ชายหนุ่มวัยเกือบห้าสิบเดินดูสินค้าในตลาดสด อันเต็มไปด้วยของกินของใช้มากมายเรียงรายทั่วบริเวณ สายตาจับจ้องไปยังอาหารนานาชนิด ด้วยไม่ได้สนใจผู้คนรอบข้างสักเท่าไร ยิ่งเดินมาเลือกซื้อกับข้าวมื้อเย็น จึงจำเป็นต้องรีบซื้อเพราะเวลามีน้อย หนุ่มใหญ่ผู้นี้จึงเลิกแกงไว้สองอย่าง ส่วนเท้าทั้งสองข้างขยับไปเหยียบสาวใหญ่วัยเดียวก่อน
“อุ๊ย ขอโทษผมไม่ได้ตั้งใจครับ” ต้อมเงยหน้ามองหญิงสาวด้วยสายตาอันบ่งบอกว่ายอมรับผิด
“ไม่เป็นไรค่ะ” หญิงสาวรุ่นเดียวกันยิ้มให้พร้อมพยักหน้าเป็นการให้อภัย
“ต้อมใช่ไหม” ชายหนุ่มยืนข้างหญิงสาวพูดขึ้น
“นาย เอ่อ อาคมใช่ไหม” ต้อมมองตาค้างและรู้สึกประหลาดใจที่ได้เจอเพื่อนเก่าสมัยเรียนมหาวิทยาลัย
“อือ เราไม่ได้เจอกันนานเลยหนอ ตอนนี้นายทำอะไรอยู่” อาคมถามด้วยความสงสัย
“เรากลับมาอยู่บ้านทำสวนน่ะ นายล่ะทำงานอะไร” ต้อมถามด้วยความอยากรู้
“เราเป็นนายก อบต ส่วนเวลาว่างเราทำนา”
“อือ ดีจัง กลับบ้านมาคราวนี้ไม่เสียเที่ยว”
“เราก็ดีใจที่เจอนายนะ เพื่อนๆ ถามหานายกันยกใหญ่เลย เอ่อ เราลืมแนะนำนี่เมียเราชื่อส้ม”
“ยินดีที่รู้จักนะ” ต้อมยิ้มให้อย่างยินดี
“เช่นกันค่ะ”
“เราขอเบอร์หน่อย เฟส ด้วย”
“ตรงนี้เลยเหรอ อือ ก็ได้นะ”
ต้อมรีบจ่ายเงินค่าแกงสองถุงแล้วเดินออกห่างมาจากร้าน เฉกเช่นเดียวกันกับอาคมและภรรยาของเขา เมื่อสถานการณ์และเวลาเหมาะต้อมจึงบอกเบอร์โทรพร้อมชื่อเฟส ส่วนเพื่อนเก่าไม่รีรอเม้มเบอร์และแอคเฟสทันใด
“ถ้างั้นเรากลับก่อนนะ ว่างๆ จะโทรหานาย”
“อือ” ต้อมพยักหน้าให้ด้วยความยินดี
สายตาของต้อมมองคู่สามีภรรยาเพื่อนสมัยเรียนจนลับตา หลังจากนั้นเขาเดินต่อไปยังร้านอื่นเพื่อซื้อสิ่งของและอาหารอย่างที่ต้องการอยู่พักหนึ่ง จนสองมือเต็มไปด้วยถุงหิวพะรุงพะรัง ต้อมรีบเดินไปยังรถมอเตอร์ไซค์คู่ใจที่จอดอยู่ท้ายตลาด เมื่อไปถึงก็ขับรถเครื่องกลางเก่ากลางใหม่ออกไปในทันที
ยามค่ำคืนอันดึกสงัดต้อมยังไม่ได้หลับนอน ถึงแม้จะทำทุกสิ่งทุกอย่างเสร็จหมดแล้วก็ตาม ด้วยความที่อยากจะคุยกับเพื่อนเก่าอดีตคุ้นเคย แต่พูดคุยผ่านทางไลน์ได้ไม่นานเป็นอันต้องหยุด ซึ่งต้อมเข้าใจดีในข้อนี้เพราะอาคมไม่ใช่คนโสด
ความรู้สึกอันดีงามได้เจอเพื่อนเก่าคนแรก ความคิดอีกทางอยากเจอหลายคน โดยเฉพาะเพื่อนบางคนที่เคยมีความนัยต่อกัน ต้อมจึงค้นหาจากเฟสของอาคม เพื่อตามหาเพื่อนสนิทคนคุ้นเคยที่แวบเข้ามาในใจของเขา
ท้ายที่สุดต้อมได้เจอเพื่อนคนนั้นในเฟส เขาจึงกดขอเป็นเพื่อนไม่นานได้รับการตอบรับ ความรู้สึกยินดีปรีดา สมหวังในสิ่งที่ตัวเองต้องการ ต้อมจึงรีบดูไทม์ไลน์ของเพื่อนคนนี้ เพียงดูครั้งแรกเขารู้สึกใจหาย ด้วยว่ามีแต่รูปโปรไฟส์ที่อยู่เดี่ยวๆ นอกนั้นเป็นรูปครอบครัวของเพื่อนเคยสนิท ต้อมพยายามมองข้ามผ่านไป แต่ด้วยความรู้สึกอยากพูดคุยมีมากกว่า เขาจึงส่งข้อความไปหา คงเดช เพื่อนรักทันที
“จำได้ไหมใครเอ่ย”
“จำได้ ต้อมไง หล่อขึ้นเยอะเลยนะ”
“มีแต่แก่ขึ้นหล่อน้อยลงมากกว่านะเราว่า”
“แหม รุ่นนี้แล้วก็ตามนั้น ว่าแต่นายเป็นไงบ้างอยู่ที่ไหน ทำไมไม่ติดต่อเพื่อนฝูงเลย”
“ตอนนี้เรากลับมาอยู่ที่บ้านแล้วนะ มาทำไร่ทำสวนนายล่ะอยู่ที่ไหนทำอะไร”
“เราอยู่กรุงเทพ ทำงานรับเหมาเดินสายไฟ”
“ได้กลับมาบ้านบ้างไหม”
“ไม่ได้กลับหรอก เราซื้อบ้านจัดสรรอยู่ที่นี่กับลูกและเมียเรา นายล่ะเอาเมียมาอยู่ที่บ้านด้วยเหรอ”
“เปล่า เราไม่มีเมีย เรากลับมาอยู่บ้านกับพ่อและแม่”
“ว้าว”
“หมายความว่าอย่างไง”
“ไม่มีอะไรหรอก ว่าแต่ถ้านายว่างๆ มาเที่ยวหาเราก็ได้นะ เราจะพานายไปเที่ยวและนั่งคุยกัน”
“อือ ถ้าว่างเราจะไปหานะ”
“โอเคร แค่นี้ก่อนก็แล้วกัน พรุ่งนี้เราต้องทำงาน”
“อือ”
ความรู้สึกหลังคุยแซทจบ ต้อมถึงกับใจสั่นแต่ไม่ได้ผิดคาดมากนัก ด้วยอะไรหลายอย่างเขาจึงไม่แปลกใจ ทำไมเพื่อนรักของตัวเองมีครอบครัวที่อบอุ่น ส่วนตัวของต้อมเองนั้นกว่าจะกลับมาอยู่บ้าน ได้ผ่านมรสุมชีวิตอย่าหนักหน่วง
จิตใจของต้อมในตอนนี้เริ่มคิดถึงอดีตที่หอมหวน มีความสุขสมวัยในวันวาน เป็นความแตกต่างอย่างยิ่งในช่วงเวลานี้ หลังจากได้พูดคุยกับเพื่อนรักคนเคยสนิท ต้อมล้มตัวลงนอนพร้อมหลับตาคิดเรื่องราวในอดีตที่ผ่านมาร่วมสามสิบปี
ร่างบางๆ ของต้อมในสมัยสามสิบปีที่แล้ว ยืนมองหอพักชายในมหาวิทยาลัยฟ้าคราม เขายังไม่กล้าเดินเข้าไปทั้งๆ ที่มีเด็กหนุ่มรุ่นเดียวกัน ต่างเดินทยอยเข้าไปยังหอพักแห่งนี้ จนเสียงเข้มๆ ดุๆ ดังขึ้นต้อมจึงมีสติอย่างทันท่วงที
“น้องเมื่อไรจะเข้ามา ยืนเหม่อมองอะไร” ชายหนุ่มที่ดูแก่กว่าต้อมไม่มากตะโกนมาจากหอพักชาย
เสียงอันดังของรุ่นพี่ทำให้ต้อมต้องเดินเข้าไปหา ถึงแม้ว่าจะกลัวและตื่นเต้นแต่ต้องทำใจเดินไปยังรุ่นพี่หนุ่มรูปหล่อ
“พี่ขอดูใบเสร็จหน่อย”
กระเป๋าที่ต้อมสะพายได้ออกจากไหล่บ่ามาวางไว้บนพื้น มือข้างหนึ่งของต้อมเปิดกระเป๋าควักใบเสร็จค่าหอพักออกมาให้รุ่นพี่ได้ดู
“อือ ตามพี่มา”
รุ่นพี่หนุ่มรูปหล่อเดินนำหน้าต้อมอย่างรวดเร็ว ด้วยน้องๆ นักศึกษาทยอยเข้ามาทีละหลายคน รุ่นพี่คนนี้ต้องรีบพาน้องนักศึกษาเข้าหอพักแข่งกับเวลาอันเหลือน้อย ต้อมได้เดินตามนักศึกษารุ่นพี่ไปยังชั้นสามห้องท้ายสุด เพียงประตูถูกผลักเข้าไปสายตาของต้อมรีบสอดส่ายส่องดูอย่างไว
“ไอ้อ๊อฟฝากน้องด้วยนะ”
“เอ่อ” รุ่นพี่คมเข้มขานรับ
“น้องเข้าไปเลย” รุ่นพี่หนุ่มหล่อยิ้มให้ก่อนรีบวิ่งลงไปยังชั้นล่าง
ต้อมเดินเข้าไปด้วยท่าทีนุ่มนิ่มถ่อมตัวยิ้มนิดๆ ไปหาอ๊อฟรุ่นพี่ในห้อง กระเป๋าที่ถือมาได้วางลงกับพื้นอีกครั้ง เพื่อยกมือไหว้รุ่นพี่ที่นั่งยิ้มอย่างยินดี
“สวัสดีครับพี่อ๊อฟ”
“น้องชื่ออะไร” เสียงแหบๆ ของอ๊อฟได้ดังขึ้น
“ต้อมครับ”
“อือ น้องต้อม เหลือเตียงสุดท้ายพอดีเลย” อ๊อฟชี้มือไปยังเตียงที่หกซึ่งอยู่ริมสุด
“ครับ” ต้อมเดินไปยังทิศทางที่รุ่นพี่ในห้องชี้มือ
สายตาของต้อมมองไปรอบๆ ห้องสี่เหลื่ยมที่กว้างพอสมควร มีเตียงนอนสองแถวหันปลายเท้าเข้าหากัน ส่วนตู้เสื้อผ้าล้วนอยู่บนหัวเตียงนอน ตรงกลางห้องมีราวตากผ้าและโต๊ะรีดเสื้อผ้าสองตัว
ก่อนที่ต้อมจะวางกระเป๋าบนเตียงนอน รอยยิ้มของเขาปรากฏขึ้นให้เตียงข้างๆ ด้วยท่าทีและสีหน้าต้องคาดการณ์ไว้ว่า คงเป็นนักศึกษาใหม่เหมือนกับเขาอย่างแน่นอน
“เราชื่อสนนะนายชื่อต้อมเราได้ยินเมื่อกี้” สนยิ้มตอบกลับอย่างไมตรีจิต
“อือ” ต้อมพยักหน้า
ชายหนุ่มอีกสี่คนที่นั่งบนเตียงต่างแนะนำชื่อ พร้อมบอกคณะที่ได้เข้าศึกษา ทุกคนต่างเป็นเองกับต้อมอย่างมาก จนเขารู้สึกอุ่นใจขึ้นมาพอสมควร
“นายเรียนคณะอะไรล่ะ” สนคนเดิมถามไถ่ด้วยความอยากรู้
“เทคโนโลยีอุตสาหกรรมเอกไฟฟ้า”
“อ่ะ” เพื่อนใหม่ต่างส่งเสียงออกมาพร้อมกัน รวมทั้งอ๊อฟรุ่นพี่ที่อยู่ภายในห้องคนเดียว
“ไม่อยากเชื่อเลย” สนเอ่ยขึ้น
ต้อมไม่ได้แปลกใจแม้แต่น้อยที่บรรดาเพื่อนใหม่ ไม่อยากจะเชื่อว่าเขาเรียนคณะนี้ อย่าว่าแต่เพื่อนใหม่เลยในส่วนตัวของเขาเองยังไม่อยากเชื่อเหมือนกัน เพราะก่อนสอบเลือกได้สามคณะ สองคณะแรกต้อมคะแนนไม่ถึงเกณฑ์ มาได้คณะสุดท้ายที่ใส่ไว้กันพลาด ซึ่งเป็นความสมหวังของต้อมอย่างไม่คาดคิด มีอยู่อีกสิ่งหนึ่งที่ต้อมเข้าใจตัวเองดี ไม่ว่าจะหน้าตาท่าทางบ่งบอกชัดเจนว่าเขาเป็นแบบไหน นี่จึงเหตุที่หลายคนแปลกใจทำไมไปเรียนคณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรมได้
“อย่ามัวคุยกันเลย เดี๋ยวคืนนี้ต้องลงไปยังห้องประชุม ตอนนี้มีเวลาว่างก็จัดเสื้อผ้าใส่ตู้ แล้วรีบอาบน้ำด้วยนะ เพราะเราไม่มีห้องน้ำส่วนตัว มีแต่ห้องน้ำรวมที่อยู่นอกห้อง เราต้องใช้ร่วมกับคืนอื่น รีบๆ กันหน่อยนะพี่ขอเตือน” อ๊อฟรุ่นพี่ใจดีซึ่งผิดกับหน้าตาอยู่ในโหมดโหด ได้พูดขึ้นด้วยเสียงอันอ่อนโยนจนดูอบอุ่น แต่ยังคงเอกลักษณ์แหบอยู่เหมือนเดิม
สิ้นเสียงของอ๊อฟต้อมรีบจัดแจงทุกอย่างให้รวดเร็ว เพื่อให้ทันเวลาประชุมน้องใหม่ช่วงเวลาค่ำๆ ในเย็นนี้
ห้องประชุมหอพักชายอยู่ชั้นล่างสุด มีอาณาบริเวณกว้างพอสมควร ในช่วงเวลานี้ประมาณหนึ่งทุ่ม ได้มีบรรดาน้องใหม่และรุ่นพี่นั่งกับพื้น เรียงแถวตามหมายเลขห้อง ต้อมนักศึกษาหนุ่มน้อยวัยสิบแปด หน้าตาใสซื่อบริสุทธิไร้เดียงสา นั่งแถวสุดท้ายและอยู่คนหลังสุด สายตาอันเล็กหรี่มองเพื่อนๆนักศึกษารุ่นเดียวกันออกไปแนะนำตัวทีละห้อง จนมาถึงห้องสุดท้าย ต้อมได้เดินออกไปพร้อมกับเพื่อนร่วมห้องอีกห้าคน เมื่อไปถึงยังหน้าบรรดาเพื่อนร่วมหอพักชาย ต่างยืนเรียงแถวแนะนำตัวกันทีละคน โดยมีต้อมยืนเป็นคนสุดท้าย ส่วนสนยืนอยู่คนที่ห้า “ผมชื่อสนธิ มงคลดี ชื่อเล่น สน เรียนคณะเกษตรศาสตร์ เอก ประมงครับ”สนพูดเสียงดังฟังชัดเจน สิ้นเสียงของสนต่อไปต้อมต้องแนะนำตัว ริมฝีปากอันแสนบางสีชมพูอ่อนๆค่อยๆเปล่งเสียงออกมาอย่างอ่อนโยน “ผมชื่อ อนันตชัย ถาวรสกุลดี ชื่อเล่น ต้อม เรียนคณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม เอก ไฟฟ้าครับ”สิ้นเสียงของต้อมแต่กับมีเสียงอื่นมาแทน นั่นคือเสียงหัวเราะเบาๆของนักศึกษารวมหอพัก “พูดเสียงดังฟังชัดๆหน่อย พูดค่อยแบบนี้ ระวังพรุ่งนี้จะโดนเพื่อนๆที่คณะแกล้งนะ”สมพงษ์ประธานหอพั
วันแรกก่อนถึงคาบหนึ่งของต้อมต้องนั่งอยู่เพียงคนเดียว มองไปทางไหนไม่รู้จักใครสักคนด้วยเป็นคนอีกจังหวัด ต้อมเห็นเพื่อนใหม่นั่งเป็นกลุ่มๆ อยู่หลายคน บ้างนั่งสองคนเป็นที่ๆ ไป คนเดียวอยู่เดี่ยวๆ มีพอสมควร รวมทั้งตัวต้อมเองด้วยนั่งเหงาๆ เพียงลำพัง“นั่งด้วยนะ”“อือ”“เราชื่ออาคมนายล่ะ”“เราชื่อต้อม”“นายมาจากไหน”“พิจิตร”“จังหวะดเดียวกันนิ”ต้อมยิ้มได้ในทันทีด้วยเจอคนบ้านเดียวกัน ในมหาวิทยาลัยฟ้าครามที่อยู่ในจังหวัดเพชรบูรณ์ ไม่ไกลจากพิจิตรมากนัก มีอยู่หลายคนเหมือนกันในหอพักชายที่มาจากจังหวัดเดียวกัน“เขานั่งเป็นกลุ่มๆ กันน่าอิจฉา” อาคมพูดคุยพร้อมมองไปยังเพื่อนร่วมคณะ“อีกสักพักคงสนิทกันใหม่ๆ ก็แบบนี้แหละ”“อือ จริงอย่างนายเนาะ”สายตาของต้อมมองเพื่อนๆ ทุกคน สะดุดตามีอยู่สี่คน นั่งไม่ไกลเขามากนักซึ่งมองอย่างไงก็เป็นแบบเขาออกชัดเจนยิ่งกว่า ไม่ว่าจะท่าทางรูปร่างและการแต่งหน้าจัด ส่วนอีกสองเป็นหญิงสาวหน้าตาถือว่าทั่วๆ ไป สามคนที่ว่าไม่มีอะไรน่าสนใจมากกว่านี้สำหรับต้อม มีเพียงคนเดียวในกลุ่มใหญ่ห้าหกคนมีความหล่อคมคาย ทะลึ่งตึงตังขึ้เล่นเห็นได้อย่างเด่นชัด“มองอะไร” อาคมมองตามสายตาของต้อม“ไม่มีอ
ท้องฟ้ายังไม่กระจ่างชัดปกคลุมกึ่งความมืดปนสว่าง ต้อมเดินไปยังสวนมะม่วงที่เขาปลูกเมื่อสองสามปีก่อน จนตอนนี้ได้เนื้อได้ผลมากินและขายเพื่อยังชีพ กว่าจะจัดการเก็บมะม่วงเสร็จเกือบเที่ยง แต่ยังดีมีรถมารับผลผลิตถึงสวน เขาเลยสบายกายไม่หนักมาก เมื่อรับเงินมาก้อนหนึ่งจึงรีบไปฝากยังธนาคาร หลังจากนั้นต้อมจึงรีบไปหาอาคมที่บ้านสองเท้าของต้อมก้าวเข้าไปยังบ้านจัดสรรพ ทำเลนั้นอยู่ห่างตัวเมืองพอสมควร ไกลจากบ้านของเขาอยู่หลายกิโลเมตร ต้อมจึงไม่แปลกใจแม้แต่น้อยทำไมถึงไม่เคยเจอกันก่อนหน้านี้ แต่ฟ้ายังเป็นใจให้ได้พบเจอเพื่อนเก่า“เข้ามาก่อนสิต้อม” อาคมเปิดประตูรั้วและเชื้อเชิญต้อมมายังห้องรับแขก“บ้านนายน่าอยู่จัง” ต้อมนั่งลงบนโซฟา“น่าอยู่แต่หนักมาก ผ่อนธนาคารเดือนหนึ่งเป็นหมื่น ไม่เหมือนนายมีบ้านพ่อบ้านแม่ให้อยู่ เอ่อ ลืมถามมีเมียหรือเปล่า เราจะได้วางตัวถูก” อาคมอมยิ้มนิดๆ“ไม่มี”ไม่มีคำถามต่อจากนี้ด้วยอาคมรู้อยู่แล้ว ต้อมจึงสบายใจมากขึ้นเมื่อไร้การถามต่อ เพราะเป็นสิ่งอันอึดอัดพอสมควรถ้าต้องตอบคำถาม ว่าทำไมไม่มีเมียต้อมยังไม่แปลกใจไม่หาย ทั้งที่รู้อยู่ว่าเขาเป็นแบบนั้นใยต้องถามกันตลอดเมื่อพานพบ“ตั้งแต
วันเวลาที่ต้อมรอคอยมาถึงวันนี้จะได้เจอเพื่อนเก่าอีกหลายคน หนึ่งในนั้นที่อยากเจอมากเขายังไม่แน่ใจว่าจะมาหรือไม่ เพราะต้อมมาในงานร่วมชั่วโมงยังไม่เห็นวี่แวว มีเพียง อาคม โบ้ผู้ทะเล้น จืดกับแฟนสาวนั่นคือปิ่นเพื่อนร่วมคณะนั่นเอง และอีกหลายคนต่างนั่งเรียงรายสองแถวหันหน้าเข้าหากัน โดยต้อมนั่งติดอาคมส่วนอีกข้างยังว่างเปล่าไม่มีใครมานั่ง“หายไปนานเลยนะไอ้ต้อม เรานึกว่าไปอยู่กับแฟนที่ต่างประเทศเหมือนแหวนแล้ว” โบ้พูดขึ้นมาโดยยังคงเอกลักษณ์ความเป็นขึ้เล่นเหมือนเดิม“เพื่อนเราได้ดีแล้วไม่เคยรู้มาก่อนเลย” ต้อมมีสีหน้าท่าทางประหลาดใจพอสมควร“ใช่ เหลือแต่นายนั่นแหละ เขามีครอบครัวกันหมดแล้วนายมัวรออะไรอยู่ หรือรอใครเอ่ยอยากรู้จัง”“เปล่า ยังไม่เจอคนที่ใช่มั้ง”ต้อมพูดจบชายหนุ่มร่างสูงใหญ่เดินเข้ามายืนข้างๆ สายตาของต้อมเห็นเพื่อนร่วมห้องมองมายังใกล้บริเวณที่นั่งอยู่ ต้อมผิดสังเกตเลยหันหน้ามองและเงยขึ้น“พระเอกของเราทำไมมาช้าจังเลย” โบ้เอ่ยขึ้นทันใดเมื่อคงเดชนั่งลงข้างๆ ต้อม“เราพึ่งมาถึงเลยต้องไปส่งเมียกับลูกที่บ้านก่อน” คงเดชพูดจบแล้วหันหน้ามามองต้อมที่นั่งนิ่งๆคำพูดและท่าทางนิ่งๆ ของคงเดชทำให้ความร
ดวงตาที่เล็กหรี่ลงจนหลับ แต่ริมฝีปากบนแก้มยังอยู่อย่างเดิมเป็นเวลา ต้อมเริ่มลืมตาขึ้นทีละนิดแล้วหันหน้ามา คงเดชได้หยุดสัมผัสแก้มอันผ่องใส“ไอ้เดชนายจะจูบไอ้ต้อมอะไรทุกวัน” โบ้ไม่วายพูดทุกวันตอนเช้าต้อมไม่รู้จะทำเช่นไร เพราะทุกเช้าคงเดชจะมาจูบมาหอมแก้มอยู่ประจำ จนเขาเคยชินไม่ค่อยรู้สึกอะไรมากนัก ต้อมมองเห็นสองสาวหนึ่งหนุ่มหวานนั่งอยู่อีกโต๊ะ เขาจึงเดินเข้าไปหาเพื่อเข้ากลุ่มนี้ เพราะคิดว่าน่าจะเหมาะกว่ามาอยู่กับชายแท้นับสิบ“นั่งลงสิ ไปนั่งตรงนั้นอยู่ได้” ปื่นสาวผิวเข้มเอ่ยขึ้น“เป็นอะไรหรือเปล่าจิตดีนั่งเงียบไปเลย” ต้อมผิดสังเกตเห็นจิตดี มีท่าทีซึมลงจนเขาแปลกใจ“เรามาเรียนวันนี้เป็นสุดท้ายนะที่เรามานี่จะบอกพวกเธอนั่นแหละ เดี๋ยวจะกลับแล้วเพราะอยู่ถึงเย็นก็ไม่มีความหมายอะไร”“ทำไม เพราะอะไรเหรอ” ดวงตาที่ค้างและริมฝีปากอันอ้าขึ้นเล็กน้อย มองใบหน้าอันขาวใสที่ปนด้วยความเศร้า“เราคิดว่า เรียนคณะนี้คงไม่เหมาะกับเรา ปีหน้าค่อยว่ากันใหม่ เดี่ยวเราไปช่วยแม่ขายของดีกว่า” มือของจิตดีประสานกันส่วนนิ้วหัวมือถือถูสัมผัสกันไปมา“ลองคิดๆ ดีนะ เรียนไปก่อนถ้าไม่ไหวจริงๆ ปีหน้าค่อยออกก็ได้ และอีกอย่างปีแ
หลังจากงานเลี้ยงรุ่นต้อมอยู่โหมดเศร้าพอสมควร ที่สำคัญได้เริ่มห่างกับคงเดชไม่ค่อยคุยกันอย่างแต่ก่อน ด้วยเหตุหลายอย่างทำให้ทั้งสองต้องรักษาระยะห่าง ในวันนี้ต้อมจึงเข้ามาในสวนมะม่วงของเขา ที่มีอีกรุ่นออกผลจนนำไปขาย “อาต้อมครับ” ต้อมคุ้นๆหูเสียงนี้แต่นึกไม่ออกว่าเสียงใคร เขาจึงหันไปมองทันที่ สิ่งทีเห็นคืออาคารลูกของอาคมยืนยิ้มอยู่ใต้ต้นมะม่วง เมื่อเห็นเช่นนั้นต้อมจึงเดินเข้าไปหาเด็กหนุ่มนั่น “มาหาอามีธุระอะไร”ต้อมเดินไปใต้ต้นมะม่วงที่อาคารยืนอยู่ “ผมกลับมาบ้านแล้วเหงาๆพ่อก็ไปงาน อบต แม่ไปทำงาน ส่วนน้องสาวไปหาเพื่อน ผมไม่มีใครเลยมาคุยด้วยสักหน่อย” “ได้สิ นั่งลงก่อนจะมาคุยอะไรกับคนแก่” “ผมมีเรื่องอยากปรึกษาอาครับ” “เรื่องอะไร อย่าบอกนะเรื่องความรัก”ต้อมยิ้มนิดๆ “เรื่องมันเกี่ยวพันกันน่ะอา” “เกี่ยวพันอะไรอาไม่เข้าใจ พูดมาตรงๆก็ได้อาจะพยายามทำความเข้าใจ ว่าแต่ เอ๊ะ ทำไมไม่ปรึกษาพ่อของหลานล่ะ”ต้อมมีสีหน้าที่งุนงงอยู่บ้าง “ผมไม่กล้าปรึกษา ผมว่าอาน่าจะรู้ว่าผมเป็นแบบไหน เหมือนอ
วันรุ่งขึ้นต้อมมาเรียนตามปกติ แต่แล้วต้องทราบข่าวบางอย่าง เป็นที่อืออาอย่างมากในห้อง แต่คนสองคนที่ถูกพูดถึงไม่มีความอายแต่อย่างใด“ไอ้จืด มึงคิดอย่างไงยอมแหวนมันน่ะ” โบ้พูดขึ้นพร้อมอมยิ้มนิดๆ“อยากลองดูแต่ก็รู้สึกดีนะ” จืดพูดอย่างหน้าตายต้อมนั่งฟังอย่างตั้งใจจนเพลิน และเป็นเช่นเดิมคงเดชมาหอมแก้มเขาอีกครั้งในตอนเช้า พร้อมกับนั่งกอดเรือนร่างอยู่พัก เมื่อแหวนมาไปนั่งยังอีกทีหนึ่ง ต้อมจึงแกะแขนทั้งสองข้างของคงเดชออก“นายจะไปไหน” คงเดชถาม“ไปหาแหวนกับปอนด์” ต้อมลุกขึ้นยืนเตรียมตัวจะเดินไป“อย่าให้รู้นะว่ามึงเป็นกูเตะคว่ำเลย” เพื่อนคนหนี่งพูดขึ้นทันที เมื่อได้ยินต้อมพูดถึงแหวนต้อมได้แต่ยิ้มแล้วเดินไปหาแหวนอยู่ดี ด้วยแหวนนั้นออกชัดเจนว่าเป็น ในส่วนของต้อมนั้นยังมีความเป็นผู้ชายอยู่เยอะกว่าแหวน ถ้าไม่รู้จักจริงๆ อาจมองเป็นผู้ชายเรียบร้อย ต้อมไม่รู้จะพูดอะไรจึงได้แต่เดินหนีมายังโต๊ะของแหวน“ข่าวเธอดังมากเลยนะ” ต้อมพูดทันทีเมื่อมาถึงและนั่งลงบนม้านั่ง“ข่าวอะไร” แหวนแกล้งทำเป็นไม่รู้“เรื่องของเธอกับจืดนะ เมื่อวานไปหาจืดมาเหรอ”“ข่าวไวจริงหนอ”“เธอไปทำอะไร” ปิ่นเสียงสูงทันที เพราะลึกๆ เธอชอบจ
ความคิดถึงกำลังถามหาความรักครั้งเก่าก่อน ต้อมยิ่งคิดยิ่งเสียดายความปากหนักครั้งในอดีต จะด้วยความที่ยังเด็กหรือยังไม่ประสา หรือกลัวโดนแกล้งล้อภายหลัง ต้อมยังไม่แน่ใจตัวเองในช่วงเวลาที่ผ่านมา แต่นั่นเป็นเรื่องที่เลยมาแล้ว ยังไม่เท่าไรแต่กับเรื่องในปัจจุบันช่างโหยหาอยากได้ความรักนั้นคืนมา ต้อมจึงตัดสินใจโทรหาเพื่อนรักยามค่ำคืน“ฮัลโหล” คงเดชรับสายทันที เมื่อเห็นเป็นชื่อต้อม“ทำอะไรอยู่” ความรู้สึกแรกที่ได้ยินเสียงต้อมยินดียิ่งนัก“นั่งดื่มเหล้าอยู่”“กลับใคร”“คนเดียว”“ลูกเมียไม่ว่าเหรอ” ต้อมนึกสงสัยเช่นนั้นจริงๆ“เราอยู่คนเดียว เมียกับลูกเราไปต่างจังหวัด”“อ่อ”“โทรมามีอะไรเหรอ”“คิดถึงน่ะ” กว่าที่ต้อมจะพูดคำนี้ออกมาได้ใช้เวลานานพอสมควร“เราก็พึ่งเจอกันได้ไม่นานนี่ไม่ใช่เหรอ”“สำหรับนายอาจไม่นาน แต่เรานานกว่านายอีกนะ” เสียงของต้อมนั้นเบาบางลง“นายจะพูดขึ้นมาทำไม ในเมื่อเรื่องของเรามันไม่มีทางเป็นไปได้” คงเดชเสียงห้วนขึ้น“เรารู้ แต่เราสามารถที่จะพูดคุยกันได้นิ ในฐานะเพื่อนคนหนึ่ง”“นายจำได้ไหมเราเคยพูดอะไรกับนายครั้งหนึ่งตอนเรียน”“อะไร”“เราถามนายว่า นายชอบเราใช่ไหม”เมื่อได้ยินคำพูดน
ช่วงค่ำๆ ต้อมได้แต่งตัวอย่างน่ารักสดใส เพื่อไปเที่ยวกับเสกผู้จัดการฝ่ายบุคคลวัยสี่สิบกว่า ใจหนึ่งก็ไม่อยากไปแต่อีกใจหนึ่งก็เกรงใจ แต่ถึงอย่างนั้นต้อมพยายามคิดในแง่ดี จะได้ไปเที่ยวยามค่ำคืนแห่งเมืองลำพูนในระหว่างที่ต้อมเดินออกจากห้องไปยังหน้าประตูห้องเช่า บังเอิญดำเดินออกมาพอดีเพื่อไปกินข้าวมื้อเย็น ซึ่งทำให้เจอต้อมโดนบังเอิญ“แต่งตัวซะหล่อเลย จะไปไหนน่ะ” ดำยืนนิ่งๆ ข้างๆ ต้อมที่ใบหน้าขาวใสยังกับหญิงสาว“ไปกินข้าวน่ะ” ต้อมมองมาทางดำร่างสูงใหญ่ใบหน้าคมเข้มผิวคล้ำ“กินข้าวแค่นี้แต่งตัวซะเหมือนไปเที่ยวเลย”“ก็ใช่น่ะสิพี่ดำ คืนนี้ผมต้องไปกินข้าวในตัวเมือง”“รถก็ไม่มีจะไปได้อย่างไร จากนี้ไปในเมืองไม่ใช่ใกล้เลย”“ไปกับพี่เสก”“อ่ะ พี่เสกผู้จัดการฝ่ายบุคคลนั่นเหรอ” ดำมีสีหน้าสงสัยยิ่งยวด“ใช่ ทำไมพี่ดำต้องทำหน้าอย่างนั้นด้วย”“รู้จักกันเป็นการส่วนตัวเหรอ”“เปล่า”“แล้วจะไปได้ไง ไม่รู้จักกันเป็นการส่วนตัว”“พี่เขาชวนไป ถ้าไม่ไปก็น่าเกลียดแย่เลย”“พี่เสกมาพอดีเลย ผมไปก่อนนะพรุ่งนี้เจอกัน” ต้อมหันมายิ้มให้ดำ ที่ยืนนิ่งมองต้อมขิ้นรถและแล่นจากไป ด้วยความรู้สึกแปลกสองด้าน อย่างแรกทำไมเสกต้องพาต้อม
ตอนที่25 ความรู้สึกที่เปลื่ยนไป หลังจากหยุดงานมาหลายวันดำก็มาทำงานตามปกติ โดยก่อนหน้านี้ต้อมได้มีคนมาสอนงานให้ เป็นรุ่นพี่ร่วมแผนกเข้ามาทำงานพร้อมกับดำ ซึ่งซันนั้นได้สอนต้อมทำงานอย่างดีไม่ขาดตกบกพร่อง จนทำให้ต้อมเริ่มทำงานได้คล่องมากยิ่งขึ้น “ถ้าไม่ได้พี่ซันผมคงแย่แน่เลย”ต้อมยิ้มน้อยยิ้มใหญ่พูดจาอย่างอ่อนน้อม “เอ้า ไอ้ดำหายดีแล้วเหรอว่ะทั้งกายทั้งใจ”ซันเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นดำเดินเข้ามาที่ทั้งสองยืนคุยกันก่อนเข้างาน “ปากดีนะมึงนะ”ดำมองตาขวางใส่ซัน ทั้งที่ก่อนหน้านี้พูดเล่นแรงกว่าหลายเท่า “มึงเป็นอะไรว่ะ ไปกินรังแตนมาจากไหน”ซันมีสีหน้ามึนงง “ไม่เป็นไรหรอก แค่ เอ่อ ไม่มีอะไร”ดำมองไปยังต้อมแว่บหนึ่งก่อนหันมามองซันต่อด้วยความแสนจะหงุดหงิด โดยไม่ทราบสาเหตุว่าเกิดขึ้นมาได้อย่างไรกัน “สงสัยจะฟื้นไข้ยังไม่หายดี นี่ก็ใกล้เวลางานแล้ว ต่อจากนี้ไปกูส่งน้องต้อมให้มึงดูแลต่อ และอีกอย่างน้องต้อมต้องดูแลพี่ดำดีๆนะ เดี๋ยวพิษไข้กำเริบพี่ไม่ได้กลัวไข้กายหรอก กลัวไข้ใจมากกว่าถ้ามีเวลาก็ค่อยๆดามใจมันก็ได้”ซันหัวเราร่วนก่อนรี
ต้อมนั่งมองดำที่กำลังกินข้าวต้มแบบฝืนกินยากพอสมควร สายตาอันเล็กหรี่จ้องไม่กระพริบตา ส่วนริมฝีปากเล็กรอยหยักคอยเตรียมพูดทันทีเมื่อใดดำหยุดกินข้าวต้ม และมือน้อยอันเรียวงามเทน้ำจากขวดใส่แก้วไว้เตรียมพร้อม รวมทั้งยาแก้ไข้อีกสองเม็ดวางไว้ใกล้ๆ กัน“กินให้หมดนะ” ต้อมพูดทันทีเมื่อดำหยุดกินข้าว“พี่อิ่มแล้ว” ดำถอดถอนหายใจ เพราะเขาไม่รู้สึกอยากกินข้าวแต่อย่างใด ถึงแม้จะพยายามฝืนทนกินแต่ไม่สามารถกินได้มากกว่านี้“ก็ได้ ถ้างั้นก็กินยาซะ” ต้อมพูดเสียงนิ่งๆ ให้ดูเข้มเข้าไว้ แต่เสียงเล็กอันใสหาเป็นใจไม่สายตาของต้อมยังมองดำตลอดเวลา ด้วยกลัวว่าจะแอบนำยาไปทิ้งขว้างไม่ยอมกิน ดำเหมือนจะรู้ตัวว่าถูกจ้องมอง จนอดคิดไม่ได้ว่าต้อมไม่เหมือนน้องแต่เหมือนพี่สาวมากกว่า“พอใจหรือยัง” ดำพูดทันทีเมื่อได้กลืนยาลงคอ“พอใจมาก”“ถ้างั้นก็กลับไปได้พี่จะนอน” ดำพูดเสียงห้วนๆ“ก็นอนสิ ผมก็จะอยู่ที่นี่”“ห้องตัวเองมีทำไมไม่นอน” ดำแสดงท่าทีไม่พอใจออกมาอย่างชัดเจนคำพูดของดำที่ไม่เกรงใจและสนความรู้สึกคนฟัง ทำให้ต้อมนั้นใจอุ่นๆ ขึ้นมาอยู่เหมือนกัน ขนาดป่วยยังไม่วายพูดจาไม่น่าฟังเลยสำหรับความคิดของต้อม“ความจริงก็ไม่ได้อยากนอน
วันนี้ต้อมมีความรู้สึกแปลกๆ เพราะดำไม่ได้มาทำงาน สาเหตุใดต้อมไม่สามารถรู้ได้ เพราะดำสั่งห้ามให้อยู่ทางใครทางมัน จึงเป็นเหตุให้ต้อมไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับดำ ถึงแม้วันนี้หลายต่อหลายคนจะถามไถ่ จึงได้แต่ปฏิเสธท่าเดียวไม่รู้ จนกระทั่งก่อนกลับบ้านสันต์หัวหน้างานของเขาได้เอ่ยขึ้นมา“กลับไปห้องก็ไปดูดำมันหน่อยนะ มันพึ่งเลิกกับแฟนช่วงนี้มันเศร้าๆ ไหนๆ ก็ทำงานที่เดียวกัน” สันต่์เอ่ยขึ้นก่อนเดินจากไป“ครับ” ต้อมรับคำด้วยความยินดี แต่ใจหนึ่งก็อยากจะบอกว่า ดำต่างหากที่ไม่ยอมให้เข้าใกล้ ส่วนตัวเขาเองนั้นอยากสนิทสนมด้วยใจจะขาดในช่วงที่ต้อมเดินออกจากโรงงานไปยังที่จอดรถ ในขณะที่เขากำลังคิดเรื่องของดำเพลินๆ ว่าจะจัดการอย่างไรดี ก็มีรถเก๋งคนงามจอดอยู่ข้างๆ เขา ต้อมจึงหันมามองและเป็นจังหวะเดียวกันที่กระจกเปิดออกพอดี“ต้อมขึ้นมาบนรถก่อนสิ” ผู้จัดการฝ่ายบุคคลเรียกเขาแบบหน้านิ่งเหมือนตอนที่กำลังสัมภาษณ์งาน“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมกลับเองได้ครับ” ต้อมกำลังจะเดินจากไป“บอกให้ขึ้นมาก็ขึ้นมาสิ” เสียงของผู้จัดการฝ่ายบุคคลเริ่มห้วนขึ้น“ครับ” ต้อมเดินอ้อมรถไปอีกด้านและเปิดประตูขึ้นไปในรถเมื่อต้อมขึ้นไปเขาก็นั่งนิ
เนื่องด้วยสภาพจิตใจของต้อมไม่ค่อยสู้ดีนัก เขาจึงไม่ค่อยได้ออกไปทำงาน มีแต่นอนและพักผ่อนให้ร่างกายฟื้นตัว ยามค่ำคืนก่อนนอนต้อมได้หยิบอัลบั้มรูปขึ้นมาเปิดตัว และได้เห็นรูปผู้ชายคนหนึ่งที่เขาถ่ายตอนหลับ ต้อมจำได้ดีรักครั้งนี้เขาจึงหวนคิดถึงอีกครั้งหลังจากผิดหวังในรักที่มีต่อสน ทำให้ต้อมได้ติดสินใจก้าวเดินต่อไป เพื่อลืมเลือนรักอันเจ็บปวด ต้อมได้ขึ้นมาทำงานทางเหนือตามคำแนะนำของแหวน เพราะเพื่อนร่วมรุ่นได้ออกงานจากที่นี่จึงมีตำแหน่งว่างพอดีเมื่อไปถึงเมืองลำพูนต้อมได้หาห้องเช่าไม่ไกลจากแหล่งนิคมอุตสาหกรรมเท่าไรนัก มีเพียงเสื้อผ้าไม่กี่ชุดและที่นอนสำหรับไว้เอนกายพักผ่อนยามต้องการ พอรุ่งเช้าต้อมเดินทางไปสมัครงานในนิคมอุตสหกรรม เป็นโรงงานเกี่ยวกับผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ยามเข้าไปนิคมและได้กรอกใบสมั8รและรอสัมภาษณ์เลย เพราะต้องการด่วนซึ่งไม่แตกต่างจากต้อมก็อยากได้งานโดยไวเหมือนกัน เมื่อเข้าไปก็เจอผู้จัดการฝ่ายบุคคล ต้อมยกมือไหว้ชายหนุ่มวัยกลางคนอายุประมาณสี่สิบกว่าๆ รูปร่างสูงโปร่งขาวนัยน์ตาเล็ก“สวัสดีครับ” ต้อมยกมือไหว้“นั่งลงได้” ชายหนุ่มผู้นั้นมองต้อมไม่วางสายตา“ดูจากประวัติการทำงาน เปล
วันหยุดยาวต้อมได้กลับบ้านสองวันทีแรกกะสามวัน แต่ทนความคิดถึงสนไม่ไหวเขาจึงกลับมาก่อนเวลา และอีกอย่างหนึ่งเพื่อสืบสาวราวเรื่องของสนว่าเป็นเช่นไรโดยไม่ได้โทรบอกสนไว้แม้แต่น้อย และต้อมไม่ยอมกลับห้องของตัวเองด้วย เลยรวดไปยังห้องพักของสนเพื่อจับผิดหรือถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ถือว่าเป็นไปหาคนรักแค่นั้นไม่ได้มีอะไรเสียหายหรือเสียเวลาเมื่อมาถึงต้อมรีบไปยังห้องเช่าของสน ด้วยไปหาสนเป็นบางครั้งต้อมจึงมีกุญแจ และยามคุ้นหน้าเป็นอย่างดี จึงเข้าออกง่ายไม่มีปัญหาแต่อย่างใด พอถึงหน้าประตูต้อมจึงหยิบกุญแจมาเปิดเข้าไปในห้อง โดยไม่ได้เคาะเรียกขานแต่อย่างใด เมื่อเปิดประตูห้องเข้าไปก็ไม่ได้พบกับอะไรผิดปกติ เห็นเพียงแต่สนนั่งดูทีวีอย่างสบายอารมณ์“อ้าว ไหนบอกว่าจะกลับบ้านไปสามวันไง” สนมีสีหน้าไม่สู้ดีนักและรีบลุกขึ้นยืนทันใด“ทนคิดถึงนายไม่ไหวไง” ต้อมเดินเข้าไปนั่งใกล้ๆ“ใครมาสน” หญิงสาวนุ่งผ้าเช็ดตัวผืนเดียวเกาะอกออกมาจากห้องน้ำและรีบเดินมาเกาะแขนสน ที่อยู่ในสภาพนุ่งผ้าเช็ดตัวผืนเดียวพันกายท่อนล่าง“เพื่อนที่เรียนมหาวิทยาลัยด้วยกันนะ” สนจ้องมองต้อมไม่วางสายตา เพราะกลัวต้อมพูดอะไรออกมา“ต้อมนี่คือ เอ่อ” สนอ้ำ
ความสัมพันธ์ทั้งสองเปลื่ยนแปลงทีละน้อย คืบคลานทีละนิดจนต้อมผิดสังเกตขึ้นมาทีละมากๆ ในช่วงเวลาที่ยาวนานหลายเดือน ต้อมยังทำตัวปกติทุกอย่างดูแลสนอย่างดีไม่เปลื่ยนแปลง ในขณะอีกคนมีความเปลื่ยนแปลงไป บางครั้งกลับห้องดึกดื่นบางคราไม่กลับมาเลย บางทีมีความสัมพันธ์ทางกายแบบผ่านๆ เหมือนไม่อยากจะมี ความสุขในรสรักของต้อมจึงลดน้อยลงไปอย่างมาก เพราะสนไม่ใคร่สนใจมอบให้อย่างแต่ก่อนมีอยู่ค่ำคืนหนึ่งสนพูดบางสิ่งออกมาจนต้อมรู้สึกใจหายใจคว่ำ เป็นคำพูดที่ไม่ได้รุนแรงแต่เจ็บลึกอย่างสุดทรวงและลึกสุดใจ“ต้อมเรามีเรื่องจะบอกกับนายนะ” สีหน้าของสนมีความวิตกกังวลอย่างเห็นได้ชัด“เรื่องอะไร” ต้อมเดินมานั่งบนเตียงในขณะสนนอนนิ่งๆ เหมือนครุ่นคิดอะไรบางอย่างไว้ในใจ“คือว่า เอ่อ เราสองคนก็โตกันขึ้นเยอะแล้วนะ ต่างคนต่างมีหน้าทีการงานของตัวเอง มีเพื่อนและอยากมีความเป็นส่วนตัว” สนยังไม่กล้าพูดคำใดๆ ออกมาพยายามเกริ่นนำ“นายจะพูดอะไร” ต้อมใจหวั่นหวิว เพราะคำพูดนำทางแบบนี้ เขาคาดคิดว่าน่าจะไม่ใช่เรื่องดีอย่างแน่นอน“อืม เราคิดว่าต้องแยกห้องกันดีกว่าไหม เพราะเราทั้งคู่ก็โตกันแล้วนะ” สนจ้องหน้าของต้อมเพราะอยากรู้ความรู้สึกที่
ความรักทั้งสองคืบหน้าไปอย่างมากในความคิดของต้อม เมื่อถึงเวลาสิ้นเดือนต้อมจึงซื้อของกินของใช้มามากมาย เพื่อเลี้ยงฉลองกับสนคนสำคัญที่สุดในชีวิต ค่ำคืนนี้ต้อมจึงเฝ้ารอการมาของสน แต่สองทุ่มก็แล้วสามทุ่มผ่านไปสี่ทุ่มกำลังจะมาถึง แต่ยังไร้วี่แววของใครบางคน สายตาของต้อมจ้องมองอาหารที่เรียงรายหลายอย่างตรงหน้า จนเวลาเกือบเที่ยงคืนจึงได้ยินเสียงเคาะประตู“ก๊อก ก๊อก ก๊อก” ต้อมเดินไปเปิดประตูด้วยสีหน้าบอกบุญไม่รับ“นายไปไหนมาเรานัดกันไว้แล้วไม่ใช่เหรอ ว่าวันนี้จะเลี้ยงฉลองเงินเดือนออก” ต้อมมีท่าทีกระฟัดกระเฟียดแสดงท่าทีไม่พอใจ“เราขอโทษ พอดีพี่พี่ทำงานเราเลี้ยงฉลองให้น่ะ เราไม่รู้มาก่อนเลยว่าจะมีงานนี้” สนเข้ามาโอบกอดจากด้านหลัง พร้อมบรรจงจูบทั่วใบหน้าอันบูดบึ้ง“นายไปดื่มเหล้ามาเหรอ”“นิดหน่อยเอง พี่ๆ เขาบังคับให้เราดื่มน่ะ”“อืม แสดงว่านายกินข้าวมาแล้วใช่ไหม”“ใช่ กินมาแล้ว แต่ตอนนี้อยากกินนายมากกว่า”“แล้วกับข้าวที่เราซื้อมาล่ะ เต็มไปหมดเลย”“ไม่เป็นไรหรอกทิ้งไปซะให้หมด แต่ตอนนี้เราขอกินนายก่อนได้ไหม”สนช้อนร่างของต้อมแล้วอุ้มมาวางบนเสื่อไร้ที่นอน พร้อมจับร่างของต้อมพลิกคว่ำหลังจากนั้นดึงกางเก
ต้อมตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อมาทำกับข้าวให้สนกินก่อนไปทำงาน ซึ่งก็ไม่มีอะไรนอกจากไข่เจียวสองฟอง และในขณะเดียวกันต้อมได้รีดเสื้อกางเกงให้สนอย่างเรียบร้อยแขวนไว้ที่ราวตากผ้า ส่วนรองเท้าขัดจนเงาวับ หลังจากนั้นเข้าไปอาบน้ำแต่งตัวจนเรียบร้อย เมื่อต้อมทำทุกอย่างเสร็จสิ้นจึงไปปลุกสนที่นอนหลับอย่างสบาย“สนตื่นได้แล้ว เดี๋ยวไปทำงานสายหรอก” ต้อมเขย่าร่างของสน“แจ้งแล้วเหรอ วันนี้ขี้เกียจจังเลย นึกว่านายจะต่ออีกรอบหนึ่งตอนเช้า” สนลุกขึ้นนั่งแล้วหยิกแก้มของต้อมอย่างเอ็นดูใคร่รัก“บ้า เมื่อคืนตั้งสองครั้งแล้ว”“มันต้องสามครั้งกำลังดี”“สามครั้งนายต้องไปทำเองที่ห้องน้ำโน้น ไม่ไหวยังเจ็บอยู่เลยนายทำเราแรงเกินไป” ต้อมแกล้งทำหน้างอ“ขอโทษนะ ต่อไปจะทำค่อยๆ อีกอย่างครั้งแรกของนายก็แบบนี้แหละ ทางแก้มีต้องทำบ่อยๆ จะได้ขยายหลวมๆ แต่เมื่อคืนฟิตเป็นบ้าเลย”“ทะลึ่ง ไปอาบน้ำแล้วมากินข้าว”“จ๊ะ ที่รัก”สนเรีบลุกขึ้นในสภาพเปลือยเปล่าท่อนเอ็นตั้งชูชัน โดยไม่ได้มีความเขินอายอย่างแต่ก่อน จนทำให้ต้อมรู้สึกแปลกใจอย่างมาก“กางเกงก็ไม่ใส่ไม่อายบ้างเลยเหรอ”“จะมาอายอะไร ตอนนี้เราสองคนไม่เหมือนเดิมแล้วนะ เห็นกันทุกส่วนแล้วไม่