"ไปโรงเรียนวรรณวิลาศค่ะ" มนสิชาตะโกนบอกกับวินมอเตอร์ไซค์ที่นั่งอยู่ริมฟุตบาท ชายหนุ่มร่างผอมหันมาตามเสียง เจอสาววัยยี่สิบเจ็ดทรงโต ก้นงอน เอวบาง หุ่นระดับนางแบบของเธอทำเอาวินมอเตอร์ไซค์อ้าปากค้าง หญิงสาวสวมสูทสีเทาถือแฟ้มใส่เอกสารแนบอก มืออีกข้างแขวนกระเป๋าใบเล็กมาด้วย
"เฮ้ย หน้าสวยด้วยว่ะ" เพื่อนวินอีกคนกระซิบ ทำเสียงซื๊ดซ๊าดในปาก
มนสิชาทำเป็นไม่ใส่ใจ เธอเจอจนชิน เพราะทรงโตนี่แหละ เรียกสายตาหื่นได้ดีนัก บางครั้งก็เรียกความช่วยเหลือมาจากเสี่ย ผู้บริหาร ชายแปลกหน้าได้ดี แถมสายตาร้อนๆ จากเหล่าผู้หญิงรอบตัว แต่ถ้าเธอสนใจรวยทางลัด เธอคงไม่มาสอบสัมภาษณ์งานที่โรงเรียนเล็กๆอย่างนี้
"ไม่มีหมวกไม่ไปนะคะ" มนสิชาบอก "เบื่อเวลาตำรวจเรียก"
"ไอ็น็อต ยืมหมวกหน่อยโว้ย" วินมอเตอร์ไซค์ผอมบางไม่พูดเปล่า แย่งหมวกกันน็อคมาจากตะกร้าหน้ารถเพื่อน เจ้าตัวพยักหน้าหงึกหงักแล้วส่งยิ้มเพ้อฝันมาให้หญิงสาว
"ยินดีครับ ขอให้เป็นวันที่ดีนะครับ" น็อตจ้องเขม็งมาที่หล่อน น้ำลายแทบจะไหล
มนสิชายิ้มตอบตามมารยาทก่อนขึ้นไปนั่งซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์เรียบร้อย เธอเอามือจับไหล่วินตัวผอมเอาไว้ แล้วใช้ศอกดันไม่ให้หน้าอกไปโดน จากนั้นก็นั่งนิ่งเป็นสัญญาณให้รถออก วินมอเตอร์ไซค์บึ่งรถออกไปบนทางเท้าทันที
"อ้าว พี่วิน อย่าขับบนฟุตบาทซิคะ" เธอประท้วงเมื่อเขาเริ่มขับหลบเสาไฟฟ้า แล้วมุ่งหน้าแทรกกลุ่มคนที่เดินข้างทาง เขาบีบแตรให้คนรู้สึกตัวว่ามีรถขับตามมา ฝูงชนส่งสายตาตำหนิ บางคนแกล้งประชดด้วยการไม่หลบไปไหน จนรถไปได้ช้ากว่าที่คิด
"เสียเวลาไปกลับรถนะคุณ ผมขับมาสามปีแล้วไม่เคยเป็นอะไรสักครั้ง"
มนสิชาบ่นในใจ แต่เพราะรีบ เธอจึงเงียบแทนคำโต้ตอบ มอเตอร์ไซค์ขับมาจนสุดถนน เลี้ยวผ่านหน้ารถที่กำลังติดไฟแดงพอดี แต่อีกเลนกำลังเป็นไฟส้ม รถคันท้ายๆ เร่งความเร็วเพื่อให้ทันไฟแดง ชายหนุ่มบิดคันเร่งสุดแรงเพื่อให้พ้นรถเก๋งที่ขับมาด้วยความเร็ว แต่ลืมเปลี่ยนเกียร์เป็นเกียร์ต่ำ มอเตอร์ไซค์วิ่งอืดๆขัดกับเสียงเครื่องยนต์ที่เร่งอย่างเต็มที่
แม้จะเห็นรถมอเตอร์ไซค์ปาดหน้าแต่รถเก๋งไม่ได้ลดความเร็วลง มนสิชาเห็นว่าหลบไม่ทันแน่ๆ เธอหลับตาปี๋ นึกถึงหน้าครอบครัวเป็นครั้งสุดท้าย
เวลาผ่านไปนาน หญิงสาวพบว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง รถยังขับมาได้อีกไกล มนสิชาลืมตาขึ้นก็พบว่ามอเตอร์ไซค์กำลังขับไปต่ออย่างช้าๆ ก่อนมาจอดหน้าโรงเรียน เธอไม่ได้มองไปที่ป้ายโรงเรียนแต่คิดว่าคงไม่มาผิดที่แน่นอน
"สามสิบบาทครับ" เขาเรียกค่าบริการในราคายุติธรรม ดูแปลกไปจากคนเดิม มนสิชาอธิบายไม่ถูกว่าเขาเปลี่ยนไปแบบไหน ดูสุภาพขึ้น หน้าตาดูผ่อนคลาย ท่าทางเร่งรีบเมื่อสักครู่เปลี่ยนไป แต่เธอไม่สนใจเสาะหาความจริงเพราะใกล้เวลาสัมภาษณ์งานขึ้นทุกที
"ขอบคุณนะคะ"
หญิงสาวสาวเท้าเข้าโรงเรียน มองหาอาคารบริหาร โรงเรียนมีอาคารหันหน้าเข้าหากันเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า เว้นพื้นที่ตรงกลางไว้เป็นลานเอนกประสงค์ ตามทางเดินมีดอกไม้หลากสีปลูกอยู่ เธอเดินไปตามทางเดินที่มีทางแยกสี่ด้าน เมื่อมองตามไปก็พบอาคารเรียนตามทิศต่างๆ อีกมากมาย น่าแปลกที่โรงเรียนแห่งนี้มีนักเรียนแค่สามร้อยคน แต่อาคารเรียนกลับมีมากมายขนาดนี้
หญิงสาวหวังว่าวันนี้จะเป็นวันที่มีแต่เรื่องดีๆ เธอก้มมองนาฬิกาอีกครั้งก่อนสาวเท้าไปยังอาคารบริหารที่ตั้งแอบในมุมตึก โรงเรียนแห่งนี้เปิดสอนเฉพาะชั้นมัธยม มีนักเรียนเดินกันบางตาเพราะเป็นเวลาเรียน นักเรียนหญิงสวมเสื้อแขนสั้นผูกเนคไทสีน้ำเงินกระโปรงสีกรมท่า ส่วนนักเรียนชายสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวพร้อมเนคไทกับกางเกงขายาวสีกรมท่า
ลมพัดแรงขึ้นวูบหนึ่ง ท้องฟ้ามืดลงอย่างรวดเร็ว ก่อนที่ฝนตกลงห่าใหญ่ มนสิชาวิ่งไปหลบฝนใต้อาคารเรียนที่ใกล้ที่สุด ระหว่างอาคารเรียนห่างกันจนเกินไป เธอไม่สามารถวิ่งตากฝนไปได้ ไม่อย่างนั้นเครื่องสำอางจะหลุดหมด เวลาสัมภาษณ์ใกล้เข้ามาทุกที ใจกระวนกระวายว่าจะไปสัมภาษณ์งานไม่ทัน
จู่ๆ ฝนก็ตกเบาลงแล้วหยุดตกลง ท้องฟ้ากลับมาปลอดโปร่งอีกครั้ง นักเรียนมัธยมปลายสองคนเดินมาตามทางเดินที่เปียกแฉะ คนหนึ่งเดินมาหน้ายิ้มแย้มตัดผมสั้น ส่วนอีกคนตัวอ้วนกลมผมยาวทำหน้าบึ้งตึงเหมือนแบกโลกทั้งใบเอาไว้ นักเรียนคนผอมเดินมาทั้งๆที่เสื้อเปียกฝนเห็นซับในบางเฉียบ ส่วนอีกคนที่หน้าบึ้งนั้นไม่มีร่องรอยโดนฝนแม้แต่น้อย
"ฝนตกแบบนี้ ทำไมคุณปุยฝ้ายต้องออกมาตากฝนด้วยล่ะคะ" คนตัวอ้วนถามด้วยความเป็นห่วง
"ไม่เห็นเป็นไรเลย" ปุยฝ้ายตอบแล้วกระโดดขาคู่ไปบนบล็อกทางเดินอันใหญ่ กระโดดจากอันหนึ่งมายังอีกอันหนึ่ง โชคไม่ดีที่มีน้ำขังอยู่ใต้บล็อก น้ำจึงกระเซ็นมาโดนมนสิชาเข้าพอดี
"นี่หนู" หญิงสาวรุ่นพี่ประท้วงเมื่อเห็นสูทของเธอเลอะ
"อ๊ะ ขอโทษค่ะ" ปุยฝ้ายคนนั้นเอ่ยก่อนยิ้มกว้างให้ มนสิชา หญิงสาวรู้สึกรำคาญรอยยิ้มนั้นชอบกล เธอตอบตัวเองว่าเพราะเธออิจฉาที่เด็กคนนี้ไม่มีความกังวลเรื่องอะไรเลยก็ได้
“ช่างเถอะ พี่ขอตัวก่อนนะหนู สายแล้วเนี่ย" เธอวิ่งลัดลานอเนกประสงค์ไปตึกบริหาร
ปุยฝ้ายหันมาสบตากับชูครีม ส่งสายตาเป็นประกายให้เพื่อนสนิท แต่ชูครีมส่ายหน้าช้าๆเป็นการปฏิเสธ
"ไม่เห็นเป็นไรเลย" ปุยฝ้ายบอกด้วยประโยคเดิม
"เดี๋ยวก็โดนเกลียดหรอกค่ะ" ชูครีมเตือน
"ถ้าไม่ทำอะไรเลยก็ไม่ได้สนิทกันน่ะสิ" ปุยฝ้ายไม่รอคำตอบแต่วิ่งตามมนสิชาไป
มนสิชาวิ่งตามป้ายบอกทางไปยังห้องผู้อำนวยการ เธอวิ่งขึ้นบันไดไปชั้นสอง ป้ายชี้ไปยังชั้นสาม ชั้นสี่ ชั้นห้า มนสิชาวิ่งไปพลางหอบไปพลาง แต่เธอกลับรู้สึกว่าอาการเหนื่อยนั้นหายไปอย่างดื้อๆ สาวสวยเริ่มแปลกใจเพราะมองจากภายนอกอาคารบริหารสูงแค่สามชั้น แต่ทำไมห้องผู้อำนวยการถึงอยู่สูงกว่าชั้นห้า เธอเดินไปยังห้องธุรการที่อยู่ชั้นห้าแล้วตัดสินใจถามคนในนั้น แต่ในห้องนั้นกลับไม่มีใครอยู่เลยสักคน มนสิชาหวังว่าเธอจะเจอใครสักคนเพื่อให้ถามทาง แต่เดินไปตามทางเดินก็ยังไม่เจอมนุษย์เลยสักคน
"นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย" เธอเอ่ยออกมาอย่างอารมณ์เสีย
หญิงสาวเปลี่ยนใจเดินลงมายังชั้นหนึ่งเพื่อตามหาเจ้าหน้าที่ เธอเดินวนไปทุกชั้น แต่ไม่มีใครอยู่เลย
"อยู่นี่เอง" ปุยฝ้ายกระโดดเขย่งขาเข้ามาหามนสิชา เธอมองท่าทางสำราญนั้นแล้วหงุดหงิดใจ แต่ก็เก็บความรำคาญเอาไว้ในใจก่อนเอ่ยถาม
"หนูเองเหรอ พอจะรู้ไหมว่าเจ้าหน้าที่หายไปไหนหมด"
"ไม่ได้หายไปไหน แต่ไม่มีตั้งแต่แรกแล้ว" ปุยฝ้ายตอบ
"เป็นไปได้ยังไง หรือว่าวันนี้วันหยุดเหรอคะ" มนสิชาถามอีก
"พวกเราก็มีเรียนนะคะ แต่ไม่มีเจ้าหน้าที่หรอกค่ะ" ชูครีมที่วิ่งตามมาตอบแทน ปุยฝ้ายทำท่าเหมือนจะพูดอะไร แต่ก็เปลี่ยนใจกระทันหัน "ถ้าจะมีก็มีตรงศูนย์แลกเปลี่ยน แต่ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับอาคารบริหารหรอกค่ะ"
"ขอพี่หาอีกรอบแล้วกัน" มนสิชาคิดว่าสองเด็กสาวอำเธอเล่น สองนักเรียนไม่ได้ตามเธอไป แต่ออกไปนอกอาคาร ปุยฝ้ายชูสองนิ้วให้มนสิชาก่อนเดินจากไป
มนสิชาหาทุกซอกทุกมุมของอาคาร แต่ก็ไม่เจอใครเลยสักคน จนเวลาผ่านไปราวสองชั่วโมง หญิงสาวรู้ตัวว่าเลยเวลานัดมานานแล้ว เธอคงจะชวดอีกตามเคย นับในใจว่านี่ก็เป็น การสัมภาษณ์ครั้งที่สิบในรอบเดือนแล้ว ที่เธอพลาด
หญิงสาวเดินคอตกออกจากอาคารบริหาร ได้ยินเสียงกรี๊ดอย่างสนุกสนานของปุยฝ้ายดังมาแต่ไกล
"วู้ววว ฮ่าๆๆ" ปุยฝ้ายตะโกนอยู่บนรองเท้าสเก็ต เธอกำลังเลื่อนสเก็ตไปอย่างเมามันบนพื้นลาดยางหน้าอาคารบริหาร ปุยฝ้ายกระโดดแล้วงอขาทั้งที่ใส่กระโปรง ชูครีมเอามือปิดตาตอนเธอกระแทกลงบนพื้น ปุยฝ้ายเสียการทรงตัวเล็กน้อยก่อนกลับมายืนตรงได้อีกครั้ง คราวนี้เธอหมุนตัวสามรอบก่อนเร่งความเร็วไปบนพื้นถนนอีก
มนสิชามองอย่างนึกอิจฉา เธอไม่ได้หัวเราะแบบเด็กสาวมานานเท่าไหร่แล้ว ตั้งแต่เรียนจบหรือนานกว่านั้น เธอหวังว่า ปุยฝ้ายจะเล่นอย่างปลอดภัยและสนุกสมวัยแทนเธอ ทันใดนั้นเองที่ล้อสเก็ตเลื่อนหลุดไปล้อหนึ่ง ชูครีมตะโกนบอกให้เด็กสาวรู้ตัว แต่เธอกำลังอยู่ในความเร็วสูงสุด ปุยฝ้ายเอียงตัวอย่างน่ากลัวแล้วพุ่งลงจากเขตทางลาด ลงไปยังเนินของถนนที่แสนชัน กลิ้งไปหลายตลบ
มนสิชาและชูครีมวิ่งไปดูเด็กสาวที่เพิ่งล้ม ปุยฝ้ายเอามือทาบอกอย่างเสียขวัญก่อนเปลี่ยนอารมณ์เป็นหัวเราะชอบใจ
"เป็นอะไรมากไหม" มนสิชาดึงแขนปุยฝ้ายมาสำรวจใกล้ๆ แกะกระดุมแขนเสื้อออกแล้วสำรวจรอยใต้ร่มผ้าของเธอ มีรอยช้ำ แต่ไม่มีรูขุมขน และลายเส้นบนมือแม้แต่น้อย "แปลกจริงๆ แปลกมากๆ แปลกเกินไปแล้ว"
ปุยฝ้ายหันไปขอความเห็นจากชูครีม สาวน้อยตัวอ้วนพยักหน้าให้สัญญาณกับปุยฝ้ายว่าเธอบอกได้แล้ว
"ไม่แปลกหรอก เพราะที่นี่คือในฝันยังไงล่ะ"
ขณะเดียวกันในโลกแห่งความเป็นจริง ร่างของมนสิชาและหนุ่มวินมอเตอร์ไซค์ถูกเข็นเข้ามาในโรงพยาบาลกิตติวินท์ วินมอเตอร์ไซค์มีเลือดเปรอะลำตัวและใบหน้า ข้อศอกทำองศาบิดเบี้ยวอย่างคนแขนหัก มีแผลแตกตามตัว สัญญาณชีพของเขาหายไปจากหน้าจอ พยาบาลจึงกระโดดขึ้นบนเตียงเพื่อปั๊มหัวใจให้ชายหนุ่ม "สัญญาณชีพไม่มาเลยค่ะ" พยาบาลรายงานหมอเวรที่เดินกึ่งวิ่งเข้ามา "กระตุ้นหัวใจด้วยเครื่องช็อกไฟฟ้า" หมอเวรเอ่ยเสียงเรียบ พยาบาลติดตั้งเครื่องช็อกไฟฟ้า หมอหนุ่มมองเครื่องช็อกไฟฟ้า ก่อนหันมาสั่งเสียงเฉียบขาด "กดปุ่มช็อก" หมอกดเครื่องช็อตไฟฟ้าลงไปบนหน้าอก แล้วกดหน้าอกต่อ ทำซ้ำหลายครั้ง ร่างของวินมอเตอร์ไซด์สงบนิ่ง ไม่ตอบสนองต่อการช่วยเหลือ "เวลาเสียชีวิต สิบเอ็ดนาฬิกายี่สิบเอ็ดนาที" พยาบาลถือชาร์ตคอยจดตามหลัง เสียงเขียนทำลายความเงียบในห้องฉุกเฉิน หมอเวรถอนหายใจเดินไปยังเตียงของมนสิชาซึ่งอยู่ถัดไป ตอนเกิดอุบัติเหตุมนสิชาโดนรถเก๋งสีดำกระแทกขาเข้าอย่างจัง ที่ขาเธอจึงมีเผือกชั่วคร
มนสิชารู้สึกเครียดมากที่รู้ว่าตัวเองหลุดมาอยู่ในโลกแห่งความฝัน เธอคงประสบอุบัติเหตุระหว่างทาง เธอรับไม่ได้กับสถานการณ์ตอนนี้ หญิงสาวยกสองมือขึ้นกุมศีรษะแล้วส่ายหน้าอย่างแรง "อย่าเพิ่งเครียดไปเลย ตามพวกเรามาทางนี้ดีกว่า" ปุยฝ้ายชวนด้วยน้ำเสียงสดใส เธอประสานมือไว้ด้านหลังแล้วแอ่นตัวมาด้านหน้า มองมนสิชาด้วยสีหน้าไม่ทุกข์ร้อนใดๆ สองสาวเดินพามนสิชาไปโรงอาหารที่อยู่ตรงข้ามกับตึกบริหาร มีโต๊ะไม้ตัวยาววางเรียงกันอย่างแน่นขนัดจนแทบไม่มีที่ว่างให้เดิน เป็นสัญญาณบอกว่าสมัยหนึ่งโรงเรียนแห่งนี้เคยมีนักเรียนมานั่งทานอาหารเกินกว่าที่โรงอาหารจะรับมือไหว ร้านอาหารมีพ่อค้าแม่ค้าวัยรุ่นยืนขายอาหาร หน้าตาพวกเขาไม่ได้ดูแก่ไปกว่าสองสาวเท่าไรนัก "เวลามาตึกเรียนส่วนกลาง พวกเราก็ชอบมากินข้าวที่นี่แหละค่ะ ว่าแต่ว่าเธอชื่ออะไรเหรอคะ" ชูครีมเริ่มต้นประโยคสนทนาด้วยความสุภาพ "พี่ชื่อมนสิชาจ้ะ เรียกพี่มนก็ได้ แล้วน้องๆ" "ปุยฝ้าย" "ชูครีมค่ะ" สองสาวเอ่ยชื่อเล่นตัวเองอย่างเรียบง่าย
เทพทัตยืนขึ้นในที่ประชุม ร่างที่สูงใหญ่ของเขาเป็นจุดสนใจอีกครั้ง ทำให้เหล่านักเรียนเงียบเสียงลง "ผมขออนุญาตใช้เวทีนี้เป็นที่ประกาศ ขอยกเลิกการเรียนการสอนของทิศเหนือในตอนบ่าย เพราะอยากได้แรงงานไปช่วยกันสร้างกำแพงที่โดนมอนสเตอร์ทำลายนะครับ นักเรียน ทิศเหนือที่สนใจสามารถไปรวมตัวกันได้ที่หน้ากำแพงครับ" มีนักเรียนชายคนหนึ่งยกมือขึ้น "เชิญครับ" เทพทัตอนุญาตให้เขาพูด "ค่าแรงชั่วโมงละเท่าไหร่ครับ" "ค่าแรงขั้นต่ำบวกเพิ่มอีกห้าสิบบาทครับ เพราะเขตก่อสร้างอยู่ใกล้ประตูมิติ มันค่อนข้างอันตราย" นักเรียนหลายคนทำท่าสนใจ เทพทัตดูพอใจกับอาการเหล่านั้น เขาทำท่าจะเอ่ยอะไรอีก "งั้นปิดประชุมเลย" สุเมธโพล่งขึ้น นักเรียนชายหลายคนปรบมือให้กับคำพูดนั้น สุเมธโค้งให้กับพวกนักเรียนชาย เสียงปรบมือค่อนข้างดัง ทำให้เทพทัตจำเป็นต้องถอยก่อนเพราะไม่อย่างนั้นคนจะไม่พอใจเอา "พวกเราก็ไปกันเถอะค่ะ คุณปุยฝ้าย คุณมน" ชูครีมชวนเมื่อคนเริ่มทยอยกันออกนอกห้องประชุม "อันดั
เทพทัตยืนขึ้นในที่ประชุม ร่างที่สูงใหญ่ของเขาเป็นจุดสนใจอีกครั้ง ทำให้เหล่านักเรียนเงียบเสียงลง "ผมขออนุญาตใช้เวทีนี้เป็นที่ประกาศ ขอยกเลิกการเรียนการสอนของทิศเหนือในตอนบ่าย เพราะอยากได้แรงงานไปช่วยกันสร้างกำแพงที่โดนมอนสเตอร์ทำลายนะครับ นักเรียน ทิศเหนือที่สนใจสามารถไปรวมตัวกันได้ที่หน้ากำแพงครับ" มีนักเรียนชายคนหนึ่งยกมือขึ้น "เชิญครับ" เทพทัตอนุญาตให้เขาพูด "ค่าแรงชั่วโมงละเท่าไหร่ครับ" "ค่าแรงขั้นต่ำบวกเพิ่มอีกห้าสิบบาทครับ เพราะเขตก่อสร้างอยู่ใกล้ประตูมิติ มันค่อนข้างอันตราย" นักเรียนหลายคนทำท่าสนใจ เทพทัตดูพอใจกับอาการเหล่านั้น เขาทำท่าจะเอ่ยอะไรอีก "งั้นปิดประชุมเลย" สุเมธโพล่งขึ้น นักเรียนชายหลายคนปรบมือให้กับคำพูดนั้น สุเมธโค้งให้กับพวกนักเรียนชาย เสียงปรบมือค่อนข้างดัง ทำให้เทพทัตจำเป็นต้องถอยก่อนเพราะไม่อย่างนั้นคนจะไม่พอใจเอา "พวกเราก็ไปกันเถอะค่ะ คุณปุยฝ้าย คุณมน" ชูครีมชวนเมื่อคนเริ่มทยอยกันออกนอกห้องประชุม "อันดั
มนสิชารู้สึกเครียดมากที่รู้ว่าตัวเองหลุดมาอยู่ในโลกแห่งความฝัน เธอคงประสบอุบัติเหตุระหว่างทาง เธอรับไม่ได้กับสถานการณ์ตอนนี้ หญิงสาวยกสองมือขึ้นกุมศีรษะแล้วส่ายหน้าอย่างแรง "อย่าเพิ่งเครียดไปเลย ตามพวกเรามาทางนี้ดีกว่า" ปุยฝ้ายชวนด้วยน้ำเสียงสดใส เธอประสานมือไว้ด้านหลังแล้วแอ่นตัวมาด้านหน้า มองมนสิชาด้วยสีหน้าไม่ทุกข์ร้อนใดๆ สองสาวเดินพามนสิชาไปโรงอาหารที่อยู่ตรงข้ามกับตึกบริหาร มีโต๊ะไม้ตัวยาววางเรียงกันอย่างแน่นขนัดจนแทบไม่มีที่ว่างให้เดิน เป็นสัญญาณบอกว่าสมัยหนึ่งโรงเรียนแห่งนี้เคยมีนักเรียนมานั่งทานอาหารเกินกว่าที่โรงอาหารจะรับมือไหว ร้านอาหารมีพ่อค้าแม่ค้าวัยรุ่นยืนขายอาหาร หน้าตาพวกเขาไม่ได้ดูแก่ไปกว่าสองสาวเท่าไรนัก "เวลามาตึกเรียนส่วนกลาง พวกเราก็ชอบมากินข้าวที่นี่แหละค่ะ ว่าแต่ว่าเธอชื่ออะไรเหรอคะ" ชูครีมเริ่มต้นประโยคสนทนาด้วยความสุภาพ "พี่ชื่อมนสิชาจ้ะ เรียกพี่มนก็ได้ แล้วน้องๆ" "ปุยฝ้าย" "ชูครีมค่ะ" สองสาวเอ่ยชื่อเล่นตัวเองอย่างเรียบง่าย
ขณะเดียวกันในโลกแห่งความเป็นจริง ร่างของมนสิชาและหนุ่มวินมอเตอร์ไซค์ถูกเข็นเข้ามาในโรงพยาบาลกิตติวินท์ วินมอเตอร์ไซค์มีเลือดเปรอะลำตัวและใบหน้า ข้อศอกทำองศาบิดเบี้ยวอย่างคนแขนหัก มีแผลแตกตามตัว สัญญาณชีพของเขาหายไปจากหน้าจอ พยาบาลจึงกระโดดขึ้นบนเตียงเพื่อปั๊มหัวใจให้ชายหนุ่ม "สัญญาณชีพไม่มาเลยค่ะ" พยาบาลรายงานหมอเวรที่เดินกึ่งวิ่งเข้ามา "กระตุ้นหัวใจด้วยเครื่องช็อกไฟฟ้า" หมอเวรเอ่ยเสียงเรียบ พยาบาลติดตั้งเครื่องช็อกไฟฟ้า หมอหนุ่มมองเครื่องช็อกไฟฟ้า ก่อนหันมาสั่งเสียงเฉียบขาด "กดปุ่มช็อก" หมอกดเครื่องช็อตไฟฟ้าลงไปบนหน้าอก แล้วกดหน้าอกต่อ ทำซ้ำหลายครั้ง ร่างของวินมอเตอร์ไซด์สงบนิ่ง ไม่ตอบสนองต่อการช่วยเหลือ "เวลาเสียชีวิต สิบเอ็ดนาฬิกายี่สิบเอ็ดนาที" พยาบาลถือชาร์ตคอยจดตามหลัง เสียงเขียนทำลายความเงียบในห้องฉุกเฉิน หมอเวรถอนหายใจเดินไปยังเตียงของมนสิชาซึ่งอยู่ถัดไป ตอนเกิดอุบัติเหตุมนสิชาโดนรถเก๋งสีดำกระแทกขาเข้าอย่างจัง ที่ขาเธอจึงมีเผือกชั่วคร
"ไปโรงเรียนวรรณวิลาศค่ะ" มนสิชาตะโกนบอกกับวินมอเตอร์ไซค์ที่นั่งอยู่ริมฟุตบาท ชายหนุ่มร่างผอมหันมาตามเสียง เจอสาววัยยี่สิบเจ็ดทรงโต ก้นงอน เอวบาง หุ่นระดับนางแบบของเธอทำเอาวินมอเตอร์ไซค์อ้าปากค้าง หญิงสาวสวมสูทสีเทาถือแฟ้มใส่เอกสารแนบอก มืออีกข้างแขวนกระเป๋าใบเล็กมาด้วย "เฮ้ย หน้าสวยด้วยว่ะ" เพื่อนวินอีกคนกระซิบ ทำเสียงซื๊ดซ๊าดในปาก มนสิชาทำเป็นไม่ใส่ใจ เธอเจอจนชิน เพราะทรงโตนี่แหละ เรียกสายตาหื่นได้ดีนัก บางครั้งก็เรียกความช่วยเหลือมาจากเสี่ย ผู้บริหาร ชายแปลกหน้าได้ดี แถมสายตาร้อนๆ จากเหล่าผู้หญิงรอบตัว แต่ถ้าเธอสนใจรวยทางลัด เธอคงไม่มาสอบสัมภาษณ์งานที่โรงเรียนเล็กๆอย่างนี้ "ไม่มีหมวกไม่ไปนะคะ" มนสิชาบอก "เบื่อเวลาตำรวจเรียก" "ไอ็น็อต ยืมหมวกหน่อยโว้ย" วินมอเตอร์ไซค์ผอมบางไม่พูดเปล่า แย่งหมวกกันน็อคมาจากตะกร้าหน้ารถเพื่อน เจ้าตัวพยักหน้าหงึกหงักแล้วส่งยิ้มเพ้อฝันมาให้หญิงสาว "ยินดีครับ ขอให้เป็นวันที่ดีนะครับ" น็อตจ้องเขม็งมาที่หล่อน น้ำลายแทบจะไหล มนสิชายิ้มต