เทพทัตยืนขึ้นในที่ประชุม ร่างที่สูงใหญ่ของเขาเป็นจุดสนใจอีกครั้ง ทำให้เหล่านักเรียนเงียบเสียงลง
"ผมขออนุญาตใช้เวทีนี้เป็นที่ประกาศ ขอยกเลิกการเรียนการสอนของทิศเหนือในตอนบ่าย เพราะอยากได้แรงงานไปช่วยกันสร้างกำแพงที่โดนมอนสเตอร์ทำลายนะครับ นักเรียน ทิศเหนือที่สนใจสามารถไปรวมตัวกันได้ที่หน้ากำแพงครับ"
มีนักเรียนชายคนหนึ่งยกมือขึ้น
"เชิญครับ" เทพทัตอนุญาตให้เขาพูด
"ค่าแรงชั่วโมงละเท่าไหร่ครับ"
"ค่าแรงขั้นต่ำบวกเพิ่มอีกห้าสิบบาทครับ เพราะเขตก่อสร้างอยู่ใกล้ประตูมิติ มันค่อนข้างอันตราย"
นักเรียนหลายคนทำท่าสนใจ เทพทัตดูพอใจกับอาการเหล่านั้น เขาทำท่าจะเอ่ยอะไรอีก
"งั้นปิดประชุมเลย" สุเมธโพล่งขึ้น
นักเรียนชายหลายคนปรบมือให้กับคำพูดนั้น สุเมธโค้งให้กับพวกนักเรียนชาย เสียงปรบมือค่อนข้างดัง ทำให้เทพทัตจำเป็นต้องถอยก่อนเพราะไม่อย่างนั้นคนจะไม่พอใจเอา
"พวกเราก็ไปกันเถอะค่ะ คุณปุยฝ้าย คุณมน" ชูครีมชวนเมื่อคนเริ่มทยอยกันออกนอกห้องประชุม "อันดับแรกคุณมนต้องทำงานหาเงินก่อนนะคะ เราอยู่ในฝันก็จริง แต่เราต้องกินข้าว ถ้าไม่กินจะไม่มีแรงและอาจถึงขั้นตายเลยค่ะ งานที่หัวหน้าทิศเหนือแนะนำเมื่อกี้เป็นงานที่แรงงานไร้ฝีมืออย่างคุณมนสามารถทำได้ค่ะ"
"จะว่าไปฉันเองถึงอยู่มานาน ก็ยังทำได้แต่งานไร้ฝีมือทั้งนั้นเลย" ปุยฝ้ายบอกหัวเราะแหะๆ
"เป็นฝันที่ยุ่งยากจังเลยนะ" มนสิชาบ่น "อีกเดี๋ยวพี่ก็ตื่นแล้วมั้ง ถึงตายในฝันคงไม่เป็นไร"
"ฉันฝันอยู่ในโรงเรียนแห่งนี้มาสองปีหนึ่งเดือนแล้วนะ" ปุยฝ้ายบอกเสียงเรียบ
"ส่วนชูครีมก็หลับมาหนึ่งปีสิบเดือนแล้วค่ะ"
มนสิชารู้สึกหน้าชา เธอตั้งคำถามกับตัวเอง แล้วเธอล่ะจะฝันไปนานแค่ไหน เรื่องในฝันค่อนข้างประหลาดและเกินจินตนาการของเธอ หญิงสาวเริ่มเชื่อมากขึ้นเรื่อยๆ ว่านี่ไม่ใช่ฝันที่เธอจินตนาการขึ้นเอง แต่เป็นฝันที่มีคนทำให้มันเกิด
"พวกเราไปเปลี่ยนชุดกันก่อนไหม เดี๋ยวชุดนักเรียนจะเลอะหมด" ปุยฝ้ายชวน
พวกเธอออกมานอกอาคารได้สำเร็จ เดินไปตามทางเดินยาวๆ ท้องฟ้าเป็นสีฟ้าเหมือนปกติ มีป้ายสีน้ำเงินตรงทางสี่แยก โรงเรียนทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศตะวันออก และทิศตะวันตก มนสิชารอให้สองสาวเดินนำหน้าไปทางทิศเหนือ ใช้เวลากว่าสิบห้านาทีกว่าจะมองเห็นอาคาร โรงเรียนทิศเหนือมีอาคารสามหลังคือตึกเรียน ตึกบริหาร และโรงยิม แถมมีสนามฟุตบอลขนาดใหญ่อยู่ตรงกลาง นอกเขตพื้นที่โรงเรียนเป็นอาคารบ้านช่องของคนในบริเวณนั้น มนสิชาคาดว่าเธอจะเจอคนหลายช่วงอายุมากกว่าที่เห็นแค่นักเรียนเหมือนในห้องประชุม แต่เธอไม่เจอคนที่เด็กกว่าหรือแก่กว่าเลย พวกเขาอยู่ในช่วงมัธยมปลายทั้งหมด
"เราไปโรงเรียนกันก่อนดีกว่า เราจะได้ไปขอชุดจากสวัสดิการก่อนค่ะ" ชูครีมแนะนำ พวกเธอเดินผ่านรั้วโรงเรียนที่เปิดอยู่ ผ่านตึกบริหารแล้วเดินเข้าไปในอาคารเรียนชั้นหนึ่ง "ที่สวัสดิการมีของใช้ที่จำเป็นต่อการใช้ชีวิตแจกฟรีสำหรับคนใหม่ค่ะ เราเลือกย้ายโรงเรียนได้ ทุกโรงเรียนจะแจกเสื้อผ้าอาหารและของใช้ต่างๆฟรี รวมทั้งมีที่พักให้ด้วย ขอแค่พอใจจะอยู่เท่านั้น แต่พอเริ่มปรับตัวได้แล้วก็ต้องทำงานหาเงินซื้อของกินเอาเองแล้วจ่ายค่าเช่าที่พักด้วยค่ะ"
ห้องสวัสดิการที่แจกของจำเป็นนั้นเล็กมาก มีชั้นวางของเรียงกันเป็นแถว เว้นระยะอย่างสวยงามเหมือนในห้างสรรพสินค้า แต่ชั้นวางแทนที่จะสูงแค่ระดับสายตากลับสูงขึ้นไปติดเพดาน แสงไฟในห้องจึงทำหน้าที่ของมันได้ไม่เต็มที่คือมืดสลัวจนมองแทบไม่เห็น เสื้อผ้าของที่นี่มีแค่ชุดนักเรียน ชุดพละและชุดหมีสำหรับทำงาน
มนสิชาหยิบชุดหมีไซส์ของตัวเองมาลองในห้องลองเสื้อผ้า ในนั้นมีกระจกติดอยู่ หญิงสาวมองเห็นหน้าตัวเองแปลกไปจากเดิม
"นี่มันอะไรกัน" เธอเปิดประตูและชี้ไปที่กระจก
"เกิดอะไรขึ้น" ปุยฝ้ายเท้าเอวอยู่ข้างหลังเธอ
"ทำไมหน้าพี่เหมือนเด็กอายุสิบแปด" มนสิชาร้อง รู้สึกแปลกใจระคนดีใจ
"อ๋อ คิดว่าเรื่องอะไร" ปุยฝ้ายขยับนิ้วโป้งปัดจมูก "ทุกคนที่นี่ก็ดูเหมือนเด็กม.ปลายกันทั้งนั้นแหละ ปุยฝ้ายเลยเห็นมนเป็นเด็กม.ปลายเหมือนกันไง"
"หัวหน้านักเรียนก็ไม่มีใครอายุจริงน้อยกว่าสามสิบเลยสักคนนะคะ แต่ดูเหมือนเด็กม.ปลายกันทุกคน" ชูครีมบอก
"แล้วพวกเธออายุเท่าไหร่กัน" มนสิชาชี้ไปที่หน้าปุยฝ้าย
"สิบแปดแล้วล่ะ"
"ปีนี้สิบเจ็ดค่ะ"
"พี่น่ะอายุยี่สิบเจ็ดแล้วนะ"
"แหม แต่ก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ" ปุยฝ้ายถามด้วยรอยยิ้มกว้าง เอามือจิ้มหน้ามนสิชาซึ่งเด้งดึ๋งกว่าเดิม "ดูเด็กลงตั้งเยอะ"
"เอาเถอะ จะว่าดีก็ดี" มนสิชาปัดมือเด็กสาวออก เธอเปลี่ยนใจไปหยิบชุดนักเรียนและชุดพละมาลองด้วย
"ต้องงั้นสิ" ปุยฝ้ายบอก
มนสิชาอยู่ในชุดนักเรียนเรียบร้อย ส่วนโค้งเว้าของเธอถูกซ่อนสายตา ปุยฝ้ายและชูครีมปรบมือให้เธอ
"น่ารักไปเลย ลุงๆ ต้องมาตามจีบแน่ อิจฉามนจัง" ปุยฝ้ายร้องอย่างคึกคัก
"ปุยฝ้ายก็ต้องเป็นปุยฝ้ายสิ ถึงจะดี" มนสิชาสรุปให้ ก่อนเดินไปสำรวจชั้นวางของที่เหลือ ของในห้องสวัสดิการไม่ต่างจากร้านขายของชำเลย มีผงซักฟอก แปรงสีฟัน ยาสีฟัน สบู่ "แล้วที่พักล่ะ พี่จะได้ไปพักที่ไหน"
"ไปบ้านชูครีมหรือเปล่าคะ ที่จริงปุยฝ้ายก็อยู่ด้วยกัน ถ้าคุณมนไม่รังเกียจ" ชูครีมขัดเขิน ลุ้นว่าพี่สาวคนสวยจะอยากไปอยู่กับเธอด้วยหรือเปล่า
"จริงเหรอ ขอบคุณมากเลยนะ" มนสิชาดีใจจึงจับมือชูครีม ปุยฝ้ายเห็นเป็นโอกาสจึงกอดคอเพื่อนสาวทั้งสองคนแล้วกระโดดเป็นวงกลม คนที่เหลือจึงเอามือกอดคอแล้วกระโดดตาม พี่สาวคนโตไม่ได้แสดงออกแบบเด็กๆมานาน จึงรู้สึกมีความสุขล้นเอ่อ เธอคิดว่าอีกไม่นานคงต้องเปลี่ยนไปเพราะเด็กสองคนนี้แน่ๆ
สามสาวเดินออกจากโรงเรียนในชุดหมีแล้วมุ่งหน้าไปยังในตัวเมืองทิศเหนือ บ้านเรือนของทิศเหนือมีอพาร์ตเมนต์และอาคารหลังใหญ่ตั้งเรียงรายสองข้างทาง มีทั้งเป็นที่พักและเปิดขายอาหารและเครื่องดื่ม มนสิชาสังเกตเห็นว่าตัวแบบบ้านเป็นสไตล์โมเดิร์นเหมือนกันทุกหลัง เธอรู้สึกเหมือนเข้ามาในโลกแห่งอนาคต เพียงแต่พื้นที่เล็กๆแห่งนี้ไม่ใหญ่พอที่คนจะใช้รถ ดังนั้นถนนที่เห็นจึงเป็นถนนคนเดิน
"เราต้องเดินออกนอกเมืองไปหน่อยหนึ่งค่ะ" ชูครีมหันหน้ามาบอกมนสิชา "ตรงชายขอบของทุกเมืองจะมีประตูมิติ เป็นที่ๆ ทิศเหนือกำลังซ่อมกำแพงอยู่ค่ะ"
มนสิชาพยักหน้าแล้วเดินตามสองสาวไปเงียบๆ ตอนนี้ร้านค้าในเมืองเปิดขายกันตามปกติ พวกวัยรุ่นอยู่ประจำร้านของตัวเอง ลูกค้าส่วนใหญ่มุ่งหน้าไปที่กำแพงเมือง เดินมาราวสิบนาทีพวกเธอก็มาถึงกำแพงเมือง กำแพงสีเทาสูงกว่าสี่เมตร หนาสองเมตร ยาวจากทิศตะวันตกไปยังทิศตะวันออกจนไม่เห็นจุดสิ้นสุด
"โห กำแพงถูกทำลายไปเยอะเหมือนกันนะเนี่ย"
ปุยฝ้ายอุทานเมื่อมองสภาพกำแพงที่มีรอยไหม้ดำยาวกว่ายี่สิบเมตร แถมบางส่วนยังพังเละเหลือแต่ตอ มีนักเรียนในชุดหมียืนรายล้อมกำแพงเต็มไปหมด พวกเขาเหมือนมดตัวเล็กๆที่ยืนอยู่ในปราสาทราชวังใหญ่ งานนี้คงทำวันเดียวไม่เสร็จและยังมีพื้นที่ว่างให้ทำช่วยกันทำงานอีกมากมายนัก
เทพทัตยืนอยู่ต่อหน้ากลุ่มนักเรียนราวสองร้อยคน เขาประกาศผ่านไมโครโฟนแบบพกพา มีกลุ่มนักเรียนยืนอยู่ข้างหลังเขาราวกับเป็นผู้คุ้มกัน
"ผมคิดว่าซ่อมกำแพงคงไม่เสร็จในวันเดียว วันนี้เราจะให้ทุกคนมาช่วยกัน แต่ตั้งแต่พรุ่งนี้ไป เราจะให้นักเรียนครึ่งหนึ่งมาช่วยเรา สลับกันมาวันเว้นวันนะครับ"
นักเรียนพยักหน้าตอบรับ
"แต่ว่าอัศวินที่ลงทะเบียนไว้ต้องมาประจำที่นี่ทุกวันนะครับ ถ้าอัศวินได้ยินช่วยยกมือด้วย"
คนที่ยืนหลังเทพทัตยกมือ มีคนในฝูงชนยกมือประปราย ชูครีมเองก็ยกมือด้วย
"อัศวินนี่คืออะไรเหรอ ได้ยินหลายทีแล้วนะ" มนสิชาถามชูครีม
"เดี๋ยววันนี้ก็คงได้เห็นเองค่ะ" ชูครีมตอบสั้นๆ ตั้งใจฟังที่ผู้นำของพวกเธอพูด
เมื่อเทพทัตแบ่งงานเรียบร้อยแล้ว ปุยฝ้ายก็ตรงเข้าไปรับเครื่องเจาะคอนกรีตมาจากเด็กหนุ่ม เธอแบกมันมาอย่างยากลำบาก แทบจะยกจากพื้นไม่ขึ้นด้วยซ้ำ มนสิชาจึงเข้าไปช่วย เธอพบว่าเครื่องไม่ได้หนักขนาดนั้น ชูครีมอดทนรอไม่ไหวจึงแย่งมาถือไว้ด้วยมือเดียว มนสิชาอ้าปากค้าง
ชูครีมจึงรับหน้าที่เจาะซากกำแพงที่เหลืออยู่เพียงเล็กน้อยออก เพื่อให้สามารถก่อกำแพงขึ้นใหม่ได้ มนสิชามองไปรอบๆ เธอเห็นว่านอกจากผู้ชายที่ทำหน้าที่เจาะกำแพงแล้ว ผู้หญิงก็ทำเช่นเดียวกัน เธอได้ข้อสรุปว่าแรงที่กล้ามเนื้อคงไม่ได้ทำให้คนในนี้มีแรงมากกว่าใคร แต่เป็นอย่างอื่นมากกว่า บางทีคงเป็นพลังที่ปุยฝ้ายเคยเอ่ยถึงเมื่อตอนกินข้าวก็เป็นได้
"ชูครีมนี่สุดยอดไปเลยนะ เธอต้องล้มยักษ์ได้แน่ๆ เลย" มนสิชาเอ่ยปากชม
"มะ..ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ คะ..คนอย่างชูครีมจะไปทำอย่างนั้นได้ยังไง" ชูครีมตอบตะกุกตะกัก
"แต่ก็ไม่แน่นะ ชูครีมเคยล้มมอนสเตอร์ที่ใหญ่กว่าตัวเองตั้งสองเท่าได้มาแล้ว" ปุยฝ้ายโอ้อวดแทน เธอกอดอกแล้วหลับตาจินตนาการถึงตอนชูครีมสู้กับมอนสเตอร์
"โธ่ พอเถอะค่ะ เดี๋ยวคนอื่นก็เข้าใจว่าชูครีมเป็นจอมพลังหรอก ชูครีมเป็นแค่คนธรรมดาๆเท่านั้นเอง" ชูครีมบอกแบบถ่อมตัว "ไม่น่าเชื่อเลยนะคะ คนที่ทำอะไรก็ไม่ได้เรื่องแบบชูครีมจะมีประโยชน์เวลาอยู่ในฝันแบบนี้ แต่ทุกครั้งที่มีปัญหาก็เป็นเพราะมันสมองของคุณปุยฝ้ายทั้งนั้น ที่ช่วยหาทางออกให้เรา"
"เธอนี่ดูถูกตัวเองเกินไปแล้ว ถ้าไม่มีเธอ ฉันก็เอาตัวรอดไม่ได้จนถึงทุกวันนี้หรอก" ปุยฝ้ายชี้จุดดีของเพื่อน
"พอเถอะค่ะ เราพอเรื่องความสามารถของชูครีมไว้เท่านี้ก่อน ว่าแต่คุณมนเชื่อหรือยังคะ ว่าตอนนี้อยู่ในโลกของความฝัน"
ก่อนที่มนสิชาจะตอบ เสียงไซเรนดังขึ้น ตามด้วยเสียงคำราม ฝูงอสูรกายติดปีกบินพุ่งเข้ามาในเขตแดนของทิศเหนือ!
รบกวน กดไลค์ กดแชร์ กดติดตาม และคอมเม้นท์ ให้กำลังใจนักเขียนด้วยนะคะ อยากให้เนื้อเรื่องเป็นยังไง ภาษาให้เป็นแบบไหน หรือชอบงานตรงไหน คอมเม้นท์มาได้นะคะ
"พวกเรากลับบ้านกันดีไหมคะ" ชูครีมที่กลับมาแข็งแรงอีกครั้งถามขึ้นตอนเดินเล่นในเมือง มนสิชาพยักหน้า "ไปกันๆ" ปุยฝ้ายตอบรับเหมือนเด็ก บ้านของชูครีมและปุยฝ้ายอยู่ในย่านบ้านคนมีอันจะกิน เพราะชูครีมทำเงินได้มากจากการต่อสู้กับมอนสเตอร์ ส่วนปุยฝ้ายก็คอยช่วยเพื่อนดูแลบ้าน บ้านของสองสาวเป็นบ้านเดี่ยวสูงสองชั้น มีบริเวณเล็กๆให้เดินผ่อนคลายได้ สไตล์โมเดิร์นนั้นแทรกซึมไปทุกอณูของบ้าน ของทุกอย่างในบ้านเป็นสีขาวดำ ปุยฝ้ายทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาผ้าเนื้อนิ่ม เธอเด้งดึ๋งบนโซฟาพักหนึ่งกว่าจะหยุด วัสดุที่ใช้ทำโซฟาไม่เหมือนในโลกความเป็นจริง มนสิชานั่งลงตามจึงได้รู้ว่าความนิ่มและสัมผัสแสนสบายนั้นเหมือนอยู่บนปุยเมฆ ชูครีมเดินไปหยิบน้ำมาเสิร์ฟ "จะดีเหรอที่ให้พี่มาพักอยู่ด้วย" มนสิชาถาม "หอพักของโรงเรียนเตียงแข็งมากเลยนะคะ แถมยังเสียงดังด้วย มาอยู่กับพวกเราเถอะค่ะ บ้านนี้ยังมีที่ว่างอีกเยอะ" ชูครีมตอบพลางยกน้ำขึ้นดื่ม กลิ่นมะลิที่เธอลอยไว้หอมกรุ่นอยู่ในน้ำ ปุยฝ้ายยกน้ำขึ้นดื่มบ้าง "น้ำประปาอีกแล
ชูครีมวางเครื่องเจาะคอนกรีตลงแล้ววิ่งไปยังจุดเกิดเหตุ ปุยฝ้ายดึงมนสิชาออกมาจากบริเวณนั้นพร้อมๆกับคนอื่น ฝูงอสูรกายติดปีกบินเขามาเหนือกำแพงเมือง แล้วฟาดกำแพงจนถล่มลงมาอีกระลอก พวกมันมีสองขาและสองแขนเหมือนมนุษย์ ลำตัวหนาและสูงใหญ่เกือบสองเมตร ผิวหนังสีดำสนิท กล้ามเนื้อแน่นเป็นมัด ดวงตาสีแดงไร้แสงสะท้อน "สเลฟ*จงออกมา" เสียงตะโกนจากเหล่าอัศวินดังขึ้น ประตูมิติขนาดเล็กเปิดออก มีสัตว์ทยอยกันออกมา สเลฟของ ชูครีมใหญ่กว่าคนหลายเท่า ผิวหนังสากหยาบกระด้าง ดวงตาสีทอง ปากใหญ่นั้นเต็มไปด้วยฟันแหลมคมซี่โต ชูครีมถีบตัวขึ้นไปบนหลังมังกรของเธอ(คำอ่าน Slave นั้น ถ้าเป็นภาษาเขียนจะเขียนว่า สแลฟ หรือสลาฟ แต่พอคนเขียนกดฟังภาษาจากต้นตำรับ เขาออกเสียงว่า สเลฟ ดังนั้นในเรื่องจึงเขียนว่า สเลฟ ทุกคำนะคะ) อสูรกายติดปีกตัวหนึ่งบินเข้ามาปะทะ ชูครีมดึงบังเหียนให้มังกรหลบไปด้านข้าง แต่ช้าไป โดนกระแทกเข้าเต็มแรง มังกรของชูครีมกระเด็นไปหลายเมตร กางปีกก่อนบินขึ้นมาได้อีก เด็กสาวตั้งลำมังกรใหม่ เธอรู้สึกเจ็บแปลบที่แขนขวา เมื่อก้มมองก็แทบห
ปริญถือช่อดอกไม้เดินเข้ามาในห้องพิเศษ เขาเป็นคนรูปร่างสูงใหญ่ กล้ามเนื้อแน่นเพราะเข้าฟิตเนส จมูกเป็นสันเหมือนรูปปั้น ดวงตามีแววลึกซึ้งอย่างคนฉลาด เขาเดินมายังแผนกห้องพิเศษเพื่อตามหามนสิชา พยาบาลสาวๆ แอบร้องกรี๊ดเมื่อเขาเดินตรงมา หัวหน้าพยาบาลมองดูเด็กในปกครองของตัวเองออกอาการคลั่งหนุ่มหล่อจึงอดไม่ได้ที่จะปราม "นี่ๆ มากไปแล้วนะ" พวกเธอแตกฮือกันไปทำหน้าที่ของตน หัวหน้าพยาบาลส่งรอยยิ้มตามมารยาทให้ปริญ "ติดต่อสอบถามหรือคะ" "ครับ ผมกำลังตามหาห้องของมนสิชา ภูริเดโชครับ" "สักครู่นะคะ" เธอเคาะนิ้วลงบนแป้นพิมพ์ เครือข่ายห้องผู้ป่วยทั่วทั้งโรงพยาบาลประมวลผลหาชื่อนี้ ชั่วครู่รายชื่อก็ปรากฎออกมา "ชั้นเก้า ห้องเก้าศูนย์สามค่ะ" "ขอบคุณมากครับ" เขาเดินจากไปโดยไม่รู้ตัวเลยว่าทั้งแผนกปั่นป่วนหัวใจขนาดไหน แม้แต่หัวหน้าพยาบาลมาดมืออาชีพเมื่อสักครู่ก็หวั่นไหวกับความหล่อเขาเช่นกัน "ห้องเจ้าหญิงนิทรานี่คะ" พยาบาลสาวคนหนึ่งใจกล้าออกความเห็น "เพิ่งเข้าโรงพยาบาลได้สองวันเอง เดี๋ยวก็ฟื้น" หัว
เสียงออดเข้าเรียนดังขึ้น ชูครีมจูงมือมนสิชาไปเข้าเรียน ห้องเรียนเป็นห้องเรียนในอุดมคติ มีนักเรียนสิบกว่าคนต่อครูคนเดียว ครูที่นี่หน้าตาเหมือนเด็กมัธยม สิ่งที่แยกพวกเขาได้คือชุดที่สวมเท่านั้น ห้องเรียนประดับไปด้วยสายรุ้งแฟนซีและลูกโป่ง ทุกคนหน้าตายิ้มแย้มไม่เหมือนกำลังมาเรียนหนังสือแต่มาเล่นสนุกกันมากกว่า "ครูดวงใจคะ วันนี้มีนักเรียนใหม่มาเรียนกับพวกเราด้วยค่ะ" ชูครีมดันหลังมนสิชาให้เดินไปข้างหน้า "มนสิชา ภูริเดโชค่ะ" เธอแนะนำตัว "ยินดีต้อนรับนะ นั่งก่อนสิค่ะ แล้วปุยฝ้ายหายไปไหนอีกแล้ว" ดวงใจเอ่ย เธอดูสนิทกับนักเรียนทุกคน "หลับไม่ฝันค่ะ" ชูครีมตอบสั้นๆ ดูง่วนกับการหาขอบางอย่างในกระเป๋านักเรียน "แต่ก็ช่างเถอะ เพราะวันนี้เราไม่ได้จะเรียนในห้องเรียนกัน" มนสิชามองสายรุ้งประดับอย่างเสียดาย เธอชอบสีสันของมันแท้ๆ "เมื่อวานสวนดอกไม้ส่วนกลางและสวนดอกไม้ของโรงเรียนเราแห้งเหี่ยวไปหมดเลย ครูก็เลยจะพาพวกเราไปจัดการสักหน่อย" นักเรียนในห้องปรบมือกัน มนสิชาไม่คิดว่าพวกเขาจะตบมือเพราะดีใจที่ดอกไม้
มนสิชาทำหน้าเป็นกังวล ไม่พอใจ ถอนหายใจ ไม่ยอมพูดกับใครตลอดทั้งวัน ปุยฝ้ายรู้สึกว่าอารมณ์คราวนี้เป็นของจริง จึงไม่กล้าแหย่ หันมามองชูครีมและเกี่ยงกันว่าใครจะเป็นคนถาม "เธอเหมาะกว่า" "เธอนั่นแหละ เหมาะกว่า" สองสาวดันอีกคนให้เดินเข้าไป มนสิชาเท้าคางอยู่ในห้อง มองออกไปริมหน้าต่าง ใจลอยจนไม่ได้ยินเพื่อนสาวเลย ปุยฝ้ายดันชูครีม แต่อีกฝ่ายพลิกตัวกลับแล้วดันปุยฝ้ายเข้าไป ชูครีมเผลอใช้แรงมากไปหน่อย ปุยฝ้ายจึงพุ่งถลาเข้าหามนสิชา สีข้างเธอไปโดนขอบโต๊ะเข้าอย่างจัง เธอจึงอยู่ในท่าคุดคู้ กุมสีข้างไว้แน่น "เจ็บนะ" ปุยฝ้ายหันมาทำตาเขียวใส่ "ขอโทษค่ะ" ชูครีมรู้สึกผิด เสียงดังโครมนั่นทำให้มนสิชากลับมาขณะปัจจุบันได้ "แล้วเธอเป็นอะไรไหม ชูครีม" มนสิชาถาม "ไม่ยุติธรรมจริงๆ ฉันเป็นคนที่ล้มนะ" ปุยฝ้ายประท้วง "แหงล่ะ เพราะเธอมันซนนี่" มนสิชาหันหน้าไปอีกทาง ชูครีมทำสัญญาณมือให้ปุยฝ้ายเป็นคนถาม "ก็ได้ๆ ฉันถามเองก็ได้" ปุยฝ้ายรับอย่างรำคาญ ลุก
เครื่องพ่นไฟที่ฝ่ายหัวหน้านักเรียนเอามาแจกมีสองส่วน ส่วนหนึ่งเป็นทรงกระบอกสำหรับปล่อยให้ไฟออกมา มีด้ามจับทำมาจากหนังเทียมกันความร้อน อีกส่วนหนึ่งสามารถสะพายได้ เป็นทรงกลมเอาไว้เก็บแก๊สข้างใน มีชายคนหนึ่งออกมายืนหน้าห้องประชุมเพื่อสาธิตอุปกรณ์ให้ดู "ถ้าผมเป็นคุณ ผมจะเปิดแก๊สตรงนี้" เขาเปิดวาล์วให้ดูด้วยการบิดไปทางขวา "แล้วก็กดไกตรงนี้สำหรับจุดไฟให้ติด ถ้าผมเป็นคุณ ผมจะไม่หันกระบอกส่งไฟเข้าหน้าตัวเอง เพราะไกค่อนข้างอ่อนทีเดียว มันอาจจุดไฟขึ้นมาโดยบังเอิญได้ เรื่องที่ผมอยากจะบอกอีกอย่างหนึ่งก็คือ เนื่องจากเพื่อให้พกพาเครื่องได้สะดวก เราเลยออกแบบให้ที่บรรจุแก๊สมีขนาดเล็ก ดังนั้นถ้าเปิดไฟเต็มแรงก็จะใช้เครื่องพ่นไฟได้ราวหนึ่งชั่วโมงเท่านั้น แล้วคุณก็ต้องกลับมาเติมแก๊สใหม่ที่นี่นะครับ อย่าเพิ่งทำหน้าไม่พอใจครับ ถ้าแก๊สเยอะไป คุณก็จะหลบตั๊กแตนตำข้าวไม่สะดวกนะครับ เพราะงั้นเป็นแบบนี้แหละดีแล้ว สัญญาณไฟสีแดงจะขึ้นตรงที่บรรจุแก๊ส ถ้าเหลือแก๊สให้ใช้อีกไม่เกินสิบห้านาทีนะครับ ถ้าผมเป็นคุณผมจะรีบวิ่งกลับมาที่โรงเรียน
ฝูงตั๊กแตนตำข้าวถูกนำไปแลกเงินได้มากพอจะซื้อที่ดินสร้างโรงเรียนได้อีกแห่งหนึ่ง แต่เทพทัตแบ่งเงินให้กับนักเรียนและอีกส่วนหนึ่งเขาก็เอามาทำให้มีวันนี้ นักเรียนทิศเหนือมารวมตัวที่สนามฟุตบอล โต๊ะยาวหลายตัวนำมาเรียงตัวกันเพื่อวางอาหารน่ากินหลายอย่าง มีพระเอกของงานเป็นเค้กครีมสดขนาดยักษ์ เขาจัดเวทีสำหรับมินิคอนเสิร์ตให้นักดนตรีและนักร้องอาชีพ แม้จะอยู่ในคราบนักเรียนมัธยมปลาย แต่พวกเขาก็ทำงานในระดับมืออาชีพกันมาก่อนที่จะกลายเป็นเจ้าหญิงเจ้าชายนิทรา นักเรียนโรงเรียนทิศเหนือจับกลุ่มคุยเป็นกลุ่มๆไป มนสิชามองชุดนักเรียนอย่างเบื่อหน่าย เธอคิดว่าพวกเขาควรงดเว้นไม่ใส่ชุดนี้มาบ้าง ชีวิตจะได้มีสีสันมากกว่านี้ เธอดึงเก้าอี้หน้าเวทีออกมาแล้วนั่งไขว่ห้างเท้าคาง ชูครีมเดินวนอยู่ที่ซุ่มของกินกับเพื่อนอัศวิน ส่วนปุยฝ้ายคุยฟุ้งได้กับทุกคน นักดนตรีหันมาเล่นดนตรีแนวแอบรัก มีนักเรียนชายตัดผมรองทรงต่ำ เดินเข้ามาหามนสิชา เขาดูเป็นนักเรี๊ยนนักเรียนในสายตาของหญิงสาว เด็กหนุ่มยิ้มเอียงอายให้หล่อนก่อนเอ่ย "มีคนนั่งตรงนี้ไหมครับ" เขาหมายถึงเก้า
"เดี๋ยวชูครีมจัดการด้านบนเองค่ะ" ชูครีมเอ่ยกับพรรคพวกขณะขี่บลูฮาร์ท ไม่ไกลนักอัศวินคนหนึ่งกำลังขี่เทอราโนดอน นกไดโนเสาร์ยักษ์ผู้มีอารมณ์เกรี้ยวกราด มันร้องเสียงดังแล้วบินเข้าโจมตีเหยี่ยวยักษ์ที่ตัวพอๆกับมัน ที่เหลือจึงเริ่มหันเข้าโจมตีมนุษย์ที่อยู่ในบริเวณนั้น หลายตัวพุ่งลงใส่คน จากนั้นเมื่อคนกระโดดหมอบ พวกมันจึงเชิดหัวขึ้นแล้วชนเข้ากับกองอาหารบนโต๊ะ เสียงดังโครม อาหารกระจายเต็มพื้น ผู้คนหวีดร้อง วิ่งหนีเข้าไปในโรงยิม นกเหยี่ยวยักษ์บินฉวัดเฉวียนเหนือพวกเขา มันบินลงมาคาบมนุษย์แล้วปล่อยให้ตกลงมาจากท้องฟ้า บางคนโดนเด็ดหัว เลือดไหลจากคอเหมือนน้ำก๊อก "ใหญ่ ไม่นะใหญ่" เสียงเพื่อนหญิงของศพไร้หัวร้อง ศพเกิดไฟลุกท่วมแล้วสลายไป ไม่เหลือแม้แต่เถ้าธุลี "เขาแค่ไปเริ่มต้นใหม่ที่ส่วนกลางเท่านั้นเอง เข้าไปหลบในโรงยิมก่อนเถอะค่ะ" ปุยฝ้ายเอ่ยอย่างร้อนรน เมื่อเห็นว่า นกเหยี่ยวยักษ์ยังบินเหนือท้องฟ้าไม่เลิก แต่เด็กสาวไม่มีทีท่าจะยอมลุกไปไหน "ถ้าคุณต้องตายแล้วลืมว่าเคยรู้จักกัน ทีนี้ก็จะต้องแยกจากกั
ชูครีมและปุยฝ้ายเดินไปย่านร้านค้า เวลานั้นเป็นช่วงสายของวันหยุด มีร้านกาแฟโบราณเปิดอยู่ ไม่มีที่ไหนเหมาะไปกว่าที่นี่อีกแล้ว โต๊ะในร้านให้บริการคนในท้องถิ่นมานั่งคุยกัน เจ้าของร้านชงกาแฟแบบโบราณ รสชาติที่ทุกคนคุ้นเคย ไม่ว่าจะในโลกแห่งความเป็นจริงหรือโลกแห่งความฝัน พวกเขาไม่ได้ติดใจเพียงรสชาติ แต่ยังติดใจบรรยากาศการนั่งคุยฉันมิตรด้วย เด็กหนุ่มทั้งหมดสวมชุดนักเรียนมานั่งดื่มชาร้อนกันกว่าหกคน ชูครีมและปุยฝ้ายเลือกที่นั่งริมๆโต๊ะ แล้วสังเกตุการพูดคุยของพวกเขา แหล่งข่าวชั้นเยี่ยมก็คือสถานที่ๆ มีคนนั่งเม้าท์กันอย่างไม่ระวังนี่แหละ "ได้ยินมาว่าที่ทิศตะวันตกมีกบฏด้วยนะ" ชายคนหนึ่งเอ่ย สามสาวยังไม่ได้หันไปมองว่าใครพูด จึงไม่เห็นว่าเป็นใคร "แล้วปฏิวัติสำเร็จหรือเปล่าล่ะ" "ไม่เลย แถมคุณสุกฤตยังไม่เอาเรื่องด้วยนะ" คนที่เล่าตอบ "ไม่มีใครตาย แต่คนเจ็บเยอะอยู่" มนสิชาเงี่ยหูฟังเต็มที่ ถอนหายใจอย่างโล่งอกที่ดาวเหนือปลอดภัย "หัวหน้าทิศตะวันออกน่ะนะ" เด็กหนุ่มผมสีอ่อนเอ่ยเสียงเบาลง คนท
"นี่ก็ผ่านไปสามวันแล้วนะ แต่เรายังหามนไม่เจอเลย" ปุยฝ้ายบ่นอย่างเซ็งๆ เธอโยนก้อนหินลงไปในสระน้ำแก้เบื่อ ตอนนี้พวกเธออยู่ที่สวนดอกไม้ของส่วนกลาง ที่ลับของพวกเธอสามคน ดอกไม้กลับมาบานสดใสเหมือนเดิม สีขาว สีแดง และสีเหลืองตัดกันสุดลูกหูลูกตา "ชูครีมว่าคงมีใครช่วยเธอไว้ค่ะ" ชูครีมตอบ นั่งยืดขาจนสุดบนพื้นหญ้าแสนนิ่ม "พวกเราไปทิศตะวันออกกันเลยไหมคะ ไม่แน่ว่าอาจเจอคุณมนที่นั่น" "แต่ว่า" ปุยฝ้ายคัดค้าน สีหน้าเป็นกังวล "การเอาใจคุณมนที่ดีที่สุด ก็คือการเข้าใกล้ทางออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุดนะคะ" ชูครีมให้ความเห็น "ชูครีมเชื่อว่าคุณมนต้องเข้าใจคุณปุยฝ้ายแน่ๆค่ะ" "แล้วคราวนี้เราจะสืบยังไงดีล่ะ" ปุยฝ้ายถาม สมองเค้นคิดทางออกอย่างหนัก ชูครีมเองก็คิดทางออกอย่างวกวน ไม่มีคำตอบหลุดออกจากปากเธอ "เราไปถามหัวหน้านักเรียนตรงๆเลยดีไหม" ปุยฝ้ายเสนอ "หา ถามคุณกิ่งฟ้านี่นะ" ชูครีมแปลกใจ "ถามแล้วก็ดูปฏิกิริยาของเธอ ถ้าเธอทำ ต้องแสดงอาการอะไรออกมาแน่
คทาเป็นชายอายุหกสิบปี ผมหงอกหมดทั้งหัว ผิวขาว ดูสะอาดสะอ้าน เขาเคยมีครอบครัวที่อบอุ่น แต่ภรรยาเสียชีวิตไปเมื่อสิบกว่าปีก่อน ทิ้งลูกสาวสองคนให้เขาดูแลตามลำพัง คนโตคือมนสิชาและคนเล็กคือกุมภา มนสิชาไม่เคยมีเรื่องให้เขาลำบากใจเพราะเธอตั้งใจเรียนและช่วยเขาทำงานมาตั้งแต่เด็กๆ จะมีเรื่องให้กลุ้มใจบ้างก็ตรงที่เธอมีผู้ชายมาชอบเยอะ ตั้งแต่ตอนเรียนมหาวิทยาลัยก็มีชายแก่ร่ำรวยมากมายเข้ามาเสนอช่วยออก ค่าเทอมให้ ส่วนน้องคนเล็กนั้นแทบจะตรงข้าม เพราะเธอหน้าตาไม่รับแขก จึงไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องผู้ชาย ดังนั้นคนส่วนใหญ่รอบตัวเธอจึงมีแต่คนไม่ชอบหน้าตั้งแต่แรกเห็น แต่เธอเป็นเด็กดี ไม่เคยเกเรทำให้เขาต้องเป็นห่วง เขาเลี้ยงลูกอย่างเข้มงวดทุกคน ไม่อยากให้ใครโตขึ้นมาแบบไม่เอาจริงเอาจัง ทั้งดุจนร้องไห้แล้วค่อยปลอบทีหลังก็เคยมาแล้ว เขารู้ว่าลูกๆไม่เคยเกลียดเขา เพราะทุกครั้งที่ดุที่จะบอกเหตุผลทุกครั้ง คทาเป็นคนตรงไปตรงมา ชอบพูดในสิ่งที่คิด ทำให้ลูกสาวทั้งสองคนได้รับอิทธิพลเรื่องการพูดตรงจากเขาไปไม่น้อย แรกๆคนไม่ค่อยพอใจที่เขาพูดตรงๆ แต่คนที่รับได้
พวกเขาเดินเข้ามาในเขตโรงเรียนทิศตะวันตกได้สักพักแล้ว ไม่เจอนักเรียนเลยสักคน ทั้งที่เจอเมืองเรียบร้อยแล้ว ที่นี่ไม่มีย่านชุมชน แต่สร้างหอนอนไว้ในโรงเรียน ตัวอาคารเรียนทาสีแดงดำเหมือนแหล่งท่องเที่ยวมากกว่าจะเป็นโรงเรียน "เอาไงดีอ่ะ" มนสิชาหันมาถามเพื่อนๆ "ลองขึ้นไปดูในห้องเรียนก่อนดีไหมคะ อาจจะมีห้องพักครูหรืออะไรแบบนั้น" ชูครีมเสนอ "ตามฉันมาเลย" ปุยฝ้ายร้องแล้ววิ่งเข้าไปในตัวอาคาร เธอไม่เจอห้องพักครูหรือสำนักงานอะไรเลย จนกระทั่งเข้ามาเจอห้องว่างห้องหนึ่ง เมื่อเข้าไปแล้วเจอบันไดให้เดินลงไปอีกครึ่งชั้น มีโคมไฟประดับอยู่ตามผนังห้องที่ทำสีดำสลับกับแดงเหมือนข้างนอก มีโต๊ะตัวเตี้ยๆกับเก้าอี้ให้นั่ง บาร์สำหรับชงเครื่องดื่ม และเวทีเล็กๆที่พอให้วางเครื่องดนตรี "นี่มันผับนี่นา" มนสิชาร้อง มีนักเรียนกำลังทำความสะอาดอยู่พอดี เขาหันมาทางพวกเธอทั้งสามคน ส่งยิ้มเป็นมิตรมาให้ "มาใหม่เหรอครับ" เขาถาม "เอ่อ ใช่ค่ะ แล้วที่นี่ไม่มีห้องเรียนเหรอคะ" ชูครีมถามตรงๆ "มีสิคร
ตลอดหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมามีมอนสเตอร์ออกมาให้ปราบสองครั้ง นักเรียนคลาสเอสเดินกลับห้องเรียนอย่างเหนื่อยอ่อน เนื้อตัวมีแต่แผลฟกช้ำ พวกอัศวินชั้นหนึ่งเดินนำหน้าพร้อมกับคุยกันเสียงดัง อัศวินชั้นสองเดินตามมาอย่างหงอยๆ "ชูครีมนี่สุดยอดไปเลยนะ เธอบังคับสเลฟแบบนั้นได้ยังไง บลูฮาร์ทนี่เชื่องสุดๆไปเลย" ใบเฟิร์นชมเปาะ "ตอนอยู่ทิศเหนือ บอกมาเถอะว่าเธอเป็นอันดับหนึ่งหรือเปล่า" "เปล่าคะ ชูครีมไม่ได้เก่งถึงขนาดนั้น ถามคุณมนดูก็ได้" ชูครีมโยนให้เพื่อนสาวที่นั่งหมดแรงบนเก้าอี้ ไม่มีใครอยากรู้เรื่องจากปากมนสิชา จึงเงียบเสียงลง หญิงสาวอ้าปากเก้อ รับรู้ถึงบรรยากาศอึดอัดนั้น ก่อนก้มลงมองหนังสือในมือ "เดี๋ยวหลังเลิกเรียน เราจะจัดปาร์ตี้ฉลอง ชูครีมก็มากับพวกเราด้วยสิ" อัศวินชั้นหนึ่งอีกคนเดินเข้ามา "ถ้าคุณมนไป.." ชูครีมเอ่ยไม่ทันจบใบเฟิร์นก็แทรก "พวกเราอัศวินชั้นหนึ่งจองห้องจัดเลี้ยงได้เป็นพิเศษ ยังไงก็ไปกันเถอะนะ" คนเดิมเอ่ย มนสิชาพยักหน้าให้ชูครีมเข้าร่วม "ก็..ได้ค่ะ" หล
ผ้าม่านถูกเปิดกว้าง ทำให้แสงสว่างสาดเข้ามาได้เต็มที่โดยไม่ต้องอาศัยหลอดไฟ เทพทัตนั่งรอสามสาวอย่างสบายใจ เขายกน้ำมะตูมขึ้นดื่ม และพบว่ารสของมันหวานอมขม เขาเป็นพวกพลังไม่เข้มแข็งเช่นกัน แต่อยู่ในจุดที่ไม่ต้องออกแรงเอง จึงไม่จำเป็นต้องเดือดร้อนใจ ปุยฝ้ายเปิดประตูผัวะเข้ามาโดยไม่เคาะ เทพทัตตกใจจนสำลักน้ำมะตูม ไอจนหน้าแดงแล้วกลับมาวางมาดนิ่งตามปกติ ชูครีมมองสำรวจหัวหน้านักเรียนแต่ไม่ได้เอ่ยอะไร เธอเองก็เกรงใจเขาเช่นกัน "เคาะประตูก่อนสิ ปุยฝ้าย" มนสิชาเป็นคนตำหนิเธอ "แหะๆ ขอโทษทีค่ะ หวังว่าคุณเทพทัตจะไม่เป็นอะไรนะคะ" ปุยฝ้ายยิ้มฝืดฝืน หน้าตาเกร็งไปหมด "ไม่เป็นไรครับ เชิญเด็กๆ เอ๊ย พวกคุณนั่งกันก่อนเลย" เทพทัตผายมือให้นั่ง ไม่มีใครเอ่ยอะไรเป็นเวลานาน ดูเหมือนเทพทัตจะมีเรื่องบางอย่างในใจ ทำให้เขาไม่พูดอะไรเลย "คุณเทพทัตค่ะ มีเรื่องอะไรหรือเปล่าคะ" มนสิชาตัดสินใจถาม "ครับ ขอโทษที ผมมีเรื่องอะไรต้องคิดเยอะ ปัญหาไม่ใช่น้อยๆเลย" เขาทำท่าเหมือนอยากระบาย
"เดี๋ยวชูครีมจัดการด้านบนเองค่ะ" ชูครีมเอ่ยกับพรรคพวกขณะขี่บลูฮาร์ท ไม่ไกลนักอัศวินคนหนึ่งกำลังขี่เทอราโนดอน นกไดโนเสาร์ยักษ์ผู้มีอารมณ์เกรี้ยวกราด มันร้องเสียงดังแล้วบินเข้าโจมตีเหยี่ยวยักษ์ที่ตัวพอๆกับมัน ที่เหลือจึงเริ่มหันเข้าโจมตีมนุษย์ที่อยู่ในบริเวณนั้น หลายตัวพุ่งลงใส่คน จากนั้นเมื่อคนกระโดดหมอบ พวกมันจึงเชิดหัวขึ้นแล้วชนเข้ากับกองอาหารบนโต๊ะ เสียงดังโครม อาหารกระจายเต็มพื้น ผู้คนหวีดร้อง วิ่งหนีเข้าไปในโรงยิม นกเหยี่ยวยักษ์บินฉวัดเฉวียนเหนือพวกเขา มันบินลงมาคาบมนุษย์แล้วปล่อยให้ตกลงมาจากท้องฟ้า บางคนโดนเด็ดหัว เลือดไหลจากคอเหมือนน้ำก๊อก "ใหญ่ ไม่นะใหญ่" เสียงเพื่อนหญิงของศพไร้หัวร้อง ศพเกิดไฟลุกท่วมแล้วสลายไป ไม่เหลือแม้แต่เถ้าธุลี "เขาแค่ไปเริ่มต้นใหม่ที่ส่วนกลางเท่านั้นเอง เข้าไปหลบในโรงยิมก่อนเถอะค่ะ" ปุยฝ้ายเอ่ยอย่างร้อนรน เมื่อเห็นว่า นกเหยี่ยวยักษ์ยังบินเหนือท้องฟ้าไม่เลิก แต่เด็กสาวไม่มีทีท่าจะยอมลุกไปไหน "ถ้าคุณต้องตายแล้วลืมว่าเคยรู้จักกัน ทีนี้ก็จะต้องแยกจากกั
ฝูงตั๊กแตนตำข้าวถูกนำไปแลกเงินได้มากพอจะซื้อที่ดินสร้างโรงเรียนได้อีกแห่งหนึ่ง แต่เทพทัตแบ่งเงินให้กับนักเรียนและอีกส่วนหนึ่งเขาก็เอามาทำให้มีวันนี้ นักเรียนทิศเหนือมารวมตัวที่สนามฟุตบอล โต๊ะยาวหลายตัวนำมาเรียงตัวกันเพื่อวางอาหารน่ากินหลายอย่าง มีพระเอกของงานเป็นเค้กครีมสดขนาดยักษ์ เขาจัดเวทีสำหรับมินิคอนเสิร์ตให้นักดนตรีและนักร้องอาชีพ แม้จะอยู่ในคราบนักเรียนมัธยมปลาย แต่พวกเขาก็ทำงานในระดับมืออาชีพกันมาก่อนที่จะกลายเป็นเจ้าหญิงเจ้าชายนิทรา นักเรียนโรงเรียนทิศเหนือจับกลุ่มคุยเป็นกลุ่มๆไป มนสิชามองชุดนักเรียนอย่างเบื่อหน่าย เธอคิดว่าพวกเขาควรงดเว้นไม่ใส่ชุดนี้มาบ้าง ชีวิตจะได้มีสีสันมากกว่านี้ เธอดึงเก้าอี้หน้าเวทีออกมาแล้วนั่งไขว่ห้างเท้าคาง ชูครีมเดินวนอยู่ที่ซุ่มของกินกับเพื่อนอัศวิน ส่วนปุยฝ้ายคุยฟุ้งได้กับทุกคน นักดนตรีหันมาเล่นดนตรีแนวแอบรัก มีนักเรียนชายตัดผมรองทรงต่ำ เดินเข้ามาหามนสิชา เขาดูเป็นนักเรี๊ยนนักเรียนในสายตาของหญิงสาว เด็กหนุ่มยิ้มเอียงอายให้หล่อนก่อนเอ่ย "มีคนนั่งตรงนี้ไหมครับ" เขาหมายถึงเก้า
เครื่องพ่นไฟที่ฝ่ายหัวหน้านักเรียนเอามาแจกมีสองส่วน ส่วนหนึ่งเป็นทรงกระบอกสำหรับปล่อยให้ไฟออกมา มีด้ามจับทำมาจากหนังเทียมกันความร้อน อีกส่วนหนึ่งสามารถสะพายได้ เป็นทรงกลมเอาไว้เก็บแก๊สข้างใน มีชายคนหนึ่งออกมายืนหน้าห้องประชุมเพื่อสาธิตอุปกรณ์ให้ดู "ถ้าผมเป็นคุณ ผมจะเปิดแก๊สตรงนี้" เขาเปิดวาล์วให้ดูด้วยการบิดไปทางขวา "แล้วก็กดไกตรงนี้สำหรับจุดไฟให้ติด ถ้าผมเป็นคุณ ผมจะไม่หันกระบอกส่งไฟเข้าหน้าตัวเอง เพราะไกค่อนข้างอ่อนทีเดียว มันอาจจุดไฟขึ้นมาโดยบังเอิญได้ เรื่องที่ผมอยากจะบอกอีกอย่างหนึ่งก็คือ เนื่องจากเพื่อให้พกพาเครื่องได้สะดวก เราเลยออกแบบให้ที่บรรจุแก๊สมีขนาดเล็ก ดังนั้นถ้าเปิดไฟเต็มแรงก็จะใช้เครื่องพ่นไฟได้ราวหนึ่งชั่วโมงเท่านั้น แล้วคุณก็ต้องกลับมาเติมแก๊สใหม่ที่นี่นะครับ อย่าเพิ่งทำหน้าไม่พอใจครับ ถ้าแก๊สเยอะไป คุณก็จะหลบตั๊กแตนตำข้าวไม่สะดวกนะครับ เพราะงั้นเป็นแบบนี้แหละดีแล้ว สัญญาณไฟสีแดงจะขึ้นตรงที่บรรจุแก๊ส ถ้าเหลือแก๊สให้ใช้อีกไม่เกินสิบห้านาทีนะครับ ถ้าผมเป็นคุณผมจะรีบวิ่งกลับมาที่โรงเรียน