บทที่ 1
วัดเก่าย่านชุมชนแออัดของเมืองหลวง เป็นสถานที่เงียบสงบที่นางอุบลเลือกมาทำบุญในวันครบรอบวันเกิดอายุหกสิบปี และครบรอบหนึ่งปีของการจากไปของสามีสุดที่รัก
ถึงแม้การแต่งกายหรูหรากับใบหน้าที่แต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางจะฉาบเคลือบความชราจนมิด แต่แววตาอิดโรยจากอาการเจ็บป่วยภายในและความเหนื่อยยากจากการบริหารงานบริษัทแทนสามียังคงฉายชัดออกมาให้ผู้พบเห็นรู้สึกไม่สบายใจ
“โยม มาวัดแล้วทำไมทำหน้าเศร้านักล่ะ” หลวงตาเอ่ยทักด้วยความเมตตาหลังจากนั่งลงที่อาสนะ เตรียมพร้อมสำหรับให้ศีลให้พรแก่ญาติโยมที่มาทำบุญที่วัด นางอุบลเป็นญาติโยมที่มักจะนั่งรถจากใจกลางย่านธุรกิจของเมืองหลวงมาสู่ชุมชนแออัดกลางเมืองเพื่อทำบุญที่วัดนี้อยู่เป็นประจำ จนมีความสนิทสนมกับคนในวัดนี้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะลูกสาวของนางที่เป็นเพื่อนเล่นกับเด็กวัดที่นี่อย่างไม่ถือตัว
“นมัสการเจ้าค่ะหลวงพ่อ” ก้มลงกราบสามครั้งก่อนจะเก็บกลืนความไม่สบายใจลงคอ ไหนๆ วันนี้ก็เป็นวันคล้ายวันเกิดเลยอยากจะทำจิตใจให้สบาย “วันนี้เป็นวันคล้ายวันเกิดดิฉันค่ะ เลยอยากจะมาทำบุญ แล้วก็อยากมอบทุนการศึกษาให้กับโรงเรียนวัดด้วย จะได้เอาไว้ให้เด็กในชุมชนกับเด็กวัด”
“เจริญพรโยม เด็กพวกนี้เป็นเด็กกำพร้า น่าสงสาร เขาเฝ้ารอโอกาสจากคนที่มีพร้อมกว่ามาหยิบยื่นให้ นั่นเจ้าตุ่น ปีนี้ขึ้น ม.4 แต่อายุสิบแปดแล้ว เรียนช้าหลายปี ยังไม่รู้อนาคตจะเป็นยังไงต่อ ถ้าได้ทุนการศึกษาจากโยม คงจะพอช่วยอะไรได้บ้าง เอาล่ะ ตั้งใจรับศีลรับพรนะโยม”
หลวงตาบุ้ยหน้าไปทางเด็กหนุ่มวัยรุ่นหัวเกรียนดูปอนๆ ที่กำลังใช้ผ้าชุบน้ำขัดถูพื้นโบสถ์อย่างขะมักเขม้น เด็กวัดเหล่านี้อธิบายสัจธรรมได้ดี หลายชีวิตมีมากจนเกินล้น ในขณะที่อีกหลายชีวิตต้องดิ้นรน เด็กวัดมีช่วงอายุตั้งแต่ไม่ถึงขวบจนถึงสิบแปดปี เพราะเป็นมูลนิธิสงเคราะห์เด็กกำพร้า เด็กตาดำๆ ที่เลือกเกิดไม่ได้ต้องอาศัยป่าช้าเผาผีเป็นที่ซุกหัวนอนและใช้ชีวิตพร้อมๆ กับอาศัยข้าวก้นบาตรยาไส้ไม่ให้หิวตาย
นางอุบลมองตามอย่างเอ็นดู สิบกว่าปีที่มาวัดแห่งนี้และพบเด็กหนุ่มคนนี้คอยช่วยเหลืองานและปรนนิบัติพระในวัด ก็พอรู้ว่าเด็กหนุ่มคนนี้ซื่อสัตย์ ฉลาดเฉลียว และมีสติปัญญา แดนไตรเป็นเด็กวัดที่มีแม่วัยรุ่นคลอดและนำมาทิ้งไว้หน้ากุฏิหลวงตา ด้วยความเมตตาอารีของพระในวัดเลยให้อาศัยข้าวก้นบาตรและบวชเรียน แต่ตอนนี้เขาอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญระหว่างการเรียน แต่แดนไตรเป็นเด็กรักดี หากเลี้ยงไว้อย่างไรก็คงไม่เสียข้าวสุก
หลังจากรับศีลรับพรเรียบร้อย นางอุบลลุกขึ้นเตรียมกลับ ขาออกมาเห็นแดนไตรกวาดลานวัดอยู่เลยสั่งให้คนขับรถจอดรถและเดินเข้าไปหาเด็กหนุ่ม
“สวัสดีครับ” แดนไตรวางไม้กวาดก่อนจะยกมือไหว้ด้วยความสุภาพนอบน้อม
“กำลังจะขึ้น ม.4 เหรอ”
“ครับผม”
“โตไวเหมือนกันนะเนี่ย” นางเห็นแดนไตรมาตั้งแต่ยังแบเบาะ เพราะอีกฝ่ายเป็นเด็กวัดในอุปการะร่วมกันระหว่างวัดและครอบครัวของนางที่ช่วยกันหยิบยื่นแบ่งปันความเอื้ออาทรมาให้ต้นกล้าน้อยๆ ของสังคมได้เติบโตขึ้นอย่างกตัญญูรู้คุณ
“น้องบัวล่ะครับคุณนาย” เด็กหนุ่มถามหาน้องน้อยที่เขาเห็นมาตั้งแต่แรกเกิด ที่นางอุบลและผู้เป็นสามีอุ้มมาให้หลวงตาที่วัดตั้งชื่อให้ เด็กหญิงบัวหอม เศวตฉัตร
“น้องไปเรียนพิเศษจ้ะ”
“ครับผม”
“ตุ่นตั้งใจเรียนนะลูก” ว่าจบก็ยื่นเงินให้สองพันบาท “เอาไปซื้อของที่อยากได้นะ”
“ไม่เป็นไรครับคุณนาย ผมได้รับเงินจากหลวงตาอยู่แล้วครับ” เด็กหนุ่มก้มหน้าปฏิเสธ
“รับไว้เถอะ เอาไปซื้อในสิ่งที่อยากจะได้” นางอุบลยืนยันคำเดิมก่อนจะยัดเงินใส่มือสากๆ แล้วกลับขึ้นรถไป
แดนไตรมองเงินสองพันบาทในมือ เงินที่มีค่ามากที่สุดเท่าที่เคยได้ครอบครองเป็นเจ้าของในชีวิต เขากำมันไว้แน่นก่อนจะยิ้มอ่อนโยน รู้คุณ เขาจะนำเงินนี้ไปต่อยอดซื้อในสิ่งที่เขาอยากได้ ซื้ออนาคตของเขาเอง
เด็กหญิงวัยสิบขวบเดินวนไปวนมาที่หน้าบ้านหลังงาม ท่าทีกระวนกระวายใจค่อยๆ คลายลงเมื่อเห็นรถคันหรูของผู้เป็นแม่เลี้ยวเข้ามาในบริเวณบ้าน เด็กหญิงบัวหอมยิ้มกว้างต้อนรับการกลับมาของคุณแม่ก่อนจะพาร่างเล็กในชุดสวยหวานราวเจ้าหญิงเข้าไปหา
“คุณแม่ขา หนูไปเรียนเปียโนกลับมาไม่เห็นคุณแม่ หนูคิดถึงคุณแม่มากๆ เลยค่ะ หนูมีของขวัญวันเกิดให้คุณแม่ด้วยนะคะ” บัวหอมออดอ้อน ปีนี้คุณแม่ของเธออายุหกสิบปีแล้ว ด้วยความที่นางอุบลมีลูกตอนอายุมากและเมื่อปีที่ผ่านมาสามีคู่ทุกข์คู่ยาก พ่อที่แสนดีของลูกได้ตายจากไปด้วยอุบัติเหตุ ตอนนี้ทั้งบ้านจึงเหลือกันเพียงสองคนแม่ลูก ทั้งชีวิตของทั้งคู่มีกันและกันอยู่แค่นี้
“แม่ไปวัดมา วันนี้แม่ไปเจอพี่ตุ่นด้วยนะ”
“อ๋อ พี่ตุ่นมอมแมมเหรอคะ คิกๆ” เด็กหญิงหัวเราะยามเมื่อนึกภาพพี่ตุ่น เด็กวัดผู้เป็นเพื่อนเล่นของเธอทุกครั้งยามติดสอยห้อยตามคุณพ่อคุณแม่ไปทำบุญที่วัดแห่งนั้น แดนไตรชอบพาเธอไปเดินเล่นเปิดหูเปิดตารอบๆ วัดพร้อมกับสอนให้รู้จักกตัญญูรู้คุณและรู้จักแบ่งปัน พี่ชายตัวมอมแมมตลอดเวลาเพราะมีหน้าที่เก็บกวาดและทำความสะอาดทุกสิ่งทุกอย่างในวัด
“เข้าบ้านกันเถอะลูก เดี๋ยววันนี้กินข้าวกับแม่นะ” วันเกิดเรียบง่ายที่ผิดไปจากปีก่อนๆ ที่สามียังอยู่ วันนี้สองแม่ลูกรับกับข้าวง่ายๆ ไม่ต้องมีเค้กวันเกิดก้อนโตๆ ไม่ต้องมีของขวัญราคาแพง ขอแค่วันนี้มีลูกสาว ขอแค่มีบัวหอม นางอุบลก็สุขใจกับวันเกิดปีนี้แล้ว สำหรับชีวิตเศรษฐี นี่คือการกลับคืนสู่สามัญที่มีความสุขที่สุด
“ค่ะ วันหน้า ถ้าคุณแม่ไปวัดอีก ให้หนูบัวไปด้วยนะคะ”
“ได้สิคะ เดี๋ยวแม่จะพาน้องบัวไปไหว้พระและไปหาพี่ตุ่นนะลูก”
เกือบยี่สิบปีต่อมา
บริษัท เศวต กรุ๊ป บริษัทส่งออกอาหารแปรรูปที่ ‘เคย’ เจริญรุ่งเรืองและมั่งคั่งเมื่อสักยี่สิบปี หรืออาจจะเป็นสามสิบปีก่อนก็ไม่มีใครจำได้หรือให้ความสนใจอีก เพราะตอนนี้ แม้แต่นางอุบล ประธานบริษัทคนที่สามที่เข้ามารับช่วงต่อแทนสามีที่เสียชีวิตไปเมื่อเกือบยี่สิบปีก่อนก็ยังไม่สนใจความยิ่งใหญ่ในอดีตของบริษัทเท่ากับการที่ปัจจุบันนี้ ปีนี้ เวลานี้ บริษัท เศวต กรุ๊ป ขาดทุนหนักกว่าปีที่แล้วเกือบสามสิบเท่า ด้วยปัญหาการเมืองภายใน ปัญหาระบบเศรษฐกิจโลก บวกกับปัญหาสุขภาพ และหุ้นส่วนที่พร้อมใจกันเทขายหุ้นที่ตนถืออยู่ไปให้คนอื่นที่นางรู้จักมักคุ้นแม้จะเป็นเศรษฐีใหม่ที่มีนามสกุลว่าวิริยะกิจ
“คุณอุบลคะ ดิฉันทราบดีนะคะ ว่าบริษัทนี้ พ่อสามีของคุณเป็นคนสร้างขึ้น มันเป็นของสามีคุณ และคุณก็รักมันมาก เพราะตั้งแต่ที่ท่านประธานคนก่อนเสียไป ก็มีคุณอุบลนี่แหละเข้ามาบริหารต่อ แต่ตอนนี้บริษัทของเราเป็นบริษัทแปรรูปอาหารเล็กๆ เทียบไม่ได้กับบริษัทยักษ์ใหญ่ข้ามชาติ แล้วยังมีบริษัทใหญ่ในชาติที่ผูกขาดการส่งออกอาหารอีก ถ้าเรายังทำธุรกิจนี้ต่อ หรือบริหารบริษัทนี้ต่อ มันถึงทางตันแน่ๆ ค่ะ สุขภาพคุณยิ่งไม่ดีและอายุก็มากแล้ว” ใจความสำคัญของหุ้นส่วนคนนี้มีอยู่แค่ว่า ตอนนี้ไม่ไว้ใจในวิสัยทัศน์ของนางแล้ว และไม่อยากจะร่วมหุ้นฝืนการขาดทุนต่อไปอีก ตอนนี้หุ้นส่วนที่ร่วมมือกันมาไม่อาจทนการขาดทุนแบบเจ็บเข้ากระดูกแบบนี้ได้อีกต่อไป
“ผมประกาศขายหุ้นในการบริหารให้กับคนของทางวิริยะกิจ เขายินดีรับสภาพบริษัท ผมเลยมาขอใช้โอกาสนี้ในการประกาศต่อหน้าคณะกรรมการบริหารทุกท่านว่าผมจะขอถอนตัวจากหุ้นทั้งหมด และจะมีคนของวิริยะกิจ ผู้ซื้อหุ้นจากผมเข้ามาร่วมบริหารแทน” นายมงคลรีบประกาศต่อจากนางรัศมี จากนั้นก็เป็นอย่างที่หญิงชราวัยเจ็ดสิบหกปีที่มีสีหน้าอมทุกข์ตลอดเวลาคาดไว้ ไม่นานนักคณะกรรมการบริหารทุกคนก็พร้อมใจกันถอนตัวจากการเป็นหุ้นส่วน โดยยกหน้าที่ให้คนของทางวิริยะกิจเข้ามาบริหารงานต่อ
นางอุบลถอนใจ เจ็บปวดเสียใจกับสิ่งที่พ่อสามีและสามีสร้างมา แต่มาพังเพราะสะใภ้ขี้โรคและไม่เอาไหนอย่างนาง ซึ่งตอนนี้ไม่ใช่ผู้ถือหุ้นรายใหญ่อีกต่อไป หากแต่เป็นผู้ถือหุ้นเพียงสามสิบเปอร์เซ็นต์จากทั้งหมด และบริษัท เศวต กรุ๊ปที่เป็นความภาคภูมิใจสูงสุดกำลังมี นายแดนไตร วิริยะกิจ เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่แทน
นึกย้อนถึงวันที่นางก้มลงคุกเข่า หมดแรง หมดไฟ หมดปัญญาที่จะบริหารงานให้เข้ากับยุคสมัย นางยอมอ้อนวอนขอให้ชายหนุ่มรุ่นลูกคนนั้นช่วยเข้ามาลงทุนโดยการเสนอซื้อหุ้นจากหุ้นส่วนคนอื่นๆ จะว่านางเห็นแก่ตัวก็ได้ แต่ครั้นจะให้บริษัทมันพังกับมือก็ไม่ใช่เรื่อง ทางเลือกจึงมีเพียงขายมันให้กับคนรู้จักที่ไว้ใจได้ มีเพียงทางนั้นทางเดียวจริงๆ
“ฉันขอร้องเถอะนะ ฉันไม่ไว้ใจใครที่ไหนทั้งนั้น ช่วยดูแลบริษัทนี้ ช่วยซื้อหุ้นบริษัทนี้ทั้งหมดทีเถอะนะ แล้วช่วยรับลูกบัวเข้ามาทำงานด้วยนะ ฉันกลัวเขาจะอยู่ไม่ได้ถ้าเราสิ้นเนื้อประดาตัว ให้ฉันกราบก็ยอม” วันนี้ธุรกิจพัง โดนฟ้องล้มละลาย บ้านถูกยึด บริษัทถูกหุ้นส่วนเทขายหุ้น จนต้องบากหน้ามาขอให้แดนไตรเข้าซื้อกิจการ ซ้ำยังขอต่อรองให้ลูกสาวเข้ามาทำงานที่นี่ด้วยเพราะกลัวลูกจะอดตาย
“คุณนาย อย่าทำแบบนี้ครับ” ชายหนุ่มรีบทรุดตัวประคองคนสูงวัยที่ก้มลงจะกราบตนให้ได้ ใบหน้าคมคายแสดงความลำบากใจ ถ้าให้เขาเข้าช่วยกิจการ กำลังทรัพย์ของเขาก็เพียงพอและสามารถช่วยได้ แต่ที่ลำบากใจคือเศวต กรุ๊ปเป็นบริษัทของผู้มีพระคุณ และจิตใจของบัวหอม ทายาทคนเดียวของตระกูลจะรับได้กี่มากน้อยกับการที่ตนเองต้องหมดสิทธิ์ในการบริหารเพราะบริษัทถูกเปลี่ยนมือถือครอง
“ตุ่นช่วยฉันเถอะนะ ฉันกราบล่ะ ตุ่นช่วยซื้อหุ้นทั้งหมดที่หุ้นส่วนจะขายด้วยเถอะนะ ฉันไม่ไว้ใจให้บริษัทของฉันไปอยู่ในมือของคนอื่น” ถ้ามันจะเป็นของคนอื่นจริงๆ ก็ขอให้เป็นของแดนไตร เพราะอย่างน้อยๆ ก็ถือว่าเคยอุปการะเลี้ยงดูกันมาตั้งแต่เด็กๆ เขาคงจะกตัญญูและไม่กล้าเนรคุณเธอ และคงจะพอมีน้ำใจให้ความช่วยเหลือลูกสาวเธออยู่บ้าง
“ผมว่าคุณนายอย่าทำแบบนี้เลยนะครับ ผมลำบากใจ” แดนไตรซื่อเสมอสำหรับผู้มีอุปการคุณอย่างหญิงสูงวัยคนนี้
“หรือว่า...หรือว่าเธออยากจะได้อะไรมาแลกเปลี่ยน เผื่อเธอจะตัดสินใจซื้อหุ้นได้ง่ายขึ้น” นางอุบลเริ่มชะงัก ในใจเริ่มหวาดวิตกคิดเตลิดกับท่าทางของแดนไตรที่ดูลำบากใจและดูพยายามหาความคุ้มค่าตามประสานักธุรกิจ หวังว่าเขาจะไม่ต้องการลูกสาวของเธอเพื่อเป็นของบรรณาการ แลกกับการเสียเงินหลายร้อยล้านครั้งนี้ด้วยหรอกนะ “ถะ...ถะ...ถ้าฉันให้ลูกบัวแต่งงานกับเธอ เธอจะตัดสินใจง่ายขึ้นไหม” ความคิดขายลูกสาวไม่มีอยู่ในหัวนางแน่นอน แต่การฝากฝังลูกสาวไว้ให้ไม่รู้ว่าสำหรับเศรษฐีหนุ่มหน้าใหม่ที่ตอนนี้เพียบพร้อมทุกอย่างและร่ำรวยมหาศาลช่วยดูแลก็คงจะเป็นเรื่องที่ไม่ลำบากใจนัก เพราะลูกสาวเธอก็สวยงามน่ารัก ซ้ำทั้งคู่ยังสนิทสนมรักใคร่กันมาตั้งแต่เด็กๆ แม้จะไม่ได้รักกันลึกซึ้ง แต่แดนไตรก็ยังคงมีท่าทีเอ็นดูบัวหอม
แดนไตรรีบส่ายหน้าปฏิเสธ เขาไม่เคยมีความคิดอยากจะครอบครองลูกสาวของนางอุบลด้วยวิธีนั้น เขารักและหวังดีกับเธอมาตั้งแต่เด็กๆ เขาจะไม่หักหาญน้ำใจพวกเธอเพื่อให้ได้ครอบครองหญิงสาว และเขาจะไม่ลบหลู่ตัวเองที่ต้องใช้วิธีแบบนั้นเพื่อหาสาวมาขึ้นเตียง คนอย่างแดนไตรไม่ใช่ผู้ชายเจ้าชู้ เขาไม่ใช่ผู้ชายประเภทที่จะทำอย่างนั้นกับใครก็ได้โดยปราศจากความรัก แม้เขาจะรักและหวังดีกับบัวหอม แม้จะมีสาวๆ เสนอตัวให้เขามากมายก็ตาม ชีวิตของนักธุรกิจอย่างเขามีเรื่องให้ทำมากมายที่ไม่ได้จดจ้องอยู่แค่เรื่องบนเตียง
“ไม่ใช่แบบนั้นครับคุณนาย ผมเป็นห่วงความรู้สึกของคุณบัว กลัวเธอจะรับไม่ได้ที่บริษัทเปลี่ยนเจ้าของ แล้วยังต้องกลายเป็นลูกจ้างในบริษัทตัวเองอีก” พี่ชายห่วงความรู้สึกน้องสาวนอกไส้คนนี้เสมอ บัวหอมเป็นลูกคุณหนูตั้งแต่เกิด เธอถือช้อนเงินช้อนทองและไม่เคยทำงานหนัก ชีวิตในไทยและต่างแดนของเธอสูงส่งราวกับเจ้าหญิงเพราะความมั่งคั่งไฮโซของเศวต กรุ๊ป แต่พอเธอกลับมาจากเมืองนอก ทันทีที่เหยียบประเทศไทย เธอก็จะกลายเป็นคนไร้บ้าน ต้องอาศัยในบ้านเช่าที่นางอุบลหาไว้ และจะกลายเป็นเพียงลูกจ้างในบริษัทของตัวเอง เธอจะรับได้ไหม
“น้องบัวคงจะรับไม่ได้ที่บ้านล้มละลาย เขาคงจะเกลียดแม่ที่ไม่เอาไหนอย่างฉัน ที่ทำลายชีวิตของเขาจนล่มจมแบบนี้ โฮ...” คนเป็นแม่ที่ล้มเหลวหัวใจสลาย ทำให้ลูกได้รับความทุกข์ยากลำบาก แดนไตรถึงกับหัวใจอ่อนยวบด้วยความสงสาร
“ช่วยฉันนะแดนไตร เธอจะว่าฉันเป็นคนเห็นแก่ตัวที่จมไม่ลงก็ได้ แต่ฉันทำใจไม่ได้จริงๆ ที่เศวต กรุ๊ปจะต้องกลายเป็นของคนอื่น ฉันไว้ใจเธอ ฉันเชื่อว่าถ้าเธอได้บริษัทไปเธอจะไม่ทอดทิ้งลูกสาวฉัน รับปากฉันนะว่าจะดูแลบริษัทและบัวหอมของฉัน ช่วยทำหน้าที่ปกป้องเขาจากกรรมการบริหารคนอื่นแทนแม่ที่ไม่เอาไหนอย่างฉันด้วยนะ”
จากนั้นก็ไอโขลกอีกหลายครั้งจนกระอักเป็นลิ่มเลือดออกมา จนต้องปฐมพยาบาลกันยกใหญ่ พอได้รับการดูแลอย่างดีและชายหนุ่มไม่มีทีท่ารังเกียจคุณอุบลจึงค่อยวางใจ ถ้าเป็นแดนไตรก็น่าไว้วางใจกว่าคนอื่น
“ผมสัญญาว่าจะช่วยเหลือคุณนายทุกวิถีทาง จะดูแลประคับประคองคุณหนูบัวหอมเท่าที่ชีวิตเด็กกำพร้าอย่างผมจะตอบแทนบุญคุณของคุณนายกับคุณหนูได้”
เงินลงทุนถูกประกาศตัวเลขอย่างเป็นทางการที่เก้าสิบห้าล้านบาท สำหรับการซื้อหุ้นทั้งหมดของบริษัท เศวต กรุ๊ป และมีแดนไตรมานั่งเก้าอี้บริหารงานบริษัทในตำแหน่งประธานคนใหม่ เขาถือสิทธิ์ขาดทุกอย่างเพราะเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่เพียงคนเดียวและเป็นกรรมการบริหารไปโดยปริยาย แน่นอนว่าเขาตกอยู่ท่ามกลางสายตากังขาและความขุ่นข้องหมองใจของผู้ถือหุ้นรายอื่นๆ ที่คิดว่าจะช้อนซื้อหุ้นจากนางอุบลที่กำลังป่วยทรุดหนักจนลุกยืนไม่ได้ นอกจากนี้ แดนไตรยังต้องเพิ่มเงินพิเศษสำหรับการชดใช้หนี้สินอีกเกือบสองร้อยล้านบาทที่เกิดจากการตัดสินใจผิดพลาดในการบริหารงานของนางอุบล
วันนี้บริษัท เศวต กรุ๊ป มีการประชุมระหว่างกรรมการบริหารทั้งหน้าเก่าและหน้าใหม่ ร่วมกับประธานบริษัทคนใหม่ หนุ่มหล่อ ร่ำรวย และไฟแรงที่อาศัยความเฉลียวฉลาดในการอ่านหุ้นขาดจนได้เข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของที่นี่ หลังบริษัทเข้าสู่ระดับมหาชนได้เพียงไม่กี่ปี บริษัทแห่งนี้ก็ถูกเปลี่ยนมือถือครองเสียแล้ว เปลี่ยนมือเพราะเจ้าของผู้ก่อตั้งนั้นเจ็บตัวจนแทบจะขาดใจตายเสียให้รู้แล้วรู้รอด
บรรยากาศในห้องประชุมเช้านี้สบายๆ ได้เพียงยี่สิบนาที เมื่ออยู่ๆ ก็มีเสียงเอะอะจากข้างนอกเรียกร้องความสนใจจากทุกคน แต่แล้วทั้งห้องกลับต้องสะดุ้งโหยง เมื่ออยู่ๆ ประตูห้องประชุมก็ถูกกระชากเปิดออกพร้อมทั้งมีสาวสวยหุ่นนางแบบเดินจ้ำเข้ามาด้วยท่าทีบ้าเลือด
แดนไตรหันไปทางผู้มาใหม่ ใบหน้าสุขุมยกยิ้มด้วยความดีใจ เขาพบแล้ว ในที่สุดก็ได้พบกันเสียที คุณหนูบัวหอมของเขา
“คุณหนู...” แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไร เอกสารสำคัญปึกหนาก็ถูกทุ่มกระจัดกระจายตรงหน้าเขาด้วยฝีมือของหญิงสาวผู้มาใหม่ ซึ่งตอนนี้มีสีหน้าท่าทางโกรธจัด สีหน้าของชายหนุ่มเผือดซีดกับท่าทางที่อีกฝ่ายแสดงต่อเขา เห็นเธอทำท่าโกรธไม่พอใจขนาดนั้นก็เจ็บปวดที่อกซ้าย เขาคงทำให้เธอไม่พอใจมากสินะ
“นี่มันอะไรกัน คุณกลายเป็นเจ้าของทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นของฉันได้ยังไง!” เสียงดุดันตวาดก้อง ด้วยความทึบเสียงของห้องประชุมระดับผู้บริหารทำให้ปลายเสียงมันสะท้อนตามความคดงอของผนังเก็บเสียง
“ดิฉันขอโทษค่ะท่าน” คุณมัญชรี เลขานุการคนสวยหน้าเจื่อนยามเมื่อเจ้านายหนุ่มคนใหม่ตวัดสายตาดุๆ มาคาดโทษ ความผิดของเธอคือไม่สามารถทัดทานแรงโมโหของลูกสาวประธานบริษัทคนเก่าได้
“คุณบัวหอมใจเย็นๆ ก่อนครับ” แดนไตรเริ่มปราม เขาไม่ต้องการให้หญิงสาวแสดงกิริยาแบบนี้ต่อหน้ากรรมการบริหารคนอื่นๆ ชื่อเสียงเธอจะเสียเพราะสิ่งที่เธอทำอย่างโง่ๆ ยามโมโห
“บริษัทฉันถูกแย่ง ข้าวของในบ้านถูกขาย มีแม่นอนป่วยพะงาบๆ กรรมสิทธิ์ที่ท่านเคยครอบครองตอนนี้ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น นายแดนไตร วิริยะกิจ ฉันต้องใจเย็นงั้นเหรอ! ตอบฉันมาว่ามันเกิดอะไรขึ้น มันเป็นแบบนี้ได้ยังไง” การกระทืบเท้ากรีดเสียงเร่าๆ และการโวยวายเพราะโกรธเลือดขึ้นหน้าทำให้กิริยาท่าทางของเธอดูไม่งามเลย ผู้ใหญ่ในห้องประชุมเริ่มซุบซิบกันเรื่องการกระทำของเธอว่าไม่ต่างอะไรจากคนชั้นต่ำไร้การศึกษา ทั้งที่เป็นลูกสาวของนางอุบลและเป็นถึงนักเรียนนอก
“บริษัทคุณเปิดขายหุ้น ผมเข้ามาซื้อ วันหนึ่งหุ้นผมมากพอที่จะเทกโอเวอร์บริษัท ผมก็ทำเหมือนๆ กับที่นักลงทุนคนอื่นเขาทำ...” แดนไตรอธิบายอย่างใจเย็น
ซ่า! แต่คำกระจ่างถูกตอบแทนด้วยกาแฟดำที่สาวเจ้าสาดมา
“หน้าด้าน!” คำด่าและฤทธิ์เดชของเธอเรียกเสียงฮือฮาทั้งห้องประชุม ส่วนหนึ่งระอากับพฤติกรรมของหญิงสาวที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว แต่ขอโวยวายพาลพาโลไว้ก่อน
“ผมพูดความจริงนะครับคุณหนู” ชายหนุ่มพยายามใจเย็นอธิบาย พร้อมทั้งยกมือขึ้นห้ามกรรมการบริหารท่านหนึ่งที่เตรียมจะช่วยชี้แจงข้อเท็จจริงให้ลูกสาวอดีตท่านประธานได้รับรู้
“ไม่ว่าคุณจะอาศัยเล่ห์เหลี่ยมอะไรในการครอบครองกิจการของครอบครัวฉัน มันคือการโกงไปอย่างหน้าด้านๆ ทั้งนั้น! โกงอย่างน่ารังเกียจ ฉันเกลียดคุณ ไอ้คนขี้โกง!” มาถึงก็ชี้หน้าไปที่ประธานบริษัทคนใหม่ ด่ากราดไม่ยั้ง ไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม น้ำเสียงของสาวสวยเฉี่ยวแสดงออกชัดว่าโกรธจัด ไม่ต่างอะไรกับเนื้อตัวที่สั่นเทิ้ม ดวงตาหงส์คู่งามแดงก่ำจดจ้องอย่างอยากจะกินเลือดกินเนื้อไปที่เป้าหมาย นานๆ ทีผู้หญิงสวยๆ อย่างเธอจะสติขาด ครั้งนี้มันหนักหนา เพราะมันหมายถึงความเป็นไปของธุรกิจครอบครัว พนักงานบริษัท และเครือข่ายร่วมหุ้น
วันนี้เป็นอีกหนึ่งวันที่เธอฉลาดขึ้น วันที่จับได้ว่าเสือร้ายหิวเงินอย่าง นายแดนไตร วิริยะกิจ บังอาจขยับฐานะจากหุ้นส่วนเล็กๆ กลายเป็นผู้ที่เทกโอเวอร์ธุรกิจของครอบครัวเธอ หลังจากเข้าใจผิดมานานว่าเขาเป็นเพียงลูกแมวผู้ซื่อสัตย์ที่ครอบครัวเธอให้การส่งเสริมและเอ็นดู
ประธานบริษัทคนใหม่รูปร่างสมส่วนเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อแบบคนออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เป็นการต้อนรับการเปิดประตูพรวดพราดเข้ามาของ บัวหอม เศวตฉัตร ลูกสาวคนเดียวของนางอุบล นักเรียนนอกที่เพิ่งเรียนจบด้านการบริหารธุรกิจมาจากประเทศออสเตรเลีย และกลับมาเพราะตั้งมั่นว่าจะบริหารธุรกิจของครอบครัว ทว่าวันนี้เขาชิงตัดหน้าช้อนซื้อหุ้นจนเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ได้สิทธิ์เป็นประธานบริหารแทนเธอ ซึ่งเป็นทายาทโดยชอบธรรมของบริษัทไปเสียแล้ว
“จะเล่ห์อะไรหรือเหลี่ยมไหน ตอนนี้ผมก็คือผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของเศวต กรุ๊ป ณ ตอนนี้ผมคือประธานใหญ่ของที่นี่ ไม่ใช่คุณอีกต่อไปครับ คุณบัวหอม!” แววตาของแดนไตรชะงักเล็กน้อยจากคำผรุสวาทพร้อมทั้งชี้หน้าตราโทษจากสาวสวยผู้บุกรุกการประชุมสุดยอดผู้บริหารของบริษัท ครั้งแรกหลังจากเขาสถาปนาตัวเองเข้ารับตำแหน่งแทนนางอุบล ที่ตอนนี้เหลือหุ้นในมือไม่ถึงยี่สิบเปอร์เซ็นต์ด้วยซ้ำไป
หญิงสาวถลึงตาอย่างโกรธจัดกับสิ่งที่เขาเอ่ยออกมา เจ็บใจที่เคยญาติดีกับคนพรรค์นี้ คนไร้หัวนอนปลายเท้าที่สุดท้ายก็แว้งกัดเธอกับแม่จนได้ “คุณโกงมันไป!”
“มันคือบริษัทจำกัดมหาชน มันอยู่ที่จังหวะการซื้อหุ้นและฝีมือการบริหารของแม่คุณที่ไม่เข้ากับยุคสมัยแล้วต่างหาก” แดนไตรล้วงมือเข้ากระเป๋ากางเกง แล้วพูดสบายๆ หน้านิ่งๆ
“คุณแม่บริหารงาน รอฉันกลับมา แต่คุณอาศัยความไว้ใจที่แม่ฉันมีให้คุณโกงมันไปจากฉัน ไอ้คนหน้าด้าน!”
หล่อนด่าเขาไม่เลี้ยงต่อหน้าต่อตาบรรดากรรมการบริหารที่เหลือ บัวหอมสัญญากับตัวเองว่าต่อให้เธอถูกข้อหาหมิ่นประมาทก็จะไม่หยุดด่า ก็เขามันไว้ใจไม่ได้ มีอย่างที่ไหนหลอกให้แม่เธอเอาบริษัทเข้าตลาดหุ้นแล้วตัวเองมาช้อนซื้อหุ้นไว้จนเกือบหมดเสียเอง มันน่าเจ็บใจนัก
“คนอย่างคุณมันเนรคุณ ไม่เคยสำนึกในสิ่งที่แม่ฉันเคยช่วยเหลือคุณเลย ฉันผิดหวังในตัวคุณ และฉันเกลียดคุณที่สุด!” สุดท้ายเป็นหญิงสาวที่ยอมพ่ายแพ้ เขาหน้าด้านหน้าทนเกินกว่าที่เธอจะสรรหาคำมาด่า เจอกันครั้งแรกในรอบสิบกว่าปี แทนที่จะดีใจเพราะเป็นพี่ชายที่แสนดีต่อเธอตั้งแต่ยังเล็ก แต่ตอนนี้เขาเป็นคนที่เธอเกลียดเข้ากระดูกดำ
“คนหน้าด้าน!” ร่างบางหันหลังเดินจากออกมา วันนี้พอแค่นี้ก่อนก็ได้
ชายหนุ่มมองตามแผ่นหลังบอบบางน่าทะนุถนอมด้วยสายตานิ่งเฉย แต่ภายในนั้นจุกร้าวและอัดแน่นไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย แม้เขาจะเป็นคนใจเย็นและมีเหตุผล แต่สถานการณ์ที่เผชิญอยู่มันน่าอึดอัด ถูกต่อว่าด้วยถ้อยคำรุนแรงต่อหน้าคนอื่นแบบนี้ไม่ใช่เรื่องสนุก ทว่าถึงเขาจะโมโห แต่ก็ไม่อยากเอาเรื่องจึงทำได้แค่นิ่งไว้ ห้ามไม่พอใจคำด่าของบัวหอมเด็ดขาด เธอมีสิทธิ์ด่าเขา เพราะถึงยังไงเธอก็ยังเป็นคนสำคัญสำหรับเขาเสมอมา
“พักการประชุมสักสิบนาทีก็แล้วกันนะครับ” เขาหันมาบอกกับที่ประชุมก่อนจะเดินเลี่ยงออกไปยังห้องพักเพื่อดับอารมณ์ที่เดือดปุดๆ
“ผมจะขออดทนบริหารงานบริษัทเพื่อความต้องการของคุณนาย แต่สำหรับบัวหอม ผมจะทนได้มากแค่ไหน ผมยังไม่รู้จริงๆ” แดนไตรบ่นกับตัวเองอย่างเหนื่อยๆ วันแรกที่เจอกันกลับถูกเธอด่ากราดสาดเสียเทเสีย แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่เขาทำจริงๆ ก็ตามที แต่ที่เขาทำกับเศวต กรุ๊ปแบบนี้มันก็มีเหตุผล พอครั้นนึกถึงท่าทีจองหองเอาเรื่องของบัวหอมเมื่อครู่ คนใจเย็นก็ยิ่งโมโหโกรธา มันทั้งโกรธและน้อยใจที่ได้แต่ยืนเงียบๆ ให้เธอต่อว่าทั้งที่อยากเถียงใจแทบขาด
“สิ่งที่พี่ทำ มันเป็นการเนรคุณน้องบัวกับคุณนายมากใช่ไหม”
นักบริหารหนุ่มรำพึงรำพันกับตัวเอง เขาทำเพื่อผู้มีพระคุณ แต่กลับถูกมองว่าเนรคุณ ความกตัญญูเดินมาถึงทางแยกเพราะมันมีคนไม่พอใจ
บัวหอมขับรถกลับบ้านด้วยความโกรธสุดขีด เธอแทบจะอดทำลายข้าวของไม่ไหว คนอย่างไอ้พี่ตุ่นน่าโกรธก็จริงอยู่ แต่เธอโกรธคนเป็นแม่และโกรธตัวเองมากกว่าสิ่งใด เพราะเป็นคนมอบความรักและความไว้วางใจให้เขาแท้ๆ ชายคนนั้นที่เธอรักและไว้ใจอย่างสุดหัวใจตั้งแต่เด็กและเสมอมา ชายคนที่ตอนนี้ยึดทุกอย่างไปจากเธอ แม้กระทั่งข้าวของเครื่องประดับตกแต่งหรูหราก็ยังไม่ทิ้งไว้ให้กันสักชิ้น
“เซเรน่า เธอพูดถูก!” เธอหวนนึกถึงตอนที่เพื่อนร่วมรุ่นมหาวิทยาลัยในออสเตรเลียมีปัญหาหย่าร้างกับสามีและถูกโกงทรัพย์สินจนสิ้นเนื้อประดาตัว ต้องลาออกจากมหาวิทยาลัยไปทำงานหารายได้เสริม “เธอสอนฉันว่าอย่าไว้ใจสิ่งที่มีความคิดเป็นของตัวเอง ถ้าเราไม่รู้ว่าสิ่งนั้นเก็บสมองของมันไว้ที่ไหน ฉันกับแม่ไม่น่าพลาดไว้ใจเขาเลย”
แววตาโกรธแค้นมองตรงไป มือบางกำพวงมาลัยรถแน่นจนขึ้นเส้นปูดโปน เท้าก็เหยียบคันเร่งจนรถแทบจะเหาะเหิน แต่พอนึกบางอย่างขึ้นมาได้ก็ค่อยๆ ชะลอความเร็วลงเหลือตามที่กฎหมายกำหนด ความโกรธแค้นและความรู้สึกทุกๆ อย่างที่มีต่อแดนไตรสุดท้ายก็ตกผลึกเป็นความผิดหวังอย่างรุนแรง เขาทำลายความไว้เนื้อเชื่อใจของเธอที่ถักทอสั่งสมมาสิบกว่าปี
“ทำไมทำกับฉันแบบนี้ ทำไมทำแบบนี้!” เธอจะไม่มีวันเสียทุกสิ่งทุกอย่างไปอย่างคนแพ้ เธอจะทวงคืนทุกอย่างและทำให้คนอย่างแดนไตรรู้จักกับคำว่าสำนึก
“คนอย่างแดนไตร เลี้ยงไม่เชื่อง!”
บท 2บัวหอมเข้ามาทำงานในบริษัทในตำแหน่งกรรมการฝ่ายการตลาด ด้วยความที่เธอชำนาญการใช้ภาษาต่างประเทศถึงหกภาษา ทำให้การทำงานกับตลาดต่างประเทศของบริษัทเศวต กรุ๊ป มีความคล่องตัวมากขึ้นด้วยความครอบคลุมภาษาประเทศหลัก ญี่ปุ่น สเปน จีนกลาง อังกฤษ ฝรั่งเศสและเยอรมัน และความละเอียดรอบครอบด้านเอกสาร ไม่ถึงหนึ่งเดือนเธอได้รับคำชื่นชมในการทำงาน จากกรรมการบริหารทุกคน จะมีข้อตำหนิก็อยู่ที่เป็นคนขี้โวยวายและทำตัวหักหน้าไม่ให้เกียรติประธานบริษัทคนใหม่อย่างแดนไตรสำหรับแดนไตร ประธานบริษัทคนใหม่พิสูจน์ตัวเองจนได้รับการยอมรับโดยการทำให้สองไตรมาสแรกของปีงบประมาณไม่อยู่ในภาวะขาดทุน ผลของการนำเงินเก็บส่วนตัวมาอัดฉีดลงทุนกับการโปรโมทให้เศวต กรุ๊ปกลับมาโดดเด่น โด่งดังอีกครั้ง บวกกับความเป็นคนรุ่นใหม่ที่เก่งกาจจากดีกรีปริญญาเอกการเงินและการลงทุนจากวอชิงตันอเมริกา และยังติดโผหนุ่มโสดเนื้อหอมที่มีแฟนคลับตามติดแม้ไม่ได้เป็นดารานายแบบ ยิ่งช่วยให้บริษัทภายใต้การบริหารของคนรุ่นใหม่ไฟแรงเป็นที่น่าสนใจในการลงทุนร่วมหุ้นมากขึ้นบ่อยครั้งที่หนังสือพิมพ์หน้าข่าวสังคมลงภาพและข่าวคราวของแดนไตรในเรื่องของกิจกรรมสาธารณประโยชน์
บท 3ในวันหยุดยาวชดเชยวันสำคัญของคนชาวไทย บ้านของสิรินนภายามนี้ถูกจับตกแต่งราวกับราชวังในนิทาน เพื่อเป็นการต้อนรับปลัดกระทรวงมหาดไทย ผู้หลักผู้ใหญ่ที่ทางครอบครัวฝ่ายชายขอความกรุณามาเป็นธุระเรื่องการทาบทามสู่ขอลูกสาวบ้านนี้อย่างเป็นทางการ อาจารย์สาวไม่ค่อยแปลกใจกับการต้อนรับแขก เธอเข้าใจว่าเป็นการทาบทามสู่ขอน้องสาวคนเดียวของเธอที่ตอนนี้คงจะคบหากับแฟนหนุ่มจนความรักสุกงอมหอมหวาน เธอมีแก่ใจช่วยทำน้ำใบเตยเย็นชื่นใจต้อนรับแขกเหรื่อที่แม่ตื่นเต้นนักหนา“แขกรับน้ำดื่มเรียบร้อยแล้วค่ะคุณรีน เดี๋ยวทางนี้ป้ารับผิดชอบต่อเอง คุณรีนขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนผ้าเถอะนะคะ” ป้าจอมบอกกับคุณหนูน้อยคนงามด้วยรอยยิ้มหวาน วันหยุดว่างจากการสอนทั้งทีคนอย่างอาจารย์สิรินนภายังไม่ยอมอยู่เฉย ตื่นแต่เช้าลงมาช่วยหยิบจับงานครัวจนเรียบร้อย หลังจากที่ได้ยินคนเป็นแม่บอกถึงนัดหมายว่าจะมีแขกสำคัญมาเยี่ยมเยียนและพูดเรื่องสำคัญ“จ่ะป้า” หญิงสาวรับคำยิ้มๆ ถอดผ้ากันเปื้อนและเดินกลับห้องนอนของตนที่อยู่ชั้นสองของตัวบ้าน แต่ไม่อายแอบมองไปที่โถงใหญ่รับแขก ซึ่งตอนนี้มีแขกคนสำคัญของคุณแม่นั่งอยู่เต็มไปหมด“เอ...แล้วเจมส์ไปไหน” ถามกับตัวเ
บทที่ 5 บ่วงเสน่หาบริษัทเศวต กรุ๊ปได้รับคำเชื้อเชิญให้ร่วมพิธีเปิดอาณาจักรโรงงานอาหารแปรรูปข้ามชาติในจังหวัดหนึ่งติดทะเลอ่าวไทย พิธีการถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่เพราะเป็นอภิมหาโครงการที่มีการลงทุนในระดับข้ามชาติ ดังนั้น เศวต กรุ๊ปและแดนไตร ในฐานะที่ปรึกษาโครงการต้องเข้าร่วมงานเลี้ยงฉลองการพัฒนาอีกขั้นของอุตสาหกรรมอาหารแปรรูปครั้งนี้ด้วย ทีแรกบัวหอมไม่ประสงค์ที่จะร่วมเดินทางมางานเลี้ยงครั้งนี้เพราะถือว่าตนไม่ได้มีส่วนร่วมอะไรกับการลงทุนครั้งนี้ แต่ก็มีบัตรเทียบเชิญในนามบริษัทและเธอไม่ยินยอมหากแดนไตรจะได้ไปร่วมงานในนามของบริษัทแต่เพียงผู้เดียว เพราะเศวต กรุ๊ปคือบริษัทของเธอ‘ถ้าไม่ได้ชื่อเสียงของเศวต กรุ๊ป ก็ไม่มีใครเขาจ้างเศรษฐีหน้าใหม่อย่างแกมาให้คำปรึกษาหรอก’ คุณหนูคนงามยังคงมองด้านเดียว เธอไม่ได้มองว่าแดนไตรเป็นฝ่ายทำทุกอย่างเพื่อสร้างเครดิตให้กับบริษัทของเธอ และเขาได้ช่วยทำให้บริษัทที่ใกล้จะถึงจุดล่มสลายได้กลับกลายเป็นที่รู้จักในตลาดหลักทรัพย์และในแวดวงศ์ธุรกิจอีกครั้ง ทั้งๆที่เขาจะอ้างถึงเพียงชื่อของเขา นายแดนไตร วิริยะกิจ เจ้าพ่อตลาดหลักทรัพย์ที่ประสบความสำเร็จในทางธุรกิจและการลงท
บทที่ 4โจรปล้นจูบเพียงต้องการจะป่วนประสาท เธอถึงกับยอมล้มลงเพื่อให้ดูเหมือนพลัดตกบันได เพื่อให้แดนไตรปฏิเสธนัดที่มีต่อสิรินนภาและมาเฝ้าไข้เธอที่มีอาการบาดเจ็บ ทั้งๆที่เขาสัญญาจะพาอีกฝ่ายกลับบ้านผลการรักษาพบว่าคนเจ็บไม่เป็นอะไรมากแต่เนื่องจากบัวหอมซึมลงอย่างเห็นได้ชัดจนแดนไตรร้อนใจและอยากให้เฝ้าดูอาการอีกคืนหนึ่งจึงขอหมอให้เธอแอดมิด“น้องบัวเป็นยังไงบ้าง เจ็บตรงไหนไหมครับพี่จะไปตามหมอมาให้” เกือบค่อนคืนเขานั่งเฝ้าไม่ไปไหน แม้แต่เสียงโทรศัพท์ที่ดังยังไม่ยอมลุกขึ้นไปรับ“เจ็บค่ะ”“เจ็บตรงไหน เจ็บมากไหมพี่จะไปตามหมอนะ” รีบลุกกระวีกระวาดแต่มือบางจับคว้าแขนเขาไว้พร้อมทั้งออกแรงบีบแน่น ยิ่งเขาถามด้วยท่าทีอ่อนโยนเป็นห่วง ก็ยิ่งมีความสับสนมากขึ้น“ทำไมต้องทำเหมือนเป็นห่วงกันทั้งๆที่ถ้าไม่มีฉันสักคนคุณก็เป็นเจ้าของบริษัทได้โดยไม่มีใครตั้งคำถามหรือข้อครหาอยู่แล้ว คุณควรจะดีใจนะที่เห็นฉันเจ็บยิ่งฉันตายยิ่งต้องดีใจเพราะทุกๆอย่างมันจะเป็นของคุณโดยสมบูรณ์ไม่ต้องมาคอยทำท่าทางไม่ต้องการบริษัทฉันอย่างที่ทำอยู่ทุกวัน” เค้นเสียงอย่างอัดอั้น ยิ่งมองหน้ายิ่งสับสนละคนผิดหวัง ชายหนุ่มไม่ตอบเพราะในใจรู้ดีว
บทที่ 6ก่อนหน้านั้น...บทรักอ่อนหวานที่กินเวลาจนย่ำรุ่งไม่ได้ทำให้สาวที่พึ่งสูญเสียความบริสุทธิ์และก้าวผ่านความเจ็บปวดฉีกขาดนั้นจับไข้หรือเป็นอะไร แต่ทว่ากลับเป็นฝ่ายชายหนุ่มที่มีอาการหนักหัวจนลุกจากหมอนไม่ได้ เขาคิดจนหัวแทบระเบิดว่าเมื่อวานทำกิจกรรมอะไรที่ส่งผลให้มีอาการครั่นเนื้อตัวและหนักหัวคล้ายจะเป็นไข้หวัดแบบนี้ก็ยังคิดไม่ออก เพราะถ้ากิจกรรมเข้าจังหวะแนบชิดเมื่อคืนคงจะไม่ใช่สาเหตุหลักเพราะเขาทำกับหญิงสาวคนอื่นๆมานับครั้งไม่ถ้วนแล้วจนกระทั่งคิดออกว่าเมื่อวานตอนมื้อค่ำ เขาได้กินกุ้งทะเลและหอยนางรมเข้าไป เนื่องจากตอนเด็กเป็นเด็กวัด ถูกเลี้ยงมาด้วยข้าวก้นบาตรจากพระอาหารดีๆหรูๆจึงคล้ายกับเป็นของแสลงท้อง โดยเฉพาะกุ้งทะเลตัวใหญ่ๆและหอยนางรมสดๆที่ตั้งแต่แรกเกิดกำพร้าพ่อแม่ก็ยังไม่เคยเอาเข้าปาก จนถึงทุกวันนี้อาหารประจำของเขายังเป็นอะไรที่ง่ายๆไม่พิสดาร เมื่อคืนพอได้กินอะไรพิสดารขึ้นหน่อยสงสัยจะมีอาการแพ้ขึ้นมา“ความจริงแล้วควรจะเป็นบัวมากกว่านะคะที่ป่วยแล้วพี่ตุ่นต้องดูแล” พยาบาลจำเป็นบ่นกระปอดกระแปดในระหว่างที่เตรียมน้ำเต้าหู้นมสดสูตรร้อนใส่แก้วให้คนป่วย เมื่อตอนสายตื่นขึ้นมาแล้วพบว่า
บทที่ 7ผู้เสียหายบัวหอมแทบจะกรีดร้องด้วยความโกรธเมื่ออยู่ๆเธอกลายเป็นเป้าประเด็นทางสังคม หนังสือพิมพ์ชื่อดังทุกฉบับจะมีภาพข่าวเธอในหน้าข่าวสังคมเศรษฐกิจ เธอตกเป็นประเด็นล้อเลียนขำขันในฐานะลูกสาวของอดีตเจ้าของเศวต กรุ๊ปที่ยิ่งใหญ่ย่องขึ้นคอนโดหรูของนักธุรกิจเทพบุตรสุดหล่ออย่างแดนไตรผู้เป็นเจ้าของเศวต กรุ๊ปคนใหม่“ย่อง? ใช้คำว่าย่องขึ้นคอนโดงั้นเหรอ” ความโมโหไม่ได้อยู่ที่เธอเป็นข่าวหรือรู้สึกราวกับกลายเป็นคนสาธารณะทั้งๆที่เธอไม่ใช่ แต่มันโกรธตรงที่คำพูดพาดหัวข่าวที่ทำเหมือนเธอเป็นพวกลักกินขโมยกิน “คนอย่างบัวหอมทำไมต้องแอบ ลงข่าวแบบนี้หมายความว่ายังไง หมายถึงฉันเอาตัวไปแลกกับผลประโยชน์งั้นเหรอ” โวยลั่นสักพักก่อนจะเงียบเสียงลง เอาตัวเข้าแลก ใช้มายายั่วยวนเพื่อหวังผลประโยชน์จากบริษัท เธอทำและเป็นทุกอย่างแบบที่ข่าวลงทั้งนั้นร่างบางค่อยๆนั่งลงนิ่งเงียบ น้ำตารื้นขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่เมื่อนึกถึงศักดิ์ศรีความเป็นลูกผู้หญิงที่แทบจะหมดลง เจ้าตัวทำอะไรลงไปก็พอจะรู้อยู่แล้ว แต่พอถูกเน้นย้ำถูกสะกิดแผลขึ้นมามันก็อดที่จะสะเทือนจิตใจไม่ได้ เหนืออื่นใดถ้าหากคุณแม่เห็นข่าวนี้ท่านจะรู้สึกอย่างไร คงจะเจ็
บท 8อีกสองเดือนถัดมางานแต่งงานเล็กๆได้ถูกจัดขึ้น ในสนามหญ้าหน้าบ้านถูกเนรมิตขึ้นให้เป็นบรรยากาศอบอุ่น ในงานเชิญแต่บรรดาเพื่อนสนิทนักธุรกิจที่คบหากันและแขกผู้หลักผู้ใหญ่ของฝ่ายเจ้าสาว งานสงบเงียบมีเพียงคนรู้จักมักคุ้นตามความประสงค์ของนางอุบลผู้เป็นแม่เจ้าสาว ในงานคนที่มีความสุขคือนางอุบลที่เห็นลูกสาวอยู่ในอ้อมแขนของคนที่ไว้ใจได้ แต่ทว่าเบื้องลึกในใจของเจ้าบ่าวจะสาวนั้นหน้าชื่นอกตรม เพราะตั้งแต่ตกเป็นข่าว ตั้งแต่เห็นเขากอดกับสิรินนภาทั้งคู่ก็ยังไม่ได้พูดคุยปรับความเข้าใจกัน ให้หลังวันที่เธอไปแจกการ์ดเชิญให้กับสิรินนภาวันนั้นเธอถูกแดนไตรฉุดกระชากขึ้นรถทันทีที่เลิกงาน มือที่เคยกอบกุมให้ความอบอุ่นตอนนี้บีบรัดจนกระดูกแทบแตก เขาพาเธอไปที่คอนโดและเปิดฉากทะเลาะกันอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน พี่ตุ่นคนเย็นใจดีขึ้นเสียงใส่เธอเพื่อปกป้องผู้หญิงคนอื่น พี่ตุ่นที่เคยสัญญาว่าจะปกป้องเธอกลับใช้สายตาดุดันสังหารจิตใจเธอเพื่อปกป้องผู้หญิงคนอื่น เขามองเธอด้วยสายตาผิดหวังที่เธอกลายเป็นผู้หญิงงี่เง่าหึงหวงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ด้วยความโมโหเลยตอกหน้าเขากลับไปว่าจะไปกอดกับเพื่อนผู้ชายบ้าง นั่นยิ่งทำให้คุยกั
บทที 9นพพลยืนเซ็งๆพร้อมกับถุงหนังสือพวงใหญ่ ทั้งหนัก ทั้งเมื่อยแต่หญิงสาวที่เขาตามเฝ้าทั้งวันกลับยังมีทีท่าตื่นเต้นเมื่อได้เปิดหนังสือเล่มแล้วเล่มเล่า วันนี้หลังจัดการเรื่องแหวนหมั้นและชุดแต่งงานรวมถึงคุยกับออแกไนซ์รับจัดงานวิวาห์ ว่าที่เจ้าสาวขอของขวัญสละโสดเป็นการไปเดินห้าง แต่การเดินห้างของอาจารย์สาวนั้นแปลกประหลาดเพราะมันไม่ใช่การไปเลือกเสื้อผ้าและของสวยๆงามๆแต่เป็นการเดินเลือกหนังสือ ทั้งตำราเรียน หนังสืออ่านทั่วไปและนิยาย“รีนครับ ผมว่าเราไปนั่งร้านกาแฟตรงนั้นก่อนดีไหม” เขาหมายถึงร้านกาแฟสัญชาติอเมริกันชื่อดัง เขาต้องการจะพักบ่าและมือที่แบกหนังสือร่วมสามสิบกิโลมาค่อนวัน หญิงสาวมองตามก่อนจะทำปากยื่นไม่เห็นด้วยกับความคิดเขา เธอจะไม่เข้าร้านนั้นเด็ดขาด ร้านที่กาแฟแก้วหนึ่งมีราคาเทียบเท่าค่าแรงหนึ่งวันของแรงงานบางคนในประเทศ“ไม่เอาค่ะ รีนอยากเลือกหนังสือแต่ถ้าคุณเบลเหนื่อย ก็ไปนั่งรอที่นั่นก่อนได้นะคะ เดี๋ยวรีนช๊อปปี้งเสร็จจะตามไปค่ะ” ยิ้มหวานน่ารักก่อนจะหันหน้าไปสนใจกองหนังสือต่อ เทศกาลหนังสือทั้งที หนอนหนังสืออย่างเธอไม่อยากจะเสียโอกาส แม้จะเป็นเทศกาลที่ละลายทรัพย์ไปมากโข แต่ทุกเ
“ผมไม่ยอมนะลูกจัน” น้ำเสียงเข้มข้นและสายตาตื่นตระหนกของเขาทำให้ทั่วทั้งบ้านหัวเราะครื้นเครง ถึงคราวมารร้ายโดนหลอกหลอนคืนบ้างยาม“เป็นไงล่ะคุณอาร์ต ของแบบนี้ถ้าไม่มีลูกสาวไม่เข้าใจหรอก เริ่มกลัวหรือยังว่าตอนลูกจันผมเจ็บใจคุณขนาดไหน”“กลัวแล้วครับ นี่ให้ผมมีความสบายใจหน่อยเถอะ ต้องหวงทั้งเมียต้องห่วงทั้งลูกแบบนี้” มืออีกข้างคว้าเอวคอดกิ่วของสกาวเดือนเข้ามากอดไว้แน่นทั้งยังหอมแก้มนวลฟอดใหญ่ไม่มีเขินอายสาตาอีกหลายคู่มองมา“ปะป๊าคิสมะม๊า” ยัยหนูเพียงดาวพูดอ้อแอ้ตามที่เห็น ตาแป๋วใสซื่อก่อนจะหัวเราะชอบใจแม้ว่าไม่เข้าใจความหมายอะไรนอกจากปะป๊ารักมะม๊า ก่อนจะโน้มตัวเอียงคอซบไหล่พ่ออาร์ตออดอ้อนให้เขาแสดงความรักต่อเธอด้วย เรียกเสียงหัวเราะจากทุกคนในบ้าน“เดี๋ยวคุยกันไปก่อนนะ เดี๋ยวจะไปซื้ออาหารวันนี้เดี๋ยวกินข้าวเย็นด้วยกัน บัวไปกับพี่นะ” อยู่ๆก็เกิดอาการอยากจูบภรรยาจึงต้องหาข้ออ้างชวนเธอมาอยู่ตามลำพัง กลัวว่าจะน้อยหน้าคนอื่นๆ รีบอุ้มหนูน้อยอัยยามาวางใส่แขนของนพพลผู้เป็นพ่อทูนหัว “อยู่กับลุงเบลห้ามดื้อนะอัยยา เดี๋ยวปะป๊าไปซื้ออาหารอร่อยๆมาให้กินนะ” เด็กหญิงว่านอนสอนง่ายพูดอะไรไปก็เข้าใจเป็นอย่างดี
วันหยุดยาวสิ้นปี บ้านวิริยะกิจวันนี้คึกคักไปด้วยคุณพ่อคุณแม่ที่ต่างก็พาครอบครัวมารอต้อนรับสกาวเดือนกลับจากอังกฤษ หนูน้อยอัยยาลูกสาวคนเดียวของแดนไตรและบัวหอมมีการแสดงโชว์เล็กๆเป็นการร้องเพลงแบบเด็กๆสร้างสีสันให้บรรยากาศอบอุ่นสนุกสนานมากยิ่งขึ้น ตอนนี้แดนไตรมีสถานะเป็นคุณตาทันทีที่ลูกสาวบุญธรรมให้กำเนิดทารกเพศหญิง เด็กหญิงเพียงดาว เด็กไทยที่ถือกำเนิดที่ประเทศอังกฤษในระหว่างที่พ่อและแม่ของเด็กไปเรียนต่อ เด็กหญิงเป็นขวัญใจของคุณตาและคุณปู่คุณย่าที่เฝ้ารอหลานมาถึงสามปีและอีกปีกว่าที่อติชนจะยอมพาลูกสาวมาเมืองไทย เพราะรอให้สกาวเดือนเรียนจบปริญญาโทก่อน “อัยยา รักน้องให้มากๆนะหนูเป็นพี่คนแล้วรู้ไหม” แดนไตรสอนลูกสาวด้วยเสียงที่สอง อ่อนโยน ออดอ้อนแก้วตาดวงใจของพ่อ เด็กหญิงอัยยาวัยห้าขวบพยักหน้าเข้าใจ ก่อนจะโน้มตัวไปจุมพิตน้องน้อยวัยขวบเศษที่กำลังนั่งทำหน้างงว่าคนพวกนี้เป็นใครและยังเจ็ตแหลกจากการบินข้ามทวีปมาถึงเมื่อเช้า จากนั้นหนูน้อยหันมาจุ๊บปากปะป๊าตุ่นสลับกับหม่ามี๊บัวเพื่อให้เสมอกันทุกคนความน่ารักของหนูน้อยอัยยาทำให้นพพลและสิรินนภาที่ไม่มีลูกสาวตื่นเต้นระคนอิจฉา “วันนี้ทำลูกสาวกันนะ” จนชา
จดจ้องชายหนุ่มด้วยความโกรธเคือง “คุณเบล...รีนท้อง” เค้นเสียงเจ็บใจที่สุดท้ายเป็นเธอเองที่คว้างงูไม่พ้นคอ ตั้งใจจะตัดขาดกับเขาอีกสักหนึ่งปีเพื่อให้ต่างคนต่างไปทบทวนตัวเอง ก็พังไม่เป็นท่าเพราะผลพวงจากค่ำคืนนั้นเขายัดลูกเข้ามาในท้องเธอด้วย!“อะไรนะ?” เหมือนฝันไปที่ได้ยินเรื่องท้อง “รีนท้องเหรอ”อึ้งสักพักก่อนจะลำพองใจยิ้มกว้างขนาดตอนนั้นป่วยอยู่แท้ๆยังน้ำยาแรงขนาดนี้ ครั้งเดียววันนั้นส่งผลต่อวันนี้ พอได้สติว่าไม่หูฝาดก็ถึงกับกระโดดโลดเต้นดีใจอึกทึก ยกร่างบางขึ้นอุ้มก่อนจะหมุนไปรอบๆ “ไชโย” ดีใจจนเก็บอาการไม่ได้ “ผมดีใจที่สุดเลยรีน ขอบคุณรีนมากเลยนะที่เอาข่าวดีแบบนี้มาบอกผม” ก่อนจะระดมจูบทั่วใบหน้านวลที่กำลังชื้นไปด้วยน้ำตา ในความทรงจำลางๆเขายังนึกได้ถึงความรู้สึกตอนนั้นว่ามันตื่นเต้นดีใจขนาดไหนที่รู้ว่าชุดทดสอบได้ปรากฏผลว่าตั้งครรภ์ แต่ตอนนั้นเขาก็ดีใจได้อยู่ไม่ทันข้ามคืนเพราะเข้าใจว่าเธอเข้าโรงแรมกับชายชู้เสียก่อน“คุณไม่ว่าเป็นลูกคนอื่นแล้วเหรอ” ถามด้วยความแค้นไม่หาย “คราวนี้จะว่าลูกในท้องฉันเป็นลูกของตุ่นไหม” ทำท่ายกกำปั้นขู่ชายหนุ่มรีบยกมือเช็ดน้ำตาให้อีกฝ่ายพร้อมทั้งรวบมือบางที่ต้อง
หนึ่งปีที่ตั้งมั่นให้นพพลพิสูจน์ตัวเอง เอาเข้าจริงคนที่ตั้งกฎขึ้นมาเองกลับทำได้เพียงแค่สองเดือน เพราะอยู่ๆเช้าวันนี้เธอตื่นขึ้นมาด้วยอาการหนักหัวและอาเจียนมากกว่าทุกวัน เลยตัดสินใจลางานเพื่อไปพบแพทย์ พอไปโรงพยาบาลกลับต้องตกใจกับคำวินิจฉัยจากหมอหลังตรวจอาการและขอปัสสาวะ มือบางกำผลตรวจไว้แน่นด้วยความโมโหอยากจะฆ่าคน ก่อนจะรีบเดินทางไปหานพพลถึงบริษัท หญิงสาวเดินอาดๆมาหาเขาถึงห้องทำงาน ทันทีที่มาถึงก็อาละวาดโวยวายขว้างปาข้าวของใส่คนที่กำลังตกใจและทำอะไรไม่ถูก“คนใจร้าย! คนเห็นแก่ตัว คุณเบลร้ายกาจที่สุด คนใจร้าย ไม่คิดถึงใจคนอื่น” รัวเสียงดุด่าเป็นชุดพร้อมทั้งร้องไห้โฮๆไม่อายเลขาสาวที่วิ่งตามเข้ามานพพลหน้าเหวอที่ถูกบุกมาโวยวายถึงห้องทำงาน ก่อนจะหันไปโบกมือเป็นสัญญาณให้เลขาสาวคนนั้นออกไปก่อนที่เขาจะก้าวเข้ามาหานางร้องไห้ที่คุ้มดีคุ้มร้ายด้วยท่าทีกล้าๆกลัวๆ“ใจเย็นก่อนครับ มีอะไรค่อยๆพูดกันนะคนดี” บอกเสียงอ่อนยอมแพ้คนเจ้าน้ำตา ชายหนุ่มเปลี่ยนไปมากในช่วงเวลาไม่กี่เดือนนี้จากหมาป่าล่าเนื้อกลายมาเป็นลูกหมากลัวเมีย การที่เธอมาเจอเขาแบบนี้จะถือว่าผิดกฎการลงโทษหนึ่งปีที่เธอวางไว้หรือเปล่า แล้วถ้าผ
“คุณเบลคะ เรื่องของเรามันจบแล้วนะคะ” เสียงหวานหยดใจเย็นแต่หนักแน่นเด็ดเดี่ยวจนหัวของคนฟังชาหนึบ“จบ จบอะไร เมื่อกี้เรายัง...” เป็นนักธุรกิจหนุ่มที่รู้สึกเหมือนใจจะขาด แทนที่จะเป็นฝ่ายหญิง จะจบได้ยังไงในเมื่อชั่วโมงก่อนเธอยังโอนอ่อนตามใจเขาอยู่เลยสิรินนภาถอนใจยาว “รีนไม่ห้าม ถ้าคุณเบลเขาจะมาพบลูก เพราะลูกเป็นของพ่อแม่อยู่แล้ว แต่เราเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่ของกันและกันอีกแล้ว ตั้งแต่วันที่คุณขับไล่รีนออกจากบ้าน”“ทำไมต้องทำแบบนี้ละรีน ผมนึกว่าเราจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม” ครางเสียโหยกับคมมีดที่ย้อนกลับมาสร้างแผลให้ตนเอง“คุณคิดว่าแค่การนอนด้วยกันคืนเดียว ทุกอย่างที่คุณทำกับรีนมันจะจบเหรอคะ รีนทำแบบนี้กับคุณเพราะอยากจะให้คุณเข้าใจอะไรใหม่ว่ามันไม่ใช่เฉพาะผู้ชายนะคะที่จะต่อรองหรือจัดการอะไรกับผู้หญิงก็ได้ บางเรื่องผู้หญิงก็ไม่ได้อยู่เฉยรอคอยเป็นฝ่ายถูกเรียกหาเสมอไป”“อย่าพูดแบบนั้นเลยนะรีน คุณมีค่าสำหรับผม วันนี้ผมเลยไมอยากเสียคุณไป”“สำหรับคุณ ถ้ารักของรีนมีค่ามากพอ คุณคงไม่ทำเรื่องวันนั้นตั้งแต่แรก และอีกอย่าง รีนไม่อยากให้คุณเสียเวลากับคนที่คุณไม่ได้รักแต่แต่งงานกันเพราะหน้าที่และเพื่ออำนาจที
สิรินนภาห่อกายหลบความหนาวร้อนสลับกันยามเมื่อฝ่ามือร้อนๆลูบไล้ผิวกายนวลนุ่มของเธอ ความเย็นของเครื่องปรับอาการทำให้รู้สึกตัวว่าตอนนี้กายของเธอเปล่าเปลือย เสื้อผ้าที่สวมมาถูกเขาปลดเปลื้องออกตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ยังไม่รู้เวลาที่แน่ชัด หรืออาจจะเป็นเธอเองที่ปลดเสื้อผ้าออก“หนาว...” ส่งเสียงผะแผ่วทักท้วงออกมา พร้อมทั้งพยายามคว้าผ้านวมหนามาห่มคลุมร่างกายและซุกหน้าลงกับกองผ้าห่มรกๆ ไม่ได้หนาวอะไรมากมายนักแต่ร่างกายมันสั่นสะท้านเพราะเขินอายสายตาลึกล้ำจากเขาต่างหาก“ก็กอดผมแน่นๆสิ” รั้งมือบางขึ้นมากอดคล้องบ่าของตน สายตาของเขาเจ้าชู้เจ้าเล่ห์ยิ่งกว่าหมาป่าแต่ก็เสน่ห์ล้นเหลือจะทัดทาน เพียงสบตามากเสน่ห์กล้ามเนื้อทุกส่วนของหญิงสาวก็เหมือนกับไร้เรี่ยวแรง ยินยอมให้เขาเข้ามาจัดระเบียบร่างกายตามอำเภอใจ ชายหนุ่มฮึกเหิมย่ามใจเมื่ออีกฝ่ายไร้เรี่ยวงแรงขันขืนและไร้เสียงทักท้วง ไฟพิศวาสถูกจุดติดอย่างง่ายดายเพราะความโหยหาห่างหาย เรียวขาบางถูกชันตั้งขึ้นให้ได้มุมเหมาะสมสำหรับการสัมผัสแนบชิดสิรินนภาสะดุ้งเฮือกเจ็บแปลบกับกิจกรรมลึกซึ้งที่ห่างหายไปนานปี สัมผัสของเขามันทำให้อบอุ่นละคนเหน็บหนาวที่ใจ คนๆนี้ที่เห็นเธอ
“ไม่ได้ค่ะ คณบดีโทรตามโครงการวิจัยที่ฉันกำลังรับผิดชอบอยู่” ตอบอย่างไร้เยื่อใยก่อนจะเดินออกจากห้องไป“รีนครับ” พยายามร้องเรียกแต่เสียงก็แผ่วลงเหลือเกินร่างบางเดินกลับมายืนหน้าประตู มองเขาเล็กน้อยก่อนจะเอ่ย กับเขาดีๆ “อาหารอยู่ในตู้เย็น คุณเอามาอุ่นไมโครเวฟแล้วกินนะคะ อย่าลืมกินยาให้ครบตามที่หมอสั่งนะคะ”แต่ไหนแต่ไรนพพลไม่เคยที่จะทำตามคำบอกของใครง่ายๆ แม้จะเกรงใจหญิงสาวแต่ก็ไม่อยากจะรีบหายจากอาการบาดเจ็บนักเพราะยังต้องการพยาบาลสาวเนื้อหวานอยู่ วันนี้ทั้งวันนพพลเลยเอาแต่นอนอยู่บนเตียง ไม่ลุกไปไหน ไม่กินข้าวและไม่กินยา รอคอยให้เธอกลับมาป้อนและดูแลนพพลพึ่งรู้ว่าตนมีความอดทนค่อนข้างสูงก็วันนี้ เขาสามารถรอจนตกเย็นและมีเสียงรถเลี้ยวเข้ามาจอดในโรงรถข้างบ้าน จากนั้นตามด้วยเสียงรองเท้าส้นสูงของสตรีที่เข้ามาในตัวบ้าน“คุณเบล คุณเบลคะ” สิรินนภาเรียกเขาไปตามทาง แต่ไม่มีเสียงตอบรับกลับมา วันนี้ตลอดทั้งวันอ่านหนังสือไม่รู้เรื่อง ทำงานไม่มีสมาธิ สอนหนังสือก็ยังพะวงแต่คนป่วยว่าเขาจะเจ็บแผลไหม กินข้าวหรือยังได้กินยาบ้างหรือเปล่า อาการเหมือนเมื่อครั้งตอนคลอดน้องโรมช่วงแรกๆที่ยังปรับตัวไม่ได้ไม่มีผิด“
นพพลปรือตามองไปรอบๆเพื่อหาอดีตภรรยา ปวดหัวระบมราวกับถูกทุบด้วยของแข็ง แน่ล่ะเขาโดนของแข็งมา จนเย็บหลายเข็มด้วย “เอาไว้ก่อนเถอะครับ ผมกินไม่ไหว” ตอบเหนื่อยๆ ปวดตึงสลับกับรวดร้าวไปตั้งแต่กลางหัวจรดสันกราม ไม่อยากขยับอ้าปากด้วยซ้ำ“เดี๋ยวรีนป้อนค่ะ กินสักหน่อยเถอะนะคะ” เป่าข้าวต้มเพื่อคลายความร้อนก่อนจะค่อยๆป้อนช้าๆ“มันร้อน เอาไว้ก่อนนะครับ” หลับตาตอบหลังกินไปหนึ่งคำสิรินนภาอ่อนใจ รู้สึกผิดมากขึ้นที่ทำเขาเลือดตกยางออก นพพลเป็นผู้ชายเจ้าสำอาง บอบบางเพราะถูกเลี้ยงมาอย่างประคบประหงมประสาลูกชายคนเดียวตระกูลเชื้อสายขุนนางในรั้วในวัง เขาไม่เคยถูกทำร้ายให้เจ็บปวดเพราะมีแต่ทำให้คนอื่นเจ็บ แต่เรื่องในอดีตก็ส่วนอดีตแม้มันจะมีผลต่อปัจจุบันแต่ก็ไม่ต้องทำร้ายกันจนถึงขั้นนี้ก็ได้ เป็นอีกครั้งที่เธอเอาอารมณ์อยู่เหนือเหตุผลนั่งเฝ้าไข้ไปสักพักคนเจ็บเริ่มเพ้อเพราะยาชาหมดฤทธิ์ แผลอักเสบขึ้นจนมันเริ่มปวดตุบๆ หญิงสาวจัดยาแก้อักเสบให้กินแล้ว แต่ดูเหมือนมันจะไม่เพียงพอ “หนาว...หนาวรีนครับ ผมหนาว รีนอยู่ไหน รีน” ห่อกายกอดตัวเองเพื่อบรรเทาความหนาวเหน็บ พิษไข้เล่นงานจนตัวสั่นน่าสงสาร“คุณเบล รีนอยู่นี่นะคะ” รี
“ริ...รีนครับ” มือสั่นเทาจับปากแผลที่ถูกสันแฟ้มอลูมิเนียมหนาๆฟาดลงมาจนเนื้อปริ เจ็บปวดกายแต่ไม่โกรธและไม่ถือโทษเพราะที่เขาทำมันหนักหนากว่าที่เธอประทุษร้ายมากนัก“รีน...” เสียงทุ้มพึมพำเรียกชื่อหญิงสาวไม่หยุดปากจนอีกฝ่ายหันมาดู เห็นเลือดออกมากกว่าที่คิดไว้มาก มันไหลย้อยตามซอกนิ้วที่กำลังอุดบาดแผลจนเปรอะนพพลรีบคว้ามือเรียวมาบีบไว้ เขาเจ็บไม่เป็นไร แต่ขอให้เธอไม่ไปไหน “อย่าทิ้งผมนะ อย่าทิ้งผมไป” สติพร่าเลือนกับเลือดเป็นสายที่พรั่งพรูออกมาเรื่อยๆ แฟ้มสมัยเก่ามีขอบแฟ้มทำมาจากอลูมิเนียม สร้างแผลและเรียกเลือดจากคนเคยเลวมากมายสิรินนภาไม่สนใจ ออกแรงสะบัดตัวให้หลุดจากการเกาะกุมและผลของการหลีกหนีจากเขาสุดแรงนั้นทำให้ร่างเพรียวสอบของนพพลก้าวถอยไปเหยียบพรมเช็ดเท้า เสียหลักลื่นล้มหงายลงจนหัวไปกระแทกเข้าที่ขอบของชั้นหนังสือเหล็กโครมใหญ่และเลือดตกออกจากบาดแผลเป็นกอง“คุณเบล...” ยืนมองผลของการกระทำนั้นด้วยใจระทึกตื่นเต้น ยิ่งเห็นอดีตสามีหน้าซีดเจ็บปวดยิ่งนิ่งทำอะไรไม่ถูก ไม่ได้เจตนาจะให้เขาบาดเจ็บแบบนี้ มันเป็นอุบัติเหตุ“รีนครับ...” พยายามกัดฟันข่มความเจ็บปวดเรียกหาฝ่ายหญิง เอื้อมมือไขว่คว้าแต่อีกฝ