เทพทัตยืนขึ้นในที่ประชุม ร่างที่สูงใหญ่ของเขาเป็นจุดสนใจอีกครั้ง ทำให้เหล่านักเรียนเงียบเสียงลง
"ผมขออนุญาตใช้เวทีนี้เป็นที่ประกาศ ขอยกเลิกการเรียนการสอนของทิศเหนือในตอนบ่าย เพราะอยากได้แรงงานไปช่วยกันสร้างกำแพงที่โดนมอนสเตอร์ทำลายนะครับ นักเรียน ทิศเหนือที่สนใจสามารถไปรวมตัวกันได้ที่หน้ากำแพงครับ"
มีนักเรียนชายคนหนึ่งยกมือขึ้น
"เชิญครับ" เทพทัตอนุญาตให้เขาพูด
"ค่าแรงชั่วโมงละเท่าไหร่ครับ"
"ค่าแรงขั้นต่ำบวกเพิ่มอีกห้าสิบบาทครับ เพราะเขตก่อสร้างอยู่ใกล้ประตูมิติ มันค่อนข้างอันตราย"
นักเรียนหลายคนทำท่าสนใจ เทพทัตดูพอใจกับอาการเหล่านั้น เขาทำท่าจะเอ่ยอะไรอีก
"งั้นปิดประชุมเลย" สุเมธโพล่งขึ้น
นักเรียนชายหลายคนปรบมือให้กับคำพูดนั้น สุเมธโค้งให้กับพวกนักเรียนชาย เสียงปรบมือค่อนข้างดัง ทำให้เทพทัตจำเป็นต้องถอยก่อนเพราะไม่อย่างนั้นคนจะไม่พอใจเอา
"พวกเราก็ไปกันเถอะค่ะ คุณปุยฝ้าย คุณมน" ชูครีมชวนเมื่อคนเริ่มทยอยกันออกนอกห้องประชุม "อันดับแรกคุณมนต้องทำงานหาเงินก่อนนะคะ เราอยู่ในฝันก็จริง แต่เราต้องกินข้าว ถ้าไม่กินจะไม่มีแรงและอาจถึงขั้นตายเลยค่ะ งานที่หัวหน้าทิศเหนือแนะนำเมื่อกี้เป็นงานที่แรงงานไร้ฝีมืออย่างคุณมนสามารถทำได้ค่ะ"
"จะว่าไปฉันเองถึงอยู่มานาน ก็ยังทำได้แต่งานไร้ฝีมือทั้งนั้นเลย" ปุยฝ้ายบอกหัวเราะแหะๆ
"เป็นฝันที่ยุ่งยากจังเลยนะ" มนสิชาบ่น "อีกเดี๋ยวพี่ก็ตื่นแล้วมั้ง ถึงตายในฝันคงไม่เป็นไร"
"ฉันฝันอยู่ในโรงเรียนแห่งนี้มาสองปีหนึ่งเดือนแล้วนะ" ปุยฝ้ายบอกเสียงเรียบ
"ส่วนชูครีมก็หลับมาหนึ่งปีสิบเดือนแล้วค่ะ"
มนสิชารู้สึกหน้าชา เธอตั้งคำถามกับตัวเอง แล้วเธอล่ะจะฝันไปนานแค่ไหน เรื่องในฝันค่อนข้างประหลาดและเกินจินตนาการของเธอ หญิงสาวเริ่มเชื่อมากขึ้นเรื่อยๆ ว่านี่ไม่ใช่ฝันที่เธอจินตนาการขึ้นเอง แต่เป็นฝันที่มีคนทำให้มันเกิด
"พวกเราไปเปลี่ยนชุดกันก่อนไหม เดี๋ยวชุดนักเรียนจะเลอะหมด" ปุยฝ้ายชวน
พวกเธอออกมานอกอาคารได้สำเร็จ เดินไปตามทางเดินยาวๆ ท้องฟ้าเป็นสีฟ้าเหมือนปกติ มีป้ายสีน้ำเงินตรงทางสี่แยก โรงเรียนทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศตะวันออก และทิศตะวันตก มนสิชารอให้สองสาวเดินนำหน้าไปทางทิศเหนือ ใช้เวลากว่าสิบห้านาทีกว่าจะมองเห็นอาคาร โรงเรียนทิศเหนือมีอาคารสามหลังคือตึกเรียน ตึกบริหาร และโรงยิม แถมมีสนามฟุตบอลขนาดใหญ่อยู่ตรงกลาง นอกเขตพื้นที่โรงเรียนเป็นอาคารบ้านช่องของคนในบริเวณนั้น มนสิชาคาดว่าเธอจะเจอคนหลายช่วงอายุมากกว่าที่เห็นแค่นักเรียนเหมือนในห้องประชุม แต่เธอไม่เจอคนที่เด็กกว่าหรือแก่กว่าเลย พวกเขาอยู่ในช่วงมัธยมปลายทั้งหมด
"เราไปโรงเรียนกันก่อนดีกว่า เราจะได้ไปขอชุดจากสวัสดิการก่อนค่ะ" ชูครีมแนะนำ พวกเธอเดินผ่านรั้วโรงเรียนที่เปิดอยู่ ผ่านตึกบริหารแล้วเดินเข้าไปในอาคารเรียนชั้นหนึ่ง "ที่สวัสดิการมีของใช้ที่จำเป็นต่อการใช้ชีวิตแจกฟรีสำหรับคนใหม่ค่ะ เราเลือกย้ายโรงเรียนได้ ทุกโรงเรียนจะแจกเสื้อผ้าอาหารและของใช้ต่างๆฟรี รวมทั้งมีที่พักให้ด้วย ขอแค่พอใจจะอยู่เท่านั้น แต่พอเริ่มปรับตัวได้แล้วก็ต้องทำงานหาเงินซื้อของกินเอาเองแล้วจ่ายค่าเช่าที่พักด้วยค่ะ"
ห้องสวัสดิการที่แจกของจำเป็นนั้นเล็กมาก มีชั้นวางของเรียงกันเป็นแถว เว้นระยะอย่างสวยงามเหมือนในห้างสรรพสินค้า แต่ชั้นวางแทนที่จะสูงแค่ระดับสายตากลับสูงขึ้นไปติดเพดาน แสงไฟในห้องจึงทำหน้าที่ของมันได้ไม่เต็มที่คือมืดสลัวจนมองแทบไม่เห็น เสื้อผ้าของที่นี่มีแค่ชุดนักเรียน ชุดพละและชุดหมีสำหรับทำงาน
มนสิชาหยิบชุดหมีไซส์ของตัวเองมาลองในห้องลองเสื้อผ้า ในนั้นมีกระจกติดอยู่ หญิงสาวมองเห็นหน้าตัวเองแปลกไปจากเดิม
"นี่มันอะไรกัน" เธอเปิดประตูและชี้ไปที่กระจก
"เกิดอะไรขึ้น" ปุยฝ้ายเท้าเอวอยู่ข้างหลังเธอ
"ทำไมหน้าพี่เหมือนเด็กอายุสิบแปด" มนสิชาร้อง รู้สึกแปลกใจระคนดีใจ
"อ๋อ คิดว่าเรื่องอะไร" ปุยฝ้ายขยับนิ้วโป้งปัดจมูก "ทุกคนที่นี่ก็ดูเหมือนเด็กม.ปลายกันทั้งนั้นแหละ ปุยฝ้ายเลยเห็นมนเป็นเด็กม.ปลายเหมือนกันไง"
"หัวหน้านักเรียนก็ไม่มีใครอายุจริงน้อยกว่าสามสิบเลยสักคนนะคะ แต่ดูเหมือนเด็กม.ปลายกันทุกคน" ชูครีมบอก
"แล้วพวกเธออายุเท่าไหร่กัน" มนสิชาชี้ไปที่หน้าปุยฝ้าย
"สิบแปดแล้วล่ะ"
"ปีนี้สิบเจ็ดค่ะ"
"พี่น่ะอายุยี่สิบเจ็ดแล้วนะ"
"แหม แต่ก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ" ปุยฝ้ายถามด้วยรอยยิ้มกว้าง เอามือจิ้มหน้ามนสิชาซึ่งเด้งดึ๋งกว่าเดิม "ดูเด็กลงตั้งเยอะ"
"เอาเถอะ จะว่าดีก็ดี" มนสิชาปัดมือเด็กสาวออก เธอเปลี่ยนใจไปหยิบชุดนักเรียนและชุดพละมาลองด้วย
"ต้องงั้นสิ" ปุยฝ้ายบอก
มนสิชาอยู่ในชุดนักเรียนเรียบร้อย ส่วนโค้งเว้าของเธอถูกซ่อนสายตา ปุยฝ้ายและชูครีมปรบมือให้เธอ
"น่ารักไปเลย ลุงๆ ต้องมาตามจีบแน่ อิจฉามนจัง" ปุยฝ้ายร้องอย่างคึกคัก
"ปุยฝ้ายก็ต้องเป็นปุยฝ้ายสิ ถึงจะดี" มนสิชาสรุปให้ ก่อนเดินไปสำรวจชั้นวางของที่เหลือ ของในห้องสวัสดิการไม่ต่างจากร้านขายของชำเลย มีผงซักฟอก แปรงสีฟัน ยาสีฟัน สบู่ "แล้วที่พักล่ะ พี่จะได้ไปพักที่ไหน"
"ไปบ้านชูครีมหรือเปล่าคะ ที่จริงปุยฝ้ายก็อยู่ด้วยกัน ถ้าคุณมนไม่รังเกียจ" ชูครีมขัดเขิน ลุ้นว่าพี่สาวคนสวยจะอยากไปอยู่กับเธอด้วยหรือเปล่า
"จริงเหรอ ขอบคุณมากเลยนะ" มนสิชาดีใจจึงจับมือชูครีม ปุยฝ้ายเห็นเป็นโอกาสจึงกอดคอเพื่อนสาวทั้งสองคนแล้วกระโดดเป็นวงกลม คนที่เหลือจึงเอามือกอดคอแล้วกระโดดตาม พี่สาวคนโตไม่ได้แสดงออกแบบเด็กๆมานาน จึงรู้สึกมีความสุขล้นเอ่อ เธอคิดว่าอีกไม่นานคงต้องเปลี่ยนไปเพราะเด็กสองคนนี้แน่ๆ
สามสาวเดินออกจากโรงเรียนในชุดหมีแล้วมุ่งหน้าไปยังในตัวเมืองทิศเหนือ บ้านเรือนของทิศเหนือมีอพาร์ตเมนต์และอาคารหลังใหญ่ตั้งเรียงรายสองข้างทาง มีทั้งเป็นที่พักและเปิดขายอาหารและเครื่องดื่ม มนสิชาสังเกตเห็นว่าตัวแบบบ้านเป็นสไตล์โมเดิร์นเหมือนกันทุกหลัง เธอรู้สึกเหมือนเข้ามาในโลกแห่งอนาคต เพียงแต่พื้นที่เล็กๆแห่งนี้ไม่ใหญ่พอที่คนจะใช้รถ ดังนั้นถนนที่เห็นจึงเป็นถนนคนเดิน
"เราต้องเดินออกนอกเมืองไปหน่อยหนึ่งค่ะ" ชูครีมหันหน้ามาบอกมนสิชา "ตรงชายขอบของทุกเมืองจะมีประตูมิติ เป็นที่ๆ ทิศเหนือกำลังซ่อมกำแพงอยู่ค่ะ"
มนสิชาพยักหน้าแล้วเดินตามสองสาวไปเงียบๆ ตอนนี้ร้านค้าในเมืองเปิดขายกันตามปกติ พวกวัยรุ่นอยู่ประจำร้านของตัวเอง ลูกค้าส่วนใหญ่มุ่งหน้าไปที่กำแพงเมือง เดินมาราวสิบนาทีพวกเธอก็มาถึงกำแพงเมือง กำแพงสีเทาสูงกว่าสี่เมตร หนาสองเมตร ยาวจากทิศตะวันตกไปยังทิศตะวันออกจนไม่เห็นจุดสิ้นสุด
"โห กำแพงถูกทำลายไปเยอะเหมือนกันนะเนี่ย"
ปุยฝ้ายอุทานเมื่อมองสภาพกำแพงที่มีรอยไหม้ดำยาวกว่ายี่สิบเมตร แถมบางส่วนยังพังเละเหลือแต่ตอ มีนักเรียนในชุดหมียืนรายล้อมกำแพงเต็มไปหมด พวกเขาเหมือนมดตัวเล็กๆที่ยืนอยู่ในปราสาทราชวังใหญ่ งานนี้คงทำวันเดียวไม่เสร็จและยังมีพื้นที่ว่างให้ทำช่วยกันทำงานอีกมากมายนัก
เทพทัตยืนอยู่ต่อหน้ากลุ่มนักเรียนราวสองร้อยคน เขาประกาศผ่านไมโครโฟนแบบพกพา มีกลุ่มนักเรียนยืนอยู่ข้างหลังเขาราวกับเป็นผู้คุ้มกัน
"ผมคิดว่าซ่อมกำแพงคงไม่เสร็จในวันเดียว วันนี้เราจะให้ทุกคนมาช่วยกัน แต่ตั้งแต่พรุ่งนี้ไป เราจะให้นักเรียนครึ่งหนึ่งมาช่วยเรา สลับกันมาวันเว้นวันนะครับ"
นักเรียนพยักหน้าตอบรับ
"แต่ว่าอัศวินที่ลงทะเบียนไว้ต้องมาประจำที่นี่ทุกวันนะครับ ถ้าอัศวินได้ยินช่วยยกมือด้วย"
คนที่ยืนหลังเทพทัตยกมือ มีคนในฝูงชนยกมือประปราย ชูครีมเองก็ยกมือด้วย
"อัศวินนี่คืออะไรเหรอ ได้ยินหลายทีแล้วนะ" มนสิชาถามชูครีม
"เดี๋ยววันนี้ก็คงได้เห็นเองค่ะ" ชูครีมตอบสั้นๆ ตั้งใจฟังที่ผู้นำของพวกเธอพูด
เมื่อเทพทัตแบ่งงานเรียบร้อยแล้ว ปุยฝ้ายก็ตรงเข้าไปรับเครื่องเจาะคอนกรีตมาจากเด็กหนุ่ม เธอแบกมันมาอย่างยากลำบาก แทบจะยกจากพื้นไม่ขึ้นด้วยซ้ำ มนสิชาจึงเข้าไปช่วย เธอพบว่าเครื่องไม่ได้หนักขนาดนั้น ชูครีมอดทนรอไม่ไหวจึงแย่งมาถือไว้ด้วยมือเดียว มนสิชาอ้าปากค้าง
ชูครีมจึงรับหน้าที่เจาะซากกำแพงที่เหลืออยู่เพียงเล็กน้อยออก เพื่อให้สามารถก่อกำแพงขึ้นใหม่ได้ มนสิชามองไปรอบๆ เธอเห็นว่านอกจากผู้ชายที่ทำหน้าที่เจาะกำแพงแล้ว ผู้หญิงก็ทำเช่นเดียวกัน เธอได้ข้อสรุปว่าแรงที่กล้ามเนื้อคงไม่ได้ทำให้คนในนี้มีแรงมากกว่าใคร แต่เป็นอย่างอื่นมากกว่า บางทีคงเป็นพลังที่ปุยฝ้ายเคยเอ่ยถึงเมื่อตอนกินข้าวก็เป็นได้
"ชูครีมนี่สุดยอดไปเลยนะ เธอต้องล้มยักษ์ได้แน่ๆ เลย" มนสิชาเอ่ยปากชม
"มะ..ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ คะ..คนอย่างชูครีมจะไปทำอย่างนั้นได้ยังไง" ชูครีมตอบตะกุกตะกัก
"แต่ก็ไม่แน่นะ ชูครีมเคยล้มมอนสเตอร์ที่ใหญ่กว่าตัวเองตั้งสองเท่าได้มาแล้ว" ปุยฝ้ายโอ้อวดแทน เธอกอดอกแล้วหลับตาจินตนาการถึงตอนชูครีมสู้กับมอนสเตอร์
"โธ่ พอเถอะค่ะ เดี๋ยวคนอื่นก็เข้าใจว่าชูครีมเป็นจอมพลังหรอก ชูครีมเป็นแค่คนธรรมดาๆเท่านั้นเอง" ชูครีมบอกแบบถ่อมตัว "ไม่น่าเชื่อเลยนะคะ คนที่ทำอะไรก็ไม่ได้เรื่องแบบชูครีมจะมีประโยชน์เวลาอยู่ในฝันแบบนี้ แต่ทุกครั้งที่มีปัญหาก็เป็นเพราะมันสมองของคุณปุยฝ้ายทั้งนั้น ที่ช่วยหาทางออกให้เรา"
"เธอนี่ดูถูกตัวเองเกินไปแล้ว ถ้าไม่มีเธอ ฉันก็เอาตัวรอดไม่ได้จนถึงทุกวันนี้หรอก" ปุยฝ้ายชี้จุดดีของเพื่อน
"พอเถอะค่ะ เราพอเรื่องความสามารถของชูครีมไว้เท่านี้ก่อน ว่าแต่คุณมนเชื่อหรือยังคะ ว่าตอนนี้อยู่ในโลกของความฝัน"
ก่อนที่มนสิชาจะตอบ เสียงไซเรนดังขึ้น ตามด้วยเสียงคำราม ฝูงอสูรกายติดปีกบินพุ่งเข้ามาในเขตแดนของทิศเหนือ!
รบกวน กดไลค์ กดแชร์ กดติดตาม และคอมเม้นท์ ให้กำลังใจนักเขียนด้วยนะคะ อยากให้เนื้อเรื่องเป็นยังไง ภาษาให้เป็นแบบไหน หรือชอบงานตรงไหน คอมเม้นท์มาได้นะคะ
"ไปโรงเรียนวรรณวิลาศค่ะ" มนสิชาตะโกนบอกกับวินมอเตอร์ไซค์ที่นั่งอยู่ริมฟุตบาท ชายหนุ่มร่างผอมหันมาตามเสียง เจอสาววัยยี่สิบเจ็ดทรงโต ก้นงอน เอวบาง หุ่นระดับนางแบบของเธอทำเอาวินมอเตอร์ไซค์อ้าปากค้าง หญิงสาวสวมสูทสีเทาถือแฟ้มใส่เอกสารแนบอก มืออีกข้างแขวนกระเป๋าใบเล็กมาด้วย "เฮ้ย หน้าสวยด้วยว่ะ" เพื่อนวินอีกคนกระซิบ ทำเสียงซื๊ดซ๊าดในปาก มนสิชาทำเป็นไม่ใส่ใจ เธอเจอจนชิน เพราะทรงโตนี่แหละ เรียกสายตาหื่นได้ดีนัก บางครั้งก็เรียกความช่วยเหลือมาจากเสี่ย ผู้บริหาร ชายแปลกหน้าได้ดี แถมสายตาร้อนๆ จากเหล่าผู้หญิงรอบตัว แต่ถ้าเธอสนใจรวยทางลัด เธอคงไม่มาสอบสัมภาษณ์งานที่โรงเรียนเล็กๆอย่างนี้ "ไม่มีหมวกไม่ไปนะคะ" มนสิชาบอก "เบื่อเวลาตำรวจเรียก" "ไอ็น็อต ยืมหมวกหน่อยโว้ย" วินมอเตอร์ไซค์ผอมบางไม่พูดเปล่า แย่งหมวกกันน็อคมาจากตะกร้าหน้ารถเพื่อน เจ้าตัวพยักหน้าหงึกหงักแล้วส่งยิ้มเพ้อฝันมาให้หญิงสาว "ยินดีครับ ขอให้เป็นวันที่ดีนะครับ" น็อตจ้องเขม็งมาที่หล่อน น้ำลายแทบจะไหล มนสิชายิ้มต
ขณะเดียวกันในโลกแห่งความเป็นจริง ร่างของมนสิชาและหนุ่มวินมอเตอร์ไซค์ถูกเข็นเข้ามาในโรงพยาบาลกิตติวินท์ วินมอเตอร์ไซค์มีเลือดเปรอะลำตัวและใบหน้า ข้อศอกทำองศาบิดเบี้ยวอย่างคนแขนหัก มีแผลแตกตามตัว สัญญาณชีพของเขาหายไปจากหน้าจอ พยาบาลจึงกระโดดขึ้นบนเตียงเพื่อปั๊มหัวใจให้ชายหนุ่ม "สัญญาณชีพไม่มาเลยค่ะ" พยาบาลรายงานหมอเวรที่เดินกึ่งวิ่งเข้ามา "กระตุ้นหัวใจด้วยเครื่องช็อกไฟฟ้า" หมอเวรเอ่ยเสียงเรียบ พยาบาลติดตั้งเครื่องช็อกไฟฟ้า หมอหนุ่มมองเครื่องช็อกไฟฟ้า ก่อนหันมาสั่งเสียงเฉียบขาด "กดปุ่มช็อก" หมอกดเครื่องช็อตไฟฟ้าลงไปบนหน้าอก แล้วกดหน้าอกต่อ ทำซ้ำหลายครั้ง ร่างของวินมอเตอร์ไซด์สงบนิ่ง ไม่ตอบสนองต่อการช่วยเหลือ "เวลาเสียชีวิต สิบเอ็ดนาฬิกายี่สิบเอ็ดนาที" พยาบาลถือชาร์ตคอยจดตามหลัง เสียงเขียนทำลายความเงียบในห้องฉุกเฉิน หมอเวรถอนหายใจเดินไปยังเตียงของมนสิชาซึ่งอยู่ถัดไป ตอนเกิดอุบัติเหตุมนสิชาโดนรถเก๋งสีดำกระแทกขาเข้าอย่างจัง ที่ขาเธอจึงมีเผือกชั่วคร
มนสิชารู้สึกเครียดมากที่รู้ว่าตัวเองหลุดมาอยู่ในโลกแห่งความฝัน เธอคงประสบอุบัติเหตุระหว่างทาง เธอรับไม่ได้กับสถานการณ์ตอนนี้ หญิงสาวยกสองมือขึ้นกุมศีรษะแล้วส่ายหน้าอย่างแรง "อย่าเพิ่งเครียดไปเลย ตามพวกเรามาทางนี้ดีกว่า" ปุยฝ้ายชวนด้วยน้ำเสียงสดใส เธอประสานมือไว้ด้านหลังแล้วแอ่นตัวมาด้านหน้า มองมนสิชาด้วยสีหน้าไม่ทุกข์ร้อนใดๆ สองสาวเดินพามนสิชาไปโรงอาหารที่อยู่ตรงข้ามกับตึกบริหาร มีโต๊ะไม้ตัวยาววางเรียงกันอย่างแน่นขนัดจนแทบไม่มีที่ว่างให้เดิน เป็นสัญญาณบอกว่าสมัยหนึ่งโรงเรียนแห่งนี้เคยมีนักเรียนมานั่งทานอาหารเกินกว่าที่โรงอาหารจะรับมือไหว ร้านอาหารมีพ่อค้าแม่ค้าวัยรุ่นยืนขายอาหาร หน้าตาพวกเขาไม่ได้ดูแก่ไปกว่าสองสาวเท่าไรนัก "เวลามาตึกเรียนส่วนกลาง พวกเราก็ชอบมากินข้าวที่นี่แหละค่ะ ว่าแต่ว่าเธอชื่ออะไรเหรอคะ" ชูครีมเริ่มต้นประโยคสนทนาด้วยความสุภาพ "พี่ชื่อมนสิชาจ้ะ เรียกพี่มนก็ได้ แล้วน้องๆ" "ปุยฝ้าย" "ชูครีมค่ะ" สองสาวเอ่ยชื่อเล่นตัวเองอย่างเรียบง่าย
เทพทัตยืนขึ้นในที่ประชุม ร่างที่สูงใหญ่ของเขาเป็นจุดสนใจอีกครั้ง ทำให้เหล่านักเรียนเงียบเสียงลง "ผมขออนุญาตใช้เวทีนี้เป็นที่ประกาศ ขอยกเลิกการเรียนการสอนของทิศเหนือในตอนบ่าย เพราะอยากได้แรงงานไปช่วยกันสร้างกำแพงที่โดนมอนสเตอร์ทำลายนะครับ นักเรียน ทิศเหนือที่สนใจสามารถไปรวมตัวกันได้ที่หน้ากำแพงครับ" มีนักเรียนชายคนหนึ่งยกมือขึ้น "เชิญครับ" เทพทัตอนุญาตให้เขาพูด "ค่าแรงชั่วโมงละเท่าไหร่ครับ" "ค่าแรงขั้นต่ำบวกเพิ่มอีกห้าสิบบาทครับ เพราะเขตก่อสร้างอยู่ใกล้ประตูมิติ มันค่อนข้างอันตราย" นักเรียนหลายคนทำท่าสนใจ เทพทัตดูพอใจกับอาการเหล่านั้น เขาทำท่าจะเอ่ยอะไรอีก "งั้นปิดประชุมเลย" สุเมธโพล่งขึ้น นักเรียนชายหลายคนปรบมือให้กับคำพูดนั้น สุเมธโค้งให้กับพวกนักเรียนชาย เสียงปรบมือค่อนข้างดัง ทำให้เทพทัตจำเป็นต้องถอยก่อนเพราะไม่อย่างนั้นคนจะไม่พอใจเอา "พวกเราก็ไปกันเถอะค่ะ คุณปุยฝ้าย คุณมน" ชูครีมชวนเมื่อคนเริ่มทยอยกันออกนอกห้องประชุม "อันดั
มนสิชารู้สึกเครียดมากที่รู้ว่าตัวเองหลุดมาอยู่ในโลกแห่งความฝัน เธอคงประสบอุบัติเหตุระหว่างทาง เธอรับไม่ได้กับสถานการณ์ตอนนี้ หญิงสาวยกสองมือขึ้นกุมศีรษะแล้วส่ายหน้าอย่างแรง "อย่าเพิ่งเครียดไปเลย ตามพวกเรามาทางนี้ดีกว่า" ปุยฝ้ายชวนด้วยน้ำเสียงสดใส เธอประสานมือไว้ด้านหลังแล้วแอ่นตัวมาด้านหน้า มองมนสิชาด้วยสีหน้าไม่ทุกข์ร้อนใดๆ สองสาวเดินพามนสิชาไปโรงอาหารที่อยู่ตรงข้ามกับตึกบริหาร มีโต๊ะไม้ตัวยาววางเรียงกันอย่างแน่นขนัดจนแทบไม่มีที่ว่างให้เดิน เป็นสัญญาณบอกว่าสมัยหนึ่งโรงเรียนแห่งนี้เคยมีนักเรียนมานั่งทานอาหารเกินกว่าที่โรงอาหารจะรับมือไหว ร้านอาหารมีพ่อค้าแม่ค้าวัยรุ่นยืนขายอาหาร หน้าตาพวกเขาไม่ได้ดูแก่ไปกว่าสองสาวเท่าไรนัก "เวลามาตึกเรียนส่วนกลาง พวกเราก็ชอบมากินข้าวที่นี่แหละค่ะ ว่าแต่ว่าเธอชื่ออะไรเหรอคะ" ชูครีมเริ่มต้นประโยคสนทนาด้วยความสุภาพ "พี่ชื่อมนสิชาจ้ะ เรียกพี่มนก็ได้ แล้วน้องๆ" "ปุยฝ้าย" "ชูครีมค่ะ" สองสาวเอ่ยชื่อเล่นตัวเองอย่างเรียบง่าย
ขณะเดียวกันในโลกแห่งความเป็นจริง ร่างของมนสิชาและหนุ่มวินมอเตอร์ไซค์ถูกเข็นเข้ามาในโรงพยาบาลกิตติวินท์ วินมอเตอร์ไซค์มีเลือดเปรอะลำตัวและใบหน้า ข้อศอกทำองศาบิดเบี้ยวอย่างคนแขนหัก มีแผลแตกตามตัว สัญญาณชีพของเขาหายไปจากหน้าจอ พยาบาลจึงกระโดดขึ้นบนเตียงเพื่อปั๊มหัวใจให้ชายหนุ่ม "สัญญาณชีพไม่มาเลยค่ะ" พยาบาลรายงานหมอเวรที่เดินกึ่งวิ่งเข้ามา "กระตุ้นหัวใจด้วยเครื่องช็อกไฟฟ้า" หมอเวรเอ่ยเสียงเรียบ พยาบาลติดตั้งเครื่องช็อกไฟฟ้า หมอหนุ่มมองเครื่องช็อกไฟฟ้า ก่อนหันมาสั่งเสียงเฉียบขาด "กดปุ่มช็อก" หมอกดเครื่องช็อตไฟฟ้าลงไปบนหน้าอก แล้วกดหน้าอกต่อ ทำซ้ำหลายครั้ง ร่างของวินมอเตอร์ไซด์สงบนิ่ง ไม่ตอบสนองต่อการช่วยเหลือ "เวลาเสียชีวิต สิบเอ็ดนาฬิกายี่สิบเอ็ดนาที" พยาบาลถือชาร์ตคอยจดตามหลัง เสียงเขียนทำลายความเงียบในห้องฉุกเฉิน หมอเวรถอนหายใจเดินไปยังเตียงของมนสิชาซึ่งอยู่ถัดไป ตอนเกิดอุบัติเหตุมนสิชาโดนรถเก๋งสีดำกระแทกขาเข้าอย่างจัง ที่ขาเธอจึงมีเผือกชั่วคร
"ไปโรงเรียนวรรณวิลาศค่ะ" มนสิชาตะโกนบอกกับวินมอเตอร์ไซค์ที่นั่งอยู่ริมฟุตบาท ชายหนุ่มร่างผอมหันมาตามเสียง เจอสาววัยยี่สิบเจ็ดทรงโต ก้นงอน เอวบาง หุ่นระดับนางแบบของเธอทำเอาวินมอเตอร์ไซค์อ้าปากค้าง หญิงสาวสวมสูทสีเทาถือแฟ้มใส่เอกสารแนบอก มืออีกข้างแขวนกระเป๋าใบเล็กมาด้วย "เฮ้ย หน้าสวยด้วยว่ะ" เพื่อนวินอีกคนกระซิบ ทำเสียงซื๊ดซ๊าดในปาก มนสิชาทำเป็นไม่ใส่ใจ เธอเจอจนชิน เพราะทรงโตนี่แหละ เรียกสายตาหื่นได้ดีนัก บางครั้งก็เรียกความช่วยเหลือมาจากเสี่ย ผู้บริหาร ชายแปลกหน้าได้ดี แถมสายตาร้อนๆ จากเหล่าผู้หญิงรอบตัว แต่ถ้าเธอสนใจรวยทางลัด เธอคงไม่มาสอบสัมภาษณ์งานที่โรงเรียนเล็กๆอย่างนี้ "ไม่มีหมวกไม่ไปนะคะ" มนสิชาบอก "เบื่อเวลาตำรวจเรียก" "ไอ็น็อต ยืมหมวกหน่อยโว้ย" วินมอเตอร์ไซค์ผอมบางไม่พูดเปล่า แย่งหมวกกันน็อคมาจากตะกร้าหน้ารถเพื่อน เจ้าตัวพยักหน้าหงึกหงักแล้วส่งยิ้มเพ้อฝันมาให้หญิงสาว "ยินดีครับ ขอให้เป็นวันที่ดีนะครับ" น็อตจ้องเขม็งมาที่หล่อน น้ำลายแทบจะไหล มนสิชายิ้มต