"เดี๋ยวชูครีมจัดการด้านบนเองค่ะ" ชูครีมเอ่ยกับพรรคพวกขณะขี่บลูฮาร์ท
ไม่ไกลนักอัศวินคนหนึ่งกำลังขี่เทอราโนดอน นกไดโนเสาร์ยักษ์ผู้มีอารมณ์เกรี้ยวกราด มันร้องเสียงดังแล้วบินเข้าโจมตีเหยี่ยวยักษ์ที่ตัวพอๆกับมัน ที่เหลือจึงเริ่มหันเข้าโจมตีมนุษย์ที่อยู่ในบริเวณนั้น หลายตัวพุ่งลงใส่คน จากนั้นเมื่อคนกระโดดหมอบ พวกมันจึงเชิดหัวขึ้นแล้วชนเข้ากับกองอาหารบนโต๊ะ เสียงดังโครม อาหารกระจายเต็มพื้น
ผู้คนหวีดร้อง วิ่งหนีเข้าไปในโรงยิม นกเหยี่ยวยักษ์บินฉวัดเฉวียนเหนือพวกเขา มันบินลงมาคาบมนุษย์แล้วปล่อยให้ตกลงมาจากท้องฟ้า บางคนโดนเด็ดหัว เลือดไหลจากคอเหมือนน้ำก๊อก
"ใหญ่ ไม่นะใหญ่"
เสียงเพื่อนหญิงของศพไร้หัวร้อง ศพเกิดไฟลุกท่วมแล้วสลายไป ไม่เหลือแม้แต่เถ้าธุลี
"เขาแค่ไปเริ่มต้นใหม่ที่ส่วนกลางเท่านั้นเอง เข้าไปหลบในโรงยิมก่อนเถอะค่ะ" ปุยฝ้ายเอ่ยอย่างร้อนรน เมื่อเห็นว่า นกเหยี่ยวยักษ์ยังบินเหนือท้องฟ้าไม่เลิก แต่เด็กสาวไม่มีทีท่าจะยอมลุกไปไหน "ถ้าคุณต้องตายแล้วลืมว่าเคยรู้จักกัน ทีนี้ก็จะต้องแยกจากกันถาวรเลยนะคะ"
ดูเหมือนเหตุผลนั้นจะปักเข้ากลางใจหล่อน เธอจึงปาดน้ำตาแล้ววิ่งเข้าโรงยิมกับปุยฝ้าย ระหว่างที่วิ่งไปนั่นเอง ปุยฝ้ายโดนคาบขาขึ้นแล้วลอยขึ้นเหนืออากาศ เด็กสาวประสานมือ ยกตัวขึ้น แล้วทุบคอนกยักษ์ มันจึงอ้าปากออกแล้วปล่อยเธอร่วงลงมา เธอจุกจนร้องไม่ออก แต่รีบลุกขึ้นแล้วเดินเขย่งเข้าโรงยิมไป
เทพทัตสำรวจคนรอดชีวิตอย่างใจเย็น เขารู้ว่าคนที่ตายไม่ได้ตายไปจริงๆ และตอนนี้อัศวินที่แข็งแกร่งกำลังทำหน้าที่ของตัวเอง แต่จะต้านไว้ได้นานแค่ไหนไม่มีใครรู้ เมืองทั้งเมืองตกอยู่ใต้อำนาจของมอนสเตอร์อีกครั้ง
"ฟังทางนี้หน่อยครับ" เทพทัตยืนขึ้นเหนือเก้าอี้แล้วเอ่ยเสียงดังกับนักเรียนในปกครองของเขาทั้งหมด "ผมคิดว่าตอนนี้เรากำลังอยู่ในภาวะวิกฤต อัศวินที่พอจะสู้ได้กับฝูงเหยี่ยวยักษ์มีแต่อัศวินชั้นหนึ่งเท่านั้น ผมอยากให้ทุกคนช่วยกันคิดว่าจะทำอย่างไรกับสถานการณ์ตอนนี้ดี"
"ไม่มีทางที่เราจะสู้กับเหยี่ยวตัวใหญ่ขนาดนั้นได้ พวกเราบินไม่ได้ แถมมันยังโจมตีพวกเราไม่เลือกหน้าอีก" ชายคนหนึ่งเอ่ยขึ้น
"ฉันเห็นด้วย คุณเทพทัตควรเอากำลังมาคุ้มกันพวกเรา ให้เราหนีออกจากโรงเรียนทิศเหนือได้อย่างปลอดภัย" นักเรียนหญิงคนหนึ่งเอ่ยบ้าง ตอนนี้มวลชนเห็นด้วยกับความคิดที่จะอพยพออกจากทิศเหนือ
"กำลังเรามีน้อยมาก เป็นไปไม่ได้ที่คุณจะหนีออกจากที่นี่ได้อย่างปลอดภัย" เทพทัตเอ่ยตามจริง "ผมอยากให้เรารวมพลังเหมือนตอนที่สู้กับตั๊กแตน แล้วเราจะผ่านเรื่องนี้ไปได้ พวกคุณคิดจะทิ้งบ้านและทรัพย์สมบัติที่อุตส่าห์สร้างมาจริงๆเหรอครับ ถ้าไปโรงเรียนอื่นก็ต้องเริ่มต้นใหม่ แถมแต่ละทิศก็มีวิถีชีวิตที่ไม่เหมือนกันด้วย"
เสียงเริ่มแตกออกเป็นสองพวก พวกที่คิดจะอยู่ต่อและพวกที่คิดจะหนีไปตายเอาดาบหน้า
"แล้วถ้าเราร่วมมือกัน เราจะเอาอะไรไปสู้กับพวกนกยักษ์นั่น" ชายคนหนึ่งยกมือขึ้นถาม
"เป็นคำถามที่ดีมากครับ" เทพทัตชม "ผมถึงอยากปรึกษาทุกคนในห้องนี้พร้อมกัน"
"ไม่ไหวหรอก ขนาดหัวหน้านักเรียนยังไม่รู้ แล้วพวกเราจะไปรู้ได้ไง" นักเรียนคนหนึ่งเอ่ย "ผมจะไปจากที่นี่ ใครจะไปกับผมก็ตามมาเลย"
เขาลุกขึ้นยืน มีนักเรียนอีกกว่าห้าสิบคนลุกขึ้นพร้อมกัน เทพทัตทำสีหน้าเป็นกังวล
"เดี๋ยวก่อนครับ อย่างน้อยก็รอให้เหยี่ยวยักษ์มันหายไปจากเขตโรงเรียนก่อนดีกว่า ไม่อย่างนั้นพวกคุณอาจจะไม่รอด" เทพทัตขอร้อง
"เพราะคุณกลัวว่าถ้าพวกเราออกไปจากทิศเหนือแล้ว
คุณจะไม่ได้เป็นประธานนักเรียนใช่ไหม" ชายคนหนึ่งเอ่ย เสียงวิพากย์วิจารณ์ดังขึ้นระงม เมื่อคิดว่าเทพทัตอาจจะไม่ได้หวังดีกับพวกเขาจากใจจริง
"ไม่ใช่นะครับ ทุกคนใจเย็นๆก่อน" เทพทัตอับจนถ้อยคำ
"พวกเราไปกันเถอะ" หัวโจกเมื่อสักครู่เอ่ยขึ้น
กลุ่มนักเรียนที่อยากออกจากเมืองเดินไปรวมตัวกันตรงทางเข้า แล้วก็วิ่งออกไปจากโรงเรียน เป็นไปตามคาดเมื่อมีเหยื่อแสนเชื่องช้าออกไป นักล่าจึงจู่โจมทันที จำนวนคนห้าสิบคนเหลือชีวิตรอดเพียงยี่สิบคนเท่านั้น คนตายกลายเป็นลูกไฟแล้วสลายไป พวกเขาไปเริ่มต้นใหม่ที่ส่วนกลาง
"ที่นี่เราก็มาคุยเรื่องวิธีจัดการเหยี่ยวกันบ้างเถอะครับ" เทพทัตเอ่ยกับคนที่เหลือ "นกเหยี่ยวเป็นนกที่บินเร็วที่สุด และสายตาดีมาก แถมพวกมันก็ตัวโตพอๆกับพวกเรา ดังนั้นถ้าจะสู้กันตัวต่อตัวคงจะไม่ไหว"
"สเลฟของเราก็อาจจะกลายเป็นอาหารของพวกมันด้วยค่ะ" เด็กสาวคนหนึ่งแสดงความเห็น
ปุยฝ้ายยกมือขึ้นเสนอความเห็น คนที่เหลือเห็นด้วยกับความเห็นเธอ พวกเขาจึงเตรียมอาวุธและเริ่มปฏิบัติการในแทบจะทันที เทพทัตจดจำปุยฝ้ายในฐานะนักวางแผน เขาประทับใจในตัวเธอจนคิดจะชวนเธอมาช่วยงาน
ฟ้าลั่นออกไปวิ่งเล่นในสนามฟุตบอล เหยี่ยวยักษ์หลายตัวเกาะระเบียงอาคารเรียนมองดูมันตาเป็นมัน ม้าคลั่งของมนสิชาร้องเสียงดังประกาศศักดิ์ดา มอสเตอร์ตัวหนึ่งจึงบินออกจากที่เกาะแล้วมุ่งหน้าไปที่ฟ้าลั่น นกยักษ์บินลงมาเหนือม้า มันเตรียมฉก แต่แล้วสนามหญ้าก็มีการเคลื่อนไหว มีคนวิ่งออกมาจากผ้าใบสีเขียว พวกเขาเอาหอกแทงนกแล้วกดช็อตไฟฟ้า มันล้มลงตายต่อหน้าต่อตาทุกคน เหยี่ยวตัวอื่นบินขึ้นเหนือน่านฟ้า อัศวินวิ่งเข้าไปแอบใต้ร่มผ้าอีกครั้ง
เหยี่ยวยักษ์ฝูงใหญ่บินตามมา แล้วรุมทึ้งฟ้าลั่น ม้าลอยสูงขึ้นไปในอากาศ มนสิชาร้องลั่น
"ไม่นะ ฟ้าลั่น"
มันถูกปล่อยให้ตกลงมา ฟ้าลั่นดิ้นอยู่บนท้องฟ้า กำลังจะเอาหลังลง เหล่านักเรียนมองอย่างหมดหวัง แล้วจู่ๆปีกของฟ้าลั่นก็งอกออกมา เป็นปีกสีชาขับกับขนสีดำให้ยิ่งดำสนิท มันบินขึ้นเผชิญหน้ากับเหยี่ยวแล้วใช้ขาคู่หลังเตะเข้าที่หน้าอกเหยี่ยว นกยักษ์ร้องอย่างเจ็บปวดแล้วตกลงจากท้องฟ้า
มนสิชาขึ้นขี่บนหลังสเลฟของเธอ พร้อมกับอัศวินชั้นหนึ่งอีกสองคน พวกเธอใช้หอกเสียบนกยักษ์ทีละตัวพร้อมช็อตไฟฟ้า นกปีศาจตกจากอากาศลงมาตายเกลื่อน ส่วนบางตัวที่ไม่ตายก็โดนอัศวินบนพื้นดินช่วยปาดคอจนหมดลม ในตอนนี้โรงเรียนทิศเหนือปลอดภัยจากมอนสเตอร์แล้ว นักเรียนทุกคนโห่ร้องอย่างดีใจ ชื่อของมนสิชาเป็นที่รู้จักไปทั่ว
เสียงเพลงทวิงเกิ้ล ทวิงเกิ้ล ลิตเติ้ล สตาร์ดังขึ้นหลังจากนั้นสองวัน นักเรียนทั้งหมดเดินทางไปยังหอประชุม ไม่มีใครรู้ว่าเรื่องที่จะประชุมเป็นเรื่องอะไร จนกระทั่งหัวหน้านักเรียนทั้งสี่คนประจำตำแหน่ง
"ผมเทพทัต หัวหน้านักเรียนทิศเหนือเป็นคนเรียกประชุมในวันนี้ครับ" เขาแนะนำตัวอย่างสุภาพ ไม่มีท่าทีตื่นเวทีแต่อย่างใด "เมื่องสามวันก่อนเราโดนฝูงตั๊กแตนตำข้าวโจมตี แล้วตามด้วยนกเหยี่ยวยักษ์ มีนักเรียนตายและอพยพลี้ภัยหลายสิบคน ซึ่งปกติแล้วเมื่อมอนสเตอร์โจมตี เขาจะเว้นระยะไปอย่างน้อยหนึ่งสัปดาห์ แต่นี่กลับโจมตีเราในเวลาอันสั้นเท่านั้น ผมคิดว่าเรื่องนี้ต้องมีเบื้องหลังอย่างแน่นอน"
"ถ้าท่านคิดว่าเรื่องนี้สมควรหารือกันกดใช่ ถ้าคิดว่าไม่สมควรกดไม่ครับ" สุเมธรีบสรุป ไม่อยากให้เทพทัตดูน่าสงสาร เพราะใกล้วันเลือกตั้งขึ้นมาทุกที แววตาเจ้าเล่ห์นั้นส่อแววพอใจเมื่อเห็นเทพทัตอารมณ์เสียที่ถูกขัดจังหวะ
จอมอนิเตอร์ทำงานนับโหวตจากนักเรียนกว่าพันคน และสรุปผลออกมา
"ผลโหวตบอกว่าสมควรหารือ เชิญคุณเทพทัตต่อเลยครับ" สุเมธเอ่ย เขาทำเสียงจุ๊ในลำคอ แต่เพราะไมค์ปิดอยู่ จึงไม่มีใครได้ยินนอกจากบรรดาหัวหน้านักเรียนที่นั่งอยู่ใกล้ๆกัน
"เราเจอตาข่ายขนาดใหญ่ที่มีขนนกสีดำติดอยู่ ซึ่งเป็นขนนกชนิดเดียวกันกับเหยี่ยวที่มาโจมตีเรา" เทพทัตโชว์รูปถ่ายขนนกและซากนกผ่านทางจอมอนิเตอร์ "แถมนกยังบินมาจากทิศอื่นที่ไม่ใช่ทิศเหนือซึ่งเป็นประตูมิติ"
เสียงคุยเซ็งแซ่ดังขึ้น เมื่อหลักฐานชี้ชัดว่ามีคนไม่หวังดีจริงๆ
"จากการสันนิษฐานของเรา คิดว่าเรื่องจูงใจน่าจะมาจากการเลือกตั้งประธานนักเรียนที่จะมีขึ้นเร็วๆนี้ ผมอยากให้นักเรียนทุกคนแจ้งเบาะแสมาที่เรา แล้วเราจะให้รางวัลอย่างงามครับ" เทพทัตเอ่ยก่อนปิดไมค์ตัวเอง
"ขอคัดค้านครับ" สุกฤตเอ่ยขึ้น "การพูดเช่นนี้ไม่หมายความว่าเราในสามทิศที่เหลือเป็นคนร้ายหรือครับ อาจเป็นการสร้างสถานการณ์ของตัวทิศเหนือเอง หรือคนที่ไม่พอใจทิศเหนือก็ได้ครับ"
"เห็นด้วยค่ะ" กิ่งฟ้าเอ่ยบ้าง "นอกจากเหตุจูงใจยังไม่แน่ชัดแล้ว สถานการณ์ที่ร้ายแรงได้ก็เป็นเพราะทิศเหนือไม่มีการเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินที่ดีพอค่ะ"
เทพทัตยังสงบนิ่งไม่โต้เถียง แถมยังมองดูหัวหน้าทิศอื่นกล่าวหาเขาได้เป็นเวลานาน
"ผมคงไม่ได้ข้อสรุปอะไรในวันนี้ แต่นักเรียนที่มีเบาะแสจะได้รับรางวัลอย่างงามแน่นอน วันนี้ขอปิดประชุมเท่านี้ ขอบคุณครับ" เทพทัตเอ่ยสรุปพร้อมปิดประชุม
บรรดานักเรียนเดินออกจากหอประชุมเหมือนอย่างทุกที ต่างไปจากปกติตรงที่ทุกคนวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้อย่างออกรส ไม่เว้นแม้แต่ปุยฝ้าย
"ฉันเชื่อคุณเทพทัตนะว่าน่าจะเกิดเพราะการเลือกตั้ง แล้วคนอื่นก็ดูร้อนตัวมากด้วย ทั้งที่ไม่มีหลักฐานแต่ก็อารมณ์เสียเหมือนโดนจับได้เลยแหละ"
"ชูครีมไม่อยากสรุปอะไรเลยค่ะ คำพูดทุกคนดูมีน้ำหนักทั้งนั้น แต่เราก็เห็นความใส่ใจของคุณเทพทัต ชูครีมเชื่อไม่ลงเหมือนกัน ถ้ามีใครมาบอกว่าคุณเทพทัตส่งเหยี่ยวมาทำร้ายตัวเอง"
ก่อนชูครีมจะได้พูดอะไรต่อ ครูดวงใจก็เดินแทรกฝูงชนเข้ามา
"เด็กๆ" ครูดวงใจเรียกสามสาว "คุณเทพทัตเขาอยากคุยกับพวกเธอน่ะ ไปถึงโรงเรียนแล้วไปที่ห้องประชุมสภานักเรียนด้วยนะ"
"ค่ะ" มนสิชารับปากอย่างงงๆ คนสำคัญอย่างนั้นกำลังเรียกหาพวกเธอ เขามีเรื่องอะไรกัน
ผ้าม่านถูกเปิดกว้าง ทำให้แสงสว่างสาดเข้ามาได้เต็มที่โดยไม่ต้องอาศัยหลอดไฟ เทพทัตนั่งรอสามสาวอย่างสบายใจ เขายกน้ำมะตูมขึ้นดื่ม และพบว่ารสของมันหวานอมขม เขาเป็นพวกพลังไม่เข้มแข็งเช่นกัน แต่อยู่ในจุดที่ไม่ต้องออกแรงเอง จึงไม่จำเป็นต้องเดือดร้อนใจ ปุยฝ้ายเปิดประตูผัวะเข้ามาโดยไม่เคาะ เทพทัตตกใจจนสำลักน้ำมะตูม ไอจนหน้าแดงแล้วกลับมาวางมาดนิ่งตามปกติ ชูครีมมองสำรวจหัวหน้านักเรียนแต่ไม่ได้เอ่ยอะไร เธอเองก็เกรงใจเขาเช่นกัน "เคาะประตูก่อนสิ ปุยฝ้าย" มนสิชาเป็นคนตำหนิเธอ "แหะๆ ขอโทษทีค่ะ หวังว่าคุณเทพทัตจะไม่เป็นอะไรนะคะ" ปุยฝ้ายยิ้มฝืดฝืน หน้าตาเกร็งไปหมด "ไม่เป็นไรครับ เชิญเด็กๆ เอ๊ย พวกคุณนั่งกันก่อนเลย" เทพทัตผายมือให้นั่ง ไม่มีใครเอ่ยอะไรเป็นเวลานาน ดูเหมือนเทพทัตจะมีเรื่องบางอย่างในใจ ทำให้เขาไม่พูดอะไรเลย "คุณเทพทัตค่ะ มีเรื่องอะไรหรือเปล่าคะ" มนสิชาตัดสินใจถาม "ครับ ขอโทษที ผมมีเรื่องอะไรต้องคิดเยอะ ปัญหาไม่ใช่น้อยๆเลย" เขาทำท่าเหมือนอยากระบาย
ตลอดหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมามีมอนสเตอร์ออกมาให้ปราบสองครั้ง นักเรียนคลาสเอสเดินกลับห้องเรียนอย่างเหนื่อยอ่อน เนื้อตัวมีแต่แผลฟกช้ำ พวกอัศวินชั้นหนึ่งเดินนำหน้าพร้อมกับคุยกันเสียงดัง อัศวินชั้นสองเดินตามมาอย่างหงอยๆ "ชูครีมนี่สุดยอดไปเลยนะ เธอบังคับสเลฟแบบนั้นได้ยังไง บลูฮาร์ทนี่เชื่องสุดๆไปเลย" ใบเฟิร์นชมเปาะ "ตอนอยู่ทิศเหนือ บอกมาเถอะว่าเธอเป็นอันดับหนึ่งหรือเปล่า" "เปล่าคะ ชูครีมไม่ได้เก่งถึงขนาดนั้น ถามคุณมนดูก็ได้" ชูครีมโยนให้เพื่อนสาวที่นั่งหมดแรงบนเก้าอี้ ไม่มีใครอยากรู้เรื่องจากปากมนสิชา จึงเงียบเสียงลง หญิงสาวอ้าปากเก้อ รับรู้ถึงบรรยากาศอึดอัดนั้น ก่อนก้มลงมองหนังสือในมือ "เดี๋ยวหลังเลิกเรียน เราจะจัดปาร์ตี้ฉลอง ชูครีมก็มากับพวกเราด้วยสิ" อัศวินชั้นหนึ่งอีกคนเดินเข้ามา "ถ้าคุณมนไป.." ชูครีมเอ่ยไม่ทันจบใบเฟิร์นก็แทรก "พวกเราอัศวินชั้นหนึ่งจองห้องจัดเลี้ยงได้เป็นพิเศษ ยังไงก็ไปกันเถอะนะ" คนเดิมเอ่ย มนสิชาพยักหน้าให้ชูครีมเข้าร่วม "ก็..ได้ค่ะ" หล
พวกเขาเดินเข้ามาในเขตโรงเรียนทิศตะวันตกได้สักพักแล้ว ไม่เจอนักเรียนเลยสักคน ทั้งที่เจอเมืองเรียบร้อยแล้ว ที่นี่ไม่มีย่านชุมชน แต่สร้างหอนอนไว้ในโรงเรียน ตัวอาคารเรียนทาสีแดงดำเหมือนแหล่งท่องเที่ยวมากกว่าจะเป็นโรงเรียน "เอาไงดีอ่ะ" มนสิชาหันมาถามเพื่อนๆ "ลองขึ้นไปดูในห้องเรียนก่อนดีไหมคะ อาจจะมีห้องพักครูหรืออะไรแบบนั้น" ชูครีมเสนอ "ตามฉันมาเลย" ปุยฝ้ายร้องแล้ววิ่งเข้าไปในตัวอาคาร เธอไม่เจอห้องพักครูหรือสำนักงานอะไรเลย จนกระทั่งเข้ามาเจอห้องว่างห้องหนึ่ง เมื่อเข้าไปแล้วเจอบันไดให้เดินลงไปอีกครึ่งชั้น มีโคมไฟประดับอยู่ตามผนังห้องที่ทำสีดำสลับกับแดงเหมือนข้างนอก มีโต๊ะตัวเตี้ยๆกับเก้าอี้ให้นั่ง บาร์สำหรับชงเครื่องดื่ม และเวทีเล็กๆที่พอให้วางเครื่องดนตรี "นี่มันผับนี่นา" มนสิชาร้อง มีนักเรียนกำลังทำความสะอาดอยู่พอดี เขาหันมาทางพวกเธอทั้งสามคน ส่งยิ้มเป็นมิตรมาให้ "มาใหม่เหรอครับ" เขาถาม "เอ่อ ใช่ค่ะ แล้วที่นี่ไม่มีห้องเรียนเหรอคะ" ชูครีมถามตรงๆ "มีสิคร
คทาเป็นชายอายุหกสิบปี ผมหงอกหมดทั้งหัว ผิวขาว ดูสะอาดสะอ้าน เขาเคยมีครอบครัวที่อบอุ่น แต่ภรรยาเสียชีวิตไปเมื่อสิบกว่าปีก่อน ทิ้งลูกสาวสองคนให้เขาดูแลตามลำพัง คนโตคือมนสิชาและคนเล็กคือกุมภา มนสิชาไม่เคยมีเรื่องให้เขาลำบากใจเพราะเธอตั้งใจเรียนและช่วยเขาทำงานมาตั้งแต่เด็กๆ จะมีเรื่องให้กลุ้มใจบ้างก็ตรงที่เธอมีผู้ชายมาชอบเยอะ ตั้งแต่ตอนเรียนมหาวิทยาลัยก็มีชายแก่ร่ำรวยมากมายเข้ามาเสนอช่วยออก ค่าเทอมให้ ส่วนน้องคนเล็กนั้นแทบจะตรงข้าม เพราะเธอหน้าตาไม่รับแขก จึงไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องผู้ชาย ดังนั้นคนส่วนใหญ่รอบตัวเธอจึงมีแต่คนไม่ชอบหน้าตั้งแต่แรกเห็น แต่เธอเป็นเด็กดี ไม่เคยเกเรทำให้เขาต้องเป็นห่วง เขาเลี้ยงลูกอย่างเข้มงวดทุกคน ไม่อยากให้ใครโตขึ้นมาแบบไม่เอาจริงเอาจัง ทั้งดุจนร้องไห้แล้วค่อยปลอบทีหลังก็เคยมาแล้ว เขารู้ว่าลูกๆไม่เคยเกลียดเขา เพราะทุกครั้งที่ดุที่จะบอกเหตุผลทุกครั้ง คทาเป็นคนตรงไปตรงมา ชอบพูดในสิ่งที่คิด ทำให้ลูกสาวทั้งสองคนได้รับอิทธิพลเรื่องการพูดตรงจากเขาไปไม่น้อย แรกๆคนไม่ค่อยพอใจที่เขาพูดตรงๆ แต่คนที่รับได้
"นี่ก็ผ่านไปสามวันแล้วนะ แต่เรายังหามนไม่เจอเลย" ปุยฝ้ายบ่นอย่างเซ็งๆ เธอโยนก้อนหินลงไปในสระน้ำแก้เบื่อ ตอนนี้พวกเธออยู่ที่สวนดอกไม้ของส่วนกลาง ที่ลับของพวกเธอสามคน ดอกไม้กลับมาบานสดใสเหมือนเดิม สีขาว สีแดง และสีเหลืองตัดกันสุดลูกหูลูกตา "ชูครีมว่าคงมีใครช่วยเธอไว้ค่ะ" ชูครีมตอบ นั่งยืดขาจนสุดบนพื้นหญ้าแสนนิ่ม "พวกเราไปทิศตะวันออกกันเลยไหมคะ ไม่แน่ว่าอาจเจอคุณมนที่นั่น" "แต่ว่า" ปุยฝ้ายคัดค้าน สีหน้าเป็นกังวล "การเอาใจคุณมนที่ดีที่สุด ก็คือการเข้าใกล้ทางออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุดนะคะ" ชูครีมให้ความเห็น "ชูครีมเชื่อว่าคุณมนต้องเข้าใจคุณปุยฝ้ายแน่ๆค่ะ" "แล้วคราวนี้เราจะสืบยังไงดีล่ะ" ปุยฝ้ายถาม สมองเค้นคิดทางออกอย่างหนัก ชูครีมเองก็คิดทางออกอย่างวกวน ไม่มีคำตอบหลุดออกจากปากเธอ "เราไปถามหัวหน้านักเรียนตรงๆเลยดีไหม" ปุยฝ้ายเสนอ "หา ถามคุณกิ่งฟ้านี่นะ" ชูครีมแปลกใจ "ถามแล้วก็ดูปฏิกิริยาของเธอ ถ้าเธอทำ ต้องแสดงอาการอะไรออกมาแน่
ชูครีมและปุยฝ้ายเดินไปย่านร้านค้า เวลานั้นเป็นช่วงสายของวันหยุด มีร้านกาแฟโบราณเปิดอยู่ ไม่มีที่ไหนเหมาะไปกว่าที่นี่อีกแล้ว โต๊ะในร้านให้บริการคนในท้องถิ่นมานั่งคุยกัน เจ้าของร้านชงกาแฟแบบโบราณ รสชาติที่ทุกคนคุ้นเคย ไม่ว่าจะในโลกแห่งความเป็นจริงหรือโลกแห่งความฝัน พวกเขาไม่ได้ติดใจเพียงรสชาติ แต่ยังติดใจบรรยากาศการนั่งคุยฉันมิตรด้วย เด็กหนุ่มทั้งหมดสวมชุดนักเรียนมานั่งดื่มชาร้อนกันกว่าหกคน ชูครีมและปุยฝ้ายเลือกที่นั่งริมๆโต๊ะ แล้วสังเกตุการพูดคุยของพวกเขา แหล่งข่าวชั้นเยี่ยมก็คือสถานที่ๆ มีคนนั่งเม้าท์กันอย่างไม่ระวังนี่แหละ "ได้ยินมาว่าที่ทิศตะวันตกมีกบฏด้วยนะ" ชายคนหนึ่งเอ่ย สามสาวยังไม่ได้หันไปมองว่าใครพูด จึงไม่เห็นว่าเป็นใคร "แล้วปฏิวัติสำเร็จหรือเปล่าล่ะ" "ไม่เลย แถมคุณสุกฤตยังไม่เอาเรื่องด้วยนะ" คนที่เล่าตอบ "ไม่มีใครตาย แต่คนเจ็บเยอะอยู่" มนสิชาเงี่ยหูฟังเต็มที่ ถอนหายใจอย่างโล่งอกที่ดาวเหนือปลอดภัย "หัวหน้าทิศตะวันออกน่ะนะ" เด็กหนุ่มผมสีอ่อนเอ่ยเสียงเบาลง คนท
พวกเธอลงจากสเลฟแล้วก็เดินทางเข้าไปยังส่วนกลาง คนมากหน้าหลายตาเดินเตร็ดเตร่อยู่ที่นั่น หลายคนไม่รู้ว่าต้องทำอะไรเมื่อมาที่นี่ เพราะจดจำเรื่องในฝันไม่ได้เลยแม้แต่น้อย ปุยฝ้ายและชูครีมพามนสิชาไปยังสวนดอกไม้ลับของพวกเธอ ทุ่งดอกไม้ยังคงสวยอยู่เหมือนเดิม พวกเธอนั่งลงใต้ร่มไม้ใหญ่ ปุยฝ้ายนอนแผ่บนพื้น ชูครีมพิงต้นไม้ ส่วนมนสิชานั่งอย่างเกร็งๆ "เล่าให้พวกเราฟังหน่อยสิคะ คุณมนไปเป็นอัศวินให้ คุณกิ่งฟ้าได้ยังไง" ชูครีมเป็นคนถาม "ตอนแรกจำได้ว่าจะมาสมัครงานที่โรงเรียนวรรณวิลาศ แล้วรถมาจอดที่อาคารบริหาร พี่เดินเข้ามาในส่วนกลางแล้วก็เดินไปเจอป้าย เลยสุ่มเดินไปทางทิศตะวันออก ตอนนั้นได้ยินเสียงเอะอะดังมา พี่เห็นกลุ่มเด็กนักเรียนปิดหน้ากำลังลอบโจมตีนักเรียนกลุ่มหนึ่ง มารู้ทีหลังว่าพวกนักเรียนปิดหน้าคือกบฏ" "ที่ไหนๆ ก็มีกบฏทั้งนั้นเนอะ" ปุยฝ้ายแทรก แล้วก็ทำมือให้เธอเล่าต่อ "พี่เห็นพวกกบฏได้เปรียบ แล้วก็มีผู้หญิงคนหนึ่งที่ไม่มีอาวุธกำลังจะโดนทำร้าย พี่เลยขว้างก้อนหินใส่คนร้าย แล้วรู้ทีหลังว่าคนที่ช่วยไว้คือคุณกิ่ง
ห้องทำงานของหัวหน้านักเรียนมีขนาดกว้างขวาง เขามีโต๊ะทำงานตัวเขื่องสำหรับใช้งาน มันทำมาจากไม้สักแต่ดูเรียบง่าย ใกล้ๆมีชุดโซฟาสีดำพร้อมโต๊ะกระจกใส จากที่นั่งสามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ของโรงเรียนทิศเหนือได้ร้อยแปดสิบองศา เทพทัตนั่งบนโซฟานุ่มแล้วทอดมองทิวทัศน์อย่างเหม่อลอย เขามองนักเรียนทิศเหนือเดินเข้าอาคาร คิดถึงการกลับไปเป็นนักเรียนที่ไม่ต้องมีภาระให้หนักสมอง "เคาะประตูก่อนนะคะ" เสียงเด็กสาวดังขึ้น เขาคุ้นๆกับเสียงนั้นอย่างบอกไม่ถูก ประตูถูกเคาะแล้วเปิดเข้ามา ปุยฝ้าย มนสิชา และชูครีมเดินเข้ามา ความเซ็งเปลี่ยนเป็นความสดชื่นแทน เขาคงได้ข้อมูลอะไรบางอย่างเพื่อไปให้ถึงจุดสูงสุดแน่ "เชิญครับๆ" ปุยฝ้ายชูครีมและมนสิชานั่งลงบนโซฟา ตัวเกร็งเล็กน้อยเมื่อนั่งต่อหน้าหัวหน้านักเรียน ไม่อยากเชื่อว่าชายที่หน้าตารุ่นราวคราวเดียวกับพวกเธอจะได้ห้องทำงานใหญ่โตขนาดนี้ "พวกเราทำตามที่ตกลงกับคุณเทพทัตได้แล้วค่ะ" ชูครีมเป็นฝ่ายเกริ่น "ผมได้ยินข่าวแล้ว แทนที่คุณจะเปิดโปงกิ่งฟ้า แต่กลับปล่อย
วันเลือกตั้งใกล้เข้ามาทุกที นักเรียนทุกคนรอการหาเสียงจากแต่ละทิศอย่างตื่นเต้น เริ่มต้นจากทิศใต้ที่เน้นการศึกษา พวกเขารู้ดีว่านักเรียนที่อยู่ในโรงเรียนปัจจุบันเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับการศึกษาอยู่แล้ว ขณะเดียวกันนักเรียนทุกคนก็รู้ว่าหากอยากเรียนมากๆให้ไปทิศใต้ ดังนั้นจึงไม่สามารถตามหานักเรียนที่สนใจการศึกษาได้มากไปกว่านี้ สุกฤตจึงใช้เรื่องอื่นจูงใจนักเรียนแทน เขาสั่งให้อัศวินลอบไปทิศอื่นเพื่อปิดป้ายประกาศเสนอคูปองกินฟรีตลอดหนึ่งเดือนสำหรับนักเรียนใหม่ เพียงย้ายที่อยู่ไปในทิศใต้ก่อนวันเลือกตั้งเท่านั้น นักเรียนชายร่างท้วมเดินไปดูป้ายอย่างสนใจ พลางกอดคอเพื่อนหุ่นพอๆกับเขาไปด้วย พวกเขาอยู่ทิศตะวันออก ที่นี่ช่างสดใสเมื่อได้ปรับปรุงที่อยู่ใหม่ ส่วนคนที่ย้ายไปก็เริ่มกลับมาบ้างแล้ว "สมุทร นายว่าเราย้ายโรงเรียนกันสักเดือนดีไหม" ลำธารเพื่อนรักเอ่ยให้ฟังด้วยแผนการ "นายหมายถึง ย้ายไปเพื่อรับอาหารฟรีงั้นเหรอ" สมุทรหัวเราะในลำคอ "ก็ไม่มีใครตามมาบังคับให้เราต้องอยู่ที่นั่นตลอดไปนี่นา แถมพวกเรายังเป็นแรงงานไร้ฝีมื
กิ่งฟ้านั่งพักในห้องหัวหน้านักเรียน มีเฟอร์นิเจอร์สั่งทำพิเศษดูคลาสสิคทั่วทั้งห้อง เธอกัดเล็บเพื่อระบายความกระวนกระวาย ในหัวหาทางทำทุกอย่างให้กลับไปเป็นเหมือนเดิม ยิ่งคิดยิ่งเหมือนเจอทางตันเข้าไปทุกที เสียงเคาะประตูดังขึ้นขัดจังหวะ "เชิญค่ะ" กิ่งฟ้าเอ่ยด้วยเสียงอ่อนหวาน ทั้งที่ใจรำคาญ "คุณกิ่งต้องรีบหนีแล้วค่ะ พวกกบฏจู่โจมพวกเราอีกแล้ว" อัศวินสาวรายงาน เธอเป็นมือขวาที่ดีที่สุดของกิ่งฟ้าชื่อตีตี้ "มากันเยอะไหมตีตี้" กิ่งฟ้าถาม "เยอะค่ะ แต่ตราบใดที่ยังรักษาชีวิตคุณกิ่งไว้ได้ เราก็ยังรักษาอำนาจไว้ได้ค่ะ" ตีตี้ตอบ กิ่งฟ้าแทบจะกระโดดขึ้นจากเก้าอี้ พวกเธอวิ่งออกจากประตู เจออัศวินของเธอกำลังต่อสู้กับกบฏ เสียงคำรามของเหล่าสเลฟดังไปทั่วโรงเรียน พวกเธอกำลังจะวิ่งไปทางประตูหลัง แต่กบฏอีกกลุ่มหนึ่งวิ่งมาล้อมกิ่งฟ้าไว้ "สเลฟจงออกมา" ตีตี้ร้อง จระเข้เผือกตัวใหญ่กว่าสามเมตรเดินไปประจันหน้ากับกลุ่มกบฏ พวกเขาตกใจกับขนาดตัวของมัน คมเขี้ยวสีเหลืองสกปรกเตรียมจู่โจมเต็มที่ "ทอง ใครเ
ปริญเดินทางมายังโฮมออฟฟิซแห่งหนึ่งบริเวณชานเมือง เขากดกริ่งหน้าบ้านพักหนึ่ง ก็มีเด็กหนุ่มวัยรุ่นผมยาว สวมเสื้อเชิ้ตกับกางเกงสแล็คทรงกระบอกเดินออกมาเปิดประตูบ้าน "ผู้ปกครองอยู่ไหมครับน้อง" ปริญถามพลางยิ้มอย่างอัธยาศัยดี "มาหาแม่ผมเหรอครับ เชิญเข้ามาก่อนสิฮะ" เด็กหนุ่มเปิดประตูบ้านให้ ข้างในห้องรับแขกเปิดแอร์เย็นฉ่ำ ตัดกับอากาศร้อนข้างนอกบ้าน เด็กหนุ่มเอาน้ำเย็นมาเสิร์ฟก่อน หน้าตายิ้มแย้มรับแขกเป็นอย่างดี "เดี๋ยวผมไปตามมาแม่มาให้นะครับ" "พี่คิดว่าไม่ใช่แม่หรอกนะครับ น่าจะเป็นพี่ชายหรือพ่อมากกว่า" ปริญบอกอย่างไม่แน่ใจ แต่ก็สบายใจที่เด็กวัยรุ่นไม่ได้กำลังอารมณ์เสีย "เดี๋ยวนะ น้องคงไม่ใช่นักเวทวิชาการหรอกใช่ไหม" "น่าแปลกนะครับ แต่ผมนี่แหละนักเวทวิชาการ หรือคุณจะเป็นคนทีส่งอีเมลมาหาผม" เด็กหนุ่มถามพลางขมวดคิ้ว เขาเริ่มไม่พอใจที่โดนประเมินต่ำไป เอามือกอดอกแล้วมองปริญตั้งแต่ตัวจรดเท้า "ขอโทษที่เด็กไปหน่อย จะไม่ปรึกษาก็ได้นะ" ทั้งท่าทางเอาเรื่อง ทั้งน้ำเสียงไม
เสียงเคาะประตูทำให้ผอ.วัยกลางคนรู้สึกตัว ปริญเดินเข้าไปยังห้องทำงานของผู้อำนวยการดนุเดช ข้างในมีโต๊ะทำงานพร้อมคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่ปิดการใช้งาน ส่วนเจ้าของเครื่องนั่งจิบกาแฟอยู่ที่โต๊ะรับแขก เขาดูใจเย็นผิดกับปริญที่เหงื่อออกตามฝ่ามือ ตื่นเต้นกับเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น "เชิญนั่งก่อนครับคุณปริญ" ดนุเดชเชิญชวนให้นั่ง ไม่นานเลขาหน้าห้องก็นำกาแฟมาเสิร์ฟ "นอกจากญาติๆแล้ว ผมยังไม่เคยเจอใครที่ใช้เวทมนตร์ได้เลย บางทีผมน่าจะก่อตั้งสมาคมคนใช้เวทมนตร์ดูบ้างนะครับ" "ผมคิดว่าผอ.ไม่น่าจะใช่พวกที่หลงใหลในเวทมนตร์ แต่ใช้เวทมนตร์เพราะความจำเป็นมากกว่า" ปริญตอบอย่างเฉียบแหลม "ครับ การรักษาคนถือเป็นความจำเป็นอย่างยิ่ง แต่บางครั้งผมก็ต้องการที่ปรึกษาเหมือนกัน" ดนุเดชตอบ "เพียงแต่ว่าถ้ามีคนรู้แล้ว ความลับก็ไม่ใช่ความลับอีกต่อไป แถมเดิมพันของผมก็คือโรงพยาบาลทั้งโรงพยาบาล" "แล้วจะดีหรือครับที่ให้ผมมาเข้าร่วมด้วย" ปริญถาม ขยับคอที่เริ่มเกร็ง "ดีสิครับ อย่างน้อยพลังของคนรุ่นใหม่ ก็น่าทึ่งเ
ปัจจุบัน สุเมธออกไปดูข้างนอก เห็นครูชั้นเรียนเด็กเล็กและอาสาสมัครช่วยกันแจกน้ำให้กลุ่มนักเที่ยว คนที่ดื่มน้ำกลับมาได้สติอีกครั้ง หลายคนยังไม่รับรู้ว่ามีคนมาแจกน้ำด้วยซ้ำ ได้แต่เต้นอย่างไม่ลืมหูลืมตาบนฟลอร์เต้นรำ "นั่นไง ไอ้นักเวทลวงโลกอยู่นั่น" มีคนตะโกนออกมาจากฝูงชน "พวกเราไปจับมันกัน" คนที่ได้สติกรูกันเข้ามาหาสุเมธ หัวหน้านักเรียนคนก่อเรื่องยกสองมือขึ้นแล้วร่ายเวทมนตร์ คนที่เมามายอยู่มีดวงตาสีแดงก่ำ หันมาต่อสู้กับคนที่สร่างเมาแล้ว เกิดสงครามย่อมๆขึ้น มีคนเรียกสเลฟออกมา เสียงดังโครมครามไม่หยุด โต๊ะที่นั่งล้มระเนระนาด หลอดไฟแตก บรรดาเด็กสาวที่ได้สติแย่งกันวิ่งออกจากผับ มนสิชาหวังว่าจะไม่มีใครล้มและโดนเหยียบ อัศวินสองคนที่เป็นคนรับใช้แสนซื่อสัตย์ของสุเมธ หันมาทางหญิงสาวทั้งสามคน พวกเขาทุบขวดเหล้าแล้วประจันหน้าต่อพวกเธอ ปุยฝ้ายผลักมนสิชาให้พ้นทาง "ไม่ได้นะปุยฝ้าย เธอก็รู้ว่าฉันแข็งแกร่งกว่า" มนสิชาเตือน "แต่ฉันไม่ใช่คนเดิมอีกแล้ว" ปุยฝ้ายบอก นึกถึงเรื่องโชคร้ายที่อาจ
ปุยฝ้าย ชูครีม และมนสิชาเดินกลับมาที่โรงเรียนทิศตะวันตกอย่างไม่เต็มใจ พวกเธอเดินทางเข้ามาในช่วงเย็น เพราะเคยพบว่าตอนเช้านั้นยังไม่มีใครตื่นจากการเที่ยวผับ เดินเข้ามาโดยไม่มีใครห้าม เพราะไม่มียามเฝ้าประตู "คนที่ตื่นคนที่สองคือใครนะคะ" ชูครีมถามอย่างไม่อยากเชื่อ "ก็เป็นเด็กประถมในร่างเด็กมัธยม" มนสิชาตอบ "เธออ่านกระดาษที่คุณเทพทัตเขียนให้แล้วนี่" "ก็ยังไม่อยากเชื่อนี่คะ แล้วเราจะถามเพื่อนเด็กคนนี้ยังไง เด็กประถมจะคุยกันรู้เรื่องสักแค่ไหนกัน" ชูครีมบ่นออกมา "เราก็ไปถามเอาจากครูหรืออาสาสมัครซิจ๊ะ ชูครีมจ๋า" ปุยฝ้ายตอบทีเล่นทีจริง เอื้อมมือไปลูบพุงกลมๆของเพื่อน เสียงออดดังขึ้นพอดี กลุ่มนักเรียนกรูกันมาเข้าผับ มนสิชาขวางนักเรียนหญิงคนหนึ่งเอาไว้ไม่ให้เดินไปในผับได้ "อะไรของเธอ หลีกนะ" นักเรียนหญิงท่าทางโมโห "ขอโทษนะคะ แต่ช่วยบอกเราหน่อย ว่าห้องเรียนเด็กประถมอยู่ที่ไหน" มนสิชาถาม "คิดว่าอะไร" นักเรียนหญิงคนนั้นบอก "ชั้นห้าของตึกนี้มีห้องเรียนเด
รัตนะเป็นหมอเวรประจำแผนกห้องพิเศษ เขาเป็นหมอมานานกว่าสิบปี มีความมั่นใจในผลงานของตัวเอง สูสีกับฝีมือที่เก่งกาจขึ้นทุกวัน วันนี้มีเรื่องน่าอารมณ์เสียหลายอย่าง โดยเฉพาะการทำงานที่ล่าช้าของเจ้าหน้าที่ เขายังกลับไม่ได้เพราะรอผลเอ็กซเรย์คนไข้อยู่ "ยังไม่กลับเหรอคะหมอ" พยาบาลสาวเทียวมาเกี้ยวหมอ ในวัยสามสิบกว่าแต่ยังโสด รัตนะจึงเป็นที่หมายปองของใครหลายคน "ผมเองก็อยากกลับ แต่ยังกลับไม่ได้" เขาเอ่ยออกมาอย่างอารมณ์เสีย "มีอะไรหรือเปล่าคะ นุชอาจจะช่วยอะไรได้บ้าง" เธอเสนอตัว แอ่นหน้าอกหน้าใจเข้าไปใกล้ หมอหนุ่มแอบสำรวจหน้าอก แต่แล้วก็ทำเป็นขยับแว่น "เรื่องส่วนตัวคนไข้ ผมจะเอามาพูดได้ไง" เขาดูอ่อนลงนิดหนึ่ง พยาบาลสาวจึงรุกต่อ "แหม ถึงจะช่วยอะไรไม่ได้ แต่ก็บำบัดอารมณ์ได้นะคะ" เธอพูดให้เขาคิดลึกขึ้นไปอีก "ขอบคุณนะ" รัตนะเอามือไปจับไหล่เธอ เขาคิดว่าได้เล่นๆ ก็ดีกว่าอยู่คนเดียว "มาแล้วครับหมอ" เจ้าหน้าที่วิ่งมาที่แผนก พวกเขาผละออกจากกันทันที จากที่ลับสองคนจึงกลายเ
วันถัดมาชอปเปอร์ซื้อของกินมาฝากเด็กๆ เดินเข้าห้องพยาบาลที่ยังไม่มีคนอยู่ เขาลอดอุโมงค์เข้าไปหาเด็กๆ แต่ในห้องกลับว่างเปล่า ของเล่นของใช้ถูกเก็บออกไปหมด ชายหนุ่มอึ้ง รู้สึกเหมือนถูกหลอก อาสาสมัครรู้ตั้งแต่แรกว่าเขาเป็นใคร หรือไม่ก็รู้หลังจากที่เขาลงชื่อไปแล้ว เขาโทษตัวเอง ไม่น่าเขียนชื่อจริงลงไป พวกนั้นคงรู้แล้วพาเด็กๆหนีไป ชอปเปอร์ทิ้งของในมือ แล้ววิ่งออกไปในเมือง ตอนนี้เป็นเวลาเย็น คนกำลังออกมาหาซื้ออะไรทาน หรือไม่ก็เตร็ดเตร่ก่อนกลับบ้าน เขาเรียกสเลฟที่ก้าวร้าวที่สุดออกมา มันคือทีเร็กซ์ หรือไทรันโนซอรัส ไดโนเสาร์กินเนื้อ นักล่าในยุคเกือบเจ็ดสิบล้านปีก่อน เสียงคำรามพร้อมฟันแหลมคม มันอ้าปากออกมาอย่างดุร้าย พอๆกับความรู้สึกเกรี้ยวกราดของชอปเปอร์ "หมอก ฆ่าได้หมด ไม่ต้องเหลือไว้สักคน" หมอกคำราม วิ่งเข้าชนร้านค้าข้างทางแล้วกัดหัวเจ้าของร้านอาหาร มันเคี้ยวจนร่างนั้นหยุดดิ้น ลำเพลิงพวยพุ่งออกมาแล้วร่างคนก็สลายไป เสียงกรี๊ดร้องดังขึ้นตลอดทางที่ ชอปเปอร์และหมอกเดินผ่าน หยดเลือดจากปากเจ้าทีเร็กซ
ห้องทำงานของหัวหน้านักเรียนมีขนาดกว้างขวาง เขามีโต๊ะทำงานตัวเขื่องสำหรับใช้งาน มันทำมาจากไม้สักแต่ดูเรียบง่าย ใกล้ๆมีชุดโซฟาสีดำพร้อมโต๊ะกระจกใส จากที่นั่งสามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ของโรงเรียนทิศเหนือได้ร้อยแปดสิบองศา เทพทัตนั่งบนโซฟานุ่มแล้วทอดมองทิวทัศน์อย่างเหม่อลอย เขามองนักเรียนทิศเหนือเดินเข้าอาคาร คิดถึงการกลับไปเป็นนักเรียนที่ไม่ต้องมีภาระให้หนักสมอง "เคาะประตูก่อนนะคะ" เสียงเด็กสาวดังขึ้น เขาคุ้นๆกับเสียงนั้นอย่างบอกไม่ถูก ประตูถูกเคาะแล้วเปิดเข้ามา ปุยฝ้าย มนสิชา และชูครีมเดินเข้ามา ความเซ็งเปลี่ยนเป็นความสดชื่นแทน เขาคงได้ข้อมูลอะไรบางอย่างเพื่อไปให้ถึงจุดสูงสุดแน่ "เชิญครับๆ" ปุยฝ้ายชูครีมและมนสิชานั่งลงบนโซฟา ตัวเกร็งเล็กน้อยเมื่อนั่งต่อหน้าหัวหน้านักเรียน ไม่อยากเชื่อว่าชายที่หน้าตารุ่นราวคราวเดียวกับพวกเธอจะได้ห้องทำงานใหญ่โตขนาดนี้ "พวกเราทำตามที่ตกลงกับคุณเทพทัตได้แล้วค่ะ" ชูครีมเป็นฝ่ายเกริ่น "ผมได้ยินข่าวแล้ว แทนที่คุณจะเปิดโปงกิ่งฟ้า แต่กลับปล่อย