หยางซีห่าวมองภรรยาที่ทรุดกายร่ำไห้อยู่ตรงหน้าด้วยความรู้สึกเจ็บปวด ก่อนนี้เขาตัดสินใจเข้ากรมเพื่อเป็นทหารก็เพราะอยากให้ภรรยาอยู่อย่างสุขสบาย ไม่ต้องไปทนลำบากทำงานตากแดดในแปลงนา
แต่ดูสภาพเขาตอนนี้สิ แม้หมอที่ค่ายจะไม่ได้วินิจฉัยว่าเขาจะพิการเสียทีเดียว แต่ก็ไม่แน่ว่าจะกลับมาเดินได้เหมือนเดิม จางซิ่วอิงคงเสียใจมากที่สุดท้ายแล้วสามีอย่างเขาก็ไม่อาจทำให้ชีวิตของเธอนั้นสุขสบายได้ตลอด แถมยังเจ็บหนักเข้าขั้นพิการกลับมาให้เธอดูแลต่อ สามีเช่นเขานี่มันไร้ประโยชน์เสียจริง
เสียงเอะอะโวยวายและถ้อยคำด่าทอรุนแรงของย่าสามีนั้นเรียกสติในตัวเธอให้กลับมาได้ทันเวลา มือเรียวยกขึ้นปาดน้ำตาบนแก้มออก พลางตวัดตามองย่าของสามีด้วยความไม่พอใจ
“ซีห่าว!! แก!! แกมันตัวไร้ประโยชน์!”เหยียนเพ่ยแสดงท่าทีเกรี้ยวกราดตีอกชกหัวทันทีที่ได้เห็นสภาพหลานชายที่เคยเป็นคนหาเงินเข้าบ้านมากที่สุด ตอนนี้หยางซีห่าวไม่ใช่ว่าคนไร้ประโยชน์ไปแล้วหรือ
คิดได้ดังนั้นร่างท้วมของผู้เป็นย่าก็ปรี่เข้าไปหาหลานชายคนเล็กด้วยความโมโหสุดขีด มืออวบหยาบกร้านเงื้อขึ้นสูงเตรียมจะลงมือทุบตีหลานชายให้ตายไปเสีย เพราะไหน ๆ ก็ไร้ค่าอยู่แล้ว แล้วไหนจากนี้ทั้งค่ารักษา ค่าหมอ ค่ายา ไม่ใช่ว่าต้องเบิกเงินกองกลางหรอกนะ
“หยุด!! พอได้แล้วยายเฒ่าเหยียนเพ่ย!”เป็นเสียงผู้นำหมู่บ้านที่เอ่ยห้ามเสียก่อนที่หยางซีห่าวจะถูกย่าทุบตีทั้งที่ยังบาดเจ็บ
จางซิ่วอิงอาศัยจังหวะที่ทุกคนให้ความสนใจกับย่าสามีและผู้นำหมู่บ้านเดินไปหาสามีที่นั่งอยู่บนรถเข็น แววตาของเขานั้นเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและผิดหวังอย่างไม่อาจปิดบัง
หยางซีห่าวหันมาสบตาภรรยาตรง ๆ ด้วยความรู้สึกผิดเอ่อล้น ทว่ามือนิ่มที่วางลงบนหลังมือ พร้อมกับแววตาอ่อนโยนคู่นั้นทำให้จิตใจเขารู้สึกสงบลงอย่างน่าประหลาด
“ภรรยาคือผม…ขอโทษ”
เสียงทุ้มแผ่วเบากล่าวกับภรรยา ใบหน้าหล่อคมเข้มก้มต่ำลงเล็กน้อยอย่างรู้สึกผิด เป็นเขาไม่ใช่หรือที่ตัดสินใจเข้ากรม และสุดท้ายก็พิการกลับมาเช่นนี้ เขาเองที่พลาด
จางซิ่วอิงเห็นใบหน้าหม่นหมองของคนรักในชาติก่อน ทั้งยังเป็นสามีที่ถูกต้องตามกฎหมายของเธอในชาตินี้ เธอรู้สึกถึงแรงบีบรัดในใจอย่างหนัก
มือเรียวตบลงบนหลังมือสามีเบา ๆ สองสามครั้ง ก่อนจะเอ่ยปลอบให้เขาคลายความรู้สึกผิด “คุณไม่ผิดเลย ฉันไม่โทษคุณ”
เพราะหยางซีห่าวไม่ได้ผิดเลยจริง ๆ มีใครบ้างอยากบาดเจ็บ แม้จะไม่แน่ชัดว่าอาการบาดเจ็บของเขาจะหายหรือไม่ เพราะเธอเองก็ยังไม่เห็นบาดแผล แต่เธอจะพยายามทุกทางเพื่อให้เขากลับมาเดินได้อีกครั้ง เธอเชื่อแบบนั้น
“คุณพร้อมจะตัดขาดกับครอบครัวของคุณไหมคะ?”เสียงใสพูดขึ้นเบา ๆ ให้ได้ยินกันแค่เพียงสองคนเท่านั้น
ยอมรับว่าเธอคิดอยากจะให้สามีตัดขาดจากคนที่ชอบเอาเปรียบอย่างบ้านใหญ่ของเขา แต่ยังหาหนทางไม่ได้จึงคิดเผื่อว่าหากเขาไม่ยอมตัดขาดเธออาจจะเป็นฝ่ายตัดขาดจากเขาเอง
แต่นึกไม่ถึงว่าหยางซีห่าวจะกลับบ้านมาในสภาพนี้ และหากเธอคาดเดาไม่ผิดทางนั้นก็คงคิดเรื่องตัดขาดจากหลานชายคนนี้อยู่แน่ ๆ คนเหล่านี้เห็นแก่ตัวแค่ไหนในหมู่บ้านมีใครบ้างไม่รู้ถึงนิสัยของคนบ้านนี้บ้าง
หยางซีห่าวนิ่งคิดถึงความสัมพันธ์ระหว่างเขากับครอบครัวของผู้เป็นพ่อ ก่อนนี้ตอนที่ปู่ยังอยู่เขามีชีวิตที่ดีกว่านี้มาก แต่หลังจากที่ปู่จากไปหลานชังอย่างเขานั้นไม่ต่างจากทาสที่คอยรับใช้ทุกคนในบ้านโดยไม่มีข้อแม้ พอโตพอที่จะหาเงินได้ ความสำคัญของเขาสำหรับคนบ้านนี้ก็ไม่ต่างจากเครื่องผลิตเงิน เขาต้องทำงานทุกอย่าง แม้จะเหนื่อยยากแค่ไหนก็ต้องอดทน อาหารการกินก็ต้องรอให้ลูกพี่ลูกน้องทั้งสองคนกินอิ่มเสียก่อน จึงได้กินเศษข้าวก้นชามที่เหลือ
หยางซีห่าวเคยคิดว่าหากเขาหาเงินเข้าบ้านได้เยอะ คนในบ้านจะปฎิบัติต่อเขาเท่าเทียมกับหลานคนอื่น แต่เปล่าเลย…พอโตมากขึ้นเขาจึงได้ตระหนักว่าความคิดนั้นช่างไร้เดียงสาเหลือเกิน ไม่ว่าเขาจะหาเงินได้มากขนาดไหน คนเหล่านี้ก็ไม่เคยมองว่าเขาเป็นคนด้วยซ้ำไป
แต่กลับกันภรรยาที่ไม่เคยเจอหน้ากันสักครั้ง พอเธอแต่งให้เขาและแยกบ้านไปอยู่ลำพังสองคน จางซิ่วอิงในตอนนั้นแม้จะดูขลาดกลัว และเฉยชาต่อกันอย่างไร แต่จางซิ่วอิงไม่เคยปล่อยให้เขาต้องรู้สึกเหมือนตอนอยู่บ้านใหญ่
ในตอนนั้นแม้ว่าบรรยากาศระหว่างเขาและเธอจะเฉยชา แต่ไม่เคยมีสักครั้งที่เลิกงานจากแปลงนากลับบ้านมาแล้วจะไม่มีข้าวกิน ร่างกายผอมบางแม้จะอ่อนแอและมักเจ็บป่วยอยู่เสมอ พยายามทำอาหารให้เขาทานทุกวัน งานบ้านแม้ไม่ได้ดีเลิศ แต่เขาก็มองเห็นความพยายามของเธอมาตลอด
ฉะนั้นตอนนี้เขาจึงตัดสินใจได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
“ครับ แต่ถ้าคุณอยากหย่า…”เขาตอบรับภรรยาในเวลาต่อมา โดยไม่ลืมหาทางออกให้กับเธอ ภรรยาของเขายังสาวและอายุน้อย หากหย่ากันไปเธออาจจะมีชีวิตที่ดีกว่าการทนอยู่กับชายพิการอย่างเขาก็ได้
จางซิ่วอิงไม่รอให้สามีพูดจบ ใบหน้าได้รูปคลี่ยิ้มเบาบางพลางส่ายไปมาเล็กน้อย ก่อนจะบีบมือของสามีครั้งหนึ่งแล้วตอบกลับไป
“เราจะผ่านมันไปด้วยกัน คุณเชื่อใจฉันนะคะ”
หยางซีห่าวรับรู้ได้ถึงความอุ่นซ่านที่ส่งผ่านมือนิ่มมายังเขา หากสังเกตุให้ดีภรรยาในตอนนี้ช่างแตกต่างจากครั้งสุดท้ายที่เจอกันก่อนที่เขาจะเข้ากรมไป
จางซิ่วอิงในตอนนี้ในแววตาไม่มีความขลาดกลัวอย่างเช่นเมื่อก่อน แววตาของเธอเด็ดเดี่ยวมั่นคง และยังอบอุ่นเมื่อมองมาที่เขา แต่ทว่าพอเธอหันไปเผชิญหน้ากับคนบ้านใหญ่ แผ่นหลังบอบบางนั้นกลับเหยียดตรงสง่าผ่าเผยไร้ความเกรงกลัว นัยน์ตาวาวโรจน์แฝงไปด้วยอารมณ์กรุ่นโกรธ ในขณะที่ใบหน้านั้นกลับเรียบเฉยไม่แสดงอารมณ์ใดออกมา
หยางซีห่าวพยายามคิดหาคำตอบของการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับภรรยา แต่ก็ไร้คำตอบ แต่หากจะว่าไปแล้วเขากลับชอบจางซิ่วอิงในตอนนี้มากทีเดียว ไม่ใช่ว่าในอดีตไม่ดี แต่จางซิ่วอิงในตอนนั้นอ่อนแอเกินไป จนเขาเองนึกห่วงหญิงสาวอยู่ตลอดเวลาที่ห่างกันไปหลายเดือน
“พี่ซีห่าวเจ็บหนักขนาดนี้ คุณย่าจะใจร้ายใจดำทุบตีเขาอยู่อีกเหรอคะ?” ใบหน้าได้รูปเผยรอยยิ้มหยัน พลางปรายตามองญาติของสามีอย่างดูแคลน ก็แค่ยายแก่ที่รักลูกหลานลำเอียง จิตใจดำมืดคอยแต่จะเอาเปรียบสามีของเธออยู่ร่ำไป ยิ่งเห็นตอนที่คนเป็นย่ากำลังปรี่เข้าไปทุบตีสามีของเธอถึงรถเข็นในใจเธอยิ่งรู้สึกเกลียดมากขึ้นกว่าเดิมเสียอีก
“แกเป็นแค่สะไภ้ อย่ามาสอดปาก!!”เหยียนเพ่ยตวาดกร้าว เดินตรงไปหยุดอยู่ตรงหน้าของหลานชายคนเล็กกับสะไภ้ยืนอยู่ด้วยใบหน้าบิดเบี้ยว
จางซิ่วอิงจ้องมองย่าของสามีโดยไม่มีท่าทีเกรงกลัวแต่อยากใด มุมปากผุดรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ พลันนึกแผนการเร่งเร้าเรื่องแยกบ้านได้พอดีจึงโต้ตอบกลับไป
“จะว่าไม่เกี่ยวก็คงไม่ได้หรอกค่ะคุณย่า เพราะหลังจากนี้พี่ซีห่าวจะต้องรักษาตัว ฉะนั้นเงินกองกลางที่เคยส่งให้ทุกเดือนฉันขอแบ่งสักห้าสิบหยวนเพื่อมารักษาพี่ซีห่าวได้หรือไม่คะ?”หญิงสาวพูดขึ้นเสียงดังฉะฉานก็เพื่อให้ชาวบ้านที่มุงดูและพยานคนสำคัญอย่างผู้นำหมู่บ้านได้ยินด้วย
“ไม่ได้! ยังต้องรักษาอะไรอีก ในเมื่อมันพิการไปแล้ว”ผู้เป็นย่าขึ้นเสียงใส่หลานสะไภ้อย่างนึกโมโห เงินที่มีในบ้านเป็นของเธอและลูกหลาน เกี่ยวอะไรกับหลานชายนอกคอกที่เกิดจากสะไภ้ที่เธอไม่ยอมรับกันล่ะ วันนี้หัวเด็ดตีนขาดแม้แต่เศษเงินก็ไม่มีทางกระเด็นออกจากมือเธอแน่นอน
จางซิ่วอิงเหยียดยิ้ม ก่อนจะหันไปหาผู้นำหมู่บ้านเพื่อหาพรรคพวกเพื่อให้สิ่งที่จะพูดต่อจากนี้มีน้ำหนักมากขึ้น
“ท่านผู้นำดูเอานะคะ พี่ซีห่าวเข้ากรมเสี่ยงชีวิตทุกวี่วัน ส่งเงินเข้ากองกลางเดือนละหลายร้อยหยวน แต่พอบาดเจ็บมาก็…”
“รักษาตัวแล้วมันเกี่ยวอะไรกับเงิน นี่มันเงินกองกลาง แยกบ้านไปแล้วมีสิทธิ์มาทวงถามอะไรอีก ห๊ะ!!!”
“มีสิทธิ์หรือไม่ ก็ลองถามท่านผู้นำดูนะคะคุณย่า”จางซิ่วอิงเมินเฉยต่อน้ำเสียงเกรี้ยวกราดของย่าสามี หญิงสาวหันไปหาขอความช่วยเหลือจากอีกคนแทน แต่ยังไม่ทันที่ผู้นำหมู่บ้านจะพูดอะไร หยางจางหมิ่นที่กลับบ้านมาพอดีก็พูดขัดขึ้นมาเสียก่อน
“น้องสะไภ้พูดแบบนี้ก็ไม่ถูก เพราะน้องสามมีเงินชดเชยติดตัวมาอยู่แล้ว จำต้องเบิกเงินกองกลางไปทำไมอีกเล่า?”เขาเรียนจบถึงมหาวิทยาลัย เรื่องเล็กน้อยเหล่านี้มีหรือจะไม่รู้ ทันทีที่พูดเสร็จหลานชายคนโตของบ้านหยางก็ยืดตัวขึ้นพลางกอดอกอย่างผู้มีความรู้เหนือกว่า
แต่ทว่าสิ่งที่ผู้นำหมู่บ้านพูดต่อจากนั้น ก็เป็นสิ่งที่หยางจางหมิ่นไม่อาจแย้งได้อยู่ดี จึงได้แต่นิ่งฟังและเงียบไป ปล่อยให้ผู้เป็นย่าจัดการดังเดิม
“ซีห่าวมีสิทธิ์ในเงินนั้นเพราะไม่ได้ตัดขาดกัน แล้วเงินนั้นก็เป็นซีห่าวที่หามาส่วนหนึ่ง อีกอย่างบาดแผลใหญ่เช่นนี้ นอกจากค่าหมอค่ายา ค่าเดินทาง ค่าอาหารบำรุงก็ต้องซื้อหา หากจะเบิกเงินไปก็ไม่ผิด”โจวเหวินพูดขึ้นอย่างเป็นกลาง แม้จะเห็นใจลูกชายของสหายผู้ล่วงลับของตนไม่น้อย แต่ด้วยตำแหน่งที่ค้ำคอผิดถูกก็ต้องว่าไปตามนั้น
“อย่างนั้นก็…ตัดขาด!! ตัดขาดตอนนี้เลย!”
น้ำเสียงตวาดกร้าวของผู้เป็นย่าเรียกร้องให้ตัดขาดจากหลานชายดังขึ้นจนทุกคนที่ยืนห้อมล้อมเหตุการณ์อยู่ได้ยินและรับรู้ถึงความใจดำของย่าที่มีต่อหลานชายได้อย่างชัดเจนจางซิ่วอิงเหยียดยิ้มเมื่อสิ่งที่เธอต้องการนั้นได้หลุดออกมาจากปากของหญิงชราเห็นแก่ตัวอย่างง่ายดาย ก่อนจะหันไปสบตากับสามีอีกครั้งหยางซีห่าวสูดลมหายใจเข้าปอดอย่างอดกลั้น สถานการณ์ตรงหน้าไม่ได้กำลังตอกย้ำความสำคัญของเขาที่มีต่อครอบครัวนี้หรอกหรือ เมื่อหาเงินเขาบ้านไม่ได้แล้ว หลานชังอย่างเขานับเป็นตัวอะไรกัน“จัดการตามที่ย่าว่าเถอะครับ ผมรบกวนด้วย”เสียงทุ้มกล่าวกับผู้นำหมู่บ้านในทันที ไม่จำเป็นต้องพิสูจน์อะไรอีกต่อไปแล้ว เท่านี้ก็ชัดเจนมากพอแล้วโจวเหวินมองชายหนุ่มที่เขาเห็นมาแต่เด็กด้วยแววตาเวทนาสงสาร เขาค่อนข้างสนิทกับพ่อของซีห่าว ฉะนั้นลูกของสหายก็ไม่ต่างจากลูกหลานที่เขาจะต้องให้ความช่วยเหลือเท่าที่พอจะทำได้
จางซิ่วอิงหายไปในครัวไม่นานอย่างที่เธอว่าไว้ ก่อนจะกลับมาพร้อมข้าวขาวเรียงเม็ดสวยร้อน ๆ สองจาน กับอาหารจานผัดหนึ่งจาน และต้มอีกหนึ่ง วันนี้เธออยากกินหมูสามชั้นต้มพร้อมน้ำจิ้มแซ่บซี๊ดเหมือนโลกก่อนจึงทำเพิ่มขึ้นมาอีกจาน เมื่ออาหารพร้อมสรรพบนโต๊ะแล้ว ร่างบางจึงเดินไปเข็นรถให้สามีที่นั่งอยู่ภายในห้องโถงให้มาทานข้าวด้วยกันกลิ่นอาหารลอยคลุ้งเต็มบ้านจนกระทบเข้ากับจมูกของหยางซีห่าว กลิ่นหอมที่ไม่คุ้นเคยช่วยเรียกน้ำย่อยในกระเพาะชายหนุ่มได้เป็นอย่างดี“ฉันมีเวลาทำอาหารไม่มาก เลยมีแต่อาหารง่าย ๆ คุณลองทานดูนะคะ ว่าถูกปากหรือเปล่า?”เสียงใสกล่าวกับสามีขณะที่พาเขาไปยังโต๊ะอาหารแม้จะรู้สึกเหน็ดเหนื่อยไปบ้างเพราะต้องออกแรงมาก รถเข็นในยุคนี้ไม่ได้สะดวกหรือเข็นเองได้เหมือนยุคที่เธอจากมา การเคลื่อนย้ายจึงต้องออกแรงมากหน่อย แต่ก็ไม่ได้ปริปากบ่นเพราะเธอเต็มใจ สำหรับสาวสองที่ตายมาแล้วชาติหนึ่ง การได้อยู่ร่วมบ้าน ได้ดูแลคนรักเช่นนี้เป็นสิ่งที่เธอเต็มใจทำ
“เชื่อสิครับ ก็คุณคือภรรยาคนเดียวของผม”และตอนนี้ชีวิตชายพิการเช่นเขาก็มีเพียงเธอเท่านั้น ซ้ำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อเย็นยิ่งตอกย้ำความรู้สึกของภรรยาที่มีต่อเขาอย่างชัดเจนแม้เธอไม่เคยพูดออกมาว่ารักสามีอย่างเขาหรือไม่ แต่ไหล่เล็กที่พยายามปกป้องเขาในตอนนั้น รวมถึงท่าทีเอาเรื่องกับคนคิดร้ายต่อสามีของเธอก็ทำให้เขารู้สึกโชคดีที่มีภรรยาเช่นจางซิ่วอิง“แล้วเคยคิดจะหย่ากับภรรยาขี้โรคแบบฉันหรือเปล่าคะ?”เธอถามออกไปตามตรง ในขณะที่มือยังคงแกะผ้าพันแผลของเขาออกอย่างตั้งใจหยางซีห่าวอายุเพียงยี่สิบปี หากเขาสามารถรักษาแผลที่ขาหายและเดินได้ปกติ เมื่อกลับเข้ากรมอนาคตของเขาคงไปได้อีกไกล และสามารถเลือกผู้หญิงมาอยู่เคียงข้างที่ดีกว่าหญิงสาวหน้าตาขลาดเขลา แถมยังดูอมโรคแบบเธอได้“ไม่เคย! และไม่มีวันนั้นเด็ดขาด”หยางซีห่าวปฎิเสธขึ้นในทันทีโดยไม่ต้องคิด แม้จะแต่งงานกันโดยไร้รัก แต่เขาก็ไม่เคยคิดเห
เสียงไก่ขันในยามรุ่งสางปลุกหญิงสาวให้ลืมตาตื่นขึ้นมา ร่างบอบบางขยับตัวเล็กน้อย ก่อนจะรู้สึกถึงบางสิ่งหนักอึ้งที่โอบรัดรอบเอวคอด เมื่อคลำดูจึงได้รู้ว่าเป็นท่อนแขนของสามี ใบหน้าของเขาก็กำลังซุกซบอยู่บริเวณลาดไหล่ของเธอ และเธอก็อยู่ในอ้อมกอดของเขามานานเท่าไหร่ก็ไม่รู้ พลันใบหน้างามรู้สึกได้ถึงความร้อนที่พาดผ่านแก้มทั้งสองข้างไปจนถึงใบหูขาวและลำคอระหง เมื่อคิดขึ้นได้ว่าเมื่อคืนเธอนอนหลับในท่านี้ตลอดทั้งคืนลมหายใจอุ่นเป่ารดลำคอระหงอย่างสม่ำเสมอบ่งบอกว่าหยางซีห่าวกำลังหลับสบาย คนเป็นภรรยาจึงค่อย ๆ คลายอ้อมแขนของเขาออกและลงจากเตียงอย่างเงียบเชียบที่สุดเพื่อไม่ให้รบกวนคนเป็นสามีตลอดเวลาที่เขาออกไปปฎิบัติหน้าที่คาดว่าคงไม่ได้กินอิ่มนอนอุ่นได้บ่อยนักในระหว่างรักษาแผลที่ขา เธอคิดว่าควรให้เขาพักมากหน่อย และตั้งใจจะทำอาหารดี ๆ เพื่อบำรุงเขาด้วยร่างบอบบางเดินออกมาจากห้องนอน เดินตรงไปยังห้องน้ำที่อยู่นอกตัวบ้าน ผมยาวสลวยถูกรวบขึ้นเป็นมวยกลางศีรษะลวก ๆ และปั
ทันทีที่หญิงสาวลงจากเกวียน เธอเดินไปสำรวจจุดเดิมที่เคยวางของขาย เมื่อเห็นว่ายังว่างอยู่จึงคลี่ผ้าที่เตรียมมาออกแล้วปูลงบนพื้น จากนั้นจึงเดินเข้าไปยังซอกตึกเพื่อเตรียมสินค้าของวันนี้มาวางขาย เนื่องจากตั้งใจจะปล่อยสินค้าจำนวนมากขึ้น จึงต้องเดินขนของหลายรอบหน่อยกว่าจะได้ของครบเพียงไม่นานแอปเปิ้ลผลใหญ่น่าทานจำนวนสี่ลังก็วางลงบนข้างผืนผ้าเรียบร้อย ข้างกันยังมีสาลี่และองุ่นที่วางอยู่ในลังเช่นกันอีกอย่างละสองลังเธอยังคงขายเนื้อแพ็คอย่างดีเช่นเดิม โดยไม่ลืมของแห้งอย่างหมูแผ่น หมูฝอย และหมูหยองอย่างละสามสิบแพ็ควางเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ หลังจากเรียงสินค้าชิ้นสุดท้ายเสร็จก็พอดีกับที่ลูกค้ารายแรกมาติดต่อซื้อพอดีจางซิ่วอิงพอจำได้ว่าหญิงชราที่แต่งตัวดูดีตรงหน้าเป็นลูกค้าประจำของร้านเธอ คุณยายท่านนี้มักมาซื้อเนื้อแพ็คของเธอไปคราวละห้าถึงสิบแพ็คทุกครั้ง คาดว่าคนที่บ้านคงเยอะน่าดู แต่คราวนี้หลังจากหยิบเนื้อเช่นทุกวันแล้ว แทนที่จะจ่ายเงินและจากไปอย่างทุกครั้
จางซิ่วอิงแสร้งเก็บเงินที่ได้ไว้ในกระเป๋าผ้าคู่ใจ แต่จริง ๆ แล้วเงินเยอะขนาดนี้เธอแอบโยนมันเข้าไปไว้ในมิติต่างหาก ก่อนออกจากร้านของคุณป้าหลี่หญิงสาวไม่ลืมเลือกซื้อข้าวขาวและแป้งจำนวนหนึ่งติดมือกลับบ้านไปด้วย เพื่อไม่ให้เป็นที่น่าสงสัยจนเกินไปฝีเท้าเล็กมั่นคงก้าวลงจากเกวียนหลังจากจ่ายเงินค่าโดยสารเรียบร้อย จางซิ่วอิงหอบหิ้วของที่ซื้อมาเดินกลับบ้านบนเนินเขาอย่างอารมณ์ดี แต่ทว่าอีกเพียงไม่กี่เมตรก็จะเดินถึงบ้านอยู่แล้ว หญิงสาวนั้นกลับเห็นย่าและลูกพี่ลูกน้องของสามีกำลังพยายามดันรั้วบ้านผุพังของเธอ เห็นดังนั้นริมฝีปากผุดรอยยิ้มหยัน จากนั้นหญิงสาวจึงหมุนตัวกลับไปเพื่อหาพยานคนสำคัญสำหรับเรื่องนี้ทันที“ย่า?”เสียงทุ้มเรียกย่าขึ้นมาอย่างนึกแปลกใจ คิ้วหนาขมวดเข้าหากัน ก่อนสีหน้าเรียบเฉยจะค่อย ๆ เข้มขึ้นด้วยความรู้สึกไม่พอใจที่ถูกบุกรุกบ้านเขาถูกฝึกมาไม่น้อย เสียงเปิดรั้วบ้านแม้จะเบากว่าปกติแต่ก็รับรู้ได้ในทันที แต่ที่คาดไม่ถึงคือย่าและญาติผู
จางซิ่วอิงออกจากห้องครัวมาพร้อมกับข้าวสองอย่าง ข้าวขาวที่หุงเผื่อไว้ตั้งแต่เช้าถูกอุ่นให้ร้อน และยังมีไข่ต้มอีกสามฟองที่ถูกปลอกเปลือกจนเกลี้ยง อาหารทั้งหมดถูกจัดวางบนโต๊ะทานข้าวเก่า ๆ พร้อมทานหญิงสาวจึงเข้าไปรับสามีออกมาทานมื้อเที่ยงด้วยกัน หยางซีห่าวเห็นอาหารตรงหน้าก็ครุ่นคิดบางสิ่งขึ้นมาได้นี่เป็นมื้อที่สามแล้วที่เขาเห็นว่าอาหารของภรรยายังคงมีจานเนื้อ ทั้งที่ชาวบ้านชนบททั่วไปอย่าว่าแต่ทานเนื้อเดือนละครั้งเลย แทบจะทุกบ้านจะทานเนื้อเพียงแค่โอกาสหรือวันสำคัญเท่านั้น เดาว่าภรรยาคงชอบทานเนื้อมากทีเดียว เช่นนั้นเขาควรต้องรีบรักษาตัวเองให้หาย จะได้หาเงินให้มากหน่อยไว้ซื้อเนื้อให้ภรรยาทานทุกมื้อ“ทานสิคะ! คุณต้องบำรุงให้มากหน่อย แผลจะได้หายเร็ว ๆ”ใบหน้าเรียวคลี่ยิ้มหวานขณะตักไข่ต้มสองฟองวางลงในจานข้าวของคนเป็นสามี โดยที่ไม่ได้รู้ความคิดของสามีในตอนนี้แม้แต่น้อย“ทำไมถึง…”
“สามีขา ภรรยากลับมาแล้วววว!!”พรู๊ดดดด!! แค่ก! แค่ก!เสียงหวานใสค่อนไปทางออดอ้อนที่ดังมาจากทางประตูบ้านทำเอาชายหนุ่มที่นั่งพิงหัวเตียงอยู่ถึงกับไอสำลักน้ำหน้าดำหน้าแดง“คุณ! ดีขึ้นไหมคะ?”จางซิ่วอิงเข้ามาในห้องนอนทันได้เห็นสามีทีกำลังไอสำลักอย่างหนักก็ตรงเข้าไปลูบแผ่นหลังของเขาทันที“แค่ก! แค่ก! แค่ก!! อืมม ผมดีขึ้นแล้ว”แม้จะยังคงไออยู่บ้างแต่ก็ดีกว่าตอนแรก พลันหันมองใบหน้าภรรยาที่ยืนทำหน้าตาใสซื่อราวกับไม่รู้เลยว่าเมื่อครู่พูดอะไรออกมา“คุณมองหน้าฉันแบบนี้คือ?”หยางซีห่าวถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน นี่ภรรยาคงไม่รู้จริง ๆ สินะว่าคำพูดของเธอทำให้สามีสำลักน้ำเกือบตาย ช่างน่าจับมาตีก้นจริง ๆ
เสียงรถยนต์รุ่นใหม่ล่าสุดที่ถูกขับเคลื่อนเข้ามาภายในคฤหาสน์ตระกูลจ้าวในช่วงเย็นย่ำ ก่อนที่คุณชายจ้าวคุนทายาทเพียงคนเดียวของตระกูลจะก้าวลงจากรถและเดินเข้าไปในคฤหาสน์อย่างอารมณ์ดีคฤหาสน์หลังใหญ่ของตระกูลจ้าวตั้งอยู่ใจกลางย่านสำคัญของปักกิ่ง ภายนอกรายล้อมไปด้วยสวนไม้ดอกและไม้ยืนต้นที่ถูกดูแลเป็นอย่างดีกินเนื้อที่กว่าสามไร่ ภายในคฤหาสน์ถูกตกแต่งด้วยเครื่องเรือนเก่าแก่ที่เป็นมรดกตกทอดจากรุ่นสู่รุ่น บางชิ้นไม่อาจประเมินค่าเพราะมีเพียงแค่ชิ้นเดียวบนโลกก็ว่าได้ร่างสูงโปร่งของคุณชายจ้าวเดินเข้ามาในตัวคฤหาสน์ ใบหน้าหล่อเหลาที่ถอดแบบมาจากผู้เป็นพ่อแทบทุกระเบียดนิ้วนั้นประดับรอยยิ้มอย่างคุณชายเจ้าสำราญอยู่ตลอด นัยน์ตาคมทอดมองไปยังข้าวของที่วางเรียงรายกินพื้นที่ครึ่งหนึ่งของห้องโถง พลางนึกไปถึงเงินจำนวนมากที่คุณพ่อจ่ายออกไปสำหรับของเหล่านี้เพื่อความสุขของคุณแม่ ครั้งนี้คุณพ่อจ่ายหนักเสียจริง…“สวัสดีครับคุ
หญิงสาวพยายามเก็บสีหน้าและรักษาท่าทีให้กลับมาสงบดังเดิม ก่อนจะครุ่นคิดถึงสิ่งที่กำลังทำอยู่ในขณะนี้ เธอสังเกตเห็นท่าทีสงสัยของผู้จัดการเผยคนนี้ ก็ไม่แปลกใจนักกับความคิดของคนในยุคนี้ยุคที่เศรษฐกิจภายในประเทศผันผวนตลอดเวลาเช่นนี้ จะมีใครใจกล้าเช่าหน้าร้านระยะยาวด้วยเงินก้อนโตอย่างเธอบ้าง หรือแม้แต่การเช่าที่ดินทำการเกษตรเธอก็เชื่อว่าคงไม่มีใครเช่าระยะยาวหลายปีเช่นที่เธอกำลังทำอยู่อย่างแน่นอนแต่สำหรับโลกก่อนการเช่าร้านใหญ่ในห้างมีใครบ้างอยากจะเช่าเพียงแค่สามเดือน ถ้าหากเธอขายดีขึ้นมาแล้วเกิดหมดสัญญาเช่าก่อน อย่างนั้นจะไม่เสียเวลาต่อสัญญาหรืออาจจะต้องหาหน้าร้านใหม่หรอกหรือ“อย่างนั้นฉันสนใจเช่าห้าปีทั้งสองร้านค่ะ ทางผู้จัดการเผยเขียนสัญญาและคำนวนค่าเช่าล่วงหน้ามาได้เลยนะคะ”น้ำเสียงจริงจังกล่าวออกไปอย่างไม่ลังเล แม้จะเป็นสีหน้าไม่เข้าใจของพี่สาวเยว่แต่จางซิ่วอิงกลับคิดว่าเธอได้คำนวนมาเป็นอย่างดีแล้วต่างหาก
เนื่องจากห้างสรรพสินค้ายังปรับปรุงไม่เสร็จดีและไม่มีพื้นที่สำหรับการต้อนรับหรือพูดคุย เยว่ผิงอันจึงตกลงนัดหมายการทำสัญญาในวันนี้ที่สำนักงานแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้กันกับห้างสรรพสินค้าแทนสำนักงานแห่งนี้เป็นสถานที่ดำเนินงานของเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบส่วนของงานปรับปรุงซ่อมแซมและใช้สำหรับพูดคุยเรื่องสำคัญที่ห้างสรรพสินค้าสร้างขึ้นมาแยกจากตัวห้างสำหรับใช้งานชั่วคราวระหว่างรอสำนักงานที่อยู่บนชั้นบนสุดของห้างสรรพสินค้าปรับปรุงเสร็จอาคารสำนักงานแห่งนี้มีขนาดสี่สิบตารางวานับว่ากว้างขวางพอสมควร ทั้งยังตั้งอยู่ในบริเวณเดียวกันกับห้างสรรพสินค้า ถือว่านายทุนของที่แห่งนี้นอกจากมีกำลังทรัพย์มหาศาลแล้วยังมีอิทธิพลค่อนข้างมากระยะทางจากบ้านของเธอมาถึงสำนักงานแห่งนี้นับว่าใกล้กันมาก จางซิ่วอิงจึงนัดหมายกับพี่สาวเยว่มาเจอกันที่นี่แทน สองสามีภรรยาเผื่อเวลาไว้พอสมควร ระหว่างทางจึงไม่ได้รีบร้อน ทั้งคู่เดินไปหยอกล้อกันไปราวกับคู่รักหนุ่มสาวที่พึ่งแต่งงานกันใหม่ ๆ ก็ไม่ปา
ในทันทีที่แผ่นหลังบอบบางสัมผัสกับพื้นผิวของเตียงเตาหลังกว้าง ร่างหนาของหยางซีห่าวก็ทิ้งกายลงคร่อมทับภรรยาเอาไว้ สองสายตาสบประสานกันอย่างสื่อความหมายกลิ่นหอมอ่อน ๆ จากกายของหญิงสาวโชยขึ้นมาเตะจมูกของคนเป็นสามีจนรู้สึกร้อนรุ่มไปทั้งกายหนา กอปรกับดวงตาคู่เรียวที่ปรือขึ้นมองเขาอย่างยั่วเย้านั้นทำเอาหยางซีห่าวแทบคลั่งพลันริมฝีปากหยักจรดลงบนแก้มนิ่มอย่างอ่อนโยน ช่างขัดกับลมหายใจอุ่นร้อนที่เริ่มติดขัด มือหนาทั้งบีบทั้งเคล้นไปเสียทุกส่วนโค้งเว้าใบหน้าเรียวเล็กเชิดขึ้นเล็กน้อยเมื่อถูกสัมผัสอุ่นจูบซับไปตามกรอบหน้า ริมฝีปากบางเผยออ้าราวกับรู้อยู่ก่อนแล้วว่าชายหนุ่มจะประกบจูบลงมาเรียวลิ้นชื้นสอดแทรกเข้าไปตักตวงความหวานในโพรงปากของภรรยา ก่อนจะถูกร่างบางจูบตอบกลับมาอย่างเร่าร้อนไม่แพ้กัน สองแขนเรียวเล็กยกขึ้นโอบกอดรอบลำคอหนา พลางเอียงใบหน้าเพื่อสอดรับเรียวลิ้นได้ถนัดถนี่หยางซีห่าวค
หลังจากพูดคุยกันต่ออีกราวสามสิบนาทีจางซิ่วอิงเห็นว่าใกล้เวลามื้อเย็นแล้วจึงชวนสหายรุ่นพี่ให้อยู่ทานข้าวด้วยกันก่อนค่อยกลับซึ่งในทีแรกเยว่ผิงอันมีท่าทีปฏิเสธ แต่ทว่ากลับถูกคะยั้นคะยอจากคู่ค้าคนสำคัญ หนักเข้าจึงตกปากรับคำในเวลาต่อมาด้วยความเกรงใจในยุคนี้ข้าวปลาอาหารล้วนขาดแคลน การซื้อหานับว่าต้องใช้เงิน สินค้าบางอย่างมีการยกเลิกการใช้คูปองไปบ้างแล้ว แต่ก็ยังต้องใช้เงินจำนวนมากในการซื้ออยู่ดี การทานอาหารบ้านคนอื่นนับเป็นเรื่องที่ต้องเกรงใจให้มากคุณแม่เธอสอนมาอย่างนั้น จึงค่อนข้างเกรงใจสหายไม่อาจรับปากง่าย ๆ ได้จางซิ่วอิงปลีกตัวเข้ามาทำอาหารในครัว โดยปล่อยสหายให้นั่งดูแผนงานรอไปก่อน ซึ่งหยางซีห่าวสบโอกาสใกล้ชิดในทันที ร่างหนาเร่งเดินตามภรรยารักเข้ามาในครัวพร้อมกับออกปากว่าจะช่วยทำกับข้าวในวันนี้หญิงสาวนึกอยากทานไก่คั่วพริกเกลือขึ้นมาจึงเริ่มหยิบเนื้อไก่ขึ้นมาหั่นชิ้นพอดีคำ ก่อนจะเตรียมวัตถุดิบอื่น ๆ จากนั้นจึ
เยว่ผิงอันยิ้มกว้างเมื่อเห็นสหายรุ่นน้องและสามีกลับบ้านมาพอดีหลังจากมายืนรออยู่เกือบสิบห้านาทีเธอเคยมาที่บ้านหลังนี้ครั้งหนึ่งแล้วจึงได้รู้ว่าสามีของอิงอิงนั้นเป็นทหารที่กำลังพักรักษาตัวจากอาการบาดเจ็บ แต่ทว่าตอนนี้ชายหนุ่มกลับยืนเคียงข้างภรรยาอย่างมั่นคง นี่นับเป็นเรื่องที่น่ายินดีมากไม่ใช่เหรอ“ฉันจะมาคุยเรื่องร้านใหม่ของเราน่ะสิ!”เยว่ผิงอันตอบอย่างกระตือรือร้นขึ้นมาในทันทีเมื่อนึกขึ้นได้ถึงเหตุผลของการมาที่บ้านหลังนี้ ใบหน้าเรียวแม้จะดูเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางแต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อธุระสำคัญของวันนี้จางซิ่วอิงยิ้มรับพลางพยักหน้าเข้าใจ ก่อนจะหยิบลูกกุญแจขึ้นมาไขรั้วบ้านแต่ก็ถูกมือหนาของสามีแย่งไปเสียก่อน เธอจึงทำได้เพียงส่งยิ้มขอบคุณเขาและหันมาให้ความสนใจกับสหายคู่ค้าก่อนเยว่ผิงอันมามองท่าทีสองสามีภรรยาคู่นี้ก็ยิ้มกริ่มขึ้นมา พลางส่งสายตาล้อเลียนไปให้สหาย จนหญิงสาวที่ถูกมองแบบนั้นถึงกับขวยเขิ
เสื้อผ้าเนื้อละเอียดสีเดียวกัน ฝีเข็มปราณีตบ่งบอกถึงราคาที่ไม่ใช่ชาวชนบททั่วไปจะจับต้องได้ ชุดคู่นี้ถูกสวมลงบนกายของทั้งคู่ หากใครเห็นไม่บอกก็พอจะรู้ได้ว่าชายหญิงคู่นี้คือคนรักกันอย่างแน่นอน หลังจากประทินโฉมเพียงเล็กน้อยจางซิ่วอิงก็ได้เวลาออกจากห้องนอน ซึ่งมีสามีมายืนรออยู่ก่อนแล้วจางซิ่วอิงนั่งลงบนเก้าอี้ประจำตำแหน่งโดยมีสามีเลื่อนให้ ใบหน้าเรียวเล็กวาดยิ้มจนตาหยีก่อนจะกล่าวขอบคุณสามีเสียงหวานความสุขที่อัดแน่นอยู่ในอกถูกแสดงออกผ่านสีหน้าและแววตา ภาพตรงหน้าที่เกิดขึ้นนั้นราวกับความฝันที่เธอไม่อยากจะตื่น พลันหวนนึกถึงที่ที่จากมา ในตอนนั้นชีวิตคู่ของเธอกับพี่ซีห่าวก็นับได้ว่าหวานชื่นไม่แพ้ตอนนี้ แม้จะไม่ได้ตบแต่งกันเช่นชีวิตนี้ แต่เขาก็ดูแลเอาใจใส่เธอเป็นอย่างดีในทุกวันเขาและเธอจะต่างคนต่างทำหน้าที่การงานของตนเอง อาจมีแวะเวียนมาทานมื้อกลางวันด้วยกันบ้าง ทานมื้อเย็นด้วยกันเป็นประจำ ไม่ว่าเรื่องราวที่ผ่านมาในชีวิตจะยากเย็นสักแค่ไหน เขาไม่เคยปล่อย
รุ่งเช้าของวันใหม่ดวงอาทิตย์เริ่มโผล่พ้นขอบฟ้าจนเกิดแสงสีแดงอมส้มที่ลอดผ่านเข้ามาผ่านช่องหน้าต่างเล็ก ๆ ตามมาด้วยเสียงเคลื่อนไหวของบ้านหลังอื่น ๆ ที่อยู่รอบพื้นที่เปลือกตาสีไข่ปรือขึ้นพลางกระพริบขี้นลงถี่รัวเพื่อปรับให้คุ้นชินกับแสงที่กระทบเข้ากับดวงตา ทันทีที่ตื่นเต็มตาเธอหันไปมองร่างหนาที่หลับสนิทอยู่ข้างกาย ลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอบ่งบอกว่าเขากำลังหลับสนิท ท่อนแขนแข็งแกร่งยังคงกอดรัดเอวคอดกิ่วเอาไว้เช่นทุกวันแต่ที่ต่างออกไปเพราะระหว่างทั้งคู่ไม่ได้เพียงแค่หลับไหลอยู่ในอ้อมกอดของกันและกันอย่างเช่นทุกคืน…จางซิ่วอิงเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ดวงตาคู่เรียวไล่สำรวจใบหน้าหล่อเหลาของสามี สันจมูกคมเด่น กรามได้รูป และลูกกระเดือกใหญ่ที่ข้างกันมีร่องรอยสีแดงจาง ๆ ติดอยู่ พลันใบหน้างามรู้สึกเห่อร้อนขึ้นมาเมื่อนึกไปถึงที่มาของรอยนั้น ทั้งลำคอหนา ไหปลาร้า หรือแม้แต่หน้าอกแกร่ง ล้วนมีรอยที่เธอเป็นคนทำขึ้นทั้งสิ้นคล้ายว
ภายในรั้วบ้านสีขาวสะอาดตา เนื้อที่หน้าบ้านทั้งหมดถูกเปลี่ยนให้เป็นแปลงผักนานาชนิดที่เจ้าของบ้านช่วยกันปลูกเอาไว้เก็บกิน ดินที่ถูกยกร่องอย่างดีทำให้ง่ายต่อการดูแล หยางซีห่าวกำลังยืนรดน้ำต้นไม้อย่างใส่ใจ นี่นับเป็นหน้าที่แรกที่ภรรยาเป็นคนมอบหมายให้หลังจากที่เขากลับมาเดินได้เป็นปกติแล้วพลันกลิ่นหอมอบอวลที่ลอยออกมาจากห้องครัวภายในตัวบ้านทำเอาชายหนุ่มที่ยืนรดน้ำแปลงผักอยู่หน้าบ้านรู้สึกหิวขึ้นมา หยางซีห่าวเร่งมือเพื่อทำงานให้เสร็จจากนั้นจึงเดินเข้าไปในครัวอย่างรีบร้อนเขาเห็นร่างบอบบางของภรรยากำลังยืนผัดอาหารอยู่บนเตาก็ยกยิ้มกว้าง พลันเคลื่อนกายเข้าไปสวมกอดเธอจากด้านหลัง กดจมูกฝังลงบนแก้มนุ่มหอม ก่อนจะหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับเหงื่อที่เกาะอยู่ตามกรอบหน้าให้อย่างทนุถนอม“หอมจัง คุณทำอะไรครับวันนี้?”เสียงทุ้มอ่อนโยนถามออกไปโดยวงแขนยังคงสวมกอดอยู่บริเวณเอวคอด“ผัดเปรี้ยวหวานค่ะ แล้วก็มีไข่เจียวหมูสั