บทที่1.ข่าวร้ายที่หัวใจเกือบสลาย
เสียงจอแจของผู้คนดังเหมือนฝูงนกตอนเย็นๆ ที่ส่งเสียงทักทายกันหลังจากออกจากรังไปหากินมาทั้งวัน...ไม่ต่างกับมนุษย์ พวกเขาเองก็กำลังเดินเลือกซื้ออาหารมื้อเย็น เมื่อเลิกงานที่ทำมาตั้งแต่เช้าเช่นกัน วิถีชีวิตคนใช้แรงงาน...ต้องดิ้นรนหาเลี้ยงปากท้องตัวเองเป็นประจำทุกวัน แม่ค้าสาวใหญ่ สาวน้อยส่งเสียงเชื้อเชิญลูกค้าเสียงหวานแจ้ว พ่อค้าหนุ่มใหญ่หนวดเคราเฟิ้มก็ไม่ยอมน้อยหน้า ส่งเสียงร้องเรียกลูกค้ามากหน้าเสียงดังลั่น!! เป็นวัฐจักรที่พะแพงเห็นจนชินตา เมื่อเธอเองก็เป็นหนึ่งในบรรดาแม่ค้าที่ขายของอยู่ข้างทางด้วยเหมือนกัน เพราะต้องหาเลี้ยงปากท้องตัวเองเมื่อรายได้ที่เข้ามา ไม่พอเพียงกับรายจ่ายที่จ่ายออก...มันช่วยไม่ได้นี่... เธอไม่ได้เกิดมาในครอบครัวร่ำรวย ครอบครัวเล็กๆ ของเธอ มี3 ชีวิต เธอกับครอบครัวอาศัยอยู่ในห้องเช่าแคบๆ ของชุมชนแออัดด้านหลังตลาดนัดยามเย็นที่พะแพงตั้งแผงขายของอยู่นั่นเอง...บิดาของเธอนั่นเหรอ ก็เป็นแค่ รปภ. แก่ๆ ของกิจการค้าข้าวขนาดใหญ่ ที่ตัวตึกตั้งตระหง่านอยู่ริมถนน หน้าแหล่งชุมชนแออัด แต่ท่านก็ยังสู้อุตส่าห์กัดฟันเลี้ยงลูกน้อยทั้งสอง แม้จะลำบากเลือดตาแทบกระเด็น แต่ก็อยู่รอดมาได้ในปัจจุบัน เพราะความจนบีบบังคับ ชีวิตน้อยๆ อย่างพะแพงจึงต้องดิ้นรน เมื่อเลือกเกิดในครอบครัวที่เพียบพร้อมไม่ได้ พระเจ้าถีบส่งเธอมาในครรภ์มารดา แต่พะแพงไม่เคยเสียใจเลยที่ได้อยู่ในครอบครัวเล็กๆ นี้ เสียใจแค่อย่างเดียว... อีกไม่กี่เดือนที่จะถึงนี่ เธอกำลังเรียนจบ ได้ปริญญามาแปะฝาบ้านให้บิดาได้ชื่นใจ แต่มารดาของเธอนั้นกลับหมดวาสนาไปเสียก่อน นางลาลับจากโลกนี้ไปด้วยโรคที่ใครๆ ก็ขยาด เมื่อมันแทบจะรักษาไม่หาย หากเกิดขึ้นกับผู้ใด ‘มะเร็ง’
“ขายดีมั้ยจ้ะคนสวย” เสียงทุ้มๆ แสนจะคุ้นหู พะแพงเงยหน้าขึ้นจากกระทะทอดมันปลากราย...ใช่...เธอมีอาชีพเสริมหลังเลิกเรียน ด้วยการตั้งแผงขาย ‘ทอดมัน’ ที่ใช้เป็นกับข้าวหรือกับแกล้มก็ได้สำหรับผู้คนทั่วไป
หญิงสาวยิ้มอ่อน “พอได้จ้ะพี่ชาย...” เธอตอบตามวิสัยแม่ค้าที่ดี แม้จะไม่ใคร่จะพอใจสายตากรุ่มกริ่มคู่นั้นสักเท่าใด
“วันนี้ของสองถุงเลยนะแพง พี่ว่าจะตั้งวงสักหน่อย ไหนๆ เงินเดือนก็ออกแล้ว...” ไอ้หนุ่มหน้ามนยิ้มกว้าง เขาตามเทียวไล้ เทียวขื่อแม่ค้าสาวมาเป็นปีๆ ที่หล่อนมอบให้ก็แค่รอยยิ้มกับเสียงหวานๆ ยามที่แวะมาซื้อของ นอกนั้นแทบจะไม่มีอะไรเลย
พะแพงก้มหน้าลง แอบเบ้ปากและนึกดูแคลนคนตรงหน้า ชายหนุ่มน่าจะแก่อ่อนกว่าเธอไม่กี่ปี แต่ใบหน้านำอายุไปไกล เนื่องจากติดนิสัยชอบดื่มสุรา มักจะมีเสียงเฮฮาดังมาเข้าหูเธอเป็นประจำ เพราะห้องเช่าที่เขาพักอาศัยอยู่ไม่ไกลจากห้องพักเธอเท่าไร
“ได้แล้วค่ะ 60 บาทค่ะ”
หญิงสาวยื่นถุงหิ้วที่บรรจุถุงใส่ทอดมันร้อนๆ สองถุงส่งให้พร้อมกับยิ้มน้อยๆ
ปลายนิ้วหยาบๆ ไล้หลังมือพะแพงเบาๆ เธอทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ รีบชักธนบัตรในมือของเขายัดใส่กระเป๋าหน้าของผ้ากันเปื้อน ล้วงสตางค์ทอนส่งให้ ก่อนจะทำเป็นง่วนกับการทำงาน จนไอ้หนุ่มนั่นรู้สึกเก้อ จึงจำใจถอย
“ประจำไอ้นี่!! ตอดนิดตอดหน่อยก็เอา...ไม่เกรงใจเราเลย” ป้าร้านไก่ทอดข้างๆ บ่นตามหลัง เมื่อนางเห็นการกระทำของไอ้หนุ่มสุดฉวยโอกาสนั่นเต็มตา
พะแพงยิ้ม “ช่างเขาเถอะป้า ยังไงเสียเขาก็มาอุดหนุนแพงบ่อยๆ”
“สาวที่ไหนจะสนใจมันว่ะ กินแต่เหล้า งานทำบ้าง ไม่ทำบ้าง ใครเอาไปเป็นผัวซวยตายห่า!!”
นางยังคงบ่น เมื่อเห็นหน้ากันจนคุ้นตา เพราะอาศัยอยู่ในชุมชนเดียวกัน
“นั้นสิยายสาย...หนุ่มๆ สมัยนี้หน้าตาก็งั้นๆ แต่เรื่องขี้เกียจนี่ยกให้เลย...”
“หึ!! ต้องไอ้พะนายมันนั่นล่ะขยันที่หนึ่ง ตาคล้ายมันเลี้ยงลูกดี คนหนึ่งก็ขยันทำงานตัวเป็นเกลียว ส่วนแพงมันก็ขยันเรียน เผลอแปบเดียวใกล้จบแล้วใช่ไหมลูก”
สาวใหญ่ขายไก่ทอดเป็นอาชีพหลัก หันมาถามพะแพงยิ้มๆ นางยกสองพี่น้องเป็นตัวอย่างเวลาที่สั่งสอนคนรอบตัวเพราะทั้งพะแพงกับพี่ชาย ทำตัวดีเป็นแบบอย่างให้เด็กๆ ในชุมชนได้เอาเป็นเยี่ยงอย่าง
“จ้ะป้า อีกไม่เกิน4 เดือน ช่วงนี้แพงฝึกงาน ยังไงตอนเย็นก็ฝากจองที่ให้แพงด้วยนะจ้ะ แพงอาจจะมาช้า”
หญิงสาวตอบ เธอร้องขอความช่วยเหลือ เพราะช่วงนี้เธอต้องฝึกงาน หากมาช้าทำเลขายของดีๆ ก็จะหมด
“ได้สิ!! มีหนูแพงอยู่ใกล้ๆ ป้าก็พลอยขายดีไปด้วย หนุ่มๆ มันเวียนมากันตลอด”
แม้ค้าด้านข้างทั้งซ้ายขวายิ้มรับ พะแพงเหมือนนางกวัก ไม่ว่าหล่อนจะอยู่ตรงไหน ลูกค้าก็จะแวะมาซื้อหา เนื่องจากหญิงสาวสวยลออตา มารยาทงดงาม มีรอยยิ้มพิมพ์ใจ ขนาดหน้ามันๆ เพราะเหงื่อไคล ผมกระเซอะกระเซิงเพราะมัวแต่ขายของ ออร่าของพะแพงก็ยังพุ่งเข้าตาหนุ่มๆ ไม่ว่าจะมีครอบครัวแล้ว หรือที่ยังโสด เข้าคิวมาซื้อของที่หญิงสาวขาย จนหมดเกลี้ยงทุกวัน
“แพงๆ ลุงคล้ายเป็นลม!! รีบไปดูซิ ตอนนี้เขาหามส่งโรงพยาบาลไปแล้วล่ะ”
ทัดเทพ รปภ. หนุ่มเพื่อนร่วมงานบิดา เขาวิ่งโร่มาแจ้งข่าวร้าย ข่าวร้ายที่ทำให้พะแพงถึงกับตัวชา
“ป้าจ๋า ฝากร้านหน่อยนะจ้ะ ขอแพงไปดูพ่อก่อน”
หญิงสาวเหงื่อตก...ลมหายใจสะดุด เกือบเป็นลมไปแล้วหากตั้งสติไม่ทัน
“ได้ๆ รีบไปเถอะ โธ่!! ตาคล้าย เป็นไงบ้างก็ไม่รู้”
พะแพงวิ่งสลับเดิน เธอโบกมือเรียกจักยานยนต์รับจ้างทันทีที่มองเห็น พร้อมทั้งแจ้งสถานที่ ก่อนจะกระโดดซ้อนท้ายอย่างเร็ว...ความเร็วรถยนต์ว่าเร็วสุดๆ แล้วเพราะสารถีหนุ่ม บิดคันเร่ง วิ่งซิกแซกซ้ายขวา หลังพะแพงร้องขอด้วยเสียงสั่นๆ ยังเร็วไม่เท่ากับหัวใจรุ่มร้อนของเธอเลย เวลานี้คงลอยอยู่ใกล้ๆ บิดา...
หญิงสาวควักสตางค์จ่ายค่าโดยสาร พร้อมทั้งวิ่งซอยเท้าถี่ๆ ตรงไปถามกับพนักงานที่ประชาสัมพันธ์ กำลังยื่นหน้าเข้าไปถาม พอดีกลับเสียงร้องเรียกดังๆ ด้านหลัง
“แพงๆ ทางนี้ พ่อแกอยู่ในห้องฉุกเฉิน”
หญิงสาวหมุนตัวขวับ เธอเดินกึ่งวิ่ง พร้อมกับร้องถามเสียงสั่นๆ
“พ่อแพงเป็นไงบ้างจ้ะลุงเชิด”
เชิดชาย เพื่อนร่วมงานรุ่นพี่ เป็นเจ้านายของคล้าย ส่ายศีรษะช้าๆ ก่อนตอบ
“ยังไม่รู้เลยแพงเอ๋ย ลุงก็เพิ่งมาถึง รถร่วม’ เขาพามาน่ะ”
ชายสูงวัยไม่สามารถให้คำตอบหญิงสาวได้ นอกจากรอนายแพทย์ออกมาจากห้องฉุกเฉินเท่านั้น
หญิงสาวถลาเข้าไปเกาะขอบประตู น้ำตาเอ่อซึม รู้สึกใจหายวูบๆ หากเวลานี้พะนายอยู่ด้วย เธอคงไม่หวั่นกลัวเท่าใด แต่เนื่องจากพะนายตามเจ้านายไปต่างจังหวัด หญิงสาวเลยรู้สึกเคว้งคว้าง...
“เออ...ญาตินายคล้าย แสงโต คนไหนครับ”
หมอหนุ่มใหญ่วัยกลางคนดันประตูห้องฉุกเฉินออกมา พร้อมกับร้องเรียกหาญาติผู้ป่วย...มีพยาบาลสาวสวยเดินถือแฟ้มตามมาด้วย
“แพงค่ะ แพงเอง แพงเป็นลูกสาว” หญิงสาวถลาเข้าไปหา เธอตอบเสียงสั่นๆ
“เชิญทางนี้ครับ...เรามีเรื่องต้องคุยกัน...”
น้ำเสียงของหมอทำให้พะแพงใจไม่ดีเลย แม้ท่านจะพูดเสียงราบเรียบ เพราะคงเห็นความเป็นความตายจนชิน แต่คนที่ไม่ชินคือพะแพงเอง
นายแพทย์วัยกลางคนทรุดนั่งบนเก้าอี้หลังโต๊ะทำงาน เขารับแฟ้มประวัติคนไข้จากมือนางพยาบาลมาเปิดดู ก่อนจะผ่อนลมหายใจยาวๆ เมื่อเงยหน้ามองญาติผู้ป่วย
“คนป่วยเป็นโรคไตครับ เท่าที่เราตรวจเจอ...คงต้องพักรักษาตัวจนกว่าจะมีอาการดีขึ้น ไม่ทราบว่ามีบัตรประกันสุขภาพหรือประกันสังคมหรือเปล่าครับ”
พะแพงใจหายวูบ!! บิดาเป็นโรคร้ายที่เธอคิดไม่ถึง ท่านผอมบางเพราะอดหลับอดนอน ไม่คิดว่าจะมีภัยร้ายซ่อนอยู่ในตัว
หญิงสาวสูดจมูกแรงๆ เธอกลั้นสะอื้นก่อนตอบ “มีประกันสังคมค่ะ...”
“ถ้าใช้ประกันสังคมก็จะได้รับการรักษาในระดับหนึ่ง ไม่ทราบว่ามีประกันชีวิตอย่างอื่นไหมครับ มันน่าจะได้รับยาดีๆ มากขึ้น มากกว่าประกันสังคมที่ช่วยได้แค่นิดเดียว” ท่านแนะนำตามความรู้ เป็นการชี้นำวิธีรักษาที่คนไม่เคยประสบไม่มีทางรู้
พะแพงส่ายใบหน้าแรงๆ จนพวงผมด้านหลังไหวไปมา เธอกัดฟันเม้มปาก “ค่ารักษาแพงไหมคะ ถ้าแพงต้องจ่าย ต้องใช้เงินประมานไหนคะ?” เป็นคำถามที่ญาติผู้ป่วยส่วนมากมักจะถามแล้วแต่ละคนก็ต้องสะท้านไปกับคำตอบ เมื่อตัวยาสมัยนี้แพงยิ่งกว่าทอง
“อาการคนป่วยอยู่ในระยะวิกฤต ถึงขั้นต้องเปลี่ยนไต ซึ่งก็ไม่รู้ว่าคนไข้จะต่อต้านไตใหม่หรือเปล่า แต่ถ้าไม่มีอาการอื่นแทรก...ก็คงยื้อไปได้อีกหลายปี แต่ก็เป็นแสนนะหนู”
ในฐานะแพทย์ท่านก็ทำได้แค่แนะนำ ทุกอย่างเดี๋ยวนี้มีแต่ค่าใช้จ่าย และมันต้องใช้เงิน...
พะแพงกลั้นใจ เงินเก็บเธอมีประมานนั้นเลย แต่ทุกบาททุกสตางค์นั่นพะแพงเก็บออมไว้สำหรับการซื้อบ้าน เมื่อเธอกับครอบครัวยังอาศัยห้องเช่า ความใฝ่ฝันเดียวของพะแพงคือมีบ้านหลังน้อยๆ ให้บิดาได้สุขสบายในอนาคต แต่เมื่อเหตุจำเป็นเช่นนี้ คงต้องพับความฝันแสนไกลนั่นเอาไว้ก่อน
“ได้ค่ะๆ แล้วอีกนานไหมคะกว่าพ่อจะได้เปลี่ยนไต”
หญิงสาวพยักใบหน้าหงึกหงัก ตัดสินใจโยนความฝันทิ้ง เมื่อการยื้อชีวิตบิดาสำคัญกว่า...
“ต้องรอคิว ช่วงนี้ก็ต้องรักษาให้อาการดีขึ้นไปก่อน”
ไม่ใช่ว่ามีสตางค์จะสามารถทำได้เลย คนบริจาคอวัยวะมีน้อย คงต้องรอไปก่อนที่จะได้รับการรักษา
“เอ่อ...แพงรู้ว่า ถ้าลูกจะบริจาคอวัยวะให้พ่อนี่ได้ใช่ไหมคะ?”
เธอถามเสียงสั่นพร่า...หากบิดามีอาการหนักเช่นนี้ ทางที่ดีที่สุดคือต้องเร็วเท่านั้น
“มันก็ได้หรอกนะ แต่ก็ต้องตรวจสอบด้วย...เพราะหากเข้ากันไม่ได้มันเท่ากับเป็นการเสียเปล่า”
นายแพทย์ยิ้มให้กำลังใจ ท่านซาบซึ้งแทนคนไข้ ไม่ค่อยมีหรอกที่บุตรหลานจะลุกขึ้นมาอาสา เพราะมันหมายความว่าพวกเขา ตัดช่วงอายุของตัวเองออกไปเสียเอง...
“ค่ะ ได้ค่ะ...แพงเต็มใจ” หญิงสาวยิ้มกร่อยๆ น้ำตาเอ่อเต็มหน่วยตา...จะอายุสั้นลงก็ช่างปะไร...เมื่อเธอมีที่ยึดเหนี่ยวใจ คือบิดาเพียงผู้เดียว “คุณพยาบาลเอาเอกสารมาให้คุณเขาเซ็นยินยอมด้วยล่ะ หมอขอตัวไปดูคนไข้คนอื่นก่อน ส่วนคนไข้รายนี้ก็ย้ายเข้าไปในห้อง ICU เลย จนกว่าอาการจะดีขึ้น” ท่านร้องสั่งพยาบาลประจำตัว ฉวยหูฟังคล้องคอ ก่อนจะเดินออกไปนอกห้องเพื่อตรวจอาการคนไข้รายอื่นๆ พยาบาลสาวยิ้มให้กำลังใจ เธอค้นเอกสารมายื่นให้พะแพง...เพื่อทำความเข้าใจ พะแพงทำความเข้าใจกับเอกสารอยู่นาน เธอลงมือเซ็นเมื่ออ่านจนจบ ผู้รับผลประโยชน์คือบิดา แม้เธอจะต้องเสียอวัยวะชิ้นหนึ่งไป แลกกับการให้บิดามีอายุยาวนานขึ้น หญิงสาวเดินตัวลอยออกมาจากห้องนายแพทย์ผู้นั้น สมองเธอยังหมุนคว้าง ไร้ที่ยึดเหนี่ยวกับที่พึ่งพาทางใจ “แพงๆ เป็นไงบ้าง หมอว่าไอ้คล้ายมันเป็นอะไรเหรอ?” เชิดชาย กับทัดเทพ ยืนหน้าซีดอยู่ด้านนอก เมื่อเขาสองคนเห็นคล้ายถูกเข็นเข้าไปในห้อง ICU “พ่อเป็นโรคไตค่ะ ยังไม่วาย แต่ก็เฉียดๆ ต้องรีบเปลี่ยนเร็วที่สุด” พะแพงตอบ
บทที่2.ผู้ชายใจดำที่ไม่ต่างอะไรกับพญามัจจุราช!! พะแพงกระโจนลงจากรถจักรยานยนต์แบบไม่กลัวเจ็บ เมื่อสิ่งที่เธอเห็นน่าตระหนกมากกว่า “แพงๆ ไอ้พวกนี้มันรื้อของในบ้านแพงออกมาโยนทิ้งไว้อะ ใครกันเหรอ?” เสียงถามรอบตัวดังลั่น พะแพงส่ายหน้า เธอแน่ใจว่าไม่รู้จักใครในกลุ่มคนนั่น สักคนเลย หญิงสาวเม้มปากแน่น เธอมองแผ่นหลังเหยียดตรงของผู้ชายที่ยืนชี้นิ้วสั่ง...เบื้องหน้ากับฝูงผู้ชายวัยฉกรรจ์ เสียงของเขาดังลั่น แฝงแววอำมหิตจนขนแขนของเธอลุกเกรียว “ขนออกมาให้หมด...หึ!! มีแต่ขยะ ให้มันรู้ไปว่ามันจะมุดหัวหลบซ่อนตัวอยู่ได้อีก!!” หญิงสาวกลืนน้ำลายลงคอฝืดๆ เขาโกรธแค้นอะไรกับครอบครัวเธอนักหนา ถึงได้ใจร้ายใจดำเช่นนี้ ใช่...สิ่งที่พวกเขาเหล่านั้นหิ้วมาโยนทิ้ง...มันอาจจะเป็นขยะในสายตาเขา...แต่สำหรับเธอมันคือสมบัติทางใจ ไม่ว่าจะเป็นตำราเก่าๆ หรือแม้แต่หม้อ ไห กระทะ ที่เก่ากึก แต่มันอยู่กับเธอมาตั้งแต่จำความได้ “หยุดนะ!! คุณต้องการอะไรกับฉันกันแน่ นี่บ้านฉันเองค่ะ และถ้าหากคุณยังไม่หยุดทำบ้าๆ นี่ ฉันจะแจ้งความ” หญิงสาวตะโกนลั่น เสียงดัง
บทที่3.รอยราคีที่ต้องจำจนวันตาย “เธอแน่ใจนะว่าจะไม่เปลี่ยนใจทีหลัง...” ภาคินถามย้ำ เขาไม่ใคร่แน่ใจ หากหล่อนบิดพลิ้วขึ้นมาเหมือนกับพี่ชาย เขาจะอารมณ์เสียหนักขึ้น “ค่ะ...” พะแพงเชิดหน้าขึ้น เธอยอมรับความอดสูไว้ เพื่อต่อลมหายใจและทางเลือกให้พะนาย “ดี!!” ชายหนุ่มกระแทกเสียงหนักๆ เขาเดินปึงๆ ออกไปจากบ้าน พร้อมกับตะโกนเสียงลั่น “พาหล่อนไปหากูที่คอนโด กูจะไปอาบน้ำรอ แล้วถ้าหาไอ้พะนายเจอ จับเป็นมัน!! กูอยากเห็นหน้ามันก่อน” ใครจะคิดว่าบ้านเมืองที่มีกฎหมายคุ้มครอง จะมีคนบางคนใช้ศาลเตี้ย ตัดสินด้วยกำลัง เป็นอิทธิพลมืดที่พะแพงเองก็เพิ่งจะเคยเห็น เธอเคยได้ยินแค่เสียงเล่าลือ ไม่คิดว่าตัวเองจะได้เผชิญหน้ากับมันแบบที่ไม่สามารถเลี่ยงได้... “ครับ” เสียงรับคำแบบพร้อมเพรียง พะแพงทรุดฮวบ เธอร่วงลงไปกองที่พื้น แล้วก็มีผู้ชายหน้าดุเยี่ยมหน้าเข้ามามอง “อย่าลีลา เธอมีเวลาแค่10 นาที อย่าให้ถึงกับต้องลากไป” เป็นคำขู่ที่หญิงสาวสะท้านถึงทรวง... พะแพงสูดลมหายใจลึกๆ ไหนๆ เธอก็ตัดสินใจไปแล้ว ช่วงเวลาเลวร้ายจ
บทที่4.เพียงสายลมพัดผ่าน... เป็น ‘จูบ’ แรกที่หญิงสาวได้รู้จัก มันไม่ได้เริ่มต้นดีนัก เพราะมันเกิดขึ้นจากความจำยอม... แต่ก็ไม่ได้แย่อย่างที่คิด!! นับว่าภาคินมีฝีมือเชี่ยวพอตัว เขาสามารถโน้มน้าว ทำให้คนที่นอนแข็งเป็นท่อนไม้ หลงเคลิ้มไปกับสัมผัสแผ่วๆ นั่นได้ ‘จูบ’ สิ่งที่สาวๆ วัยแรกรุ่นส่วนใหญ่เคยนึกฝันยามค่ำคืน...พวกหล่อนอยากอยู่ในอ้อมกอดของใครสักคน? ใครสักคนที่ทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัย แต่ที่พะแพงกำลังผจญอยู่นี่... มันกลับเต็มไปด้วยความเร่าร้อน ซ่านเสียวและทรมานจนหญิงสาวนึกหวั่นกลัว มันต่างกับที่เธอเคยฝันหวานไว้ ‘จูบ’ ไม่ได้อ่อนหวาน แต่มันกำลังทรมานเธอแทบจะขาดใจตาย...กำหนัดรุ่มร้อน ตามประสาหนุ่มวัยฉกรรจ์ แต่ที่ทำให้ภาคินแปลกใจ เขาทำเหมือนคนอดอยาก...ตะโบม ‘จูบ’ หล่
ยอดอกสีสดถูกอุ้งปากร้อนชื้นอ้างับ เขาครอบครอง ดูดซึมความหวานฉ่ำชื่น ขยำขยี้ บีบบี้ความเต่งตึงนุ่มหยุ่นเคล้นคลึงด้วยความพอใจ ความรู้สึกหวามไหวไหลปร่า แผ่กระจายทั่วทุกตารางนิ้วบนผิวกาย เธอรู้สึกสยิวซาบซ่าน ทุกครั้ง...ยามที่ถูกโลมลูบด้วยฝ่ามือร้อนระอุ!! ร่างกายของเธอแทบจะลุกเป็นไฟ เมื่อถูกฝ่ามือใหญ่ๆ ลูบไล้สัมผัส ให้ตายเถอะ!! เธอไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะรู้สึกกระสันซ่านได้ถึงเพียงนี้ ความรู้สึกเหมือนถูกไฟฟ้าช็อต...กระแสไฟอ่อนๆ นั่นวิ่งพล่านทั่วทั้งตัว มันจุดประกายบางอย่างที่เธอไม่เคยรู้ และมันกำลังทำให้เธออยากรู้ในสิ่งต่อไปที่กำลังจะมาถึง!!“อืมมมม...”เสียงครางผะแผ่ว ดังรอดออกมาจากกลีบปากที่เม้มแน่น ภาคินยิ้มเหยียดๆ มุมปาก เขาพรมจุมพิตหนักๆ ใต้ฐานอกอวบ ลากปลายลิ้นเปียกๆ ลงต่ำ พร้อมทั้งสูดกลิ่นความหอมหวานของเนื้อสาวจนเต็มปอด...ลูบไล้ผิวกายนุ่มนิ่มปลุกกระแสเลือดในกายของหญิงสาวให้เดือดพล่านเพิ่มมากขึ้นมือร้อนไล้วนเหนือแผ่นท้องราบเรียบ ปลายนิ้วเรียวสวยวนรอบแอ่งสะดือบุ๋มชวนชิดเชย ไถลเรื่อยไปยันเอวคอดกิ่วกับสะโพกผายเต็มตรึง!! พะแพงสะดุดลมหายใจตัวเอง เธอกลั้นห
บทที่5.นกปีกหัก... โครม!! หญิงสาวผวา เธอได้ยินเสียงดังปึงปัง...จากภายนอก จนกลั้นความอยากรู้ไม่ได้ เธอแง้มประตูห้อง...เพื่อมองสิ่งที่เกิดขึ้นตรงนั้น...หญิงสาวตะลึงตาค้าง... ที่ถูกหิ้วปีกจากชายสองคนนั่น...คือพะนายพี่ชายเธอไม่ใช่เหรอ? พะแพงดันประตูพรวด เธอถลาเขาไปยืนขวางหน้าภาคิน ดวงตากลมโตไหวระริก แต่เด็ดขาด...เชิดหน้าขึ้นท้าทายกับเขา เสียงสั่นๆ ผ่านริมฝีปากบวมเจ่อ “คุณบอกว่าจะปล่อยพี่นายไปไงคะ!!” นัยน์คมดุถมึงทึง...เขากราดตามองหญิงสาวตรงหน้า แล้วจึงถอนลมหายใจพรวดๆ... “กลับเข้าไปอยู่ในห้องเลยพะแพง...”&nbs
“เจ้านายไม่เคย ‘รัก’ ใคร เจ้านายไม่มีวันเข้าใจความรู้สึกของผมกับคุณอรหรอกครับ” แม้จะถูกกระทำ ถูกกดต่ำยิ่งกว่าผิวดิน แต่ความนับถือที่พะนายมอบให้ภาคินยังเหมือนเดิม ถึงความเห็นจะไม่ลงรอยกัน “หึ!! ไอ้นายอย่าว่ากูสอนเลยนะ ‘ความรัก’ ที่มึงอ้าง มันกินไม่ได้ว่ะ และมันไม่มีอยู่จริง ตอนนี้ยัยอรหลงมึง เพราะหลานกูยังเด็ก แต่รอให้ยัยอรโตกว่านี้เถอะ รับประกัน... แม้แต่หางตายัยอรก็ไม่แลมึง” ชายหนุ่มบริภาษ...เขากรรโชกเสียงห้าว ในมุมมองของภาคิน...ความรัก...เป็นความรู้สึกที่สัมผัสไม่ได้ ถึงมีคุณค่ากับใจ แต่ไม่จำเป็น...เมื่อยังมีหลายสิ่งมากมาย ที่สำคัญกว่า ความรู้สึกไร้ค่าเช่นนั้น พะนายเม้มปาก เขาเถียงภาคินไม่ได้ เมื่อแม้แต่ตัวเองก็ไม่เคยมั่นใจ ว่าความรักระหว่างวลัยอร กับตัวเองจะสมหวัง เมื่อมันแตกต่างกันเกินไป
สองคนพี่น้องหอบสังขารสะบักสะบอมไม่ต่างกันเดินออกมาจากสถานที่โอ่อ่า มีสายตาหมิ่นๆ มองตามมาตลอดทาง เมื่อสภาพร่างกายของคนทั้งคู่น่าสังเวชเหลือทน... พะแพงเดินเท้าเปล่า เธอไม่มีแม้แต่รองเท้า... พะนายเองก็ย่ำแย่ เขามีร่องรอยบาดเจ็บไปทั้งตัว มีแต่คราบเลือด กับความบอบช้ำ “พี่นาย...แพงไม่มีสตางค์เลย...พี่นายพอมีมั้ย?” หญิงสาวเอ่ยถามพี่ชายเสียงสั่น เธอกัดกระพุ้งแก้มมองตรงไปยังเบื้องหน้า พยายามไม่ใส่ใจสายตาหลายคู่ที่มองมายังเธอ “ยะ อยู่ในกระเป๋ากางเกง...” พะนายกัดฟันพูด เขาเจ็บร้าวไปทั้งกระบอกตา “เราต้องกลับบ้านก่อน ค่อยไปโรงพยาบาล”
ชายหนุ่มกลั้นใจตอบ เขากลืนน้ำลายฝืดๆ แต่เมื่อเหลือบมองพะแพง ใจหายวูบ!! เขารู้สึกเช่นนั้น เพราะเกร็ดน้ำตาของพะแพงไหลเป็นทาง กับความจริงอันน่าเจ็บปวดที่ได้ยินด้วยสองหูตัวเอง“เดี๋ยวๆ” ชายหนุ่มรีบละล่ำละลักพูด เขานิ่งไปหนึ่งอึดใจก่อนจะเอ่ยออกมาช้าๆ “แต่งก็แต่ง...” เสียงของภาคินแผ่วลง เมื่อจำต้องเอ่ยประโยคนั้นออกมาแต่...ไม่ได้เป็นอย่างที่ชายหนุ่มคิด พะแพงไม่ได้แสดงอาการดีใจเหมือนอย่างสาวๆ ที่เขาเคยควงหากได้ยินคำสำคัญคำนี้จากปากคนอย่างนายภาคิน อภิเษศโยธาหญิงร่างเล็กใจเด็ด ตวัดตามอง เธอเม้มเรียวปากจนเป็นเส้นตรงก่อนจะแย้มปากขึ้นกล่าวช้าๆ“ไม่จำเป็นค่ะ พะแพงไม่ต้องการความเมตตานั่น แพงยืนยันเหมือนเดิม แพงเลี้ยงลูกเองได้ โดยไม่ต้องรับความเมตตาของคุณ”สิ้นคำพูดของพะแพง...กลุ่มอาคันตุกะถึงกับอึ้งกิมกี่ ยังมีอีกหรือผู้หญิงที่กล้าปฏิเสธผู้ชายเพอร์เฟคอย่างภาคินเมื่อชายหนุ่มทั้งหล่อและรวย“เธอจะพูดง่ายๆ แบบนี้ไม่ได้หรอกนะพะแพง...เธอหนีความจริงไม่พ้นหรอก ยังไงเสียฉันก็เป็น ‘พ่อ’ ของลูกเธอ”
สองหนุ่มเบ้ปาก จิปากเบาๆ เดินตามไปห่างๆ เพื่อเป็นฝ่ายสนับสนุนให้ภาคิน “แพงไม่ต้องการให้ใครมารับผิดชอบ แพงดูแลตัวเองได้ค่ะ” หญิงสาวกล่าวเสียงห้วน เธอเสก้มหน้านิ่ง ไม่เหลือบแลใครสักคน ภาคินทำหน้าเซ็ง เขาพ่นลมหายใจออกมาแรงๆ เมื่อไม่คิดว่าผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งจะดื้อด้านถึงขนาดนี้ “เราตกลงกันแล้วครับ พวกเรายอมรับ ‘คนมาใหม่’ แต่ไม่ขอรับความเมตตาของใคร” พะนายเอ่ย ใครในที่นี้คือภาคิน “แต่ฉันไม่เห็นด้วยที่แพงท้อง มันเกิดขึ้นเพราะฉัน แล้วทำไมถึงกีดกันฉันล่ะ” ภาคินกล่าวเสียงขุ่น พะแพงตั้งท่ากันเขาตั้งแต่แย้มปาก “คุณก็รู้ คุณไม่ได้ ‘รัก’ ไม่ได้ชอบน้องสาวผม แล้วจะ
“ฉันอยากเจอพะแพง” ภาคินกล่าวเสียงเย็น เขาต้องการเจอหล่อน เมื่อความสงสัยบางอย่างเกาะกุมอยู่ในหัวใจด้านชา วันนั้นเขาเห็นพะแพงที่โรงพยาบาล หล่อนอยู่ในชุดหลวมๆ เพื่อความสะดวกสบายร่างกายของพะแพงยังไม่ได้เปลี่ยนไปมากเท่าไร แต่ที่ภาคินสะดุด!! คือกลางร่างของหล่อนดูแปลกตา การเดินเหินของหล่อนด้วย ดูพะแพงระมัดระวัง การแต่งกายของหล่อนก็แปลกไป เขาว่าจะเข้าไปหา แต่เพราะติดดูแลบิดาที่มาตรวจเช็คร่างกายประจำปี จึงยังไม่มีเวลาเข้าไปหา พอว่าง...พะแพงก็หายไปแล้ว...นั่นคือสิ่งที่ภาคินติดใจ...บวกกับครั้งนั้น ‘คอนดอม’ เขาละเลย เขาไม่ได้สวมอุปกรณ์ป้องกันตอนที่มีความสัมพันธ์กับพะแพง มันจึงมีความเป็นไปได้ที่หล่อนจะ ‘ท้อง’ “ยัยแพงไม่ต้องการเจอคุณ!!” คล้ายตอบแทนบุตรสาว 
บทที่17.กว่าจะรู้ก็เกือบสาย “ผั๊วะ!!” เสียงกำปั้นตันๆ ฟาดผั๊วะเข้าที่โหนกแก้มข้างซ้ายของภาคิน จนใบหน้าหล่อเหลาสะบัด เขายกมือขึ้นปาดลิ่มเลือดที่ไหลปริ่มออกมาทันที เมื่อคนลงมือจงใจใส่น้ำหนักแบบไม่คิดออมแรง “ออกไป!! ที่นี่ไม่ต้อนรับคนอย่างคุณ” พะนายตวาดไล่ เขายืนกางขาปักหลักมั่น จ้องหน้าอดีตเจ้านายแบบไม่หวาดหวั่น เมื่อผู้ชายตรงหน้าคนนี้เป็นคนเดียวที่ทำให้น้องสาวของเขาต้องเปลี่ยนสภาพจากสาวใส เป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว “พูดกันดีๆ ก็ได้นี่ครับ ไม่เห็นต้องใช้กำลังกันเลย” เพิ่มลาภพูดเสียงอ่อย เขายืนหน้ามุ่ย ซ้อนอยู่ด้านหลังภาคิน มีเก่งกาจยืนหน้าตูมอยู่อีกด้าน “นั่นสิ!! ต้
บทที่16.โชคชะตา ฟ้ากำหนด วลัยอรเดินฝ่าความหนาวเย็นเพื่อไปยังตึกเรียน หลังลงจากรถประจำทางที่โดยสารมาจากที่พัก เธอเดินก้มหน้า ไม่ได้มองซ้ายมองขวา เมื่อไม่อยากมองไปรอบๆ ตัว เพราะทุกจุดที่มีที่นั่งพักมักจะมี ‘คู่รัก’ นั่งสนทนากันอยู่ อารมณ์ของหญิงสาวที่แตะเลข18 ตอนนี้คือ ความโทรมนัส โลกไม่ได้มีสีชมพูสำหรับเธอ เมื่อสายตาของหญิงสาวมีแค่สีเทากับสีดำ เสียงถอนใจดังๆ ดังตลอดทางที่เธอลากขาเดินจากถนนหน้ามหาวิทยาลัยจนเกือบถึงตึกเรียนสีอิฐ ในความคิดของวลัยอร เธอยังหาทางออกให้ตัวเองไม่ได้ ไม่ว่าจะถูกกีดกันอย่างไร หัวใจดื้อดึงของเธอก็ยังยึดมั่นอยู่กับผู้ชายคนเดียว นัยน์ตาภักดีแสนซื่อนั่น ไม่ว่าจะสลัดหรือพยายามลืมเท่าใด เธอก็ไม่อาจทำได้สักที พะนายยังคงเป็นผู้ชายคนเดียวที่เธอรู้สึกพิเศษด้วย แม้เขาจะจะต้อยต่ำ จนไม่มีใครในครอบครัวยอมรับ “พี่นาย...”
“ตามใจ เร็วๆ ล่ะ แม่ทำพิซซ่าเห็ดไว้รอ จะได้กินตอนยังร้อนๆ” ภาวนาถอนใจ นางรู้ว่าวลัยอรแอบเหงา จึงพยายามไม่บีบบังคับมาก เวลาจะช่วยให้ทุกอย่างผ่านพ้นไปด้วยดี สักวันบุตรสาวจะรู้ สิ่งที่นางทำไป เป็นผลดีกับวลัยอรทั้งนั้น “ค่ะ” สาวใสกดวาง ก่อนจะยัดโทรศัพท์ของตัวเองเก็บไว้ที่เดิม หล่อนเงยหน้ามองสบสายตากับพะนาย ด้วยสายตาอาลัยอาวรณ์ “พี่นาย...” “พี่นายไม่ได้ไปไหนครับ พี่นายจะอยู่ตรงนี้” พะนายเอื้อมจับมือเรียวขึ้นมากุมไว้ เขาวางมือน้อยๆ นั่นที่เหนืออกซ้ายของตนเอง รอยยิ้มหวานเศร้าผลิบานช้าๆ ริมฝีปากสั่นระริกเพราะกำลังกลั้นสะอื้น 
เสียงกรรโชกของผู้ชายสูงวัย บ้านของเขามีรั้วติดกับบ้านหลังเก่าของพะแพง และเป็นหนึ่งในจำนวนคนที่มายืนออ ตอนที่ภาคินอาละวาด... “เปล่าครับ ผมกับเพื่อนอยากเจอ มีธุระสำคัญมาบอก” เก่งกาจเอื้อมจับแขนเพื่อน เขากระตุกเบาๆ พร้อมกับรีบกล่าวออกหน้าแทน “ธุระอะไร!!” แม้น้ำเสียงจะยังไม่ลดความเข้มข้น แต่เพราะความอยากรู้ตามประสามนุษย์!! ทำให้ชายคนนั้นยังคงถามต่อ “เรื่องงาน...พะนายตกงานไม่ใช่เหรอ? ผมมีงานให้เขาทำ” เก่งกาจสุ่มเดา เมื่อถูกภาคินเฉดหัวส่ง พะนายคงลำบากพอดี แต่สิ่งที่เขาได้รู้เกินคาด ชายผู้นั้นหัวเราะร่า “ฮ่าๆ ไม่ต้องห่วงไอ้นายมันหรอก มันรวยแล้ว” คนเล่าหัวเราะสลับกับเหลือบมองคนต
บทที่15.การพบเจอแบบที่ไม่มีใครคิด...3เดือน…กับความโหยหาที่ไม่อาจปริปากบอกใครได้ ภาพเงาของผู้หญิงนัยน์ตาวาวคนนั้น ยังลอยวนเวียนอยู่รอบตัว หล่อนหายไปจากการรับรู้ ประหนึ่งเหมือนหายตัวได้ เพราะยิ่งภาคินขวนขวายที่จะค้นหา เหมือนกับหล่อนจะหลีกเร้นจนควานหาไม่เจอ ไร้รูปกาย ไร้เงา...และหากภาคินสนใจตัวเอง เขาจะรู้ว่าช่วงเวลาที่ผ่านมานั้น เขาปล่อยปละตนเองขนาดไหน จากผู้ชายที่เชื่อมั่นในตนเอง สนุกสนานกับภาพมายา ชอบที่จะอยู่ท่ามกลางวงล้อมผู้คน...วันนี้สิ่งเหล่านั้นทำให้ผู้ชายคนเดิมเอือมระอา เขาเก็บตัว ชอบอยู่เงียบๆ กับขวดเหล้ามากกว่า ยิ่งภาวนาบินไปเฝ้าวลัยอรที่อังกฤษ!! ภาคินก็ยิ่งปล่อยปละตัวเอง จนทรุดโทรม ผมเผ้าที่เคยเรียบกริบกระเซอะกระเซิง!! สูทเนียบเรียบกริบก็จริง เพราะมีคนคอยดูแล แต่กลิ่นที่ระเหยโชยออกมาจากร่างใหญ่โต กลับมีแต่กลิ่นแอลกอฮอลล์ กับกลิ่นบุหรี่ งานสังคมส่วนใหญ่ถูกงด เมื่อเจ้าตัวไร้อารมณ์ เขางดสังสรรค์ เปลี่ยนเป็นมานั่งดื่มเงียบๆ คนเดียวที่บ้าน เวลาทั้งหมดหลังเลิกงาน...ภาคินอุทิศให้กับสุรา...นอดกอดขวดเหล้าหลับคาโซฟา โดยที่ไม่มีใครกล้าทักท้วง...
บทที่14.การเผชิญหน้ากับความลับที่ถูกซ่อนไว้ เป็นวันที่ครอบครัวมีความสุขอย่างแท้จริง...กิจการของพะนายกำลังไปได้ด้วยดี เขามีออเดอร์ที่จะต้องส่งให้กับร้านประจำทุกวัน และร้านสะดวกซื้อที่ต้องส่งจำนวนมากต่อวัน... วันนี้จึงเป็นวันที่ครอบครัวงามสุวรรณน่าจะมีความสุขที่สุด กับงานขึ้นบ้านใหม่...บ้านในฝันของสองพี่น้อง... คล้ายยืนมองตัวบ้าน นัยน์ตาฝ้าฟางเออคลอไปด้วยน้ำใสใส เขานึกถึงภรรยาคู่ยากที่ด่วนจากโลกนี้ไป ด้วยความเสียดาย หากโรคร้ายไม่คร่าชีวิตนางไป วันนี้คงเป็นวันที่ภรรยาของเขา ยิ้มได้มากกว่าทุกวัน “พ่อ กินข้าวกัน...พี่สมจิตร ป้าสาย เฮียทานข้าวค่ะ” หลังส่งพระที่มาทำพิธีเจิมตัวบ้าน เพื่อให้บ้านหลั