เด็กหนุ่มคิดตามที่เขาพูด จากนั้นก็เล่าถึงปัญหาที่ตัวเองกำลังเจออยู่ให้กับชายแปลกหน้าฟัง
เริ่มตั้งแต่เขารู้จักคนกลุ่มหนึ่งในเฟซบุ๊ค จากนั้นก็ถูกชักชวนให้ลงทุนเป็นเงินจำนวน 1,000 บาท พอครบหนึ่งสัปดาห์เขาก็ได้รับเงินคืนมา 1,300บาท พอสัปดาห์ที่สองเขาทำแบบเดิมอีก จากเงิน 1,000 กลายเป็นเงิน 1,300 บาท ทำแบบนั้นอยู่สองสัปดาห์เขากำไรถึง 600 บาท โดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลย แต่พอเขาจะลงทุนเพิ่มสัปดาห์ที่สาม ทางกลุ่มก็ให้เขาเพิ่มจำนวนเงินเป็น 2,000 บาท เขาก็ทำตามเพราะคิดว่ายังไงก็ต้องได้เงินคืน และพอครบสัปดาห์ ครั้งนี้เขาได้เงินถึง 3,000 บาท กำไรถึง 1,000 บาท
เพราะเงินมันมากขึ้นเขาจึงเกิดความโลภ ครั้งสุดท้ายเขาจึงเอาเงินค่าเทอมและเงินค่าเช่าแผงขายของในตลาดไปลงทุนเป็นเงินถึง 20,000 บาท ทางกลุ่มบอกว่าถ้าครบสัปดาห์จะได้เงินคืนทั้งหมด 35,000 บาท แต่พอครบกำหนดฝ่ายนั้นกลับไม่ยอมคืนเงินให้ พอจะแจ้งความก็โดนขู่ว่าจะมาทำร้ายมารดากับยาย สุดท้ายเขาก็ถูกพวกนั้นบล็อกทุกช่องทางการติดต่อ
“นายก็เลยคิดจะฆ่าตัวตายใช่ไหม” คนอายุมากกว่าถามเด็กหนุ่ม
“พี่ก็ได้ยินหมดแล้วนี่จะถามทำไมอีกล่ะ”
“ถ้านายตายเพราะอุบัติเหตุแม่กับยายก็จะได้เงินประกันชีวิต”
“ครับ”
“แล้วนายคิดว่าแม่กับยายจะดีใจเหรอ นายคิดว่ามันเป็นทางออกเดียวของนายจริง ๆ เหรอ”
“อือ ผมไม่รู้จะเอาเงินที่ไหนมาจ่ายทั้งค่าเทอมกับค่าแผงที่ตลาด วันนี้เป็นสอบวันแรกผมก็ไม่รู้ว่าครูจะให้เข้าห้องสอบไหม”
“นายถามครูแล้วเหรอ”
“ไม่ได้ถามแต่ผมเคยได้ยิน ถ้าใครไม่จ่ายค่าเทอมจะไม่ได้เข้าสอบปลายภาค”
“นายคิดเองทั้งนั้น”
“ช่างเถอะ ยังไงผมก็ตั้งใจไว้แล้ว”
“พี่ขอพูดในฐานะคนที่เคยเสียน้องชายไปนะ คนที่ตายไปคงไม่ได้รู้สึกอะไรอีกแล้ว แต่คนที่ยังอยู่นี่สิ จะทนอยู่กับความเสียใจนั้นได้ยังไง นายลองคิดดูนะ แม่กับยายจะเสียใจมากแค่ไหน พวกเขาจะผ่านช่วงเวลาที่เลวร้ายไปได้ยังไงในเมื่อคนที่พวกเขารักไม่อยู่บนโลกใบนี้แล้ว”
“แล้วพี่จะให้ผมทำยังไง เงินมากขนาดนั้นผมจะไปหามาจากไหน”
“นายลองขอยืมใครหรือยัง เคยยื่นเรื่องขอผ่อนผันค่าเรียนหรือยัง ลองไปถามเจ๊ที่นายค้างค่าเช่าแผงหรือยังว่าเขาให้นายผ่อนชำระได้ไหม”
เด็กหนุ่มเงียบ
“นายอยู่ห้องอะไร”
“6/3”
“อือ พี่เป็นพี่ชายของคิว”
“ผมเสียใจด้วยเรื่องคิว”
“ขนาดเพื่อนตายนายยังเสียใจแล้วนายลองคิดดูสิถ้านายตายแม่กับยายนายจะเป็นยังไง”
“ผมคิดน้อยไปหน่อยใช่ไหม” เขาหันมาถาม
“แล้วตอนนี้จะเอายังไงต่อ”
“ผมว่าจะลองไปคุยกับครูที่ห้องธุรการ ส่วนเรื่องเจ๊จิตก็จะลองไปคุยดูก่อน ถ้าไม่ได้จริง ๆ ก็คงหายืมคนอื่น”
“แล้วก็อย่าไปยืมพวกเงินกู้นอกระบบ”
“ผมรู้หรอกน่า”
“ขอบคุณนะครับพี่ ว่าแต่พี่ชื่ออะไร”
“อคิราห์”
“ที่แปลว่าพระอาทิตย์เหรอครับ ชื่อเท่ดีนะครับ”
“แล้วนายล่ะ”
“ไทธัชครับ ผมชื่อไทธัช” เด็กหนุ่มตะโกนกลับมาขณะที่วิ่งไปยังห้องธุรการที่อยู่ชั้นล่าง
อคิราห์ถือลังกระดาษลงมาจากอาคารเรียน เขาเอาไปใส่หลังรถของตัวเอง จากนั้นเดินกลับมามายังห้องธุรการอีกครั้งเพื่อคืนกุญแจล็อกเกอร์ หลังจากคืนกุญแจแล้วก็มองไปรอบๆ ห้องก็ไม่เห็นแม้เงาของเด็กหนุ่มที่ชื่อไทธัช ชายหนุ่มเดาว่าเขาคงคุยกับอาจารย์เรียบร้อยแล้ว
“คุณมองหาอะไรอยู่หรือเปล่าคะ” อาจารย์หญิงวัยกลางคนถามเมื่อเห็นว่าเขาเอาแต่มองไปรอบๆ ห้องและไม่กลับออกไปสักที ทั้งที่ทำธุระของตัวเองเสร็จแล้ว
“อาจารย์ครับ ผมมีเรื่องรบกวนจะถามอาจารย์สักหน่อยได้ไหมครับ”
“ถามได้เลยค่ะ ฉันยินดีจะตอบ” เธอเห็นใจชายคนนี้ที่เพิ่งเสียน้องชายไปเมื่อเดือนก่อน มีอะไรที่พอจะช่วยหรือไขข้อข้องใจได้เธอก็ยินดีจะช่วย
“ก่อนหน้าที่ผมจะเข้ามา มีเด็กนักเรียนมาขอผ่อนผันค่าเทอมไหมครับ”
“อ้อ คุณคงหมายถึงไทธัช”
“ครับคนนั้นแหละครับ แล้วทางโรงเรียนยอมให้เขาผ่อนผันไหมครับ”
“ค่ะ เรายินดีให้ผ่อนผันอยู่แล้วล่ะค่ะ ไทธัชเป็นเด็กเรียนดีไม่เคยมีปัญหาจ่ายเงินค่าเทอมล่าช้ามาก่อน แต่เขาโชคร้ายไปหน่อยเพราะวันนี้ผู้อำนวยการไม่อยู่ค่ะ เลยไม่มีคนเซ็นอนุมัติ”
“หมายความว่าวันนี้เขาจะไม่ได้สอบเหรอครับ”
“ค่ะ เขาจะไม่ได้สอบพร้อมเพื่อน แต่ไม่ต้องห่วงนะคะ พรุ่งนี้ท่านก็กลับมาแล้ว เขาก็แค่ต้องตามสอบทีหลังเท่านั้นเองค่ะ”
อคิราห์เข้าใจระบบของโรงเรียนดีว่าทุกอย่างต้องทำตามขั้นตอนที่ถูกต้อง แต่เขาเป็นห่วงความรู้สึกของเด็กคนนั้น เพราะการมาตามสอบทีหลังเพื่อนมันดูไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่ ไม่รู้เพราะอะไรอคิราห์ถึงเป็นห่วงความรู้สึกของเด็กคนนั้น บางทีอาจเพราะเขาคิดถึงน้องชายของตัวเองก็เป็นได้
“ถ้าผมจะชำระค่าเทอมให้เด็กคนนั้น เขาจะได้เข้าสอบพร้อมเพื่อนใช่ไหมครับ”
“ค่ะ คุณจะทำอย่างนั้นเหรอคะ”
“ครับ ผมคิดว่าอยากช่วยเด็กคนนั้น”
“ช่วยชำระค่าเทอมเหรอคะ”
“ครับ ค่าเทอมของเทอมนี้และเทอมหน้า”
“ฉันต้องขอบคุณแทนไทธัชด้วย คุณรู้จักเขาเหรอคะ”
“ครับเรารู้จักกัน”
จากนั้นอคิราห์ก็ชำระค่าเทอมให้ไทธัชทั้งของเทอมนี้และของเทอมหน้า เงินจำนวนนี้ไม่ได้ทำให้เขาลำบากเพราะเป็นเงินที่เตรียมไว้ให้กับอคินทร์อยู่แล้ว ถ้าน้องชายเขารู้ว่าพี่ชายเอาเงินมาจำนวนนั้นมาช่วยคนอื่น คนจิตใจดีอย่างอคินทร์ก็คงดีใจไม่ได้น้อย
พอจัดการทุกอย่างเรียบร้อยชายหนุ่มก็กลับไปยังรถของตัวเอง
เด็กๆ ต่างทยอยกันเดินขึ้นห้องสอบ แต่เขายังไม่เห็นไทธัชเดินกลับมา อคิราห์เริ่มเป็นกังวลเพราะเมื่อครู่อาจารย์คนนั้นบอกว่าไทธัชจะได้เขาห้องสอบพร้อมเพื่อน
เขากำลังจะลงไปถามเรื่องนี้ แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงประกาศ
“นายไทธัช อุดมวิทย์นักเรียนชั้น ม.6/3 กรุณามาเข้าห้องสอบด้วยค่ะ”
เสียงประกาศของโรงเรียนดังขึ้นซ้ำกันถึงสามครั้ง แล้วคนที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยรถคันหรูก็ยิ้มออกเมื่อเห็นเด็กหนุ่มคนที่เขาให้ความช่วยเหลือวิ่งกลับมายังอาคารเรียนหลังเดิม อคิราห์รู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก เขาไม่อยากให้ใครต้องมาจบชีวิตลงเพียงเพราะเรื่องเงินเพียงไม่เท่าไหร่ เพราะมันเทียบไม่ได้เลยกับชีวิตที่เสียไป
อคิราห์เข้าใจถึงความสูญเสียและความเศร้าของคนที่ยังมีชีวิตอยู่ได้เป็นอย่างดี เพราะเอาเองเพิ่งจะผ่านเรื่องนี้มาอย่างยากลำบาก นานนับเดือนกว่าเขาจะยอมรับว่าน้องชายได้จากเขาไปอย่างไม่มีวันกลับแล้ว ถ้าหากวันนี้เข้าไม่มาเก็บของ ไม่มาเจอกับไทธัช ชายหนุ่มก็ไม่มีทางรู้ได้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตเด็กหนุ่มมัธยมปลาย ไทธัชจะจบลงก่อนวัยอันควรเหมือนกับน้องชายของคนเองหรือเปล่า
พอคิดว่าทุกอย่างเรียบร้อยแล้วเขาก็ขับรถออกจากโรงเรียนเพื่อกลับไปทำหน้าที่ของตัวเองด้วยความรู้สึกดี ที่วันนี้ได้ช่วยเหลือเด็กหนุ่มคนหนึ่งให้ผ่านช่วงเวลาทุกข์ใจไปได้
“หมอซันคะ อาจารย์หมอวัลลภเรียกให้ไปพบค่ะ”พยาบาลประจำแผนกศัลยกรรมคนหนึ่งรีบบอกอคิราห์ทันทีเมื่อเขาก้าวเท้าเข้ามายังแผนกอคิราห์เป็นประจำแผนกศัลยกรรมทั่วไปของโรงพยาบาลรัฐบาลแห่งหนึ่ง เมื่อไม่กี่วันก่อนเขายื่นเรื่องขอลาออกกับทางโรงพยาบาลเพราะวางแผนไว้ว่าจะไปเรียนต่อศัลยกรรมตกแต่งที่ต่างประเทศ อาจารย์หมอคงจะเรียกเขาเข้าไปคุยเรื่องนี้“สวัสดีครับอาจารย์”“สวัสดี นั่งก่อนสิ”“อาจารย์เรียกมาพบเพราะเรื่องที่ผมลาออกใช่ไหม”“ใช่ ผมคิดว่าคุณควรจะขอลาไปเรียนมากกว่าลาออก” อาจารย์วัยเกือบเกษียณบอกกับคนที่เป็นทั้งรุ่นน้องและลูกศิษย์ เขาเสียดายชายหนุ่มฝีมือดีที่สอนมาเองกับมือ“ผมวางแผนไว้ว่าหลังจากเรียนจบแล้วจะหางานที่นั่นสักพักค่อยกลับมาน่ะครับ”“แสดงว่าจะไปด้วยทุนส่วนตัวใช่ไหม”“ครับอาจารย์ ทุนของโรงพยาบาลเอาไว้ให้คนอื่นดีกว่า ผมเองก็พอมีเงินเก็บอยู่บ้าง”อคิราห์ไม่อยากใช้ทุนของโรงพยาบาลเพราะถ้าเรียนจบก็ต้องรีบกลับมาใช้ทุน ชายหนุ่มไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงินเพราะครอบครัวพอมีฐานะ นอกจากนั้นยังได้เงินจากการฟ้องหย่าที่บิดาจ่ายให้กับมารดาของเขามากถึงยี่สิบล้านแต่เดิมเขาไม่คิดจะไปเรียนต่อที่ต่างประเทศเพ
แล้วก็ถึงวันศุกร์ทุกคนต่างดีใจที่จะได้ปิดเทอม ไทธัชก็เหมือนกับคนอื่น แต่ไม่ใช่เพราะจะได้พักผ่อนอยู่บ้านหรือนอนเล่นเกมเหมือนเพื่อน ๆ แต่เพราะในช่วงปิดเทอมนี้เขาวางแผนแล้วว่าจะไปทำงานที่บาร์กับพี่ชายของแทนคุณ ซึ่งบอกว่าที่บาร์ยังต้องการเด็กเสิร์ฟอีกจำนวนมากและให้ไทธัชเข้าไปเริ่มงานได้ทันทีที่พร้อมหลังออกจากห้องสอบไทธัชก็รีบไปคุยกับเพื่อนคนหนึ่งซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของอคินทร์“มึงจะเอาที่อยู่ของไอ้คิวไปทำไมวะ” เด็กหนุ่มถามอย่างไม่เข้าใจเพราะอคินทร์นั้นเสียชีวิตไปนานนับเดือนแล้ว“กูมีธุระจะคุยกับพี่ชายของมันนิดหน่อย”“ถ้ามึงอยากคุยกับพี่ไอ้คิวกูว่ามึงไปหาเขาที่ทำงานดีกว่า พี่ไอ้คิวกับไอ้คิวไม่ได้อยู่บ้านเดียวกัน”“แล้วเขาทำงานที่ไหน”เด็กหนุ่มซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของอคินทร์บอกชื่อโรงพยาบาลของรัฐบาลแห่งหนึ่งให้กับไทธัช“ขอบใจมาก” ไทธัชกล่าวขอบคุณเพราะสอบเสร็จแล้ว เพื่อน ๆ เลยชวนกันไปเลี้ยงฉลองที่ร้านหมูกระทะที่อยู่ข้างโรงเรียน แต่ไทธัชไม่ได้ไปกับเพื่อนคนอื่น ๆ เพราะเขามีเรื่องที่ต้องไปจัดการระหว่างที่นั่งรอรถเมล์เด็กหนุ่มก็โทรศัพท์ไปบอกมารดาว่าเขาอาจจะกลับบ้านค่ำเพราะจะไปกินหมูกระทะกับเพื่อน
ไทธัชรีบทานข้าวอย่างรวดเร็วเพราะเย็นนี้เขาต้องไปรอพี่ชายของแทนคุณที่บ้านก่อนจะไปทำงานที่บาร์ด้วยกัน ก่อนหน้านั้นเขาก็เคยโทรไปแล้ว พี่เขตบอกกับเขาว่าคืนวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ เจ้าของบาร์รับเด็กพาร์ทไทม์เพิ่ม พอเขาส่งรูปไปให้ทางนั้นก็ยอมให้เข้าไปทำงานทันทีค่าแรงต่อหนึ่งคืนก็ไม่ได้มากมายเท่าไหร่ แต่ก็ยังดีกว่าอยู่เฉย ๆ แล้วไม่ได้เงินสักบาทเขามาถึงบ้านของแทนคุณตั้งแต่ยังไม่ห้าโมงเย็นบ้านหลังนี้แทนคุณและพี่ชายอยู่กันสองคนส่วนพ่อกับแม่นั้นพักอยู่บ้านอีกหลังหนึ่งซึ่งอยู่ใกล้กับที่ทำงานมากกว่า“ไอ้ไท เข้ามาก่อนสิ พี่กูเพิ่งตื่น”“แม่ฝากคุกกี้มามึงกับพี่ด้วยนะ” เขายื่นคุกกี้ให้เพื่อนสองถุง ส่วนอีกถุงเก็บไว้ในเป้เพราะพรุ่งนี้จะแวะไปหาอคิราห์ เลยคิดว่าอยากหาอะไรติดมือไปฝากเขาด้วยนึกถึงชายคนนั้นแล้วไทธัชก็หงุดหงิดเขารอโทรศัพท์ทั้งวันแต่อีกฝ่ายก็เงียบ“กินข้าวมายังวะ” เจ้าของบ้านถาม“กินมาแล้ว มึงล่ะ”“ยังเลยว่าจะไปกินหน้าปากซอย มึงไปด้วยไหม”“อือ ไปสิ” ถึงตัวเองจะกินข้าวมาแล้วแต่ก็ไม่อยากนั่งอยู่คนเดียว แม้จะมาที่นี่หลายครั้งและรู้จักพี่ชายของเพื่อนเป็นอย่างดีแต่ไทธัชก็ไม่กล้านั่งอยู่คนเดียวไ
ห้องพักของอคิราห์ดูหรูหราในแบบที่ไทธัชไม่เคยเห็นมาก่อน เฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นดูมีราคา ขนาดห้องกว้างกว่าบ้านเขาทั้งหลังเสียด้วยซ้ำ แต่เจ้าของห้องคงไม่ค่อยมีเวลาเท่าไหร่เพราะห้องที่ดูหรูหรานั้นมันรกกว่าห้องนอนของเขาหลายเท่าเลยทีเดียว“นั่งสิจะได้คุยกัน” เจ้าของห้องนั่งลงบนโซฟาสีดำตัวโตกลางห้องด้วยท่าทางสบาย ๆไทธัชนั่งตามเขาลงไป แต่เว้นระยะห่างพอสมควร“พี่บอกจะมีอะไรให้ผมดู”อคิราห์หยิบสมาร์ทโฟนของตัวเองขึ้นมาจากนั้นเสิร์ซเพจของทางร้านก่อนจะส่งให้ไทธัชดูสีหน้าของไทธัชดูประหลาดใจกับสิ่งที่ได้รับรู้อยู่ไม่น้อย พี่ชายของแทนคุณไม่ได้บอกว่าร้านที่เข้าจะไปทำงานนั้นเป็นบาร์เกย์และตอนนี้ก็กำลังเปิดรับสมัครเด็กหนุ่มเพื่อมาบริการลูกค้า“แต่ผมไปสมัครเป็นเด็กเสิร์ฟนะครับ”“พอเข้าไปในร้านแล้วนายคิดว่าเลือกได้เหรอว่าจะทำอะไรหรือไม่ทำอะไร หน้าตาดีอย่างนายคงเรียกแขกได้มาก” เขาพูดพร้อมหัวเราะเบา ๆ“พี่เขาคงไม่โกหกหรอกมั้ง ผมเป็นเพื่อนน้องชายเขาเลยนะ”“นายมองโลกในแง่ดีเกินไปแล้วนะ เขามีน้องชายแล้วเขาให้น้องชายไปทำงานกับนายด้วยไหมล่ะ”เด็กหนุ่มนิ่ง มันน่าสงสัยอยู่เหมือนกันเพราะพี่ชายของแทนคุณไม่ยอมให้น้องชาย
ไทธัชลงจากรถเมล์แล้วเดินเข้าไปในซอยลึก แสงไฟจากเสาไฟฟ้าส่องสว่างตลอดทางเดิน ทำไม่ได้น่ากลัวแม้ว่าตอนนี้เป็นเวลาเกือบจะห้าทุ่มแล้วก็ตามใช้เวลาเดินไม่ถึง 10 นาทีเขาก็มาถึงบ้านหลังเล็กที่ตอนนี้ทั้งบ้านผิดไฟมืดสนิท มารดากับยายจะเข้านอนกันตั้งแต่หัวค่ำเพราะต้องรีบตื่นมาทำกับข้าวกันตั้งแต่เช้ามืดไทธัชไขกุญแจที่ประตูรั้วด้านหน้าอย่างเงียบที่สุด จากนั้นก็เดินอ้อมไปทางด้านหลังของตัวบ้าน เพราะถ้าเข้าทางประตูหน้าเสียงเปิดของมันจะดังกว่าประตูทางด้านหลังเนื่องจากบานพับมันเก่าและขึ้นสนิมเด็กหนุ่มรีบอาบน้ำและเข้านอน แต่ก็ยังคงนอนไม่หลับ เพราะเอาแต่คิดถึงเรื่องที่ได้ยินมาจากอคิราห์เมื่อตอนหัวค่ำเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าอคินทร์นั้นฆ่าตัวตาย แต่พอรู้แล้วก็รู้สึกหดหู่ ยิ่งเห็นสีหน้าของอคิราห์แล้วยิ่งรู้สึกเห็นใจเขามากขึ้นไทธัชหวนคิดถึงตัวเองถ้าวันนั้นไม่ได้เจอกับอคิราห์เขาเองก็คงจบชีวิตของตัวเองลงไปแล้ว และสิ่งที่จะตามมาจากนั้นก็คงจะเป็นความเศร้าโศกและเสียใจของมารดาและยาย นับว่าตัวเองยังโชคดีที่เจอเขา ได้เขาช่วยเตือนสติ และยังช่วยจ่ายเงินค่าเทอมรวมถึงให้เงินมาจ่ายแค่เชาแผงอีกด้วยเรื่องงานที่จะไปทำกับพี
ไทธัชกลับมาถึงบ้านเกือบสองทุ่ม มารดาและยายกำลังช่วยกันห่อข้าวต้มมัดเพราะพรุ่งนี้เป็นวันพระยายมักจะทำขนมหวานไปวางขายที่ตลาดด้วย“ไท กลับค่ำเชียวลูก”“ขอโทษครับยาย ผมคุยเพลินไปหน่อย” เด็กหนุ่มเข้ามากอดยายอย่างประจบ“กินอะไรมาหรือยังล่ะลูก” มัทนาถามลูกชายที่แม้จะตัวโตแล้วแต่ในสายตาเธอไทธัชก็ยังคงเป็นเด็กอยู่เสมอ“ยังเลยครับ หิวจังมีอะไรเหลือให้ผมกินบ้างครับแม่”“ในตู้เย็นมีแกงส้มเหลืออยู่ ส่วนในตู้กับข้าวมีน้ำพริกกะปิ ชะอมทอดและปลาทูทอด”“ของโปรดเลยครับ เดี๋ยวผมไปกินข้าวก่อนนะครับ แล้วจะมาช่วย”“ไม่ต้องรีบขนาดนั้นหรอกลูก เดี๋ยวข้าวก็ได้ติดคอกันพอดี” ยายมาลัยพูดไล่หลังหลานชายด้วยความเป็นห่วงทานข้าวเสร็จแล้วไทธัชก็มาช่วยมารดาและยายห่อข้าวต้มมัด แม้จะเป็นเด็กผู้ชายแต่เขาก็ทำมาตั้งแต่เด็กจึงไม่รู้สึกเคอะเขินที่จะทำงานของผู้หญิงระหว่างที่มือทำปากก็ชวนคุยไปเรื่อย เด็กหนุ่มไม่ลืมที่จะบอกมารดาว่าเขารับออเดอร์คุกกี้มาให้มารดาอีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งไทธัชจะเป็นคนเอาไปส่งเองในอีกสองวันข้างหน้า“แม่ครับพรุ่งนี้ไทจะไปอ่านหนังสือที่ห้องสมุดนะครับแม่”“โรงเรียนปิดนี่ลูก ห้องสมุดจะเปิดเหรอ”“ห้องสมุดประชาชนค
กาแฟแก้วเมื่อเช้ายังวางอยู่ที่เดิมตั้งแต่รับมาจากมือของไทธัชเมื่อเช้า ส่วนเจ้าของห้องนั้นยังไม่ออกมาจากห้องผ่าตัดเมื่อเช้าอคิราห์จิบกาแฟไปไม่ถึงครึ่งแก้วก็ถูกตามตัวเข้าไปในห้องผ่าตัดเพราะต้องเข้าไปเป็นผู้ช่วยอาจารย์หมอในการผ่าตัดเคสที่ค่อนข้างซับซ้อนและต้องใช้หมอศัลยกรรมหลายคนกว่าเขาจะออกมาจากห้องกาแฟแก้วนั้นก็เย็นชืดไปหมดแล้วแก้วกาแฟถูกยกขึ้นมาจิบแม้มันจะเย็นชืดแต่อคิราห์ก็ไม่คิดจะทิ้งเพราะกาแฟแก้วนี้ไทธัชเป็นคนเลี้ยง เขาจิบทีละนิดจนหมดแก้ว ขณะที่กำลังทิ้งแก้วเปล่าลงถังขยะก็เห็นว่าตรงปลอกแก้วมีอะไรเขียนอยู่รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าหลอเหลาของคุณหมอวัยเกือบจะสามสิบปีเมื่อเห็นข้อความพี่ซันสู้ๆด้านหลังข้อความยังมีรูปดวงอาทิตย์กับรูปชูนิ้วมือสองนิ้ววาดด้วยปากกาทำให้คนมองรู้สึกมีกำลังใจในการทำงานขึ้นอีกมากเขาถึงปลอกแก้วออกมาเก็บไว้ในลิ้นชักแล้วทิ้งแค่เพียงแก้วลงไปในถังขยะพอได้รับกำลังใจมาแล้วอคิราห์ก็มีแรงเริ่มต้นทำงานในตอนบ่ายอีกครั้งกว่าจะได้กลับไปยังคอนโดก็เป็นเวลาเย็นมากแล้ว อคิราห์สั่งอาหารเย็นยังแอปพลิเคชั่นสีเขียวให้ไปส่งที่คอนโด เพราะขี้เกียจจะแวะซื้อชีวิตประจำวันของอคิราห์ว
ไทธัชมาทำงานที่ร้านกาแฟได้ครบสัปดาห์แล้วโดยทางบ้านรู้แค่เพียงว่าเขาออกมาอ่านหนังสือเท่านั้น เรื่องนี้กวนใจเด็กหนุ่มอยู่มากเขาไม่อยากโกหกต่อไปอีกแล้วเมื่อตัดสินใจที่จะบอกความจริงเด็กหนุ่มก็มองหาตัวช่วยเพราะกลัวว่าท่านทั้งสองจะไม่เชื่อว่าตอนนี้เขากำลังแก้ปัญหานั้นอยู่ไทธัชก็นึกถึงอคิราห์เพราะเขาน่าจะเป็นตัวช่วยที่ดีที่สุดสำหรับเรื่องนี้ ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงส่งข้อความถามว่าเขาพอจะว่างคุยเรื่องนี้ไหม เมื่อเห็นข้อความตอบกลับจากคุณหมอหนุ่มเขาก็เลยมารอที่หน้าโรงพยาบาล“สวัสดีครับพี่ซัน” ไทธัชทักทายพร้อมกับส่งยิ้มอย่างประจบ“มีอะไร” อคิราห์รู้สึกหวั่นไหวกับรอยยิ้มและท่าทางของเด็กหนุ่ม เจ้าตัวคงไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่ตัวเองทำนั้นมันน่ารักแค่ไหนในสายตาของหมอหนุ่มอย่างเขา“ผมมีเรื่องจะปรึกษาครับ พี่ต้องไปทำงานต่อไหม”“พี่เลิกงานแล้ว ไปหาอะไรกินก่อนคุยได้ไหม หิวมากเลย”“ได้ครับ”เด็กหนุ่มเดินตามเขาไปยังรถคันหรูที่จอดอยู่ในที่จอดประจำ“เหนื่อยมากไหมครับ” เห็นท่าทางของเขาแล้วไทธัชก็รู้สึกเกรงใจ ไม่อยากจะรบกวนเขา“อือ ก็เหนื่อยอย่างนี้ทุกวัน พี่ชินแล้วล่ะ แล้วนายมีอะไรจะคุยว่ามาเลยรถคงติดอีกนาน”ไทธัชบ