจนเฉียบขาดได้ขนาดนี้ ‘พี่ตุ่นของเธอ?’
“ผมรู้ว่าลึกๆแล้วคุณต้องการได้บริษัทคืน” เขาเห็นแววตาริษยาและคลั่งแค้นที่ผู้หญิงคนนี้มีต่อแดนไตร ในตอนที่ร่างสูงโดดเด่นท่ามกลางนักลงทุนมากมายที่ต้องการจะร่วมลงทุนกับเศวต กรุ๊ปที่อยู่ภายใต้การบริหารจัดการของนักธุรกิจรุ่นใหม่ไฟแรง หญิงงามคนนี้จ้องมองด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยไฟโทสะและอิจฉาต้องการแย่งชิงและเขายังเป็นพยานปากเอก ที่เห็นกับตาว่าบัวหอมกำลังใช้แผนการอะไรที่จะทำให้แดนไตรตกหลุมพรางและยกทุกอย่างให้
ดอกไม้งามแทบจะกลายร่างเป็นแม่เสือสาวเมื่อถูกจับได้ไล่ทัน ดวงตาที่เก็บความอ่อนโยนไว้ก้นบึ้งวาวโรจน์ขึ้นมา อยากจะตะปบปากไอ้คนปากดีคนดีเหลือเกิน
“ผมช่วยคุณได้นะ”
“ทำไมต้องช่วยฉัน คุณมีความจำเป็นอะไรที่ต้องช่วยเหลือฉัน”
“ผมเป็นคู่หมายที่ผู้ใหญ่จัดหาไว้ให้ของคุณรีน” เขี้ยวคมขบเคี้ยวลิ้นตนเองด้วยความหมั่นไส้ยามเมื่อพูดถึงอาจารย์สาวที่ยังหลงรักศัตรูอันดับหนึ่งของเขาอย่างหัวปักหัวปำ “สิรินนภาต้องแต่งงานกับผมแต่เธอปฏิเสธเพราะยังรักนายตุ่นอยู่ ถ้าหากคุณบัวยังยืนยันที่จะใช้แผนเอาตัวเข้าแลก ผมก็ช่วยให้นายตุ่นมันติดกับคุณง่ายขึ้น” เขายินยอมใช้ข้ออ้างในการหึงหวงเพื่อเบี่ยงประเด็นที่แฝงเร้นอยู่ คนฟังฉุนกึกกับสิ่งที่เขาพูด คับอกที่เขารู้แผนการและตีแผ่อย่างน่าไม่อายว่าเป็น 'ยุทธการเอาตัวเข้าแลก'
“ฉันไม่ได้จะเอาตัวเข้าแลก ถึงยังไงแดนไตรก็รักฉัน” ยังคงเถียงอย่างมั่นใจ
สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนนอกเหนือจากการฉ้อโกงเนรคุณ คือความรักที่อีกฝ่ายมีต่อเธอ มันสัมผัสได้ง่ายดายเพียงแต่ความชั่วช้าใจดำของเขาเองที่มันบังตาให้ทรยศผู้มีพระคุณ เธอเลยจะช่วยถ่างตาให้เขาเสียหน่อย
“เรามีจุดหมายเดียวกัน คุณไว้ใจผมได้ นี่นามบัตรของผม ถ้าคุณต้องการความช่วยเหลือพิเศษให้โทรหาผมได้ทุกเมื่อ” นพพลยกยิ้มเล็กน้อย คล้ายหยันคล้ายย่องในสิ่งที่เธอกำลังทำก่อนจะลุกเดินจากไป โดยไม่ลืมที่จะวางเงินลงบนโต๊ะเพื่อเลี้ยงกาแฟเธอด้วย
คล้อยหลังนพพลเดินไปสักพักเสียงโทรศัพท์มือถือของหญิงสาวก็ดังขึ้นอีกหน คราวนี้มือบางยอมหยิบออกมารับสายหลังจากปล่อยมันดังสักพักและหากไม่รับสายนี้มันจะกลายเป็นสายที่แปดสิบที่ไม่ได้รับ
“ค่ะคุณแดนไตร” จงใจใช้สรรพนามที่เป็นทางการและเหินหางเพื่อบอกเขาว่าตนนั้นไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ที่ค่อนคืนเขาหายไปกับเพื่อน
‘น้องบัวอยู่ไหนครับ เป็นอะไรทำไมไม่รับโทรศัพท์พี่แล้วมาทำอะไรที่โรงพยาบาล น้องบัวหรือคุณนายเป็นอะไร’ ปลายสายรัวคำพูดและคำถามมาไม่ยั้งด้วยความร้อนรนใจ
“พี่ตุ่นเสร็จธุระกับเพื่อนสนิทแล้วเหรอคะ” ไม่ตอบแต่ย้อนถามคืน
‘น้องบัวอยู่ตรงไหนของโรงพยาบาลครับ พี่จะไปหาตอนนี้พี่อยู่โรงพยาบาลแล้ว’ แดนไตรพยายามไม่ถือสาในสิ่งที่หญิงสาวแสดงออก เธอกำลังประชดประชัน ซึ่งเป็นผู้หญิงในแบบที่เขาไม่ชอบเอาเสียเลย
“ร้านกาแฟของโรงพยาบาลนี่แหละค่ะ” ทันทีที่บอกที่อยู่ สายถูกตัดไปทันที ไม่นานนักหลังจากวางสายร่างสูงก็วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาหา
“น้องบัวเป็นอะไร ป่วยหรือไม่สบายตรงไหนทำไมถึงได้มาโรงพยาบาล” รีบถามพร้อมทั้งเข้ามาสำรวจอย่างร้อนรนแต่ระมัดระวังกลัวว่าจะทำให้เธอบาดเจ็บเพิ่ม
“เปล่าค่ะ บัวนอนไม่หลับเลยมาหากาแฟดื่ม”
“ค่อยยังชั่วหน่อย” ไม่มีความโกรธที่เธอเรียกร้องความสนใจมีแต่ความโล่งอกที่เธอไม่เป็นอะไร รั้งร่างบางเข้ามากอดด้วยความโล่งใจแต่กลับถูกคนแสนงอนขยับออกห่าง
“พี่ตุ่นสนใจบัวด้วยเหรอคะ” นั่นไงล่ะอาการแรกของสาวขี้งอน ได้ยินแบบนี้ใบหน้าเคร่งเครียดของชายหนุ่มเริ่มอมยิ้มทีละน้อยๆ เริ่มมีทัศนคติใหม่ต่อผู้หญิงแสนงอนเมื่อเห็นว่าอาการยกจมูก กอดอกและทำเสียงกระเง้ากระงอดของบัวหอมนั้นน่ารักเหลือเกิน
“สนใจสิครับ” บอกอย่างหนักแน่นก่อนจะโน้มหน้าเข้ามาใกล้ๆกระซิบกระซาบพอให้ได้ยินกันเพียงลำพัง “ไม่ได้เจอกันตั้งนานพี่คิดถึงเรามากรู้ไหม” วาจาหวานหูเรียกรอยยิ้มอ่อนหวานจากเธอได้แต่เพียงวูบเดียวก็รีบกลับมาตีหน้าขรึม
“ไม่รู้”
“กลับกันเถอะนะ เดี๋ยววันนี้พี่จะกล่อมน้องบัวให้ฝันดีเอง” คิดถึงเธอแทบใจจะขาด อยากกอด อยากหอมร่างนุ่มอ่อนของสุดรักสุดดวงใจจนแทบบ้า ก่อนที่ใบหน้ารื่นเริงจะเริ่มนิ่งไป เพราะสังเกตที่โต๊ะแล้วพบเห็นถ้วยกาแฟสองถ้วย ซึ่งแสดงว่าหญิงสาวไม่ได้มาเพียงลำพังหรืออาจจะนัดใครไว้และอีกฝ่ายแยกกลับไปก่อนแล้วก็เป็นได้
“บัวเอารถมาค่ะ”
“เอารถไว้ที่นี่แหละ เดี๋ยวพี่จะให้ลูกน้องมาขับไปส่งบ้านให้ น้องบัวไปกับพี่นะคืนนี้พี่อยากอยู่กับน้องบัว” ส่งสายตาเจ้าชู้ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรักและพลังไปที่น้องนาง แต่ต่อให้เขาพิสูจน์ว่ารักและจริงจังกับเธอมากแค่ไหนมันไม่อาจเข้าไปอยู่ในใจของคนที่เกลียดชังเขามากที่สุด
ห้องชุดสุดหรูใจกลางเมืองขนาดใช้สอยกว่าแปดร้อยตารางเมตร คือสถานที่ที่ชายหนุ่มพาบัวหอมมา ความหรูหราน่าอยู่ทำให้หญิงสาวตื่นเต้นจนลืมวางท่าเง้างอน ถึงแม้จะชื่นชมที่เขาอดทนสู้จากเด็กวัดไร้ที่ซุกหัวนอนจนมีทุกอย่างในวันนี้ แต่มันก็อดที่จะคิดไม่ได้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เขามีตอนนี้มันมาจากการฉ้อโกงทรยศครอบครัวของเธอ
เขาพาเธอเข้าไปในห้องนอนที่ภายในนั้นตกแต่งด้วยสีเทาอ่อน เฟอร์นิเจอร์น้อยชิ้นช่วยเสริมให้บรรยากาศห้องเหมาะสมสำหรับการพักผ่อน ร่างบางถูกจับให้นั่งที่เตียงนุ่ม ก่อนที่ชายหนุ่มจะนั่งคุกเข่าลงจ้องหน้า
“ไหนคนขี้งอน บอกพี่สิว่าไม่พอใจอะไรทำไมถึงไม่พูดกับพี่ดีๆ” แววตาและน้ำเสียงของเขาอบอุ่นอาทรจนสาวคนไหนได้ยินได้เห็นแล้วอ่อนระทวย แต่มันจะไม่ใช่เธอ
“ไม่ต้องสนใจบัวหรอกค่ะ ตั้งแต่กลับจากทะเลพี่ตุ่นไม่คุยกับบัวสักคำ หน้าก็แทบไม่มอง จะมาสนใจอะไรตอนนี้” นั่นไงล่ะ พอมีโอกาสบัวหอมได้ใช้มันอย่างเต็มที่
“ก็งานเรายุ่งจริงๆ” มันเหนื่อยแค่ไหนที่ต้องประคับประครองธุรกิจให้อยู่รอดท่ามกลางคนที่ต้องการจะเข้ามาเป็นเจ้าของแล้วไหนจะหุ้นส่วนที่พร้อมจะเทขายหุ้นให้คนอื่น “แต่พี่ก็บอกน้องบัวทุกครั้งนะเวลาที่พี่จะไปไหน” ตั้งแต่กลับจากทะเล เขาและเธอพูดคุยและเจอหน้ากันแทบนับครั้งได้ ชายหนุ่มคิดถึงเนื้อนุ่มใจแทบขาดแต่ก็ติดพันภาระทั้งบริษัทตัวเองและบริษัทเศวต กรุ๊ป ในขณะที่สาวเจ้าคิดมากฟุ้งซ่านว่าถูกพรากความบริสุทธิ์ไปแล้ว ชายหนุ่มก็เปลี่ยนไปเป็นห่างเหิน จึงเกิดการคิดค้นวิธีการกลยุทธ์ใหม่ๆตลอดเวลาภายในใจเพื่อให้เขาขาดเธอไม่ได้
“ยุ่งแต่มีเวลาออกไปกินข้าวกับเพื่อนสนิทเหรอคะ” เธอโกรธจนหายใจไม่ออกในตอนที่ได้ยินเลขาหน้าห้องนำสารจากแดนไตรมาบอกว่าจะไปกินข้าวกับสิรินนภาและขาดการติดต่อไปเลยทั้งวันจนค่อนคืน เป็นธรรมดาของผู้หญิงที่เวลามีใครสักคนจะรู้สึกว่าได้เป็นเจ้าของ ได้ถูกจับจองมันเลยต้องการความรัก ความเอาใจใส่หรือเกินอาการที่เรียกว่า ‘ติด’ จนบางเวลาบัวหอมเองก็ลืมไปว่าความสัมพันธ์ครั้งนี้มันอยู่บนพื้นฐานของผลประโยชน์อะไร ความบริสุทธิ์ที่แลกเปลี่ยนกับเขาไปมันจะต้องมีค่ามากกว่าความรู้สึกแง่งอนหึงหวง แต่หญิงสาวก็ห้ามใจลำบากที่จะไม่เกิดอารมณ์แบบผู้หญิงหึงหวง
แดนไตรยิ้มอ้อน “หึงพี่นี่เอง ไว้ใจได้ครับพี่กับรีนเราเป็นเพื่อนที่สนิทกันมาก” ขยับตัวเข้าไปจุ๊บปากเชิดรั้นพลางลูบหัวทุยสวยอย่างเอ็นดู
“ไม่ไว้ใจค่ะ บัวไม่เข้าใจทำไมต้องให้ความสำคัญกับคนอื่นมากกว่าบัวหรือว่าบัวไม่สำคัญสำหรับพี่ตุ่นอีกต่อไปแล้ว” ใช่สิ เขาได้ทุกอย่างที่มีค่าไปจากเธอแล้ว เขาคงไม่ต้องเสียเวลาใส่ใจ
“น้องบัวสำคัญสำหรับพี่สุด พี่ขอโทษนะที่ทำให้น้องไม่สบายใจแต่พี่กับเขาเป็นเพื่อนกันมานานมากและเราสนิทกันมากจริงๆ พี่รักเขาแบบเพื่อนไม่ได้รักเขาเหมือนที่รักที่ชอบน้องบัวสักหน่อย”
ใจชายไหวยวบ รีบรวบร่างบางเข้าสู่อ้อมแขนก่อนจะลูบหลังปลอบประโลมเบาๆ รู้สึกผิดเต็มอกที่ละเลยความสำคัญของหญิงสาว ทั้งๆที่ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปแล้วเขาควรจะให้ความสำคัญกับผู้หญิงที่เป็นของเขา บัวหอมไม่ใช่ผู้หญิงอย่างที่เขาเคยผ่านมาที่ต้องมีวัตถุเงินตราแลกเปลี่ยน แต่เป็นผู้หญิงที่เขาต้องการจะรัก ดูแลและยอมแพ้ไปตลอดชีวิตดังนั้นจะต้องใส่ใจความรู้สึกเธอให้มากๆและถ่ายทอดความรักสุดหัวใจเท่าที่ชายคนหนึ่งจะมีให้ผู้หญิงได้
“อย่าคิดมากนะครับ”
“ไม่ได้ให้บัวคิดมากได้ยังไงล่ะคะ เราไม่มีความมั่นคงอะไรในความสัมพันธ์เลย จริงอยู่ว่าเรามีอะไรกันแล้วแต่ตอนนี้บัวเป็นผู้หญิงล้มละลายไม่มีอะไรเหมาะสมกับนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จอย่างพี่ ที่ตอนนี้ยังมีบ้านอยู่ซุกหัวนอนก็เพราะพี่ตุ่นจ้างบัวทำงาน” ไม่รู้ว่าผลจะเป็นอย่างไรแต่ก็เลือกที่จะพูดออกไปแบบนั้นและเธอมาถูกทาง เพราะแดนไตรมีปฏิกิริยาทันทีที่ได้ยิน
“ที่แท้ก็คิดมากเรื่องนี้” เธอคงสติแตกที่เสียบริสุทธิ์ “พี่อยากเดินร่วมทางและใช้ชีวิตกับน้องบัวนะครับ ที่พี่ทำอยู่ทุกวันนี้ก็เพื่อน้องบัวเพื่ออนาคตของเรา” บอกด้วยเสียงหนักแน่นพร้อมทั้งกอดรัดร่างนุ่มแน่นขึ้นไปอีก
ใบหน้างามที่ซุกซบอยู่อกแกร่งยกยิ้มด้วยความสมใจพร้อมทั้งดูถูกเหยียดหยามผู้ชายหน้าโง่ที่กำลังกอดเธออยู่ เพียงแค่เธอใช้มารยา เพียงแค่ใช้น้ำตาเขาก็เผยความในใจออกมาให้รู้ว่าที่ทำมานั้นมันถูกทาง สำเร็จ!
มือบางยกขึ้นกอดตอบที่เอวสอบ “ขอบคุณนะคะที่ให้ความชัดเจน น้องบัวอยากได้แค่ความชัดเจนค่ะ ไม่ได้อยากจะเป็นผู้หญิงนิสัยไม่ดีที่คอยเรียกร้องความสนใจเลยนะคะ น้องบัวรู้ว่าพี่ตุ่นไม่มีเวลาแต่บางครั้งมันอดน้อยใจไม่ได้จริงๆที่พี่ตุ่นทำเหมือนไม่ได้มีใจให้กัน ทำเหมือนอยากได้แค่ตัวของน้องบัว” รู้ทั้งรู้ว่าแดนไตรไม่ใช่คนแบบนั้น แต่มันจะไว้ใจได้เหรอทั้งๆที่เขาเคยเป็นที่หนึ่งในใจเรื่องความซื่อสัตย์ กลับทรยศหักหลังแย่งชิงบริษัทเธอไป
บทที่ 7ผู้เสียหายบัวหอมแทบจะกรีดร้องด้วยความโกรธเมื่ออยู่ๆเธอกลายเป็นเป้าประเด็นทางสังคม หนังสือพิมพ์ชื่อดังทุกฉบับจะมีภาพข่าวเธอในหน้าข่าวสังคมเศรษฐกิจ เธอตกเป็นประเด็นล้อเลียนขำขันในฐานะลูกสาวของอดีตเจ้าของเศวต กรุ๊ปที่ยิ่งใหญ่ย่องขึ้นคอนโดหรูของนักธุรกิจเทพบุตรสุดหล่ออย่างแดนไตรผู้เป็นเจ้าของเศวต กรุ๊ปคนใหม่“ย่อง? ใช้คำว่าย่องขึ้นคอนโดงั้นเหรอ” ความโมโหไม่ได้อยู่ที่เธอเป็นข่าวหรือรู้สึกราวกับกลายเป็นคนสาธารณะทั้งๆที่เธอไม่ใช่ แต่มันโกรธตรงที่คำพูดพาดหัวข่าวที่ทำเหมือนเธอเป็นพวกลักกินขโมยกิน “คนอย่างบัวหอมทำไมต้องแอบ ลงข่าวแบบนี้หมายความว่ายังไง หมายถึงฉันเอาตัวไปแลกกับผลประโยชน์งั้นเหรอ” โวยลั่นสักพักก่อนจะเงียบเสียงลง เอาตัวเข้าแลก ใช้มายายั่วยวนเพื่อหวังผลประโยชน์จากบริษัท เธอทำและเป็นทุกอย่างแบบที่ข่าวลงทั้งนั้นร่างบางค่อยๆนั่งลงนิ่งเงียบ น้ำตารื้นขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่เมื่อนึกถึงศักดิ์ศรีความเป็นลูกผู้หญิงที่แทบจะหมดลง เจ้าตัวทำอะไรลงไปก็พอจะรู้อยู่แล้ว แต่พอถูกเน้นย้ำถูกสะกิดแผลขึ้นมามันก็อดที่จะสะเทือนจิตใจไม่ได้ เหนืออื่นใดถ้าหากคุณแม่เห็นข่าวนี้ท่านจะรู้สึกอย่างไร คงจะเจ็
บท 8อีกสองเดือนถัดมางานแต่งงานเล็กๆได้ถูกจัดขึ้น ในสนามหญ้าหน้าบ้านถูกเนรมิตขึ้นให้เป็นบรรยากาศอบอุ่น ในงานเชิญแต่บรรดาเพื่อนสนิทนักธุรกิจที่คบหากันและแขกผู้หลักผู้ใหญ่ของฝ่ายเจ้าสาว งานสงบเงียบมีเพียงคนรู้จักมักคุ้นตามความประสงค์ของนางอุบลผู้เป็นแม่เจ้าสาว ในงานคนที่มีความสุขคือนางอุบลที่เห็นลูกสาวอยู่ในอ้อมแขนของคนที่ไว้ใจได้ แต่ทว่าเบื้องลึกในใจของเจ้าบ่าวจะสาวนั้นหน้าชื่นอกตรม เพราะตั้งแต่ตกเป็นข่าว ตั้งแต่เห็นเขากอดกับสิรินนภาทั้งคู่ก็ยังไม่ได้พูดคุยปรับความเข้าใจกัน ให้หลังวันที่เธอไปแจกการ์ดเชิญให้กับสิรินนภาวันนั้นเธอถูกแดนไตรฉุดกระชากขึ้นรถทันทีที่เลิกงาน มือที่เคยกอบกุมให้ความอบอุ่นตอนนี้บีบรัดจนกระดูกแทบแตก เขาพาเธอไปที่คอนโดและเปิดฉากทะเลาะกันอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน พี่ตุ่นคนเย็นใจดีขึ้นเสียงใส่เธอเพื่อปกป้องผู้หญิงคนอื่น พี่ตุ่นที่เคยสัญญาว่าจะปกป้องเธอกลับใช้สายตาดุดันสังหารจิตใจเธอเพื่อปกป้องผู้หญิงคนอื่น เขามองเธอด้วยสายตาผิดหวังที่เธอกลายเป็นผู้หญิงงี่เง่าหึงหวงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ด้วยความโมโหเลยตอกหน้าเขากลับไปว่าจะไปกอดกับเพื่อนผู้ชายบ้าง นั่นยิ่งทำให้คุยกั
บทที 9นพพลยืนเซ็งๆพร้อมกับถุงหนังสือพวงใหญ่ ทั้งหนัก ทั้งเมื่อยแต่หญิงสาวที่เขาตามเฝ้าทั้งวันกลับยังมีทีท่าตื่นเต้นเมื่อได้เปิดหนังสือเล่มแล้วเล่มเล่า วันนี้หลังจัดการเรื่องแหวนหมั้นและชุดแต่งงานรวมถึงคุยกับออแกไนซ์รับจัดงานวิวาห์ ว่าที่เจ้าสาวขอของขวัญสละโสดเป็นการไปเดินห้าง แต่การเดินห้างของอาจารย์สาวนั้นแปลกประหลาดเพราะมันไม่ใช่การไปเลือกเสื้อผ้าและของสวยๆงามๆแต่เป็นการเดินเลือกหนังสือ ทั้งตำราเรียน หนังสืออ่านทั่วไปและนิยาย“รีนครับ ผมว่าเราไปนั่งร้านกาแฟตรงนั้นก่อนดีไหม” เขาหมายถึงร้านกาแฟสัญชาติอเมริกันชื่อดัง เขาต้องการจะพักบ่าและมือที่แบกหนังสือร่วมสามสิบกิโลมาค่อนวัน หญิงสาวมองตามก่อนจะทำปากยื่นไม่เห็นด้วยกับความคิดเขา เธอจะไม่เข้าร้านนั้นเด็ดขาด ร้านที่กาแฟแก้วหนึ่งมีราคาเทียบเท่าค่าแรงหนึ่งวันของแรงงานบางคนในประเทศ“ไม่เอาค่ะ รีนอยากเลือกหนังสือแต่ถ้าคุณเบลเหนื่อย ก็ไปนั่งรอที่นั่นก่อนได้นะคะ เดี๋ยวรีนช๊อปปี้งเสร็จจะตามไปค่ะ” ยิ้มหวานน่ารักก่อนจะหันหน้าไปสนใจกองหนังสือต่อ เทศกาลหนังสือทั้งที หนอนหนังสืออย่างเธอไม่อยากจะเสียโอกาส แม้จะเป็นเทศกาลที่ละลายทรัพย์ไปมากโข แต่ทุกเ
บทที่ 10หวาน...ขมสุดท้ายแล้วโปรเจกขายน้ำตาลให้กับอเมริกาของเศวต กรุ๊ปมีอันพ่ายแพ้ให้กับการเจรจาขายของบริษัทนพพล เขาจัดซื้อและรวบรวมน้ำตาลจากโรงงานอื่นๆที่ไม่ใช่เศวต กรุ๊ปและเสนอราคาขายให้กับอเมริกาในราคาที่ถูกกว่า ทำให้บริษัทที่แดนไตรบริหารกำลังประสบปัญหาไม่มีตลาดรับซื้อสินค้า บริษัทขาดดุลการค้าเกือบพันล้านเนื่องจากซื้อสินค้าและผลิตสินค้ามาแล้วไม่สามารถนำไปส่งขายต่อได้กว่าสองอาทิตย์ที่ชายหนุ่มตรากตรำทำงานหนัก ไม่ได้กลับบ้านกลับช่อง อาศัยนอนพักในห้องทำงานและเดินทางคุยธุรกิจการลงทุนจนหลงลืมวันเวลา ทุกอย่างมันสูญสลายไร้ค่าเพราะสุดท้ายข้อมูลทุกอย่างตกอยู่ในมือของบริษัทคู่แข่งอย่างนพพล ให้มันไปดำเนินการซื้อขายตัดหน้าเขาจนสร้างกำไรมหาศาลพร้อมๆกับลดความน่าเชื่อถือด้านการลงทุนให้กับตัวแดนไตร ไม่เฉพาะกรรมการบริษัทที่เริ่มหวั่นใจกับการบริหารงานอันล้มเหลว บรรดาพนักงานเริ่มรวมตัวกันเรียกร้องความมั่นใจจากนักบริหารหนุ่ม เนื่องจากสินค้าไม่สามารถระบายขายให้ใครได้ ต้องลดอัตราการผลิต ส่งสัญญาณการปลดการจ้างงานให้พนักงานในบริษัทผวาอยู่เป็นระยะงานแต่งงานสุดยิ่งใหญ่ของสิรินนภาและนพพลถูกจัดขึ้นในช่วงกลา
ชายหนุ่มถึงกับครางหือตื่นเต้นไปทั้งตัวเมื่อถูกเรี่ยวแรงน้อยนิดสัมผัสที่ซอกคอสีน้ำผึ้งจนเกิดรอยวงสีแดงช้ำๆ เหมือนเป็นการล้างแค้นกันไปมาที่เขาจูบเธอแรงๆเมื่อครู่ แต่ช่างเป็นทัณฑ์ทรมานอันแสนหวานล้ำเหลือ ร่างสูงผละออกห่างพร้อมทั้งรั้งรูดกระโปรงชุดนอนสีหวานจนเปิดเปลือยความขาวผ่องงดงามของนวลเนื้อน้องน้อย จดจ้องร่างนุ่มด้วยสายตาร้อนแรงไปด้วยไฟเสน่หาจนร่างบางแทบจะหลอมละลาย ทิฐิและความบาดหมางกินใจแต่ก่อนมาคล้ายจะถูกสายตาพิศวาสของเขาสลายลงหมดหรือไม่ก็ อารมณ์ของทั้งคู่ไม่มีที่ว่างพอที่จะไปคิดเรื่องอื่นในระหว่างนี้ในคืนเข้าหอ ภายหลังจากที่ผู้ใหญ่ส่งคู่บ่าวสาวให้นั่งบนเตียงเรียบร้อยแล้ว แทนที่จะเกิดบรรยากาศหวานชื่นของคืนแต่งงาน กลับมีเสียงโต้เถียงและทะเลาะกันของทั้งคู่ทันทีที่อยู่ในห้องพักเพียงลำพังและฝ่ายชายกระทบกระเทียบเหยียบใจฝ่ายหญิงขึ้นก่อน “แต่งงานกับผมแล้วจะไปปล่อยเนื้อปล่อยตัวกับไอ้ตุ่นเหมือนที่เคยทำไม่ได้แล้วนะ จะทำอะไรกับมันก็ไว้หน้ากันบ้าง ไปกอดลาอาลัยเหมือนผู้หญิงสาธารณะ”เพราะหึงหวงโดยไม่รู้ตัวเลยพูดออกมาแบบนั้น“รีนกับตุ่นเราสนิทกันแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว คุณเบลต้องทำใจยอมรับให้ได้เพ
นับแต่วันที่เขาโอนทุกอย่างคืนให้กับผู้เป็นทายาทและเจ้าของที่แท้จริงของเศวต กรุ๊ป แดนไตรไม่เหยียบย่างเข้าไปในบริษัทแห่งนั้นอีกเลย ปล่อยให้บัวหอมจัดการร่วมกับที่ปรึกษาใหม่อย่างนพพล นอกจากนี้เขาเริ่มหมางเมินเย็นชากับภรรยา วันทั้งวันแม้จะอยู่ร่วมบ้านกันกลับไม่มีบทสนทนาใดๆร่วมกันเลย แดนไตรเอาแต่นั่งหน้าคอมพิวเตอร์ ทำงานและโทรศัพท์และช่วยดูแลนางอุบลเท่าที่ทำได้ แต่ทั้งคู่จะแสดงความรักใคร่กลมเกลียวเอาใจใส่เพื่อให้นางอุบลสบายใจ ถึงเวลาไม่มีบุคคลอื่นเขาจะไม่พูดจาหวานหูด้วยสักคำ แม้กระทั่งมองหน้ายังเมินหลบไม่สบตาจริงอยู่ว่าตอนนี้สามีภรรยาต่างใช้ชีวิตเหมือนเป็นคนแปลกหน้าที่อยู่ร่วมบ้านกัน ยามปรกติหมางเมินเย็นชาแต่พอแผ่นหลังสัมผัสเตียงนอนถึงเข้ามาแนบชิด กิจกรรมต่างๆยังคงทำอะไรๆกันเหมือนเดิมเหมือนครั้งเป็นสามีภรรยา เหตุผลเดียวคือเขายังรักและเสน่หาในตัวภรรยามากล้นไม่เสื่อคลาย เพียงแต่มันมีเหตุการณ์ที่ทำให้เกลียดชังกันมากขึ้นเท่านั้นเอง เป็นแบบนี้ใช่ว่าคนเจ็บปวดจะมีเพียงฝ่ายชาย จากที่มั่นอกมั่นใจและสาแก่ใจที่ทวงทุกอย่างคืนจากคนเนรคุณและทรยศหักหลังเขาเป็นการแก้แค้นคืนได้ ตอนนี้เริ่มเจ็บปวดในใจแปลบๆเ
ความสัมพันธ์ติดลบของแดนไตรและบัวหอมเริ่มเป็นที่รับรู้และส่งผลกระทบต่อคนกลางอย่างสกาวเดือน เด็กสาวรับรู้ความผิดปรกติเหล่านี้ดีแต่ไม่อาจช่วยอะไรได้ วันที่พ่อบุญธรรมเก็บของย้ายออกจากบ้านของอดีตภรรยา คืนนั้นทั้งคืนเขากลับมานั่งชันเข่าอยู่บ้านและร้องไห้อย่างหมดยางอายลูกผู้ชายและหลังจากร้องจนสาแก่ใจก็เปลี่ยนเป็นคนนิ่งขรึมแต่ดูอมทุกข์และเหนื่อยล้าตลอดเวลา“อย่าคิดมากเลยนะ” เสียงนุ่มนวลปลอบประโลมเด็กสาวตรงหน้าหลังจากเห็นเธอถอนใจรอบที่ร้อยของวันนี้ไม่อาจรวบรวมสมาธิตั้งใจติวหนังสือเตรียมพร้อมสำหรับการเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้“หนูสงสารพี่ตุ่นค่ะพี่รีน” เด็กสาวบอกกับเพื่อนสนิทของแดนไตรที่พักนี้กลายเป็นแขกประจำของบ้านอีกครั้ง หลังจากที่เขาย้ายกลับมาพักประจำที่บ้านของตนเองตามคำร้องขอของสกาวเดือนที่ต้องการติวเนื้อหาวิชาต่างๆก่อนเข้าเรียนระดับมหาวิทยาลัยโดยให้อาจารย์สาวมาช่วยติวเข้มเตรียมความพร้อมสำหรับนิสิตคณะบริหารธุรกิจ วันนี้ก็เช่นกันที่สิรินนภามาเยี่ยมและอยู่เป็นเพื่อนคนอกหักพึ่งหย่าเมีย เธอรู้ว่าช่วงนี้เพื่อนรักต้อการกำลังใจมากที่สุด พร้อมๆกับต้องการหม้อไฟแมงกะพรุนของโปรดของเขาด้วย“ไม่ต้องคิดมา
“มันก็อร่อยพอๆกับที่คุณกินจากฉันกับตุ่นแหละค่ะ” เถียงกลับหวังจะให้เขาโกรธจนเต้นเหมือนเธอบ้าง จ้องตาประสานกันร้อนแรงแผดเผา ทีเขายังไปมาหาสู่และติดต่อกับบัวหอมได้และเธอยังไม่ได้คิดอกุศลแบบนั้น แล้วทำไมเธอจะติดต่อกับแดนไตรไม่ได้ ในเมื่อเธอกับเพื่อนคนนี้สนิทกันมากกว่าสิบปี “ฉันรักตุ่นและสนิทสนมกับเขามาเป็นสิบปี นานเสียยิ่งกว่าจะรู้ว่ามีคนอย่างคุณอยู่บนโลกใบนี้เสียอีก” หวังจะให้เขาเจ็บแสบบ้างแต่นั่นมันเหมือนดาบสองคมที่จะย้อนกลับมาทำร้ายเธอทีหลัง“รีน” เสียงเข้มข้นเรียกชื่อหญิงสาว เป็นการปรามว่าเธอดูถูกผู้ชายอย่างเขามากเกินไป จนลืมตัวไปว่า ตนนั้นก็ดูถูกเธอด้วยประโยคความหมายเดียวกัน แต่แค่เปลี่ยนรูปประโยคเท่านั้น แต่อย่างว่า ด้านตัวเองมักสว่างเสมอ“เรียกทำไมคะ กลัวจะลืมชื่อเมียตีทะเบียนคนนี้เหรอ ฮึ! ฉันเคยเชื่อมาตลอดว่าให้ฟังและทำตามสิ่งที่แม่เตือนฉันอยู่ซ้ำๆ แต่พอฉันทำตามแม่เรื่องแต่งงานกับคนอย่างคุณ!” พูดถึงตรงนี้ก็ได้แต่เงียบ จุกอกพูดไม่ออก ส่งได้แค่สายตาอ้างว้างผิดหวัง เหยียดหยามในความโง่เขลาของตัวเอง“โอ้ย!” ร่างบางถูกจับกระชากเข้ามาเผชิญหน้า สายตาจัดจ้าก้มเข้ามาใกล้ คาดคั้นให้เธอปริปาก