แชร์

บทที่ 3

ผู้เขียน: Me.Daisy
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2024-12-16 17:45:45

              มนสิชารู้สึกเครียดมากที่รู้ว่าตัวเองหลุดมาอยู่ในโลกแห่งความฝัน  เธอคงประสบอุบัติเหตุระหว่างทาง  เธอรับไม่ได้กับสถานการณ์ตอนนี้  หญิงสาวยกสองมือขึ้นกุมศีรษะแล้วส่ายหน้าอย่างแรง 

              "อย่าเพิ่งเครียดไปเลย  ตามพวกเรามาทางนี้ดีกว่า"          ปุยฝ้ายชวนด้วยน้ำเสียงสดใส  เธอประสานมือไว้ด้านหลังแล้วแอ่นตัวมาด้านหน้า  มองมนสิชาด้วยสีหน้าไม่ทุกข์ร้อนใดๆ

              สองสาวเดินพามนสิชาไปโรงอาหารที่อยู่ตรงข้ามกับตึกบริหาร  มีโต๊ะไม้ตัวยาววางเรียงกันอย่างแน่นขนัดจนแทบไม่มีที่ว่างให้เดิน  เป็นสัญญาณบอกว่าสมัยหนึ่งโรงเรียนแห่งนี้เคยมีนักเรียนมานั่งทานอาหารเกินกว่าที่โรงอาหารจะรับมือไหว  ร้านอาหารมีพ่อค้าแม่ค้าวัยรุ่นยืนขายอาหาร  หน้าตาพวกเขาไม่ได้ดูแก่ไปกว่าสองสาวเท่าไรนัก

              "เวลามาตึกเรียนส่วนกลาง  พวกเราก็ชอบมากินข้าวที่นี่แหละค่ะ  ว่าแต่ว่าเธอชื่ออะไรเหรอคะ"  ชูครีมเริ่มต้นประโยคสนทนาด้วยความสุภาพ

              "พี่ชื่อมนสิชาจ้ะ  เรียกพี่มนก็ได้  แล้วน้องๆ"

              "ปุยฝ้าย"

              "ชูครีมค่ะ"

              สองสาวเอ่ยชื่อเล่นตัวเองอย่างเรียบง่าย

              "เดี๋ยวพวกเรามาเจอกันที่โต๊ะตัวนี้นะ  แยกย้ายกันไปซื้อข้าวก่อน  อ่ะ  นี่เงิน"  ปุยฝ้ายให้แบงค์ร้อยกับมนสิชา  หญิงสาวไม่ได้ปฏิเสธเพราะเธอคิดว่ายังไงก็เป็นฝัน  การรับเงินจากคนในจินตนาการของตัวเองคงไม่แย่สักเท่าไหร่

              ไม่นานนักทั้งสามคนก็วางอาหารของตัวเองลงบนโต๊ะ    ชูครีมเลือกข้าวหมูทอดที่ราดซอสมะเขือเทศและมายองเนสหน้าตาน่ากิน  กลิ่นอาหารลอยแตะจมูกทุกคนจนน้ำลายไหล  รอบจานจัดด้วยผักกาดเขียวและมะเขือเทศฝานบางๆ  พร้อมกาแฟปั่นราดวิปครีมเหมือนหลุดออกมาจากร้านแบรนด์ชื่อดัง  แล้ววางพุดดิ้ง  สีเหลืองทองลงบนโต๊ะ  ในขณะที่ปุยฝ้ายวางก๋วยเตี๋ยวน้ำสีดำอมม่วงที่มีหมูชิ้นดูท่าทางไม่สดลงบนโต๊ะ  กับแก้วน้ำบิ่นๆหนึ่งใบ  น้ำโอเลี้ยงส่งกลิ่นเปรี้ยวเหมือนกำลังจะเสีย

              "เป็นอย่างนี้ทุกที"  ปุยฝ้ายบ่นเมื่อมองเปรียบเทียบอาหารตัวเองกับชูครีม  เธอมองมาที่อาหารของมนสิชา  เป็นข้าวผัดอเมริกันหน้าตาธรรมดาๆ  กับน้ำชามะนาวในแก้วทรงสูง

              "พลังของเธอผ่านเกณฑ์ล่ะ"  ปุยฝ้ายหันมาวิจารณ์มนสิชาจากหน้าตาอาหาร

              มนสิชาไม่ได้ใส่ใจฟัง  จึงถามเรื่องที่สงสัยออกมา

              "ถ้าที่นี่เป็นฝัน  ทำไมเราต้องกินด้วย" 

              "ไม่ดีเหรอ  กินเท่าไหร่ก็ไม่อ้วน"  ปุยฝ้ายถามกวนๆ      มนสิชารู้สึกพอใจในคำตอบนั้นจึงยกมือขึ้นไฮว์ไฟกับเธอ

              "เจ๋งมาก"

              ชูครีมหัวเราะเบาๆ ที่จู่ๆทั้งคู่ก็เข้ากันได้  มนสิชายังไม่หมดความสงสัย  ก้มลงมองฝ่ามือของตัวเอง  เธอพบว่าไม่มีรอยพับหรือเส้นลายมือใดๆเลย  เมื่อสำรวจท่อนแขนก็ไม่เจอรูขุมขนเลยแม้แต่น้อย  เธอจึงเชื่อว่านี่เป็นฝันจริงๆ  หญิงสาวนั่งทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น  แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าคงเป็นตอนที่หนุ่มวิน มอเตอร์ไซค์ปาดหน้ารถเก๋งแน่ๆ 

              "รู้สึกว่าตอนที่หลับตาก่อนรถเก๋งจะชน  พี่หลับตาไปนานเหมือนกัน  แล้วจู่ๆ ก็มาถึงโรงเรียนวรรณวิลาศ"  มนสิชาพูดกับสองสาวที่บัดนี้นั่งลงข้างๆเธอ

              "ที่นี่ไม่ใช่โรงเรียนวรรณวิลาศหรอกค่ะ"  ชูครีมบอก    "ถ้าจะพูดให้ถูก  ก็คือไม่มีชื่อโรงเรียนด้วยซ้ำ"

              "นั่นสินะ  ใครจะมาเสียเวลาตั้งชื่อโรงเรียนในฝันกัน"  มนสิชาพยักหน้า

              "แต่พวกเราเรียกที่นี่ว่าเมืองนิทรานะคะ"  ชูครีมพูดต่อ

              มนสิชาสูดหายใจเข้าลึกๆ  ก่อนมองสองสาวอย่างสำรวจ  "งั้นพวกเธอก็เกิดจากจิตนาการของพี่ด้วยซิ"

              "ชูครีมมีตัวตนอยู่จริงๆนะคะ"

              "พี่ไม่เชื่อเด็ดขาด  ก็นี่มันฝันพี่  คนที่ไม่เคยรู้จักจะเข้ามา

ในฝันพี่ได้ยังไง"  มนสิชาแย้ง

              "ชูครีมอาจจะอ้วน ไม่ค่อยฉลาด  ไม่น่าคบ  คนไร้ค่าอย่างชูครีมจะไปมีตัวตนในสายตาของคนอื่นได้ยังไง"  ชูครีมเริ่มสะอึกสะอื้น  วางช้อนส้อมลงบนจานข้าว  ปุยฝ้ายหยุดตักอาหารเข้าปากแล้วหันมาปลอบใจเพื่อนสาว

              "ไม่ใช่อย่างนั้นนะชูครีม  เธอเป็นคนดี  เป็นที่รักของพวกเรา  แล้วก็มีความสามารถมากเลยนะ  ไม่ร้องนะ  โอ๋ๆ"  ปุยฝ้ายกอดชูครีมด้วยมือสองข้าง  สัมผัสนุ่มนิ่มนั่นทำให้เธอเคลิ้มจนลืมจุดประสงค์ไปแป๊บหนึ่ง  "อย่าร้องนะชูครีม"

              มนสิชายังคงนิ่งเงียบ  รู้สึกว่าเรื่องนี้คงมีเงื่อนงำอะไรบางอย่าง  ก่อนที่เธอจะเอ่ยอะไรออกมา  เสียงเพลงผ่านลำโพงก็ดังขึ้นเป็นเพลงกล่อมเด็กอย่างทวิงเกิ้ล ทวิงเกิ้ล ลิตเติ้ล  สตาร์

              "เพลงโปรดฉันดังอีกแล้ว"  ปุยฝ้ายระบายยิ้ม  "พวกเราก็ไปกันเถอะ"

              สามสาวเดินออกมาจากโรงอาหาร  เจอเหล่านักเรียนนับพันเดินผ่านพวกเธอไป  มุ่งหน้าไปยังอาคารทรงโดมที่ตั้งอยู่บริเวณส่วนกลาง  ตัวอาคารมีทางเข้าสองด้าน  ปุยฝ้ายเอื้อมมือมาจับมนสิชาไม่ให้เธอพลัดหลงไปในฝูงชน  มีทางเดินกว้างขวางพาพวกเธอเข้าไปด้านใน 

              มนสิชาอ้าปากค้างเมื่อเห็นการตกแต่ง  ห้องโถงกว้างขวางเพดานสูงเกินกว่าสิบเมตร  มีโต๊ะและเก้าอี้เรียงตัวเป็นแนวโค้ง  ประจันหน้ากันสองฝ่าย  ด้านหน้ามีที่นั่งแค่สองแถว  เธอเดาว่าเป็นที่สำหรับพวกผู้นำ  ส่วนด้านตรงข้ามเป็นที่นั่งของนักเรียนจำนวนมากที่เดินเข้ามาพร้อมเธอ

              มนสิชาก้มลงมองชุดสูทของตัวเองที่กลายเป็นแกะดำในห้องประชุม  แล้วก้มตัวลงต่ำเพื่อไม่ให้เป็นจุดสังเกตนัก 

              "ให้พี่เข้ามาในนี้ไม่เป็นไรเหรอ"  มนสิชากระซิบถาม    ปุยฝ้าย

              "ไม่เห็นเป็นไรเลย"  ปุยฝ้ายยิ้ม  ส่วนชูครีมยังตาแดงอยู่  พยักหน้าเห็นด้วยกับเพื่อนสาว

              บนโต๊ะที่พวกเธอนั่งนั้นมีไมโครโฟนตั้งโต๊ะคนละเครื่อง  พร้อมปุ่มสองปุ่มคือสีเขียวที่เขียนข้างล่างว่าใช่และปุ่มสีแดงที่เขียนว่าไม่  ที่นี่ไม่มีเครื่องปรับอากาศแต่อุณหภูมิพอเหมาะ   มนสิชามองไปยังโต๊ะยาวด้านหน้าซึ่งเป็นที่รวมตัวของเหล่าผู้นำนักเรียน  เหล่านักเรียนพูดคุยเสียงดัง  จนกระทั่งเสียงเงียบลงเมื่อมีนักเรียนหญิงชายเดินเข้ามาสี่คนนั่งประจำที่ของตัวเอง

              "คุณมนคะ  ชูครีมขอแนะนำนะคะ  นักเรียนชายคนที่อ้วนๆ ดูใจดีเป็นหัวหน้านักเรียนทิศเหนือชื่อเทพทัตค่ะ  ซึ่งเป็นโรงเรียนที่พวกเราอยู่เองค่ะ  ส่วนคนที่หน้าตาเป็นนักวิชาการ  สวมแว่นตา  ไม่ค่อยยิ้มเป็นหัวหน้านักเรียนทิศใต้ชื่อ   สุกฤตค่ะ  คนที่สามเป็นผู้หญิงคนเดียว  สวยสง่า  ท่าทางมารยาทดี  คนนั้นชื่อกิ่งฟ้าเป็นหัวหน้านักเรียนทิศตะวันออก  แล้วคนสุดท้ายที่หันมาส่งสายตาแทะโลมคุณกิ่งฟ้า  ผิวเข้ม  คิ้วหนา  ชื่อสุเมธเป็นหัวหน้านักเรียนทิศตะวันตกค่ะ"

              "ขอบคุณนะ  ชูครีม"  มนสิชารู้จักตัวละครทั้งหมด  พร้อมรับฟังเรื่องราวมากขึ้น

              "สวัสดีหัวหน้านักเรียนและนักเรียนทุกคนนะคะ"  กิ่งฟ้าเป็นคนเปิดการประชุม  เธอยิ้มน้อยๆเพื่อแสดงความเป็นมิตร  "การประชุมครั้งนี้โรงเรียนฝั่งตะวันออกของเราเป็นฝ่ายเรียกร้องให้จัดขึ้น  เนื่องจากพบเหตุการณ์ผิดปกติจากการเคลมซาก      มอนสเตอร์ค่ะ  ทางทิศตะวันออกของเราเคยประท้วงไปหลายครั้งแล้ว  แต่ยังไม่ได้รับคำตอบที่น่าพอใจ  เราจึงอยากใช้มติของนักเรียนเป็นคำตัดสินค่ะ  ถ้าใครเห็นว่าเรื่องนี้สมควรนำมาพูดคุยกรุณากดโหวตใช่ด้วยค่ะ"

              จอมอนิเตอร์ด้านหน้าแสดงผลโหวต  ตัวเลขแบ่งออกเป็นสองฝั่งคือฝั่งสีเขียวและฝั่งสีแดง  เมื่อนักเรียนเริ่มกดโหวตตัวเลขทั้งสองฝั่งก็วิ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว  ที่สุดแล้วผลโหวตก็ออกมาเป็นใช่    เจ็ดร้อยสิบเก้าคน และโหวตไม่  สี่ร้อยคน

              "มตินี้ถือว่าผ่านครับ"  สุกฤตสรุปผลจากหน้าจอออกมาเป็นคำพูด  "เชิญคุณกิ่งฟ้าพูดต่อ"

              "ขอเปิดตัวหัวหน้าศูนย์แลกเปลี่ยนด้วยค่ะ"  กิ่งฟ้าเอ่ยพลางสะบัดผมยาวไปด้านหลัง  นักเรียนหญิงเดินกระเผลกเข้ามา  มีเสียงอุทานด้วยความเห็นใจจากนักเรียนดังขึ้น  "ขอคัดค้านค่ะ  คุณน้ำผึ้งแกล้งทำเป็นเดินกระเผลกเพื่อเรียกร้องความเห็นใจค่ะ"

              มนสิชาส่ายหน้า  การต่อว่าคนอื่นตรงๆมีแต่จะทำให้เสีย

คะแนนความเห็นใจมากกว่าเห็นด้วย

              "ใครเห็นว่าคุณผึ้งแกล้งเดินกระเผลกโหวตใช่  และถ้าเป็นเรื่องจริงโหวตไม่ครับ  เชิญโหวตครับ"  สุกฤตหัวหน้าทิศใต้สรุป

              "หา  เรื่องแบบนี้ต้องโหวตด้วยเหรอ"  มนสิชาอุทาน        ชูครีมและปุยฝ้ายพยักหน้าด้วยความเหนื่อยหน่าย

              ตัวเลขบนจอมอนิเตอร์วิ่งอีกครั้ง 

              "คัดค้านครับ  คนส่วนใหญ่เชื่อว่าการเดินกระเผลกเป็นเรื่องจริงครับ"  สุกฤตเอ่ย  "เชิญเข้าประเด็นครับ  คุณกิ่งฟ้า"

              "ก่อนจะส่งมอนสเตอร์ไปที่ศูนย์แลกเปลี่ยนเราจะชั่งน้ำหนักไว้ก่อนทุกครั้ง  แต่ครั้งล่าสุดเราพบว่าเงินหายไปราวสามหมื่นบาทจากการชั่งน้ำหนักได้น้อยลง  เราอยากให้หัวหน้าศูนย์ชี้แจงเรื่องนี้ค่ะ"

              น้ำผึ้งเปิดไมค์ของตัวเองขึ้นด้วยสีหน้าหวาดกลัว          ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงสะอื้น

              "เปล่านะคะ  ทางเราไม่ได้มีการปรับเปลี่ยนที่ชั่งน้ำหนักใดๆ  คือ ทุกท่าน...พวกคุณ...ก็รู้ว่าคนที่ผลิตเครื่องชั่งน้ำหนักไม่ใช่คนของส่วนกลาง  เราจะไปโกงตาชั่งได้อย่างไร"

              เสียงซุบซิบดังขึ้น  กิ่งฟ้าดูเหมือนคนใจร้ายที่ใส่ร้ายคนบาดเจ็บขึ้นทุกที

              "คุณน้ำผึ้งค่ะ  ดิฉันทราบดีว่าคุณเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไป"  กิ่งฟ้าเริ่มพูดแก้ต่างให้ตัวเอง  แต่โดนน้ำผึ้งแย่งพูดอีก

              "ไม่ใช่..อึก...ไม่ใช่นะคะ"  น้ำผึ้งร้องไห้  "ดิฉันไม่ได้มีอำนาจ  มะ..ไม่มีอัศวินคอยปกป้อง  ดิฉันกลัวว่าจะโดนกลั่นแกล้ง"

              ในสายตาของมนสิชา  กิ่งฟ้าดูเหมือนคนตรงไปตรงไปและอารมณ์ร้อน  แม้จะตกหลุมพรางหัวหน้าศูนย์แลกเปลี่ยนเรื่องขากระเผลกแต่เธอก็ไม่แสดงอาการกลั่นแกล้งน้ำผึ้งอีก  ราวกับเริ่มอ่านเกมออก  เธอปล่อยให้คนอื่นนำการพูดในครั้งนี้

              "มีหลักฐานไหมครับ"  เทพทัตที่นั่งฟังเฉยๆ เอ่ยถามขึ้น

              "แน่นอนค่ะ"  กิ่งฟ้ายกใบเสร็จรับเงินพร้อมกับรูปถ่ายตอนชั่งน้ำหนักมอนสเตอร์ขึ้น  กล้องซูมไปที่รูปภาพในมือกิ่งฟ้า  มอนสเตอร์ที่พวกเขาพูดถึงเป็นสัตว์ตัวโตคล้ายหมีแต่ผิวหนังเรียบลื่นเหมือนงู  มีดวงตาเดียว  เล็บมือแหลมคม  พวกมันนอนซ้อนกันเป็นกองบนตาชั่งขนาดใหญ่

              "น้ำหนักที่เราเห็นจากภาพเป็นหกร้อยกิโลกรัม  ส่วนน้ำหนักในใบเสร็จแค่สามร้อยกิโลกรัม  แสดงว่าเงินจะหายไปสามหมื่นบาทหรือครึ่งหนึ่ง"  สุเมธเอ่ยหลังคิดเลขอย่างรวดเร็ว  "เป็นการกระทำที่แย่มากเลยนะครับ  หายไปครึ่งหนึ่งเลย"

              "ถ้าอย่างนั้นโหวตครั้งสุดท้ายของเรื่องนี้  ใครเห็นว่าคุณน้ำผึ้งมีความผิดโหวตใช่  ไม่มีความผิดโหวตไม่"  สุกฤตกล่าวสรุปในที่ประชุม

              ตัวเลขบนจอมอนิเตอร์วิ่งอีกครั้ง

              "ผลโหวตเป็นเอกฉันท์ว่าคุณน้ำผึ้งมีความผิดครับ"       สุกฤตกล่าว

              น้ำผึ้งร้องกรี๊ดเมื่อเห็นผลโหวต 

              "ไอ้พวกบ้า  อย่าให้ถึงคราวของฉันก็แล้วกัน"  เธอยังด่าอะไรไปอีกพักหนึ่ง  แต่ไมค์ถูกยึด  อัศวินจับน้ำผึ้งออกนอกห้องประชุมไป  กล้องวิดีโอจับภาพสีหน้าของกิ่งฟ้าเอาไว้  เธอทำหน้าเรียบเฉยไม่แสดงอาการดีใจใดๆ

              "นี่แหละน่า  เขาเรียกมืออาชีพ"  มนสิชาชมเปาะ

บทที่เกี่ยวข้อง

  • เมืองนิทรา   บทที่ 4

    เทพทัตยืนขึ้นในที่ประชุม ร่างที่สูงใหญ่ของเขาเป็นจุดสนใจอีกครั้ง ทำให้เหล่านักเรียนเงียบเสียงลง "ผมขออนุญาตใช้เวทีนี้เป็นที่ประกาศ ขอยกเลิกการเรียนการสอนของทิศเหนือในตอนบ่าย เพราะอยากได้แรงงานไปช่วยกันสร้างกำแพงที่โดนมอนสเตอร์ทำลายนะครับ นักเรียน ทิศเหนือที่สนใจสามารถไปรวมตัวกันได้ที่หน้ากำแพงครับ" มีนักเรียนชายคนหนึ่งยกมือขึ้น "เชิญครับ" เทพทัตอนุญาตให้เขาพูด "ค่าแรงชั่วโมงละเท่าไหร่ครับ" "ค่าแรงขั้นต่ำบวกเพิ่มอีกห้าสิบบาทครับ เพราะเขตก่อสร้างอยู่ใกล้ประตูมิติ มันค่อนข้างอันตราย" นักเรียนหลายคนทำท่าสนใจ เทพทัตดูพอใจกับอาการเหล่านั้น เขาทำท่าจะเอ่ยอะไรอีก "งั้นปิดประชุมเลย" สุเมธโพล่งขึ้น นักเรียนชายหลายคนปรบมือให้กับคำพูดนั้น สุเมธโค้งให้กับพวกนักเรียนชาย เสียงปรบมือค่อนข้างดัง ทำให้เทพทัตจำเป็นต้องถอยก่อนเพราะไม่อย่างนั้นคนจะไม่พอใจเอา "พวกเราก็ไปกันเถอะค่ะ คุณปุยฝ้าย คุณมน" ชูครีมชวนเมื่อคนเริ่มทยอยกันออกนอกห้องประชุม "อันดับแรกคุณมนต้องทำ

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-12-18
  • เมืองนิทรา   บทที่ 6

    "พวกเรากลับบ้านกันดีไหมคะ" ชูครีมที่กลับมาแข็งแรงอีกครั้งถามขึ้นตอนเดินเล่นในเมือง มนสิชาพยักหน้า "ไปกันๆ" ปุยฝ้ายตอบรับเหมือนเด็ก บ้านของชูครีมและปุยฝ้ายอยู่ในย่านบ้านคนมีอันจะกิน เพราะชูครีมทำเงินได้มากจากการต่อสู้กับมอนสเตอร์ ส่วนปุยฝ้ายก็คอยช่วยเพื่อนดูแลบ้าน บ้านของสองสาวเป็นบ้านเดี่ยวสูงสองชั้น มีบริเวณเล็กๆให้เดินผ่อนคลายได้ สไตล์โมเดิร์นนั้นแทรกซึมไปทุกอณูของบ้าน ของทุกอย่างในบ้านเป็นสีขาวดำ ปุยฝ้ายทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาผ้าเนื้อนิ่ม เธอเด้งดึ๋งบนโซฟาพักหนึ่งกว่าจะหยุด วัสดุที่ใช้ทำโซฟาไม่เหมือนในโลกความเป็นจริง มนสิชานั่งลงตามจึงได้รู้ว่าความนิ่มและสัมผัสแสนสบายนั้นเหมือนอยู่บนปุยเมฆ ชูครีมเดินไปหยิบน้ำมาเสิร์ฟ "จะดีเหรอที่ให้พี่มาพักอยู่ด้วย" มนสิชาถาม "หอพักของโรงเรียนเตียงแข็งมากเลยนะคะ แถมยังเสียงดังด้วย มาอยู่กับพวกเราเถอะค่ะ บ้านนี้ยังมีที่ว่างอีกเยอะ" ชูครีมตอบพลางยกน้ำขึ้นดื่ม กลิ่นมะลิที่เธอลอยไว้หอมกรุ่นอยู่ในน้ำ ปุยฝ้ายยกน้ำขึ้นดื่มบ้าง "น้ำประปาอีกแล

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-12-22
  • เมืองนิทรา   บทที่ 5

    ชูครีมวางเครื่องเจาะคอนกรีตลงแล้ววิ่งไปยังจุดเกิดเหตุ ปุยฝ้ายดึงมนสิชาออกมาจากบริเวณนั้นพร้อมๆกับคนอื่น ฝูงอสูรกายติดปีกบินเขามาเหนือกำแพงเมือง แล้วฟาดกำแพงจนถล่มลงมาอีกระลอก พวกมันมีสองขาและสองแขนเหมือนมนุษย์ ลำตัวหนาและสูงใหญ่เกือบสองเมตร ผิวหนังสีดำสนิท กล้ามเนื้อแน่นเป็นมัด ดวงตาสีแดงไร้แสงสะท้อน "สเลฟ*จงออกมา" เสียงตะโกนจากเหล่าอัศวินดังขึ้น ประตูมิติขนาดเล็กเปิดออก มีสัตว์ทยอยกันออกมา สเลฟของ ชูครีมใหญ่กว่าคนหลายเท่า ผิวหนังสากหยาบกระด้าง ดวงตาสีทอง ปากใหญ่นั้นเต็มไปด้วยฟันแหลมคมซี่โต ชูครีมถีบตัวขึ้นไปบนหลังมังกรของเธอ(คำอ่าน Slave นั้น ถ้าเป็นภาษาเขียนจะเขียนว่า สแลฟ หรือสลาฟ แต่พอคนเขียนกดฟังภาษาจากต้นตำรับ เขาออกเสียงว่า สเลฟ ดังนั้นในเรื่องจึงเขียนว่า สเลฟ ทุกคำนะคะ) อสูรกายติดปีกตัวหนึ่งบินเข้ามาปะทะ ชูครีมดึงบังเหียนให้มังกรหลบไปด้านข้าง แต่ช้าไป โดนกระแทกเข้าเต็มแรง มังกรของชูครีมกระเด็นไปหลายเมตร กางปีกก่อนบินขึ้นมาได้อีก เด็กสาวตั้งลำมังกรใหม่ เธอรู้สึกเจ็บแปลบที่แขนขวา เมื่อก้มมองก็แทบห

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-12-22
  • เมืองนิทรา   บทที่ 7

    ปริญถือช่อดอกไม้เดินเข้ามาในห้องพิเศษ เขาเป็นคนรูปร่างสูงใหญ่ กล้ามเนื้อแน่นเพราะเข้าฟิตเนส จมูกเป็นสันเหมือนรูปปั้น ดวงตามีแววลึกซึ้งอย่างคนฉลาด เขาเดินมายังแผนกห้องพิเศษเพื่อตามหามนสิชา พยาบาลสาวๆ แอบร้องกรี๊ดเมื่อเขาเดินตรงมา หัวหน้าพยาบาลมองดูเด็กในปกครองของตัวเองออกอาการคลั่งหนุ่มหล่อจึงอดไม่ได้ที่จะปราม "นี่ๆ มากไปแล้วนะ" พวกเธอแตกฮือกันไปทำหน้าที่ของตน หัวหน้าพยาบาลส่งรอยยิ้มตามมารยาทให้ปริญ "ติดต่อสอบถามหรือคะ" "ครับ ผมกำลังตามหาห้องของมนสิชา ภูริเดโชครับ" "สักครู่นะคะ" เธอเคาะนิ้วลงบนแป้นพิมพ์ เครือข่ายห้องผู้ป่วยทั่วทั้งโรงพยาบาลประมวลผลหาชื่อนี้ ชั่วครู่รายชื่อก็ปรากฎออกมา "ชั้นเก้า ห้องเก้าศูนย์สามค่ะ" "ขอบคุณมากครับ" เขาเดินจากไปโดยไม่รู้ตัวเลยว่าทั้งแผนกปั่นป่วนหัวใจขนาดไหน แม้แต่หัวหน้าพยาบาลมาดมืออาชีพเมื่อสักครู่ก็หวั่นไหวกับความหล่อเขาเช่นกัน "ห้องเจ้าหญิงนิทรานี่คะ" พยาบาลสาวคนหนึ่งใจกล้าออกความเห็น "เพิ่งเข้าโรงพยาบาลได้สองวันเอง เดี๋ยวก็ฟื้น" หัว

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-12-22
  • เมืองนิทรา   บทที่ 8

    เสียงออดเข้าเรียนดังขึ้น ชูครีมจูงมือมนสิชาไปเข้าเรียน ห้องเรียนเป็นห้องเรียนในอุดมคติ มีนักเรียนสิบกว่าคนต่อครูคนเดียว ครูที่นี่หน้าตาเหมือนเด็กมัธยม สิ่งที่แยกพวกเขาได้คือชุดที่สวมเท่านั้น ห้องเรียนประดับไปด้วยสายรุ้งแฟนซีและลูกโป่ง ทุกคนหน้าตายิ้มแย้มไม่เหมือนกำลังมาเรียนหนังสือแต่มาเล่นสนุกกันมากกว่า "ครูดวงใจคะ วันนี้มีนักเรียนใหม่มาเรียนกับพวกเราด้วยค่ะ" ชูครีมดันหลังมนสิชาให้เดินไปข้างหน้า "มนสิชา ภูริเดโชค่ะ" เธอแนะนำตัว "ยินดีต้อนรับนะ นั่งก่อนสิค่ะ แล้วปุยฝ้ายหายไปไหนอีกแล้ว" ดวงใจเอ่ย เธอดูสนิทกับนักเรียนทุกคน "หลับไม่ฝันค่ะ" ชูครีมตอบสั้นๆ ดูง่วนกับการหาขอบางอย่างในกระเป๋านักเรียน "แต่ก็ช่างเถอะ เพราะวันนี้เราไม่ได้จะเรียนในห้องเรียนกัน" มนสิชามองสายรุ้งประดับอย่างเสียดาย เธอชอบสีสันของมันแท้ๆ "เมื่อวานสวนดอกไม้ส่วนกลางและสวนดอกไม้ของโรงเรียนเราแห้งเหี่ยวไปหมดเลย ครูก็เลยจะพาพวกเราไปจัดการสักหน่อย" นักเรียนในห้องปรบมือกัน มนสิชาไม่คิดว่าพวกเขาจะตบมือเพราะดีใจที่ดอกไม้

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-12-24
  • เมืองนิทรา   บทที่ 9

    มนสิชาทำหน้าเป็นกังวล ไม่พอใจ ถอนหายใจ ไม่ยอมพูดกับใครตลอดทั้งวัน ปุยฝ้ายรู้สึกว่าอารมณ์คราวนี้เป็นของจริง จึงไม่กล้าแหย่ หันมามองชูครีมและเกี่ยงกันว่าใครจะเป็นคนถาม "เธอเหมาะกว่า" "เธอนั่นแหละ เหมาะกว่า" สองสาวดันอีกคนให้เดินเข้าไป มนสิชาเท้าคางอยู่ในห้อง มองออกไปริมหน้าต่าง ใจลอยจนไม่ได้ยินเพื่อนสาวเลย ปุยฝ้ายดันชูครีม แต่อีกฝ่ายพลิกตัวกลับแล้วดันปุยฝ้ายเข้าไป ชูครีมเผลอใช้แรงมากไปหน่อย ปุยฝ้ายจึงพุ่งถลาเข้าหามนสิชา สีข้างเธอไปโดนขอบโต๊ะเข้าอย่างจัง เธอจึงอยู่ในท่าคุดคู้ กุมสีข้างไว้แน่น "เจ็บนะ" ปุยฝ้ายหันมาทำตาเขียวใส่ "ขอโทษค่ะ" ชูครีมรู้สึกผิด เสียงดังโครมนั่นทำให้มนสิชากลับมาขณะปัจจุบันได้ "แล้วเธอเป็นอะไรไหม ชูครีม" มนสิชาถาม "ไม่ยุติธรรมจริงๆ ฉันเป็นคนที่ล้มนะ" ปุยฝ้ายประท้วง "แหงล่ะ เพราะเธอมันซนนี่" มนสิชาหันหน้าไปอีกทาง ชูครีมทำสัญญาณมือให้ปุยฝ้ายเป็นคนถาม "ก็ได้ๆ ฉันถามเองก็ได้" ปุยฝ้ายรับอย่างรำคาญ ลุก

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-12-26
  • เมืองนิทรา   บทที่ 10

    เครื่องพ่นไฟที่ฝ่ายหัวหน้านักเรียนเอามาแจกมีสองส่วน ส่วนหนึ่งเป็นทรงกระบอกสำหรับปล่อยให้ไฟออกมา มีด้ามจับทำมาจากหนังเทียมกันความร้อน อีกส่วนหนึ่งสามารถสะพายได้ เป็นทรงกลมเอาไว้เก็บแก๊สข้างใน มีชายคนหนึ่งออกมายืนหน้าห้องประชุมเพื่อสาธิตอุปกรณ์ให้ดู "ถ้าผมเป็นคุณ ผมจะเปิดแก๊สตรงนี้" เขาเปิดวาล์วให้ดูด้วยการบิดไปทางขวา "แล้วก็กดไกตรงนี้สำหรับจุดไฟให้ติด ถ้าผมเป็นคุณ ผมจะไม่หันกระบอกส่งไฟเข้าหน้าตัวเอง เพราะไกค่อนข้างอ่อนทีเดียว มันอาจจุดไฟขึ้นมาโดยบังเอิญได้ เรื่องที่ผมอยากจะบอกอีกอย่างหนึ่งก็คือ เนื่องจากเพื่อให้พกพาเครื่องได้สะดวก เราเลยออกแบบให้ที่บรรจุแก๊สมีขนาดเล็ก ดังนั้นถ้าเปิดไฟเต็มแรงก็จะใช้เครื่องพ่นไฟได้ราวหนึ่งชั่วโมงเท่านั้น แล้วคุณก็ต้องกลับมาเติมแก๊สใหม่ที่นี่นะครับ อย่าเพิ่งทำหน้าไม่พอใจครับ ถ้าแก๊สเยอะไป คุณก็จะหลบตั๊กแตนตำข้าวไม่สะดวกนะครับ เพราะงั้นเป็นแบบนี้แหละดีแล้ว สัญญาณไฟสีแดงจะขึ้นตรงที่บรรจุแก๊ส ถ้าเหลือแก๊สให้ใช้อีกไม่เกินสิบห้านาทีนะครับ ถ้าผมเป็นคุณผมจะรีบวิ่งกลับมาที่โรงเรียน

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-12-28
  • เมืองนิทรา   บทที่ 11

    ฝูงตั๊กแตนตำข้าวถูกนำไปแลกเงินได้มากพอจะซื้อที่ดินสร้างโรงเรียนได้อีกแห่งหนึ่ง แต่เทพทัตแบ่งเงินให้กับนักเรียนและอีกส่วนหนึ่งเขาก็เอามาทำให้มีวันนี้ นักเรียนทิศเหนือมารวมตัวที่สนามฟุตบอล โต๊ะยาวหลายตัวนำมาเรียงตัวกันเพื่อวางอาหารน่ากินหลายอย่าง มีพระเอกของงานเป็นเค้กครีมสดขนาดยักษ์ เขาจัดเวทีสำหรับมินิคอนเสิร์ตให้นักดนตรีและนักร้องอาชีพ แม้จะอยู่ในคราบนักเรียนมัธยมปลาย แต่พวกเขาก็ทำงานในระดับมืออาชีพกันมาก่อนที่จะกลายเป็นเจ้าหญิงเจ้าชายนิทรา นักเรียนโรงเรียนทิศเหนือจับกลุ่มคุยเป็นกลุ่มๆไป มนสิชามองชุดนักเรียนอย่างเบื่อหน่าย เธอคิดว่าพวกเขาควรงดเว้นไม่ใส่ชุดนี้มาบ้าง ชีวิตจะได้มีสีสันมากกว่านี้ เธอดึงเก้าอี้หน้าเวทีออกมาแล้วนั่งไขว่ห้างเท้าคาง ชูครีมเดินวนอยู่ที่ซุ่มของกินกับเพื่อนอัศวิน ส่วนปุยฝ้ายคุยฟุ้งได้กับทุกคน นักดนตรีหันมาเล่นดนตรีแนวแอบรัก มีนักเรียนชายตัดผมรองทรงต่ำ เดินเข้ามาหามนสิชา เขาดูเป็นนักเรี๊ยนนักเรียนในสายตาของหญิงสาว เด็กหนุ่มยิ้มเอียงอายให้หล่อนก่อนเอ่ย "มีคนนั่งตรงนี้ไหมครับ" เขาหมายถึงเก้า

    ปรับปรุงล่าสุด : 2024-12-31

บทล่าสุด

  • เมืองนิทรา   บทที่ 18

    ชูครีมและปุยฝ้ายเดินไปย่านร้านค้า เวลานั้นเป็นช่วงสายของวันหยุด มีร้านกาแฟโบราณเปิดอยู่ ไม่มีที่ไหนเหมาะไปกว่าที่นี่อีกแล้ว โต๊ะในร้านให้บริการคนในท้องถิ่นมานั่งคุยกัน เจ้าของร้านชงกาแฟแบบโบราณ รสชาติที่ทุกคนคุ้นเคย ไม่ว่าจะในโลกแห่งความเป็นจริงหรือโลกแห่งความฝัน พวกเขาไม่ได้ติดใจเพียงรสชาติ แต่ยังติดใจบรรยากาศการนั่งคุยฉันมิตรด้วย เด็กหนุ่มทั้งหมดสวมชุดนักเรียนมานั่งดื่มชาร้อนกันกว่าหกคน ชูครีมและปุยฝ้ายเลือกที่นั่งริมๆโต๊ะ แล้วสังเกตุการพูดคุยของพวกเขา แหล่งข่าวชั้นเยี่ยมก็คือสถานที่ๆ มีคนนั่งเม้าท์กันอย่างไม่ระวังนี่แหละ "ได้ยินมาว่าที่ทิศตะวันตกมีกบฏด้วยนะ" ชายคนหนึ่งเอ่ย สามสาวยังไม่ได้หันไปมองว่าใครพูด จึงไม่เห็นว่าเป็นใคร "แล้วปฏิวัติสำเร็จหรือเปล่าล่ะ" "ไม่เลย แถมคุณสุกฤตยังไม่เอาเรื่องด้วยนะ" คนที่เล่าตอบ "ไม่มีใครตาย แต่คนเจ็บเยอะอยู่" มนสิชาเงี่ยหูฟังเต็มที่ ถอนหายใจอย่างโล่งอกที่ดาวเหนือปลอดภัย "หัวหน้าทิศตะวันออกน่ะนะ" เด็กหนุ่มผมสีอ่อนเอ่ยเสียงเบาลง คนท

  • เมืองนิทรา   บทที่ 17

    "นี่ก็ผ่านไปสามวันแล้วนะ แต่เรายังหามนไม่เจอเลย" ปุยฝ้ายบ่นอย่างเซ็งๆ เธอโยนก้อนหินลงไปในสระน้ำแก้เบื่อ ตอนนี้พวกเธออยู่ที่สวนดอกไม้ของส่วนกลาง ที่ลับของพวกเธอสามคน ดอกไม้กลับมาบานสดใสเหมือนเดิม สีขาว สีแดง และสีเหลืองตัดกันสุดลูกหูลูกตา "ชูครีมว่าคงมีใครช่วยเธอไว้ค่ะ" ชูครีมตอบ นั่งยืดขาจนสุดบนพื้นหญ้าแสนนิ่ม "พวกเราไปทิศตะวันออกกันเลยไหมคะ ไม่แน่ว่าอาจเจอคุณมนที่นั่น" "แต่ว่า" ปุยฝ้ายคัดค้าน สีหน้าเป็นกังวล "การเอาใจคุณมนที่ดีที่สุด ก็คือการเข้าใกล้ทางออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุดนะคะ" ชูครีมให้ความเห็น "ชูครีมเชื่อว่าคุณมนต้องเข้าใจคุณปุยฝ้ายแน่ๆค่ะ" "แล้วคราวนี้เราจะสืบยังไงดีล่ะ" ปุยฝ้ายถาม สมองเค้นคิดทางออกอย่างหนัก ชูครีมเองก็คิดทางออกอย่างวกวน ไม่มีคำตอบหลุดออกจากปากเธอ "เราไปถามหัวหน้านักเรียนตรงๆเลยดีไหม" ปุยฝ้ายเสนอ "หา ถามคุณกิ่งฟ้านี่นะ" ชูครีมแปลกใจ "ถามแล้วก็ดูปฏิกิริยาของเธอ ถ้าเธอทำ ต้องแสดงอาการอะไรออกมาแน่

  • เมืองนิทรา   บทที่ 16

    คทาเป็นชายอายุหกสิบปี ผมหงอกหมดทั้งหัว ผิวขาว ดูสะอาดสะอ้าน เขาเคยมีครอบครัวที่อบอุ่น แต่ภรรยาเสียชีวิตไปเมื่อสิบกว่าปีก่อน ทิ้งลูกสาวสองคนให้เขาดูแลตามลำพัง คนโตคือมนสิชาและคนเล็กคือกุมภา มนสิชาไม่เคยมีเรื่องให้เขาลำบากใจเพราะเธอตั้งใจเรียนและช่วยเขาทำงานมาตั้งแต่เด็กๆ จะมีเรื่องให้กลุ้มใจบ้างก็ตรงที่เธอมีผู้ชายมาชอบเยอะ ตั้งแต่ตอนเรียนมหาวิทยาลัยก็มีชายแก่ร่ำรวยมากมายเข้ามาเสนอช่วยออก ค่าเทอมให้ ส่วนน้องคนเล็กนั้นแทบจะตรงข้าม เพราะเธอหน้าตาไม่รับแขก จึงไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องผู้ชาย ดังนั้นคนส่วนใหญ่รอบตัวเธอจึงมีแต่คนไม่ชอบหน้าตั้งแต่แรกเห็น แต่เธอเป็นเด็กดี ไม่เคยเกเรทำให้เขาต้องเป็นห่วง เขาเลี้ยงลูกอย่างเข้มงวดทุกคน ไม่อยากให้ใครโตขึ้นมาแบบไม่เอาจริงเอาจัง ทั้งดุจนร้องไห้แล้วค่อยปลอบทีหลังก็เคยมาแล้ว เขารู้ว่าลูกๆไม่เคยเกลียดเขา เพราะทุกครั้งที่ดุที่จะบอกเหตุผลทุกครั้ง คทาเป็นคนตรงไปตรงมา ชอบพูดในสิ่งที่คิด ทำให้ลูกสาวทั้งสองคนได้รับอิทธิพลเรื่องการพูดตรงจากเขาไปไม่น้อย แรกๆคนไม่ค่อยพอใจที่เขาพูดตรงๆ แต่คนที่รับได้

  • เมืองนิทรา   บทที่ 15

    พวกเขาเดินเข้ามาในเขตโรงเรียนทิศตะวันตกได้สักพักแล้ว ไม่เจอนักเรียนเลยสักคน ทั้งที่เจอเมืองเรียบร้อยแล้ว ที่นี่ไม่มีย่านชุมชน แต่สร้างหอนอนไว้ในโรงเรียน ตัวอาคารเรียนทาสีแดงดำเหมือนแหล่งท่องเที่ยวมากกว่าจะเป็นโรงเรียน "เอาไงดีอ่ะ" มนสิชาหันมาถามเพื่อนๆ "ลองขึ้นไปดูในห้องเรียนก่อนดีไหมคะ อาจจะมีห้องพักครูหรืออะไรแบบนั้น" ชูครีมเสนอ "ตามฉันมาเลย" ปุยฝ้ายร้องแล้ววิ่งเข้าไปในตัวอาคาร เธอไม่เจอห้องพักครูหรือสำนักงานอะไรเลย จนกระทั่งเข้ามาเจอห้องว่างห้องหนึ่ง เมื่อเข้าไปแล้วเจอบันไดให้เดินลงไปอีกครึ่งชั้น มีโคมไฟประดับอยู่ตามผนังห้องที่ทำสีดำสลับกับแดงเหมือนข้างนอก มีโต๊ะตัวเตี้ยๆกับเก้าอี้ให้นั่ง บาร์สำหรับชงเครื่องดื่ม และเวทีเล็กๆที่พอให้วางเครื่องดนตรี "นี่มันผับนี่นา" มนสิชาร้อง มีนักเรียนกำลังทำความสะอาดอยู่พอดี เขาหันมาทางพวกเธอทั้งสามคน ส่งยิ้มเป็นมิตรมาให้ "มาใหม่เหรอครับ" เขาถาม "เอ่อ ใช่ค่ะ แล้วที่นี่ไม่มีห้องเรียนเหรอคะ" ชูครีมถามตรงๆ "มีสิคร

  • เมืองนิทรา   บทที่ 14

    ตลอดหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมามีมอนสเตอร์ออกมาให้ปราบสองครั้ง นักเรียนคลาสเอสเดินกลับห้องเรียนอย่างเหนื่อยอ่อน เนื้อตัวมีแต่แผลฟกช้ำ พวกอัศวินชั้นหนึ่งเดินนำหน้าพร้อมกับคุยกันเสียงดัง อัศวินชั้นสองเดินตามมาอย่างหงอยๆ "ชูครีมนี่สุดยอดไปเลยนะ เธอบังคับสเลฟแบบนั้นได้ยังไง บลูฮาร์ทนี่เชื่องสุดๆไปเลย" ใบเฟิร์นชมเปาะ "ตอนอยู่ทิศเหนือ บอกมาเถอะว่าเธอเป็นอันดับหนึ่งหรือเปล่า" "เปล่าคะ ชูครีมไม่ได้เก่งถึงขนาดนั้น ถามคุณมนดูก็ได้" ชูครีมโยนให้เพื่อนสาวที่นั่งหมดแรงบนเก้าอี้ ไม่มีใครอยากรู้เรื่องจากปากมนสิชา จึงเงียบเสียงลง หญิงสาวอ้าปากเก้อ รับรู้ถึงบรรยากาศอึดอัดนั้น ก่อนก้มลงมองหนังสือในมือ "เดี๋ยวหลังเลิกเรียน เราจะจัดปาร์ตี้ฉลอง ชูครีมก็มากับพวกเราด้วยสิ" อัศวินชั้นหนึ่งอีกคนเดินเข้ามา "ถ้าคุณมนไป.." ชูครีมเอ่ยไม่ทันจบใบเฟิร์นก็แทรก "พวกเราอัศวินชั้นหนึ่งจองห้องจัดเลี้ยงได้เป็นพิเศษ ยังไงก็ไปกันเถอะนะ" คนเดิมเอ่ย มนสิชาพยักหน้าให้ชูครีมเข้าร่วม "ก็..ได้ค่ะ" หล

  • เมืองนิทรา   บทที่ 13

    ผ้าม่านถูกเปิดกว้าง ทำให้แสงสว่างสาดเข้ามาได้เต็มที่โดยไม่ต้องอาศัยหลอดไฟ เทพทัตนั่งรอสามสาวอย่างสบายใจ เขายกน้ำมะตูมขึ้นดื่ม และพบว่ารสของมันหวานอมขม เขาเป็นพวกพลังไม่เข้มแข็งเช่นกัน แต่อยู่ในจุดที่ไม่ต้องออกแรงเอง จึงไม่จำเป็นต้องเดือดร้อนใจ ปุยฝ้ายเปิดประตูผัวะเข้ามาโดยไม่เคาะ เทพทัตตกใจจนสำลักน้ำมะตูม ไอจนหน้าแดงแล้วกลับมาวางมาดนิ่งตามปกติ ชูครีมมองสำรวจหัวหน้านักเรียนแต่ไม่ได้เอ่ยอะไร เธอเองก็เกรงใจเขาเช่นกัน "เคาะประตูก่อนสิ ปุยฝ้าย" มนสิชาเป็นคนตำหนิเธอ "แหะๆ ขอโทษทีค่ะ หวังว่าคุณเทพทัตจะไม่เป็นอะไรนะคะ" ปุยฝ้ายยิ้มฝืดฝืน หน้าตาเกร็งไปหมด "ไม่เป็นไรครับ เชิญเด็กๆ เอ๊ย พวกคุณนั่งกันก่อนเลย" เทพทัตผายมือให้นั่ง ไม่มีใครเอ่ยอะไรเป็นเวลานาน ดูเหมือนเทพทัตจะมีเรื่องบางอย่างในใจ ทำให้เขาไม่พูดอะไรเลย "คุณเทพทัตค่ะ มีเรื่องอะไรหรือเปล่าคะ" มนสิชาตัดสินใจถาม "ครับ ขอโทษที ผมมีเรื่องอะไรต้องคิดเยอะ ปัญหาไม่ใช่น้อยๆเลย" เขาทำท่าเหมือนอยากระบาย

  • เมืองนิทรา   บทที่ 12

    "เดี๋ยวชูครีมจัดการด้านบนเองค่ะ" ชูครีมเอ่ยกับพรรคพวกขณะขี่บลูฮาร์ท ไม่ไกลนักอัศวินคนหนึ่งกำลังขี่เทอราโนดอน นกไดโนเสาร์ยักษ์ผู้มีอารมณ์เกรี้ยวกราด มันร้องเสียงดังแล้วบินเข้าโจมตีเหยี่ยวยักษ์ที่ตัวพอๆกับมัน ที่เหลือจึงเริ่มหันเข้าโจมตีมนุษย์ที่อยู่ในบริเวณนั้น หลายตัวพุ่งลงใส่คน จากนั้นเมื่อคนกระโดดหมอบ พวกมันจึงเชิดหัวขึ้นแล้วชนเข้ากับกองอาหารบนโต๊ะ เสียงดังโครม อาหารกระจายเต็มพื้น ผู้คนหวีดร้อง วิ่งหนีเข้าไปในโรงยิม นกเหยี่ยวยักษ์บินฉวัดเฉวียนเหนือพวกเขา มันบินลงมาคาบมนุษย์แล้วปล่อยให้ตกลงมาจากท้องฟ้า บางคนโดนเด็ดหัว เลือดไหลจากคอเหมือนน้ำก๊อก "ใหญ่ ไม่นะใหญ่" เสียงเพื่อนหญิงของศพไร้หัวร้อง ศพเกิดไฟลุกท่วมแล้วสลายไป ไม่เหลือแม้แต่เถ้าธุลี "เขาแค่ไปเริ่มต้นใหม่ที่ส่วนกลางเท่านั้นเอง เข้าไปหลบในโรงยิมก่อนเถอะค่ะ" ปุยฝ้ายเอ่ยอย่างร้อนรน เมื่อเห็นว่า นกเหยี่ยวยักษ์ยังบินเหนือท้องฟ้าไม่เลิก แต่เด็กสาวไม่มีทีท่าจะยอมลุกไปไหน "ถ้าคุณต้องตายแล้วลืมว่าเคยรู้จักกัน ทีนี้ก็จะต้องแยกจากกั

  • เมืองนิทรา   บทที่ 11

    ฝูงตั๊กแตนตำข้าวถูกนำไปแลกเงินได้มากพอจะซื้อที่ดินสร้างโรงเรียนได้อีกแห่งหนึ่ง แต่เทพทัตแบ่งเงินให้กับนักเรียนและอีกส่วนหนึ่งเขาก็เอามาทำให้มีวันนี้ นักเรียนทิศเหนือมารวมตัวที่สนามฟุตบอล โต๊ะยาวหลายตัวนำมาเรียงตัวกันเพื่อวางอาหารน่ากินหลายอย่าง มีพระเอกของงานเป็นเค้กครีมสดขนาดยักษ์ เขาจัดเวทีสำหรับมินิคอนเสิร์ตให้นักดนตรีและนักร้องอาชีพ แม้จะอยู่ในคราบนักเรียนมัธยมปลาย แต่พวกเขาก็ทำงานในระดับมืออาชีพกันมาก่อนที่จะกลายเป็นเจ้าหญิงเจ้าชายนิทรา นักเรียนโรงเรียนทิศเหนือจับกลุ่มคุยเป็นกลุ่มๆไป มนสิชามองชุดนักเรียนอย่างเบื่อหน่าย เธอคิดว่าพวกเขาควรงดเว้นไม่ใส่ชุดนี้มาบ้าง ชีวิตจะได้มีสีสันมากกว่านี้ เธอดึงเก้าอี้หน้าเวทีออกมาแล้วนั่งไขว่ห้างเท้าคาง ชูครีมเดินวนอยู่ที่ซุ่มของกินกับเพื่อนอัศวิน ส่วนปุยฝ้ายคุยฟุ้งได้กับทุกคน นักดนตรีหันมาเล่นดนตรีแนวแอบรัก มีนักเรียนชายตัดผมรองทรงต่ำ เดินเข้ามาหามนสิชา เขาดูเป็นนักเรี๊ยนนักเรียนในสายตาของหญิงสาว เด็กหนุ่มยิ้มเอียงอายให้หล่อนก่อนเอ่ย "มีคนนั่งตรงนี้ไหมครับ" เขาหมายถึงเก้า

  • เมืองนิทรา   บทที่ 10

    เครื่องพ่นไฟที่ฝ่ายหัวหน้านักเรียนเอามาแจกมีสองส่วน ส่วนหนึ่งเป็นทรงกระบอกสำหรับปล่อยให้ไฟออกมา มีด้ามจับทำมาจากหนังเทียมกันความร้อน อีกส่วนหนึ่งสามารถสะพายได้ เป็นทรงกลมเอาไว้เก็บแก๊สข้างใน มีชายคนหนึ่งออกมายืนหน้าห้องประชุมเพื่อสาธิตอุปกรณ์ให้ดู "ถ้าผมเป็นคุณ ผมจะเปิดแก๊สตรงนี้" เขาเปิดวาล์วให้ดูด้วยการบิดไปทางขวา "แล้วก็กดไกตรงนี้สำหรับจุดไฟให้ติด ถ้าผมเป็นคุณ ผมจะไม่หันกระบอกส่งไฟเข้าหน้าตัวเอง เพราะไกค่อนข้างอ่อนทีเดียว มันอาจจุดไฟขึ้นมาโดยบังเอิญได้ เรื่องที่ผมอยากจะบอกอีกอย่างหนึ่งก็คือ เนื่องจากเพื่อให้พกพาเครื่องได้สะดวก เราเลยออกแบบให้ที่บรรจุแก๊สมีขนาดเล็ก ดังนั้นถ้าเปิดไฟเต็มแรงก็จะใช้เครื่องพ่นไฟได้ราวหนึ่งชั่วโมงเท่านั้น แล้วคุณก็ต้องกลับมาเติมแก๊สใหม่ที่นี่นะครับ อย่าเพิ่งทำหน้าไม่พอใจครับ ถ้าแก๊สเยอะไป คุณก็จะหลบตั๊กแตนตำข้าวไม่สะดวกนะครับ เพราะงั้นเป็นแบบนี้แหละดีแล้ว สัญญาณไฟสีแดงจะขึ้นตรงที่บรรจุแก๊ส ถ้าเหลือแก๊สให้ใช้อีกไม่เกินสิบห้านาทีนะครับ ถ้าผมเป็นคุณผมจะรีบวิ่งกลับมาที่โรงเรียน

สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status