น้ำเสียงตวาดกร้าวของผู้เป็นย่าเรียกร้องให้ตัดขาดจากหลานชายดังขึ้นจนทุกคนที่ยืนห้อมล้อมเหตุการณ์อยู่ได้ยินและรับรู้ถึงความใจดำของย่าที่มีต่อหลานชายได้อย่างชัดเจน
จางซิ่วอิงเหยียดยิ้มเมื่อสิ่งที่เธอต้องการนั้นได้หลุดออกมาจากปากของหญิงชราเห็นแก่ตัวอย่างง่ายดาย ก่อนจะหันไปสบตากับสามีอีกครั้ง
หยางซีห่าวสูดลมหายใจเข้าปอดอย่างอดกลั้น สถานการณ์ตรงหน้าไม่ได้กำลังตอกย้ำความสำคัญของเขาที่มีต่อครอบครัวนี้หรอกหรือ เมื่อหาเงินเขาบ้านไม่ได้แล้ว หลานชังอย่างเขานับเป็นตัวอะไรกัน
“จัดการตามที่ย่าว่าเถอะครับ ผมรบกวนด้วย”เสียงทุ้มกล่าวกับผู้นำหมู่บ้านในทันที ไม่จำเป็นต้องพิสูจน์อะไรอีกต่อไปแล้ว เท่านี้ก็ชัดเจนมากพอแล้ว
โจวเหวินมองชายหนุ่มที่เขาเห็นมาแต่เด็กด้วยแววตาเวทนาสงสาร เขาค่อนข้างสนิทกับพ่อของซีห่าว ฉะนั้นลูกของสหายก็ไม่ต่างจากลูกหลานที่เขาจะต้องให้ความช่วยเหลือเท่าที่พอจะทำได้
เขาสงสารซีห่าวไม่น้อยกับชะตาชีวิตในตอนนี้ แต่การเลือกตัดขาดจากครอบครัวที่คอยสูบเลือดสูบเนื้อมาตลอด โดยเฉพาะผู้เป็นย่าที่รักหลานลำเอียง ไม่แน่อนาคตของหลานชายคนนี้อาจจะสดใสกว่าที่เป็นอยู่ก็ได้
“ลุงจะจัดการให้เดี๋ยวนี้ แต่ตัดขาดแล้วเงินกองกลางก็ต้องแบ่งให้ซีห่าวด้วยอยู่ดี”ผู้นำหมู่บ้านตอบรับในทันทีที่หลานชายร้องขอ โดยไม่ลืมเรียกร้องส่วนที่หลานชายควรได้รับให้อีกด้วย
“ให้ย่าไปเถอะครับลุงโจวเหวิน ถือเป็นความกตัญญูครั้งสุดท้ายจากผม”
เขารู้ดีว่าเงินที่ย่าเก็บไปแล้วไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะถูกหยิบออกมา ฉะนั้นเพื่อให้เรื่องทั้งหมดจบลงโดยเร็ว เขาจะถือว่านั่นคือความกตัญญูจากหลานชังอย่างเขาก็แล้วกัน
“ได้ ส่วนเงินชดเชยนายต้องเก็บเอาไว้เพื่อรักษาตัว เข้าใจแล้วนะยายเฒ่าหยาง”โจวเหวินตอบรับในทันที ก่อนจะกล่าวสรุปด้วยน้ำเสียงน่าเกรงขาม โดยไม่ลืมส่งสายตาตำหนิไปให้ยายเฒ่าที่ยืนทำหน้าไม่พอใจอยู่ไม่ไกล
คนโลภหนอคนโลภ แม้แต่เงินชดเชยทหารบาดเจ็บก็ยังอยากได้งั้นเหรอ เลือดเนื้อก็ไม่ได้เสียไปกับเขา บาดแผลแม้แต่ปลายเล็บยิ่งไม่เคยได้รับ แต่ยังอยากได้เงินชดเชย ช่างน่ารังเกียจเกินไปแล้ว ผู้นำหมู่บ้านวัยกลางคนคิดในใจ
หลังจากนั้นสัญญาตัดขาดระหว่างหยางซีห่าวและตระกูลหยางก็เสร็จสิ้น โดยมีสายตาไม่พอใจของผู้เป็นย่านั้นมองอยู่ตลอด นางไม่ได้ไม่พอใจเรื่องตัดขาด ดีเสียอีกที่ได้ตัดขาดจากคนไร้ประโยชน์เช่นเด็กนั่น
แต่ทว่าเงินชดเชยอย่างไรคนเป็นย่าก็สมควรได้มิใช่หรือ แต่เมื่อหันมาสบตากับผู้นำหมู่บ้านเหยียนเพ่ยจำต้องกลืนความอยากได้นั้นลงท้องจนหมดสิ้น
“ขอบคุณที่เป็นธุระให้ผมกับภรรยานะครับ ขอบคุณพี่ด้วยนะ”หลังจากได้หนังสือตัดขาดที่ลงนามเรียบร้อยมาถือไว้ หยางซีห่าวไม่ลืมขอบคุณผู้นำหมู่บ้านและลูกชายที่มาเป็นธุระให้ในวันนี้ ซึ่งในวัยเด็กเขาและโจวเหยียนค่อนข้างสนิทกันไม่น้อยด้วยเพราะเติบโตมาด้วยกัน แต่หลังจากที่เขาต้องทำงานรับใช้คนในบ้านอย่างหนัก เลยทำให้การพบเจอและความสนิทสนมนั้นลดลงไปด้วย
“อืม มีอะไรให้ช่วยก็ไปหาลุงนะซีห่าว”สายตาของผู้นำหมู่บ้านเมื่อมองลูกชายของสหายนั้นอ่อนลงไม่น้อย แววตาของผู้ใหญ่ที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตา คนรอบข้างล้วนรับรู้ได้
แต่ก่อนที่ทุกคนจะแยกย้ายกันไปนั้น เหยียนเพ่ยได้ยินเสียงกระซิบบางอย่างจากหลานชายคนโตก็แสยะยิ้มน่าเกลียดขึ้นมาในทันที ก่อนจะตะโกนไล่หลังอดีตหลานชายและผู้นำหมู่บ้านที่กำลังจะเดินจากไป
“เดี๋ยว!! ตัดขาดไปแล้ว แกคงไม่คิดว่าฉันจะให้แกอยู่บ้านหลังนั้นเปล่า ๆ หรอกนะ!!”อย่างน้อยบ้านเก่าตระกูลหยางก็พอมีประโยชน์อยู่บ้างในตอนนี้ แม้จะหลังเล็กและคงเรียกค่าเช่าได้ไม่กี่หยวน แต่นั้นก็เงินไม่ใช่หรือ…
จางซิ่วอิงได้ยินประโยคนั้นก็รู้สึกรังเกียจนางแก่นี่มากขึ้นไปอีก ดวงตาคู่เรียวมองขึ้นด้านบนกลอกกลิ้งลูกตาไปมาอย่างเบื่อหน่าย ก่อนจะหมุนตัวเดินกระแทกเท้ากลับไปหาร่างท้วมแก่ชรา พร้อมกับควักเงินสิบหยวนขึ้นมาปาไปที่หน้าอกของอดีตย่าของสามี
“เหอะ! นี่ค่าเช่าของเดือนนี้ค่ะ แล้วเดือนหน้าจะมาจ่ายใหม่นะคะ”
ท่าทีก้าวร้าวนี้แน่นอนว่าทุกคนต้องเห็น และจางซิ่วอิงไม่ได้สนใจอยู่แล้ว ถึงอย่างไรก็ตัดขาดกันเรียบร้อย ไม่มีอะไรต้องเกี่ยวข้องกัน และแค่นี้ยังน้อยไปด้วยซ้ำ หากเป็นลมหนาวในชาติก่อน ไม่แน่ว่าเงินสิบหยวนนี่อาจจะปาโดนหน้ายายแก่นี่ไปแล้วก็ได้
และสำหรับเธอเงินสิบหยวนนั้นไม่ได้ทำให้ขนหน้าแข้งเธอร่วงแม้แต่น้อย แต่ละวันเธอหาเงินได้มากกว่านี้หลายเท่า อีกอย่างเธอตั้งใจแล้วว่าจะซื้อบ้านในตัวอำเภอเร็ว ๆ นี้ ค่าเช่าหนึ่งเดือนที่จ่ายไปที่จริงเธอกับสามีอาจจะอยู่บ้านหลังนั้นไม่ถึงเดือนด้วยซ้ำ
“แก! แก! นางเด็กต่ำช้า”เหยียนเพ่ยกรีดร้องออกมากด้วยความโมโหที่ถูกเด็กคราวหลานทำกิริยาเช่นนี้ใส่ แววตาที่มองอดีตหลานสะไภ้เต็มไปด้วยความเคียดแค้นพลางก่นด่าด้วยถ้อยคำหยาบคาย
จางซิ่วอิ่งยังคงยืนเผชิญหน้ากับนางแก่น่ารังเกียจนี่อย่างไม่เกรงกลัว เธอยืนลอยหน้าลอยตาสองมือยกขึ้นท้าวเอว ก่อนจะกล่าวยั่วโมโหออกไปอีกครั้งด้วยถ้อยคำที่เจ็บแสบยิ่งกว่าจนคนฟังนั้นโกรธจนทำอะไรไม่ถูก
“อะไรหรอคะ? คุณย่าต่ำทราม ถ้าไม่มีอะไรจะพูดต่อ ฉันขอตัวนะคะ เสีย-เว-ลา-มาก-ค่ะ!!!!”
เหยียนเพ่ยได้แต่มองหน้าของอดีตหลานสะไภ้ตาปริบ ๆ ริมฝีปากขมุบขมิบพยายามสรรหาถ้อยคำเจ็บแสบมาโต้ตอบ ความกรุ่นโกรธที่อัดแน่นอยู่ในอกแสดงผ่านสีหน้าออกมาจนหมดสิ้น
“ชิ! นึกว่าจะแน่!”จางซิ่วอิงบิดยิ้มร้าย ก่อนจะมองนางแก่ตรงหน้าที่เอาแต่ยืนโกรธขึงจนแทบสิ้นใจตายด้วยแววตาดูแคลน
เธอไม่อยากจะสนใจคนแบบนี้เท่าไหร่นัก คนแบบนี้อาจจะไม่ได้แก่ไปมากกว่านี้หรอก เพราะอีกไม่นานก็คงตายเพราะนิสัยเห็นแก่ได้นั่นแหละ คิดได้ดังนั้นร่างบางจึงหมุนตัวเดินกลับมายังจุดที่สามีกับผู้นำหมู่บ้านยืนอยู่ ก่อนจะพูดกับพวกเขาเสียงหวาน กิริยาท่าทางมีมารยาทต่างจากเมื่อครู่ราวกับคนละคน
“ไปกันเถอะค่ะ ขอบคุณพี่ชายโจวกับพี่สะไภ้มากนะคะ”
“อะ เอ่อ! ครับ กลับบ้านเรากัน”หยางซีห่าวเหมือนพึ่งหาเสียงตัวเองเจอ ยอมรับว่าการกระทำของภรรยานั้นทำให้เขารู้สึกอึ้งไม่น้อย จากที่แปลกใจสงสัยในทีแรก ตอนนี้กลายเป็นคาดไม่ถึงในหลาย ๆ สิ่งจนรู้สึกมึนงงเลยก็ว่าได้
ด้านครอบครัวของผู้นำหมู่บ้านก็ไม่ต่างกัน โจวเหวินและโจวเหยียนนั้นรู้สึกอึ้งไม่ต่างจากซีห่าวนัก จางซิ่วอิงในความทรงจำของพวกเขาคือหญิงสาวขี้โรคที่ไม่สู้คนไม่ใช่หรือ ท่าทีขลาดเขลาในตอนนั้นหายไปไหนเสียแล้ว
กลับกันสะไภ้บ้านโจวอย่างว่านเจียหลินนั้นรู้สึกสะใจกับสิ่งที่จางซิ่วอิงทำเป็นอย่างมาก ครั้งหนึ่งเธอเห็นตอนที่จางซิ่วอิงนำเงินไปส่งบ้านหวัง ท่าทางดูขี้กลัว ไม่มีปากเสียง ไม่ว่าญาติสามีจะว่ากล่าวอย่างไรก็เอาแต่ก้มหน้ารับ ซึ่งว่านเจียหลินรู้สึกขัดใจกับท่าทางตอนนั้นของหล่อนมาก แต่เมื่อคิดได้ว่าไม่ใช่เรื่องของตนเธอจึงเดินเลี่ยงออกมาไม่ได้ให้การช่วยเหลือแต่อย่างใด
โจวเหยียนอาสาเข็นรถมาส่งสหายที่บ้านเพราะรู้สึกเห็นใจน้องสะไภ้ที่ดูอ่อนแอขี้โรค รถเข็นคันใหญ่ที่มีร่างของทหารบึกบึนนั่งอยู่ หากต้องเข็นขึ้นเนินเขาแม้ไม่ใช่เนินสูงอะไรแต่เขาก็รู้สึกเห็นใจสองสามีภรรยาคู่นี้อยู่ดี
ระหว่างทางจางซิ่วอิงไม่ได้พูดอะไรสักคำเดียว เธอได้แต่เดินตามไปเงียบ ๆ ฟังสามีและลูกชายผู้นำหมู่บ้านรำลึกความหลังกันไป ทั้งสามกลับมาถึงบ้านเก่าหลังน้อยในเวลาใกล้ค่ำแล้ว จางซิ่วอิงจึงเดินไปหยิบไข่สิบใบในครัวใส่ตะกร้าให้โจวเหยียนไป พร้อมทั้งกล่าวขอบคุณเขาและครอบครัวอยู่หลายครั้ง
“เฮ้อออ! จบสักที!”เสียงใสถอนหายใจอย่างหมดเรี่ยวแรง หลังจากปิดประตูบ้านเรียบร้อยแล้ว แต่เมื่อหันมาพบกับสามีที่มองเธอด้วยสายตาแบบนั้นก็ตระหนักได้ทันทีว่า…เรื่องยังไม่จบ
เอาล่ะ! ชาติที่แล้วไม่สมหวัง ชาตินี้คุณยายส่งเธอมาให้สมหวังมิใช่หรือ? แล้วยังต้องกลัวอะไรอีกลมหนาว ใจสู้หน่อย!! ไม่ว่าอย่างไรชาตินี้เธอต้องสมหวังสิ!
เธอพูดกับตนเองในใจเช่นนั้น ก่อนจะเดินเข้าไปยืนตรงหน้าสามี ใบหน้าเล็กคลี่ยิ้มกว้างส่งไป “คือ…คุณหิวหรือเปล่า?”
“ครับ”หยางซีห่าวตอบรับอย่างเก้อเขิน แต่เขาก็หิวจริง ๆ เพราะมื้อสุดท้ายที่ทานก็ตอนหกโมงเมื่อเช้า จนตอนนี้อาทิตย์ตกดินแล้ว แม้ร่างกายจะถูกฝึกมาให้อดทนต่อเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ แต่ภรรยาถามมีหรือที่เขาจะกล้าโกหก
“งั้นรอเดี๋ยวนะคะ ฉันเข้าครัวสักครู่ ไม่นานค่ะ”หญิงสาวพยักหน้ารับ หัวใจของเธอเต้นแรงจนผิดปกติทุกครั้งที่สบกับนัยน์ตาคู่นั้นของสามี ชาติที่แล้วเธอกับซีห่าวเป็นแฟนกัน เรารักกันมากทีเดียว
แต่ชาตินี้เขาและเธอคือสามีภรรยาอย่างถูกต้อง กลับกันทั้งที่แต่งกันมานานกลับอยู่แบบไร้รักเสียได้ และคืนนี้จะต้องนอนร่วมเตียงกันแค่นึกถึงก็ใจสั่นแล้ว
“รบกวนคุณแล้วภรรยา”เสียงทุ้มกล่าวอย่างเกรงใจ เขาไม่รู้ว่าคำพูดของเขานั้นทำให้ภรรยาเขินอายได้มากขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ที่มั่นใจเพราะใบหน้าแดงซ่านของเธอนั้นแน่ชัดแล้วว่ากำลังเขินเขาอยู่แน่ ๆ
“มะ ไม่รบกวนค่ะ เดี๋ยวฉันมา”มือเรียวยกขึ้นปัดไปมาเป็นพัลวัน ก่อนจะปลีกตัวออกจากตรงนั้นและหนีเข้าไปในห้องครัวทันที
ไม่ไหวแล้ว…เธอต้านทานความหล่อของเขาไม่ได้อีกแล้ว!!
ชาติก่อนหยางซีห่าวคือนักธุรกิจอนาคตไกล แม้ร่างกายจะไม่ได้ผอมบางแต่ก็ไม่ได้กำยำและเต็มไปด้วยกลิ่นอายของบุรุษเพศเช่นตอนนี้ ยิ่งตอนที่ได้เผชิญหน้าเขาใกล้ ๆ เธอยิ่งรู้สึกทำตัวไม่ถูกเสียดื้อ ๆ เขามีผลกระทบต่อจิตใจเธอมากเกินไปแล้ว
หยางซีห่าวที่มองตามหลังภรรยาก็รู้สึกเอ็นดูเธออย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เขาไม่ได้คิดไปเองว่าบรรยากาศระหว่างเขาและภรรยานั้นเปลี่ยนไป เขาไม่ได้รู้สึกอึดอัดเหมือนเมื่อก่อน แถมยังสบายใจมากอีกด้วย หรือว่าเขาจะตกหลุมรักภรรยาตัวเองเข้าแล้ว
จางซิ่วอิงหายไปในครัวไม่นานอย่างที่เธอว่าไว้ ก่อนจะกลับมาพร้อมข้าวขาวเรียงเม็ดสวยร้อน ๆ สองจาน กับอาหารจานผัดหนึ่งจาน และต้มอีกหนึ่ง วันนี้เธออยากกินหมูสามชั้นต้มพร้อมน้ำจิ้มแซ่บซี๊ดเหมือนโลกก่อนจึงทำเพิ่มขึ้นมาอีกจาน เมื่ออาหารพร้อมสรรพบนโต๊ะแล้ว ร่างบางจึงเดินไปเข็นรถให้สามีที่นั่งอยู่ภายในห้องโถงให้มาทานข้าวด้วยกันกลิ่นอาหารลอยคลุ้งเต็มบ้านจนกระทบเข้ากับจมูกของหยางซีห่าว กลิ่นหอมที่ไม่คุ้นเคยช่วยเรียกน้ำย่อยในกระเพาะชายหนุ่มได้เป็นอย่างดี“ฉันมีเวลาทำอาหารไม่มาก เลยมีแต่อาหารง่าย ๆ คุณลองทานดูนะคะ ว่าถูกปากหรือเปล่า?”เสียงใสกล่าวกับสามีขณะที่พาเขาไปยังโต๊ะอาหารแม้จะรู้สึกเหน็ดเหนื่อยไปบ้างเพราะต้องออกแรงมาก รถเข็นในยุคนี้ไม่ได้สะดวกหรือเข็นเองได้เหมือนยุคที่เธอจากมา การเคลื่อนย้ายจึงต้องออกแรงมากหน่อย แต่ก็ไม่ได้ปริปากบ่นเพราะเธอเต็มใจ สำหรับสาวสองที่ตายมาแล้วชาติหนึ่ง การได้อยู่ร่วมบ้าน ได้ดูแลคนรักเช่นนี้เป็นสิ่งที่เธอเต็มใจทำ
“เชื่อสิครับ ก็คุณคือภรรยาคนเดียวของผม”และตอนนี้ชีวิตชายพิการเช่นเขาก็มีเพียงเธอเท่านั้น ซ้ำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อเย็นยิ่งตอกย้ำความรู้สึกของภรรยาที่มีต่อเขาอย่างชัดเจนแม้เธอไม่เคยพูดออกมาว่ารักสามีอย่างเขาหรือไม่ แต่ไหล่เล็กที่พยายามปกป้องเขาในตอนนั้น รวมถึงท่าทีเอาเรื่องกับคนคิดร้ายต่อสามีของเธอก็ทำให้เขารู้สึกโชคดีที่มีภรรยาเช่นจางซิ่วอิง“แล้วเคยคิดจะหย่ากับภรรยาขี้โรคแบบฉันหรือเปล่าคะ?”เธอถามออกไปตามตรง ในขณะที่มือยังคงแกะผ้าพันแผลของเขาออกอย่างตั้งใจหยางซีห่าวอายุเพียงยี่สิบปี หากเขาสามารถรักษาแผลที่ขาหายและเดินได้ปกติ เมื่อกลับเข้ากรมอนาคตของเขาคงไปได้อีกไกล และสามารถเลือกผู้หญิงมาอยู่เคียงข้างที่ดีกว่าหญิงสาวหน้าตาขลาดเขลา แถมยังดูอมโรคแบบเธอได้“ไม่เคย! และไม่มีวันนั้นเด็ดขาด”หยางซีห่าวปฎิเสธขึ้นในทันทีโดยไม่ต้องคิด แม้จะแต่งงานกันโดยไร้รัก แต่เขาก็ไม่เคยคิดเห
เสียงไก่ขันในยามรุ่งสางปลุกหญิงสาวให้ลืมตาตื่นขึ้นมา ร่างบอบบางขยับตัวเล็กน้อย ก่อนจะรู้สึกถึงบางสิ่งหนักอึ้งที่โอบรัดรอบเอวคอด เมื่อคลำดูจึงได้รู้ว่าเป็นท่อนแขนของสามี ใบหน้าของเขาก็กำลังซุกซบอยู่บริเวณลาดไหล่ของเธอ และเธอก็อยู่ในอ้อมกอดของเขามานานเท่าไหร่ก็ไม่รู้ พลันใบหน้างามรู้สึกได้ถึงความร้อนที่พาดผ่านแก้มทั้งสองข้างไปจนถึงใบหูขาวและลำคอระหง เมื่อคิดขึ้นได้ว่าเมื่อคืนเธอนอนหลับในท่านี้ตลอดทั้งคืนลมหายใจอุ่นเป่ารดลำคอระหงอย่างสม่ำเสมอบ่งบอกว่าหยางซีห่าวกำลังหลับสบาย คนเป็นภรรยาจึงค่อย ๆ คลายอ้อมแขนของเขาออกและลงจากเตียงอย่างเงียบเชียบที่สุดเพื่อไม่ให้รบกวนคนเป็นสามีตลอดเวลาที่เขาออกไปปฎิบัติหน้าที่คาดว่าคงไม่ได้กินอิ่มนอนอุ่นได้บ่อยนักในระหว่างรักษาแผลที่ขา เธอคิดว่าควรให้เขาพักมากหน่อย และตั้งใจจะทำอาหารดี ๆ เพื่อบำรุงเขาด้วยร่างบอบบางเดินออกมาจากห้องนอน เดินตรงไปยังห้องน้ำที่อยู่นอกตัวบ้าน ผมยาวสลวยถูกรวบขึ้นเป็นมวยกลางศีรษะลวก ๆ และปั
ทันทีที่หญิงสาวลงจากเกวียน เธอเดินไปสำรวจจุดเดิมที่เคยวางของขาย เมื่อเห็นว่ายังว่างอยู่จึงคลี่ผ้าที่เตรียมมาออกแล้วปูลงบนพื้น จากนั้นจึงเดินเข้าไปยังซอกตึกเพื่อเตรียมสินค้าของวันนี้มาวางขาย เนื่องจากตั้งใจจะปล่อยสินค้าจำนวนมากขึ้น จึงต้องเดินขนของหลายรอบหน่อยกว่าจะได้ของครบเพียงไม่นานแอปเปิ้ลผลใหญ่น่าทานจำนวนสี่ลังก็วางลงบนข้างผืนผ้าเรียบร้อย ข้างกันยังมีสาลี่และองุ่นที่วางอยู่ในลังเช่นกันอีกอย่างละสองลังเธอยังคงขายเนื้อแพ็คอย่างดีเช่นเดิม โดยไม่ลืมของแห้งอย่างหมูแผ่น หมูฝอย และหมูหยองอย่างละสามสิบแพ็ควางเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ หลังจากเรียงสินค้าชิ้นสุดท้ายเสร็จก็พอดีกับที่ลูกค้ารายแรกมาติดต่อซื้อพอดีจางซิ่วอิงพอจำได้ว่าหญิงชราที่แต่งตัวดูดีตรงหน้าเป็นลูกค้าประจำของร้านเธอ คุณยายท่านนี้มักมาซื้อเนื้อแพ็คของเธอไปคราวละห้าถึงสิบแพ็คทุกครั้ง คาดว่าคนที่บ้านคงเยอะน่าดู แต่คราวนี้หลังจากหยิบเนื้อเช่นทุกวันแล้ว แทนที่จะจ่ายเงินและจากไปอย่างทุกครั้
จางซิ่วอิงแสร้งเก็บเงินที่ได้ไว้ในกระเป๋าผ้าคู่ใจ แต่จริง ๆ แล้วเงินเยอะขนาดนี้เธอแอบโยนมันเข้าไปไว้ในมิติต่างหาก ก่อนออกจากร้านของคุณป้าหลี่หญิงสาวไม่ลืมเลือกซื้อข้าวขาวและแป้งจำนวนหนึ่งติดมือกลับบ้านไปด้วย เพื่อไม่ให้เป็นที่น่าสงสัยจนเกินไปฝีเท้าเล็กมั่นคงก้าวลงจากเกวียนหลังจากจ่ายเงินค่าโดยสารเรียบร้อย จางซิ่วอิงหอบหิ้วของที่ซื้อมาเดินกลับบ้านบนเนินเขาอย่างอารมณ์ดี แต่ทว่าอีกเพียงไม่กี่เมตรก็จะเดินถึงบ้านอยู่แล้ว หญิงสาวนั้นกลับเห็นย่าและลูกพี่ลูกน้องของสามีกำลังพยายามดันรั้วบ้านผุพังของเธอ เห็นดังนั้นริมฝีปากผุดรอยยิ้มหยัน จากนั้นหญิงสาวจึงหมุนตัวกลับไปเพื่อหาพยานคนสำคัญสำหรับเรื่องนี้ทันที“ย่า?”เสียงทุ้มเรียกย่าขึ้นมาอย่างนึกแปลกใจ คิ้วหนาขมวดเข้าหากัน ก่อนสีหน้าเรียบเฉยจะค่อย ๆ เข้มขึ้นด้วยความรู้สึกไม่พอใจที่ถูกบุกรุกบ้านเขาถูกฝึกมาไม่น้อย เสียงเปิดรั้วบ้านแม้จะเบากว่าปกติแต่ก็รับรู้ได้ในทันที แต่ที่คาดไม่ถึงคือย่าและญาติผู
จางซิ่วอิงออกจากห้องครัวมาพร้อมกับข้าวสองอย่าง ข้าวขาวที่หุงเผื่อไว้ตั้งแต่เช้าถูกอุ่นให้ร้อน และยังมีไข่ต้มอีกสามฟองที่ถูกปลอกเปลือกจนเกลี้ยง อาหารทั้งหมดถูกจัดวางบนโต๊ะทานข้าวเก่า ๆ พร้อมทานหญิงสาวจึงเข้าไปรับสามีออกมาทานมื้อเที่ยงด้วยกัน หยางซีห่าวเห็นอาหารตรงหน้าก็ครุ่นคิดบางสิ่งขึ้นมาได้นี่เป็นมื้อที่สามแล้วที่เขาเห็นว่าอาหารของภรรยายังคงมีจานเนื้อ ทั้งที่ชาวบ้านชนบททั่วไปอย่าว่าแต่ทานเนื้อเดือนละครั้งเลย แทบจะทุกบ้านจะทานเนื้อเพียงแค่โอกาสหรือวันสำคัญเท่านั้น เดาว่าภรรยาคงชอบทานเนื้อมากทีเดียว เช่นนั้นเขาควรต้องรีบรักษาตัวเองให้หาย จะได้หาเงินให้มากหน่อยไว้ซื้อเนื้อให้ภรรยาทานทุกมื้อ“ทานสิคะ! คุณต้องบำรุงให้มากหน่อย แผลจะได้หายเร็ว ๆ”ใบหน้าเรียวคลี่ยิ้มหวานขณะตักไข่ต้มสองฟองวางลงในจานข้าวของคนเป็นสามี โดยที่ไม่ได้รู้ความคิดของสามีในตอนนี้แม้แต่น้อย“ทำไมถึง…”
“สามีขา ภรรยากลับมาแล้วววว!!”พรู๊ดดดด!! แค่ก! แค่ก!เสียงหวานใสค่อนไปทางออดอ้อนที่ดังมาจากทางประตูบ้านทำเอาชายหนุ่มที่นั่งพิงหัวเตียงอยู่ถึงกับไอสำลักน้ำหน้าดำหน้าแดง“คุณ! ดีขึ้นไหมคะ?”จางซิ่วอิงเข้ามาในห้องนอนทันได้เห็นสามีทีกำลังไอสำลักอย่างหนักก็ตรงเข้าไปลูบแผ่นหลังของเขาทันที“แค่ก! แค่ก! แค่ก!! อืมม ผมดีขึ้นแล้ว”แม้จะยังคงไออยู่บ้างแต่ก็ดีกว่าตอนแรก พลันหันมองใบหน้าภรรยาที่ยืนทำหน้าตาใสซื่อราวกับไม่รู้เลยว่าเมื่อครู่พูดอะไรออกมา“คุณมองหน้าฉันแบบนี้คือ?”หยางซีห่าวถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน นี่ภรรยาคงไม่รู้จริง ๆ สินะว่าคำพูดของเธอทำให้สามีสำลักน้ำเกือบตาย ช่างน่าจับมาตีก้นจริง ๆ
สองสามีภรรยาหันมองตากันอย่างเบื่อหน่าย จางซิ่วอิงถอนหายใจเสียงดัง วันนี้เธอเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว เพียงแค่อยากใช้เวลาร่วมกับสามีเล็กน้อยนี่มันยากเย็นจริง ๆ แต่ถึงอย่างนั้นร่างบางก็เดินเข็นรถพาสามีออกมาหน้าบ้านด้วยกันหยางซีห่าวนั่งอยู่บนรถเข็นที่ภรรยาเป็นคนพามา ร่างบางให้เขาหยุดรออยู่ใกล้กลับประตูบ้าน ซึ่งห่างจากรั้วบ้านพอสมควรตอนนี้บริเวณด้านนอกรั้วมีชาวบ้านนับสิบคนมายืนรอชมความสนุก เพราะเสียงก่นด่าหยาบคายของสะไภ้ใหญ่บ้านหยางจางซิ่วอิงเห็นเช่นนั้นก็เข้าใจได้ทันทีว่าเรื่องราวเป็นเช่นไร ดูจากท่าทางฟาดงวงฟาดงาขนาดนี้ไม่แคล้วคงรู้เรื่องของแม่สามีและลูกชายแล้วแน่ ๆร่างบางของเจ้าของบ้านเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าหญิงวัยกลางคน ก่อนจะยกมือหนึ่งขึ้นแคะหูด้วยท่าทางยียวนหวงไฉ่หงที่เห็นท่าทางยั่วโมโหของหลานสะไภ้ก็ฉุนจัด ใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความโกรธเกรี้ยว ก่อนจะชี้หน้าเด็กสาวและเริ่มด่าทอ
เสียงรถยนต์รุ่นใหม่ล่าสุดที่ถูกขับเคลื่อนเข้ามาภายในคฤหาสน์ตระกูลจ้าวในช่วงเย็นย่ำ ก่อนที่คุณชายจ้าวคุนทายาทเพียงคนเดียวของตระกูลจะก้าวลงจากรถและเดินเข้าไปในคฤหาสน์อย่างอารมณ์ดีคฤหาสน์หลังใหญ่ของตระกูลจ้าวตั้งอยู่ใจกลางย่านสำคัญของปักกิ่ง ภายนอกรายล้อมไปด้วยสวนไม้ดอกและไม้ยืนต้นที่ถูกดูแลเป็นอย่างดีกินเนื้อที่กว่าสามไร่ ภายในคฤหาสน์ถูกตกแต่งด้วยเครื่องเรือนเก่าแก่ที่เป็นมรดกตกทอดจากรุ่นสู่รุ่น บางชิ้นไม่อาจประเมินค่าเพราะมีเพียงแค่ชิ้นเดียวบนโลกก็ว่าได้ร่างสูงโปร่งของคุณชายจ้าวเดินเข้ามาในตัวคฤหาสน์ ใบหน้าหล่อเหลาที่ถอดแบบมาจากผู้เป็นพ่อแทบทุกระเบียดนิ้วนั้นประดับรอยยิ้มอย่างคุณชายเจ้าสำราญอยู่ตลอด นัยน์ตาคมทอดมองไปยังข้าวของที่วางเรียงรายกินพื้นที่ครึ่งหนึ่งของห้องโถง พลางนึกไปถึงเงินจำนวนมากที่คุณพ่อจ่ายออกไปสำหรับของเหล่านี้เพื่อความสุขของคุณแม่ ครั้งนี้คุณพ่อจ่ายหนักเสียจริง…“สวัสดีครับคุ
หญิงสาวพยายามเก็บสีหน้าและรักษาท่าทีให้กลับมาสงบดังเดิม ก่อนจะครุ่นคิดถึงสิ่งที่กำลังทำอยู่ในขณะนี้ เธอสังเกตเห็นท่าทีสงสัยของผู้จัดการเผยคนนี้ ก็ไม่แปลกใจนักกับความคิดของคนในยุคนี้ยุคที่เศรษฐกิจภายในประเทศผันผวนตลอดเวลาเช่นนี้ จะมีใครใจกล้าเช่าหน้าร้านระยะยาวด้วยเงินก้อนโตอย่างเธอบ้าง หรือแม้แต่การเช่าที่ดินทำการเกษตรเธอก็เชื่อว่าคงไม่มีใครเช่าระยะยาวหลายปีเช่นที่เธอกำลังทำอยู่อย่างแน่นอนแต่สำหรับโลกก่อนการเช่าร้านใหญ่ในห้างมีใครบ้างอยากจะเช่าเพียงแค่สามเดือน ถ้าหากเธอขายดีขึ้นมาแล้วเกิดหมดสัญญาเช่าก่อน อย่างนั้นจะไม่เสียเวลาต่อสัญญาหรืออาจจะต้องหาหน้าร้านใหม่หรอกหรือ“อย่างนั้นฉันสนใจเช่าห้าปีทั้งสองร้านค่ะ ทางผู้จัดการเผยเขียนสัญญาและคำนวนค่าเช่าล่วงหน้ามาได้เลยนะคะ”น้ำเสียงจริงจังกล่าวออกไปอย่างไม่ลังเล แม้จะเป็นสีหน้าไม่เข้าใจของพี่สาวเยว่แต่จางซิ่วอิงกลับคิดว่าเธอได้คำนวนมาเป็นอย่างดีแล้วต่างหาก
เนื่องจากห้างสรรพสินค้ายังปรับปรุงไม่เสร็จดีและไม่มีพื้นที่สำหรับการต้อนรับหรือพูดคุย เยว่ผิงอันจึงตกลงนัดหมายการทำสัญญาในวันนี้ที่สำนักงานแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้กันกับห้างสรรพสินค้าแทนสำนักงานแห่งนี้เป็นสถานที่ดำเนินงานของเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบส่วนของงานปรับปรุงซ่อมแซมและใช้สำหรับพูดคุยเรื่องสำคัญที่ห้างสรรพสินค้าสร้างขึ้นมาแยกจากตัวห้างสำหรับใช้งานชั่วคราวระหว่างรอสำนักงานที่อยู่บนชั้นบนสุดของห้างสรรพสินค้าปรับปรุงเสร็จอาคารสำนักงานแห่งนี้มีขนาดสี่สิบตารางวานับว่ากว้างขวางพอสมควร ทั้งยังตั้งอยู่ในบริเวณเดียวกันกับห้างสรรพสินค้า ถือว่านายทุนของที่แห่งนี้นอกจากมีกำลังทรัพย์มหาศาลแล้วยังมีอิทธิพลค่อนข้างมากระยะทางจากบ้านของเธอมาถึงสำนักงานแห่งนี้นับว่าใกล้กันมาก จางซิ่วอิงจึงนัดหมายกับพี่สาวเยว่มาเจอกันที่นี่แทน สองสามีภรรยาเผื่อเวลาไว้พอสมควร ระหว่างทางจึงไม่ได้รีบร้อน ทั้งคู่เดินไปหยอกล้อกันไปราวกับคู่รักหนุ่มสาวที่พึ่งแต่งงานกันใหม่ ๆ ก็ไม่ปา
ในทันทีที่แผ่นหลังบอบบางสัมผัสกับพื้นผิวของเตียงเตาหลังกว้าง ร่างหนาของหยางซีห่าวก็ทิ้งกายลงคร่อมทับภรรยาเอาไว้ สองสายตาสบประสานกันอย่างสื่อความหมายกลิ่นหอมอ่อน ๆ จากกายของหญิงสาวโชยขึ้นมาเตะจมูกของคนเป็นสามีจนรู้สึกร้อนรุ่มไปทั้งกายหนา กอปรกับดวงตาคู่เรียวที่ปรือขึ้นมองเขาอย่างยั่วเย้านั้นทำเอาหยางซีห่าวแทบคลั่งพลันริมฝีปากหยักจรดลงบนแก้มนิ่มอย่างอ่อนโยน ช่างขัดกับลมหายใจอุ่นร้อนที่เริ่มติดขัด มือหนาทั้งบีบทั้งเคล้นไปเสียทุกส่วนโค้งเว้าใบหน้าเรียวเล็กเชิดขึ้นเล็กน้อยเมื่อถูกสัมผัสอุ่นจูบซับไปตามกรอบหน้า ริมฝีปากบางเผยออ้าราวกับรู้อยู่ก่อนแล้วว่าชายหนุ่มจะประกบจูบลงมาเรียวลิ้นชื้นสอดแทรกเข้าไปตักตวงความหวานในโพรงปากของภรรยา ก่อนจะถูกร่างบางจูบตอบกลับมาอย่างเร่าร้อนไม่แพ้กัน สองแขนเรียวเล็กยกขึ้นโอบกอดรอบลำคอหนา พลางเอียงใบหน้าเพื่อสอดรับเรียวลิ้นได้ถนัดถนี่หยางซีห่าวค
หลังจากพูดคุยกันต่ออีกราวสามสิบนาทีจางซิ่วอิงเห็นว่าใกล้เวลามื้อเย็นแล้วจึงชวนสหายรุ่นพี่ให้อยู่ทานข้าวด้วยกันก่อนค่อยกลับซึ่งในทีแรกเยว่ผิงอันมีท่าทีปฏิเสธ แต่ทว่ากลับถูกคะยั้นคะยอจากคู่ค้าคนสำคัญ หนักเข้าจึงตกปากรับคำในเวลาต่อมาด้วยความเกรงใจในยุคนี้ข้าวปลาอาหารล้วนขาดแคลน การซื้อหานับว่าต้องใช้เงิน สินค้าบางอย่างมีการยกเลิกการใช้คูปองไปบ้างแล้ว แต่ก็ยังต้องใช้เงินจำนวนมากในการซื้ออยู่ดี การทานอาหารบ้านคนอื่นนับเป็นเรื่องที่ต้องเกรงใจให้มากคุณแม่เธอสอนมาอย่างนั้น จึงค่อนข้างเกรงใจสหายไม่อาจรับปากง่าย ๆ ได้จางซิ่วอิงปลีกตัวเข้ามาทำอาหารในครัว โดยปล่อยสหายให้นั่งดูแผนงานรอไปก่อน ซึ่งหยางซีห่าวสบโอกาสใกล้ชิดในทันที ร่างหนาเร่งเดินตามภรรยารักเข้ามาในครัวพร้อมกับออกปากว่าจะช่วยทำกับข้าวในวันนี้หญิงสาวนึกอยากทานไก่คั่วพริกเกลือขึ้นมาจึงเริ่มหยิบเนื้อไก่ขึ้นมาหั่นชิ้นพอดีคำ ก่อนจะเตรียมวัตถุดิบอื่น ๆ จากนั้นจึ
เยว่ผิงอันยิ้มกว้างเมื่อเห็นสหายรุ่นน้องและสามีกลับบ้านมาพอดีหลังจากมายืนรออยู่เกือบสิบห้านาทีเธอเคยมาที่บ้านหลังนี้ครั้งหนึ่งแล้วจึงได้รู้ว่าสามีของอิงอิงนั้นเป็นทหารที่กำลังพักรักษาตัวจากอาการบาดเจ็บ แต่ทว่าตอนนี้ชายหนุ่มกลับยืนเคียงข้างภรรยาอย่างมั่นคง นี่นับเป็นเรื่องที่น่ายินดีมากไม่ใช่เหรอ“ฉันจะมาคุยเรื่องร้านใหม่ของเราน่ะสิ!”เยว่ผิงอันตอบอย่างกระตือรือร้นขึ้นมาในทันทีเมื่อนึกขึ้นได้ถึงเหตุผลของการมาที่บ้านหลังนี้ ใบหน้าเรียวแม้จะดูเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางแต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อธุระสำคัญของวันนี้จางซิ่วอิงยิ้มรับพลางพยักหน้าเข้าใจ ก่อนจะหยิบลูกกุญแจขึ้นมาไขรั้วบ้านแต่ก็ถูกมือหนาของสามีแย่งไปเสียก่อน เธอจึงทำได้เพียงส่งยิ้มขอบคุณเขาและหันมาให้ความสนใจกับสหายคู่ค้าก่อนเยว่ผิงอันมามองท่าทีสองสามีภรรยาคู่นี้ก็ยิ้มกริ่มขึ้นมา พลางส่งสายตาล้อเลียนไปให้สหาย จนหญิงสาวที่ถูกมองแบบนั้นถึงกับขวยเขิ
เสื้อผ้าเนื้อละเอียดสีเดียวกัน ฝีเข็มปราณีตบ่งบอกถึงราคาที่ไม่ใช่ชาวชนบททั่วไปจะจับต้องได้ ชุดคู่นี้ถูกสวมลงบนกายของทั้งคู่ หากใครเห็นไม่บอกก็พอจะรู้ได้ว่าชายหญิงคู่นี้คือคนรักกันอย่างแน่นอน หลังจากประทินโฉมเพียงเล็กน้อยจางซิ่วอิงก็ได้เวลาออกจากห้องนอน ซึ่งมีสามีมายืนรออยู่ก่อนแล้วจางซิ่วอิงนั่งลงบนเก้าอี้ประจำตำแหน่งโดยมีสามีเลื่อนให้ ใบหน้าเรียวเล็กวาดยิ้มจนตาหยีก่อนจะกล่าวขอบคุณสามีเสียงหวานความสุขที่อัดแน่นอยู่ในอกถูกแสดงออกผ่านสีหน้าและแววตา ภาพตรงหน้าที่เกิดขึ้นนั้นราวกับความฝันที่เธอไม่อยากจะตื่น พลันหวนนึกถึงที่ที่จากมา ในตอนนั้นชีวิตคู่ของเธอกับพี่ซีห่าวก็นับได้ว่าหวานชื่นไม่แพ้ตอนนี้ แม้จะไม่ได้ตบแต่งกันเช่นชีวิตนี้ แต่เขาก็ดูแลเอาใจใส่เธอเป็นอย่างดีในทุกวันเขาและเธอจะต่างคนต่างทำหน้าที่การงานของตนเอง อาจมีแวะเวียนมาทานมื้อกลางวันด้วยกันบ้าง ทานมื้อเย็นด้วยกันเป็นประจำ ไม่ว่าเรื่องราวที่ผ่านมาในชีวิตจะยากเย็นสักแค่ไหน เขาไม่เคยปล่อย
รุ่งเช้าของวันใหม่ดวงอาทิตย์เริ่มโผล่พ้นขอบฟ้าจนเกิดแสงสีแดงอมส้มที่ลอดผ่านเข้ามาผ่านช่องหน้าต่างเล็ก ๆ ตามมาด้วยเสียงเคลื่อนไหวของบ้านหลังอื่น ๆ ที่อยู่รอบพื้นที่เปลือกตาสีไข่ปรือขึ้นพลางกระพริบขี้นลงถี่รัวเพื่อปรับให้คุ้นชินกับแสงที่กระทบเข้ากับดวงตา ทันทีที่ตื่นเต็มตาเธอหันไปมองร่างหนาที่หลับสนิทอยู่ข้างกาย ลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอบ่งบอกว่าเขากำลังหลับสนิท ท่อนแขนแข็งแกร่งยังคงกอดรัดเอวคอดกิ่วเอาไว้เช่นทุกวันแต่ที่ต่างออกไปเพราะระหว่างทั้งคู่ไม่ได้เพียงแค่หลับไหลอยู่ในอ้อมกอดของกันและกันอย่างเช่นทุกคืน…จางซิ่วอิงเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ดวงตาคู่เรียวไล่สำรวจใบหน้าหล่อเหลาของสามี สันจมูกคมเด่น กรามได้รูป และลูกกระเดือกใหญ่ที่ข้างกันมีร่องรอยสีแดงจาง ๆ ติดอยู่ พลันใบหน้างามรู้สึกเห่อร้อนขึ้นมาเมื่อนึกไปถึงที่มาของรอยนั้น ทั้งลำคอหนา ไหปลาร้า หรือแม้แต่หน้าอกแกร่ง ล้วนมีรอยที่เธอเป็นคนทำขึ้นทั้งสิ้นคล้ายว
ภายในรั้วบ้านสีขาวสะอาดตา เนื้อที่หน้าบ้านทั้งหมดถูกเปลี่ยนให้เป็นแปลงผักนานาชนิดที่เจ้าของบ้านช่วยกันปลูกเอาไว้เก็บกิน ดินที่ถูกยกร่องอย่างดีทำให้ง่ายต่อการดูแล หยางซีห่าวกำลังยืนรดน้ำต้นไม้อย่างใส่ใจ นี่นับเป็นหน้าที่แรกที่ภรรยาเป็นคนมอบหมายให้หลังจากที่เขากลับมาเดินได้เป็นปกติแล้วพลันกลิ่นหอมอบอวลที่ลอยออกมาจากห้องครัวภายในตัวบ้านทำเอาชายหนุ่มที่ยืนรดน้ำแปลงผักอยู่หน้าบ้านรู้สึกหิวขึ้นมา หยางซีห่าวเร่งมือเพื่อทำงานให้เสร็จจากนั้นจึงเดินเข้าไปในครัวอย่างรีบร้อนเขาเห็นร่างบอบบางของภรรยากำลังยืนผัดอาหารอยู่บนเตาก็ยกยิ้มกว้าง พลันเคลื่อนกายเข้าไปสวมกอดเธอจากด้านหลัง กดจมูกฝังลงบนแก้มนุ่มหอม ก่อนจะหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับเหงื่อที่เกาะอยู่ตามกรอบหน้าให้อย่างทนุถนอม“หอมจัง คุณทำอะไรครับวันนี้?”เสียงทุ้มอ่อนโยนถามออกไปโดยวงแขนยังคงสวมกอดอยู่บริเวณเอวคอด“ผัดเปรี้ยวหวานค่ะ แล้วก็มีไข่เจียวหมูสั